เดือนมกราคมที่ผ่านมา การจัดรายการวิทยุช่วง ABSOLUTE 80’s ของผม เป็นการเล่นเพลง
ไว้อาลัยศิลปินที่จากโลกนี้ไปทุกสัปดาห์ ศิลปินเหล่านั้นล้วนมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุด
ในช่วงทศวรรษที่70-80ทั้งสิ้น
1 มกราคม 2016 – Natalie Cole
10 มกราคม 2016 -David Bowie
18 มกราคม 2016 – Glenn Frey
27 มกราคม 2016 -BLACK (ชื่อจริง คือ Colin Vearncombe)
ไล่เรียงกันมาหลังผ่านพ้นปีใหม่ที่ปีนักษัตร คือ ปีวอก เรียกว่าเป็นปีลิงพิฆาตอย่างแท้จริง
ทันทีที่เปิดศักราชมาก็โยกย้ายร่างบรรดาศิลปินเหล่านั้นขึ้นสวรรค์ ราวกับบนนั้นกำลังขาดแคลน
มหรสพชั้นดี ต้องนำเข้าจากเหล่ามนุษย์โลก แล้วสวรรค์ก็ส่งเจ้าหน้าที่สแกนศิลปินบนโลก
โดยเฟ้นหาจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยในโรงพยาบาลเป็นหลัก เจ้าหน้าที่สแกนคนนั้นย่องเข้าไป
ข้างๆเตียงศิลปินทั้งสี่ ป้องปากเป็นพรายกระซิบ โน้มน้าว จูงใจ สารพัดออพชั่นจะประเคนให้ได้
ให้เขาและเธอเหล่านั้นยอมสละสสารร่างกายทิ้งไว้บนโลก ปล่อยให้วิญญาณข้ามสู่อีกภพ
ดินแดนที่มีเพื่อนๆของเขาเหล่านั้นรออยู่มากมาย บ้างก็จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ราวกับมีอาถรรพ์
จนมีคำเรียกสำหรับศิลปินที่จากไปในวัยเพียง 27 ว่า Club Twenty Seven เช่น Amy Winehouse,
Kurt Cobain , Jimi Hendrix, Janis Joplin , Jim Morrison บ้างก็จากไปในวัยกลางคน เช่น
John Lennon บ้างก็เพิ่งจากไปเมื่อปีที่แล้ว เช่น Joe Cocoker
…..และในขณะที่กำลังเตรียมต้นฉบับบทความนี้ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ข่าวร้ายก็ตามมาอีกราวกับ
ต้องการรีดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าให้ท่วมคอลัมน์ Maurice White หัวหน้าวงEarth Wind & Fire
ศิลปิน นักแต่งเพลง จากพวกเราไปอย่างสงบในวัย 74 หลังจากต่อสู้กับโรคพาร์กินสันมายาวนานกว่า20ปี
หากเรานับรวมศิลปินแขนงอื่นทั้งไทยและเทศรวมกันแล้ว มกราคมลิงบ้าที่ผ่านมา พรากพวกเขาไป
จากเหล่าแฟนๆราวกับใบไม้ร่วงเลยทีเดียว เช่น ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ นักแสดง พิธีกร หลังจากที่
แพทย์พยายามยื้อชีวิตด้วยวิธีการรักษาโรคภัยที่มีต้นเหตุจากไข้เลือดออกอย่างสุดความสามารถ
ก็ไม่อาจปลุกให้ปอฟื้นขึ้นมาดำเนินชีวิตตามปกติได้อีกต่อไป
เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักศิลปินทั้งห้าคนที่ลาโลกนี้ไปในบทความนี้กัน
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
NATALIE COLE :
เธอคือลูกสาวของ Nat King Cole ศิลปิน นักร้อง นักเปียโนในสายแจ๊ซ เธอกำพร้าพ่อตั้งแต่
อายุแค่ 15 และเป็นไปตามวิถีของสายเลือดศิลปิน เมื่อเธอซึมซับความลุ่มหลงในดนตรีจากการ
ที่ติดตามคุณพ่อเข้าไปยังสตูดิโอบันทึกเสียง สิ่งแวดล้อมที่ฟุ้งไปด้วยเสียงดนตรี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าลูกไม้จะหล่นไม่ไกลต้น แต่เราไม่รู้ว่าคุณพ่อเขย่าต้นไม้หรือไม่ หรือลูกไม้หล่นลงมาด้วยผลที่
สุกงอกงามด้วยตัวเอง เพราะชีวิตในวัยรุ่นของนาตาลี โคล ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างที่ใคร
หลายคนคิดเอาเอง เธอใช้ความสามารถตัวเองล้วนๆกรุยทางสู่การเป็นนักร้องมืออาชีพ พยายาม
ปกปิดมิให้ใครรู้ว่าเป็นลูกสาวของ”แนท คิง โคล” แต่เมื่อใครต่อใครได้รู้ว่าเธอคือใคร ? ต่างก็คาดหวัง
ว่าจะได้ยินจังหวะขับขานตามแนวทางคุณพ่อ..ผลคือผิดถนัด….เธอร้องเพลงร๊อค อาร์แอนด์บี
บริษัทแผ่นเสียงที่คาดหวังว่าจะได้บันทึกเสียงเพลงแจ๊ซจากนาตาลี โคล ต้องผิดหวัง
การเซ็นสัญญาเข้าสังกัดจึงไม่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายนัก แต่แล้วในปี 1975 เธอก็สามารถแจ้งเกิด
ได้กับอัลบั้ม Insepareble มีเพลงฮิต คือ This Will be , Inseperable , Our Love และ 1 ใน 2
โปรดิวเซอร์ คือ Marvin Yancy ต่อมาได้แต่งงานกับเธอ อย่างไรก็ตามชีวิตแต่งงานของเธอล้มเหลว
