กลายเป็นรุ่นที่แพงที่สุดและแรงที่สุดของค่าย Lotus ไปแล้วสำหรับ 3-Eleven ที่พึ่งเปิดตัวไปในงาน
2015 Goodwill Festival of Speed ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด Lotus ได้นำรถยนต์รุ่นนี้มาทดลองวิ่ง
ที่สนาม Nurburgring และสามารถทำเวลาต่อรอบโดยที่ไม่ได้ปิดสนามระหว่างการวิ่งที่ 7.06 นาที
ซึ่ง Marc Basseng เจ้าของสถิติได้กล่าวว่ารถคันนี้สามารถตอกเวลาระดับ 7 นาทีถ้วนได้แบบสบายๆ
โดยที่ 3-Eleven นั้นมีให้เลือกทั้งรุ่นพื้นฐานและรถสนาม
ภายนอกทำจากวัสดุ Resin เพื่อรีดน้ำหนักสุดๆซึ่งผลที่ได้คือน้ำหนักเบาลงถึง 40% ซึ่งมาพร้อมกับ aeroparts
รอบคันเพื่อช่วยรีดลมให้ได้มากที่สุดซึ่งรวมถึง diffuser หลังและ spoiler หลังชนิดตายตัวโดยที่รูปแบบนั้น
จะแตกต่างกันระหว่างรถพื้นฐานและรถสนาม ส่วนล้อที่ใส่มาให้เป็นล้อ forged ขนา 18 นิ้วในคู่หน้าและ 19 นิ้ว
ในคู่หลัง นอกจากนี้อีกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ 3-Eleven คือรถทุกคันจะไม่มีกระจกบังลมหน้าและประตูมาให้
ต่อให้ซื้อรุ่นพื้นฐานก็ตามที
ในเมื่อภายนอกยังไม่ใส่กระจกบังลมมาให้ ภายในก็อย่าหวังจะได้เห็นอุปกรณ์ตระการตาใดๆเลย ซึ่งจะมีเพียง
เบาะคนขับพร้อมเข็มขัดนิรภัย 4 จุด, พวงมาลัย, เกียร์, หน้าปัด, และ แผงควบคุมสวิตเท่านั้น แต่ถ้าใครกลัวเหงา
ไม่อยากขับรถคนเดียวทาง Lotus มีเบาะคนนั่งเสนอให้เป็น option เสริม หรือถ้านักแข่งท่านใดเห็นที่นั่งข้างๆ
มันว่างสามารถซื้อแผ่นปิดช่วงคนนั่งได้เช่นกันเพื่อให้ได้ aerodynamics ที่ดีขึ้น ส่วนในรุ่นรถสนามจะได้เบาะ
bucket seat พร้อมเข็มขัดนิรภัย 6 จุด, สวิตตัดระบบไฟ, และระบบดับเพลิงมาให้ด้วย
เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 Supercharge ที่ยกมาจาก Evora 400 ได้รับการปรับแต่งเพิ่มเติมจนได้กำลังสูงสุด
450 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/ นาที และแรงบิดสูงสุด 45.88 กก – ม. (450 นิวตันเมตร) ที่ 3,500 – 6,500 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์ธรรมดาพร้อม limited slip 6 จังหวะในรุ่นพื้นฐาน และ sequential 6 จังหวะพร้อม limited slip และ
paddle shift ในรุ่นรถสนาม
ตัวเลข 450 แรงม้าดูธรรมดาสำหรับรถแข่งแต่อย่าลืมว่า 3-Eleven มีน้ำหนักเพียง 900 กิโลกรัมในรุ่นรถสนาม
ซึ่งทำให้มันมีสัดส่วนแรงม้ามากกว่า 500 แรงม้าต่อน้ำหนัก 1 ตัน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงจึงต่ำกว่า
3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นอยู่ที่ 280 กิโลเมตร/ ชั่วโมงในรุ่นรถสนามและ 290 กิโลเมตร/ ชั่วโมงในรุ่นพื้นฐาน
สายพานการผลิตของ Lotus 3-Eleven จะเริมขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และพร้อมส่งมอบในเดือนเมษายนเป็นต้นไป
โดยที่จะผลิตขึ้นมาเพียง 311 คันเท่านั้นโดยที่รุ่นพื้นฐานจะมีราคาประมาณ 126,000 ดอลล่าร์สหรัฐและออกขาย
สำหรับตลาดเอเชียและยุโรป ส่วนรถสนามจะมีราคาประมาณ 177,000 ดอลล่าร์สหรัฐและออกขายทั่วโลก
ที่มา : motortrend