Koenigsegg บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่สั่งสมประสบการณ์ในการสร้างรถ Hypercar สมรรถนะสูงมายาวนาน กว่า 25 ปี ได้เผยโฉม Koenigsegg Gemera ใหม่ ออกสู่สายตาคนทั่วโลก โดยให้ฉายานามว่าเป็น “Mega-GT 4 ที่นั่ง คันแรกของโลก” ที่จะมอบประสบการณ์แปลกใหม่ หลุดจากข้อจำกัดเดิมๆ ด้วยการเป็นรถ Hypercar สมรรถนะสูง ความแรงระดับ 1,700 แรงม้า พร้อมให้คุณและคนในครอบครัวสนุกสนาน เร้าใจ และสะดวกสบายไปพร้อมๆ กัน
Dimension มิติตัวรถ
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,975 x 1,988 x 1,295 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ : 3,000 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance) : 117 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกได้เพิ่ม 35 มิลลิเมตร)
- ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง : 75 ลิตร
- พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระหน้า – หลัง : 200 ลิตร
ภายนอก ด้านหน้าได้แรงบันดาลใจจาก Koenigsegg CC ในปี 1996 โดดเด่นดีไซน์ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่เชื่อมติดกันทั้ง 2 ฝั่งซ้าย – ขวา อีกทั้งยังติดตั้งชุดไฟหน้าแบบ LED แบบ 5 Lens มาให้ด้วย บานประตูทั้ง 2 ฝั่ง มีขนาดใหญ่โต เพื่อรองรับการเข้า – ออกจากตัวรถ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังและตอนหลัง กลไกการเปิด – ปิดเป็นแบบยกขึ้นทำมุม 90 องศา หรือที่เรียกว่า Koenigsegg Automated Twisted Synchrohelix Doors และติดตั้งกล้องมองภาพแทนกระจกมองข้างมาให้
ด้านหลังมาพร้อมกับชุดไฟท้าย LED ติดตั้งอุปกรณ์ Aero part ทั้งสปอยเลอร์หลังแบบ Built-in และดิฟฟิวเซอร์ใต้เปลือกกันชนหลัง กระจกบังลมหลังขนาบข้างด้วยปลายท่อไอเสียทรงกลมรี
รูปแบบตัวถังของ Koenigsegg Gemera เป็นแบบ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ไร้เสา B-pillar โครงสร้างตัวถังและเปลือกตัวถังภายนอกใช้วัสดุ Carbonfiber น้ำหนักเบา ในขณะที่ Sub-frame ด้านหน้าและด้านหลังผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียม
ล้ออัลลอยเป็นแบบ Aircore Carbon ที่ทาง Koenigsegg พัฒนาขึ้นเป็นเจเนอชันที่ 3 มาพร้อมกลไกการล็อกแบบ Center Locking ด้านหน้ามีขนาด 21” x 10.5” ส่วนด้านหลังมีขนาด 22” x 11.5” รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S (มาตรฐาน) และยาง Michelin Cup R3 (อ็อพชันเสริม) ด้านหน้า ขนาด 295/30 ZR21 ส่วนด้านหลัง ขนาด 317/30 ZR22
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหุ้มหนังสีดำ และหนังกลับ Alcantara (สามารถเลือกโทนสีตะเข็บด้าย เป็นอ็อพชันเสริม) มาพร้อมเบาะนั่ง 4 ตำแหน่ง เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ช่องวางแก้วพร้อมระบบทำความเย็นและระบบอุ่นร้อน 8 ตำแหน่ง เครื่องปรับอากาศแบบ 3 Zone หน้าจอแสดงผลขนาด 13 นิ้ว หน้า – หลัง พร้อมชุดเครื่องเสียง Koenigsegg High-end Audio ลำโพง 11 ตัว รวมซับวูฟเฟอร์ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay มีช่องเชื่อมต่อ USB port และแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สายมาให้ด้วย
Engine เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ Free-valve ขนาด 2.0 ลิตร กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 95.0 x 93.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Twin Turbocharger กำลังสูงสุด 598 แรงม้า (PS) ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (61.18 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 7,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 1,700 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 3,500 นิวตันเมตร (356.9 กก.-ม.) จับคู่กับระบบส่งกำลัง Single-speed Direct-drive ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบจุดระเบิดเป็นแบบ High power ion sensing Coil-on-plug ควบคุมการทำงานด้วยระบบ Koenigsegg Engine Control Module รองรับน้ำมันสูงสุดแก๊สโซฮอล์ E100
