แรงกระเพื่อมของข่าวรถ Jeep สามารถถูกแฮ๊คได้ถือเป็นประเด็นใหญ่โตและสร้างความอกสั่นขวัญแขวนไปยังผู้ใช้รถและ
บริษัทรถยนต์ทั้งหลาย เพราะนี่ขนาดยังไม่เข้าสู่ยุครถยนต์ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มตัวยังมีโอกาสโดนได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเข้า
สู่ยุคนั้นจริง ๆ แล้วจะมีมาตรการอะไรรองรับหรือป้องกันภัยชนิดนี้ดีล่ะ?
แต่กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการโดนไฮแจ๊คทางออนไลน์มากที่สุดคงหนีไม่บรรดาบริษัทรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมจากเยอรมนีที่
จะเตรียมติดตั้งระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติให้แก่บรรดารถรุ่นหรูของตน
Mercedes-Benz ก็กำลังเตรียมตัวติดตั้งระบบพวงมาลัยช่วยหมุนได้ใน E-Class ใหม่, Audi ก็กำลังทดสอบระบบขับขี่
อัตโนมัติ, BMW ก็ติดตั้งรีโมทคอนโทรลสั่งให้ 7-Series ขับไปจอดได้อัตโนมัติซึ่งทั้ง 3 แบรนด์ยังพึ่งพาระบบช่วยเบรก
อัตโนมัติและ Advanced Cruise Control ที่ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า
ถ้าแต่ละค่ายพยายามขนเทคโนโลยีสุดล้ำเหล่านี้ มันก็เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรถยนต์แล้วล่ะว่าจะรับประกันอย่างไรให้ลูกค้า
เกิดความมั่นใจที่จะนำเงิน 45,000 ยูโรมาแลกกับระบบสุดล้ำเหล่านี้? ทั้งสามบริษัทตอบกลับมาว่าพวกเขามีเครื่องมือ
ป้องกันการโจมตีจากโลกไซเบอร์ รวมถึงมีระบบเชื่อมต่อข้อมูลที่ต้องถอดรหัสอีกชั้นและติดตั้งไฟร์วอลล์เพื่อคุ้มครองระบบ
รักษาความปลอดภัยและระบบความบันเทิงในรถยนต์เป็นชั้นสุดท้าย
Rainer Scholz ผู้อำนวยการที่ปรึกษาฝ่าย telematics และ mobility แห่งบริษัทที่ปรึกษา EY ได้แสดงความคิดเห็นว่า
รถยนต์ทุกวันนี้มีความซับซ้อนมากเสียจนแฮ๊คเกอร์สามารถหาช่องโหว่เล่นงานได้ ยิ่งมีเทคโนโลยีก้าวล้ำมากขึ้นเท่าก็ย่อม
มีแฮ๊คเกอร์มาท้าทายความสามารถ แฮ๊คเกอร์ไม่จำเป็นต้องซื้อรถเพื่อหาช่องโหว่ เพียงแค่แฮ๊คเกอร์หาช่องโหว่จุดใดจุด
หนึ่ง แล้วเจาะระบบส่วนใดส่วนหนึ่งของรถ อาทิ ระบบให้ความบันเทิงหน้าจอสัมผัสก็เพียงพอต่อการเข้าถึงตัวรถแล้ว
ภายในปี 2020 เชื่อว่ารถยนต์ฝั่งตะวันตกจะติดตั้งระบบการเชื่อมอินเตอร์เน็ตร้อยละ 90 จนมีซัพพลายเออร์ทั้งจากวงการ
รถยนต์และไอทีต่างพร้อมใจร่วมวงจรการพัฒนาระบบเชื่อมต่อสำหรับรถยนต์
Mercedes-Benz, BMW และ Audi ก็คิดป้องกันการบุกรุกทางไซเบอร์ไว้ล่วงหน้าด้วยการแยกอาณาเขตการทำงานของ
แต่ละฟังก์ชันออกจากกัน พร้อมเสริมทัพด้วยไฟร์วอลล์และกุญแจที่เข้ารหัส, ระบบสแกนไวรัสอีกขั้นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม
Benjamin Oberkersch โฆษก บริษัท Mercedes-Benz ก็ยังยอมรับความจริงว่า มันไม่มีอะไรที่ป้องกันได้ 100% แต่
ทางบริษัทพัฒนาระบบและให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งบุคคลภายนอกและภายในร่วมทดสอบระบบ จนกว่าจะพร้อมออกสู่ตลาด
ADAC สมาคมยานยนต์เยอรมนียืนยันว่าเคยมีแฮ๊คเกอร์เคยพยายามสั่งเปิดประตูรถ BMW, Mini และ Rolls-Royce
แบบไร้สายภายในไม่ถึงนาทีมาแล้ว ดังนั้นรถยนต์ในเครือ BMW ที่ติดตั้ง ConnectDrive จำนวน 2.2 ล้านคันจึงมีช่อง
โหว่ในการบุกรุกได้ ดังนั้น BMW จึงเร่งแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จในปีนี้อีกทั้งยังมีการเฝ้าระวังความ
ปลอดภัยจากการใช้ระบบอัตโนมัติผ่าน BMW server ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยทันทีที่เริ่มใช้รถยนต์ BMW
สรุปแล้วว่านอกจากจะเหนื่อยกับการทุ่มเงินพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแล้ว บริษัทรถต้องเหนื่อยหนักอีกเท่าตัวเพื่อ
พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยทางออนไลน์อีกด้วย
ที่มา : Automotive News