ถือเป็นการกลับมาของรุ่นเปลี่ยนโฉม Jeep Grand Cherokee ในยุโรปที่มาพร้อมกับขุมพลัง Plug-in Hybrid ซึ่งจะเปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ ว่ารถ Jeep ต้องกินน้ำมัน และยังเสริมความหรูหราไปอีกขั้น ยกระดับให้เทียบชั้นบรรดาคู่แข่งจากยุโรป โดยที่ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการลุยป่าฝ่าดงเช่นเดิม โดยการเปิดตัวในยุโรปครั้งนี้ ตามหลังตลาดโลกอยู่ประมาณ 4 เดือน สำหรับลูกค้าในภูมิภาคยุโรป ได้แก่ อิตาลี ฝรั่งเศษ เยอรมนี สเปน สหราชอาณาจักร ออสเตรีย เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจะมีรุ่นพิเศษสำหรับการเปิดตัวเรียกว่า Jeep Grand Cherokee 4Xe Exclusive Launch Edition

ภายนอกจะมากับชุดไฟหน้าแบบ Full-LED หลังคาทำสีดำพร้อมทริมตกแต่งวัสดุโครเมี่ยมรอบคัน เสริมด้วยสัญลักษณ์ 4Xe บริเวณฝาท้าย พร้อมติดตั้งล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว ลายใหม่ ส่วนตำแหน่งติดตั้งเต้าเสียบ หรือ Socket สำหรับชาร์จไฟฟ้า จะอยู่ที่เหนือซุ้มล้อคู่หน้าฝั่งซ้าย

ในขณะที่ภายในห้องโดยสารถูกปรับให้มีหรูหราเป็นพิเศษกว่ารุ่นก่อนๆ ไล่ตั้งแต่ลายไม้วอลนัทและวัสดุหนังหุ้มเบาะและประตู Palermo leather เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 16 ทิศทาง พร้อมระบบความจำและปรับดันหลังเบาะ รวมไปถึงระบบนวดแผ่นหลังอีกด้วย เบาะนั่งด้านหลังยังมาพร้อมระบบอุ่นเบาะและเป่าลมระบายความร้อนในตัว ระบบปรับอากาศแบบ 4 โซน แยกอิสระ พร้อมจอกลางขนาด 10 นิ้ว

นอกจากนี้ ยังเพิ่มจอความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ขนาด 10.25 นิ้วซึ่งเป็นเทรนที่กำลังมาแรงในหมู่รถหรูหลังจากปี 2022 นี้ ระบบเครื่องเสียงจาก McIntosh กำลัง 950W จากลำโพง 19 ตำแหน่ง และที่ขาดไม่ได้คือ ไฟตกแต่งบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีให้เข้ากับบรรยากาศได้อีกด้วย

ขุมพลัง Plug-in Hybrid ของ Grand Cherokee 4Xe เป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า สร้างพละกำลังได้สูงถึง 385 แรงม้า (PS) แรงบิด 637 นิวตันเมตร และสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้มากถึง 51 กิโลเมตร ส่งกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ผสมผสานความช่วยเหลือจากมอเตอร์ ทำให้มีแรงบิดที่เรียกใช้งานได้ทันทีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ตามการใช้งานสไตล์ Off-road ได้ มีโหมดการขับขี่ 3 แบบ ได้แก่ Hybrid, Electric และ e-Save พร้อม

ระบบกันสะเทือนเป็นแบบถุงลม Quadra-Lift air suspension และตัวเลือกโหมดการขับขี่ตามสภาพพื้นผิว Selec-Terrain Traction Management System ที่มีให้เลือกมากถึง 6 โหมด ได้แก่ Auto, Snow, Sand, Mud, Rock และ Sport

ระบบความปลอดภัย Active Driving Assist ระดับ 2 ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง ภายใต้ระบบช่วยเหลือต่างๆรอบคัน และการควบคุมพวงมาลัยของคนขับ พร้อมทั้งแสดงข้อมูลต่างๆ ผ่านทางจอ Head-up Display (HUD) แบบสีบนกระจกหน้า ขนาดใหญ่ถึง 10 นิ้ว ระบบกล้องตรวจจับวัตถุตอนกลางคืน ปิดท้ายด้วยกระจกมองหลังแบบดิจิตอล และระบบช่วยจอดทั้งเข้าซองและคู่ขนาน

ระบบเชื่อมต่อ Uconnect™ 5 ที่ถูกพัฒนาให้รองรับประสบการณ์การใช้งานไร้รอยต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งแอพพลิเคชั่นบนมือถือและศูนย์กลางที่จะคอยให้ความช่วยเหลือยามเกิดเหตุคับขัน รวมไปถึงตัวช่วยเหลือต่างๆ เพื่อทำให้การใช้งานรถ PHEV สะดวกสบายยิ่งขึ้น ได้แก่ My Assistant My Ca, My Remote My eCharge My Navigation My Wifi และ My Alert ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการนำร่องผ่านโมเดล Grand Cherokee เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของแบรนด์ ในอนาคต

ที่มา: Stellantis