ระบบ Free-valve เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไร้แคมชาฟต์ ที่มีแนวคิดริเริ่มมาจาก Christian Von Koenigsegg ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Koenigsegg มีหลักการทำงานโดยใช้ Actuator เป็นอุปกรณ์เปิดวาล์วแทนแคมชาฟต์ ซึ่งมีกลไกการนำสัญญาณไฟฟ้ามาเปลี่ยนเป็นแรงดันเพื่อเปิดวาล์ว ควบคู่กับสปริงวาล์วที่ทำหน้าที่รับแรงต้านการเปิดวาล์ว และมีกระเดื่องปรับระยะยกวาล์วซึ่งถูกควบคุมด้วยแรงดันน้ำมัน ส่งผลให้สามารถปรับจูนจังหวะการแปรผันวาล์วได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น เครื่องยนต์มีขนาดเล็กและเบาลง อยู่ที่ 70 กิโลกรัมเท่านั้น
ระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์เป็นแบบ Dry sump lubrication อาศัยการทำงานของปั๊มน้ำมันเครื่องที่ควบคุมแรงดันด้วยไฟฟ้าในการดูดน้ำมันเครื่องจากอ่าง ผ่านท่อส่ง ไปยังช่องทางเดินน้ำมันเครื่อง แล้วไหลกลับเข้าสู่อ่างน้ำมันเครื่องที่แยกตัวออกจากเครื่องยนต์อีกครั้ง มีข้อดีคือ ไม่ว่ารถจะเข้าโค้งแรงขนาดไหน หรือกระโดดเนินกี่ครั้ง น้ำมันเครื่องก็ยังคงไปหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้อย่างไม่ขาดตอน นอกจากนั้นยังไม่สร้างภาระโหลดให้กับเครื่องยนต์ รวมถึงสามารถวางเครื่องยนต์ต่ำลง และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลงตามไปด้วย เนื่องจากไม่ต้องเผื่อระยะความสูงของอ่างน้ำมันเครื่องที่อยู่ด้านล่างสุด
มอเตอร์ตัวที่ 1 (E-Motor Hydracoup) ติดตั้งอยู่กับเครื่องยนต์ ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อล้อคู่หน้าด้วยระบบ Single-speed Direct-drive สามารถตัดต่อกำลังเพื่อวิ่งในโหมดการขับขี่ EV Mode ได้ นอกจากนั้น ยังเสริมการทำงานด้วยระบบกระจายแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control ด้วย
ในขณะที่มอเตอร์อีก 2 ตัว จะติดตั้งที่ล้อคู่หลังทั้ง 2 ฝั่ง ให้พละกำลังสูงสุด 500 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 1000 นิวตันเมตร ทำงานแยกกันอย่างอิสระในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า และถอยหลัง ติดตั้งระบบคลัทช์เปียก (Wet clutch) และเสริมการทำงานด้วยระบบกระจายแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control ด้วยเช่นกัน
แบตเตอรี่เป็นขนาด 16.6 kWh แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 800 โวลต์ พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น
ตัวเลขเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 1.9 วินาที
- ความเร็วสูงสุด Top Speed ที่ 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้ด้วยเครื่องยนต์ อยู่ที่ 950 กิโลเมตร
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้ด้วยไฟฟ้า อยู่ที่ 50 กิโลเมตร
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้รวม (เครื่องยนต์ + ไฟฟ้า) อยู่ที่ 1,000 กิโลเมตร
Steering ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power-assisted Steering) พร้อมระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Active Rear Wheel Steering) ช่วงล่างแบบ Double Wishbones พร้อมช็อกอัพแบบ Adjustable Gas-hybraulic ปรับระดับสูง – ต่ำได้ ด้านหน้าสามารถยกตัวสูงขึ้นอีก 35 มิลลิเมตร
ระบบเบรกดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกด้านหน้าเป็นแบบ 6pot มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 415 มิลลิเมตร ความหนา 40 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกด้านหลังเป็นแบบ 4pot มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 390 มิลลิเมตร ความหนา 34 มิลลิเมตร เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) และระบบเสริมแรงเบรก (Electric Brake Booster)
Koenigsegg Gemera มีแผนผลิตออกจำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 300 คัน เท่านั้น และ มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,000,000 ดอลล่าสหรัฐ หรือราว 31,500,000 บาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย)