ช่วงนี้เป็นเวลาของ StartUp Time บริษัทน้องใหม่ไฟแรงสูงที่พยายามโชว์ศักยภาพ
ความคิดสร้างสรรค์แห่งการเปลี่ยนแปลงโลกเหนือชั้นกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ (ถึงแม้ว่าจุด
หมายปลายทางของ StartUp ทั้งหลายอาจจะต้องโดนบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโอเวอร์ก็ตาม)
วันนี้ Lucid Motors บริษัทรถไฟฟ้าน้องใหม่จากแคลิฟอร์เนียที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2007
ในนาม Atieva มีประสบการณ์การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิคส์และแบตเตอรี่
และรวมทั้งเป็นซัพพลายเออร์ส่งแบตเตอรี่แพ๊คสำหรับรถบัสไปยังประเทศจีนได้เปิดตัว
รถยนต์ซีดานไฟฟ้าคันใหม่ที่สร้างความฮือฮาให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบสาร
สนเทศ
Lucid Air คือซีดานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนสถานภาพ Lucid Motor จากอดีตซัพ
พลายเออร์ตัวเล็ก ๆ ให้กลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ในทันทีด้วยพละกำลัง
จากมอเตอร์ไฟฟ้า 1,000 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 2.5 วินาที
มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จประจุไฟฟ้าเพียงแค่ครั้งเดียว 643 กิโลเมตรในรุ่นแบตเตอรี่
130 กิโลวัตต์ชั่วโมงและ 482 กิโลเมตรในรุ่นแบตเตอรี่ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลังของ Lucid Air ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แพ๊คที่ได้รับการทดสอบ
การใช้งานจริงมากกว่า 20 ล้านไมล์เพื่อให้แน่ใจว่ารถสุดวิเศษคันนี้สามารถวิ่งทนได้
ทุกสภาวะจริง
บุคลากรผู้รังสรรค์ Lucid Air จะมีจำนวน 300 ชีวิตจากผู้เชี่ยวชาญในบริษัทรถยนต์
ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ Derek Jenkins อดีตนักออกแบบ Mazda, Peter Rawlinson
อดีต Chief Engineer : Tesla Model S
เมื่อสังเกตรายชื่อบุคลากรหัวกะทิแล้วคงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไม Lucid Air ถึง
เป็นรถซีดานใหญ่ที่ดูปราดเปรียวมาก ๆ เพราะทีมพัฒนากล้านำข้อดีของระบบขับเคลื่อน
ด้วยไฟฟ้าที่ไม่ต้องเผื่อเนื้อที่ให้แก่เครื่องยนต์สันดาป, ระบบส่งกำลังมาประยุกต์ใช้อย่าง
เต็มที่ ส่งผลให้มันมีสัดส่วนตัวรถที่ดูแปลกตาจากรถทั่วไปทั้งระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคันที่สั้น
ขนาดตัวถังภายนอกอยู่ในพิกัดรถขนาดกลางแต่มีภายในห้องโดยสารใหญ่มโหฬาร
Derek Jenkins เปิดเผยว่าแรงบันดาลในใจการออกแบบจะนำมาจากอากาศยาน
หรูหราที่มีเนื้อที่กระจกรอบคันรถใหญ่โตและมีเส้นสายพื้นตัวถังที่เรียบง่าย อันเนื่อง
จากใช้เทคนิคการผลิตโครงสร้างเสาหลังคาอลูมิเนียมที่ถูกออกแบบให้บางลงได้
ไฟหน้าดูเล็กหรี่เอามาก ๆ เนื่องจากติดตั้งเทคโนโลยี Lucid Vision ประกอบไปด้วย
Micro Lens หลายชิ้นที่ได้แรงบันดาลใจจากตาของแมลงจำนวนรวมกัน 4,870 เลนส์
ช่วยเพิ่มพลังของส่องได้แม่นยำ และยังมีความสูงของโคมไฟหน้าเพียงแค่ 19 มิลลิเมตร
เท่านั้นซึ่ง Lucid ยังเคลมว่าให้พลังในการส่องมากกว่า LED ปกติถึง 3 เท่า
ภายในห้องโดยสารเป็นการปฏิวัติการออกแบบใหม่โดยใช้ประโยชน์จากการติดตั้งมอเตอร์
ไฟฟ้าบริเวณด้านหน้าและด้านหลังรถ รวมถึงแบตเตอรี่แพ๊คที่ซ่อนใต้พื้นห้องโดยสาร
ทำให้มีเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างขวางเป็นพิเศษ มีให้เลือกทั้งแบบเบาะนั่งผู้โดยสาร 4 คน
ติดตั้งเบาะหลังแบบ Exclusive คล้ายที่นั่งผู้บริหารพร้อมอุปกรณ์ความบันเทิงครบครัน
และแบบ 5 คน เหมาะสำหรับการโดยสารแบบครอบครัว
การออกแบบภายในห้องโดยสารไม่ได้ดูหลุดล้ำโลกจนเป็นยานอวกาศมากจนเกินไป
เพียงแต่พวกเขาพยายามสร้างสรรค์โครงสร้างแผงแดชบอร์ดใหม่ที่ดูแตกต่างจากรถยนต์
ที่ขายกันปกติโดยได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจ็ทด้วยวัสดุคุณภาพสูงมาก ติดตั้งหน้า
จอสีแนวนอนยาวครอบคลุมตั้งแต่ฝั่งผู้ขับขี่และจนถึงกลางแดชบอร์ด สำหรับแสดงผล
มาตรวัดและความบันเทิงต่าง ๆ และติดตั้งแผงจอสัมผัส Tablet สำหรับออกคำสั่งฟีเจอร์
ภายในรถ
ภายในห้องโดยสารเงียบสงบด้วยระบบตัดเสียงรบกวนและติดตั้งลำโพง 29 ตัวรอบคัน
Lucis Air น่าจะเน้นความนุ่มนวลถึงที่สุดด้วยช่วงล่างหน้าแบบดับเบิลวิชโบนที่รองรับ
ภาระมอเตอร์ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าภายในรถ ส่วนช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์ติดตั้ง
สปริงถุงลมและ Active Damper
ในช่วงแรกการเปิดตัวก็จะมาพร้อมกับเกรด Launch Edition จำนวนจำกัด 255 คัน
ราคาป้วนเปี้ยนประมาณ 160,000 ดอลลาร์มาพร้อมกับหลังคากระจก, ลำโพง 29 ตัว
และเบาะนั่งหลังสำหรับผู้บริหาร พร้อมทั้งส่วนลดคืนเงิน 25,500 ดอลลาร์
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถในราคาคุ้มค่าก็คงต้องรอรุ่นมาตรฐานออพชั่นน้อยกว่าเดิมที่
เสียเงินค่าจองเพียงแค่ 2,500 ดอลลาร์ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นประมาณ 85,000 ดอลลาร์
ช่วงแรกของการเปิดตัว Lucid Air จะได้แบตเตอรี่ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง (วิ่งได้ไกล 482
กิโลเมตร) ไปก่อน แต่หลังจากนั้นสักระยะก็จะเปิดตัวแบตเตอรี่ 130 กิโลวัตต์ชั่วโมง
(วิ่งได้ไกล 643 กิโลเมตร) ที่ผลิตโดย Samsung SDI
ในอนาคต Lucid Air อาจจะติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 4 หรือระดับที่ผู้ขับขี่
สามารถทำกิจกรรมภายในรถได้โดยให้ระบบอัตโนมัติช่วยขับขี่อย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก
มันติดตั้งเรดาร์ระยะไกล, กล้องและระบบประมวลผล LIDAR พร้อมไว้แล้ว
Lucid Air จะถูกผลิตที่โรงงาน Casa Grande มลรัฐอาริโซน่า สหรัฐอเมริกาเริ่มผลิต
ในช่วงต้นปี 2017 ด้วยกำลังผลิตเพียงแค่ 8,000 – 10,000 คัน และจะเร่งกำลังผลิต
5-6 หมื่นคันภายใน 2 ปีข้างหน้า
ทุกอย่างดูสวยหรูมากทีเดียวสำหรับ Lucid Motors แต่เวลาคือคำตอบสถานเดียวที่จะ
พิสูจน์ว่าสามารถสู้กับ Tesla Model S ได้หรือไม่?
ที่มา : MotorAuthority, Automotive News