แต่งแล้วหย่าถึง 3 ครั้ง
เธอระบายปัญหาชีวิตสารพัดโดยใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
จนกระทั่งเลิกได้เด็ดขาดในช่วงยุค80 (อย่างไรก็ตาม ยาเสพติดที่สะสมในร่างกายตลอดหลายปีที่
ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเธอในเวลาต่อมาเมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอและ
กลายเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตเธอ)
ยุค80 เธอมีเพลงฮิตอีกครั้ง เป็นฝีมือแต่งเพลงโดย Gerry Goffin กับ Michael Masser คือ
Someone That I Use to love และ Miss You Like Crazy เพลงสะออนออดอ้อนที่บ้านเรานิยม
ชมชอบกันอย่างมาก ส่วนเพลง Pink Cadillac ที่เธอนำงานของBruce Springsteen มาตีความ
ทำดนตรีอาร์แอนด์บี ที่ใส่จังหวะเต้นรำและขับร้องใหม่ กลายเป็นฉบับที่ได้รับความนิยมกว่าต้นฉบับเสียอีก
ปี 1991 เธอย้ายสังกัดจากCapital มาทำงานกับElektra โดยการชักชวนของ 3 โปรดิวเซอร์
Andre Fisher , David Fosterและ Tommy Lipuma อัลบั้มชุด Unforgettable…with Love
กลายเป็นสตูดิโออัลบั้มที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและรางวัลอย่างท่วมท้น ทั้งสามคน
โปรดิวเซอร์ร่ายมนตราอะไรไม่ทราบ เธอถึงยอมหยิบเพลงชั้นครูของคุณพ่อมาบันทึกเสียงจนได้
นอกจากเพลง Unforgettable ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้คุณพ่อสามารถเดินทางข้ามภพ
ยืนร้องเพลงร่วมกับเธอได้แล้ว เสียงเปียโนในเพลงRoute66 เป็นฝีมือเคาะลิ่มของคุณลงุเธอเอง
อีก10ชุดถัดมา ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่าอัลบั้มUnforgettable…with Love
แต่ต้องนับว่าเธอรักษามาตรฐานการร้องเพลงในระดับยอดเยี่ยมไว้อย่างคงเส้นคงวา
จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
DAVID BOWIE :
ปี2014 ในขณะที่ผมเตรียมเพลย์ลิสต์และบรรจุเพลงของDavid Bowieไว้เล่นในรายการ
ABSOLUTE 80’s ทางFM 93.5 ข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งปรากฎแบบเงียบๆในต่างประเทศ คือ
การหายหน้าตาไม่ปรากฏตัวต่อสื่อ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดจากผู้ชายที่ชื่อเดวิด โบวี่
จนมีข่าวลือกันว่าเขากำลังป่วยหนัก แต่พยายามปกปิดมิให้สาธารณชนทราบ
..ในใจแอบคิดว่าขอให้ข่าวชิ้นนั้นไม่มีมูลความจริง จนกระทั่ง10 ม.ค.59 ที่ผ่านมา
เขาเสียชีวิตในวัย 69 หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งมาต่อเนื่อง 18 เดือน ข่าวชิ้นที่ผมอ่าน
เมื่อปีก่อนมันคือเรื่องจริงว่ะ !!!!!!!! เขาจากไปหลังจากอัลบั้มชุดที่ 25 Black Star เปิดตัว
ไปได้เพียง2วัน การดำเนินเรื่องราวในมิวสิควีดีโอเพลง Lazarus คล้ายเป็นการบ่งบอกว่า
เขาเตรียมตัวตายโดยไม่หวั่นเกรงต่อภาวะที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง Lazarus
ถ่ายทำบนเตียงดับจิต !!!!!!!!!!!!!!!!
เดวิด โบวี่ เกิดที่ลอนดอน พ่อทำงานในมูลนิธิ แม่ทำงานในร้านอาหาร ดวงตาสีฟ้าข้างเดียว
ของเขาเกิดจากเยื่อบุนัยน์ตาเสื่อม ที่ทำให้เขามีปัญหาในการมองเห็น สันนิษฐานว่าเกิดจาก
การชกต่อยกับเพื่อนวัยวัยเด็ก เด็กอายุ15 ก็เริ่มฉายแววดนตรี เขาเป็นเด็กที่มีความคิดอ่าน
ล้ำหน้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ทำให้ตัดสินใจเลิกเรียนกลางคัน หันไปจับดนตรีอย่างเดียว
อย่างที่เขาเคยประทับใจในบทเพลงของElvis Presley , Little Richard
ปลายยุค 60 David Bowie เริ่มมีเพลงฮิตที่จริงๆตอนแรกที่ปล่อยออกมายังนับไม่ได้หรอกนะ
ว่าฮิต ต้องอีกสามปีถัดไปจึงได้รับความนิยามอย่างกว้างขวาง ก็คือ Space Oddity เพลงที่เขา
ตั้งใจเกาะกระแสโดยปล่อยซิงเกิ้ลล่วงหน้า 5วัน ก่อนที่ยานอวกาศApollo 11 จะทะยาน
สู่ท้องฟ้าพา Neil Armstrongเหยียบดวงจันทร์ Space Oddity พูดถึงผู้พันทอมที่ขึ้นสำรวจอวกาศ
แต่ไม่สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้ (ต่อมาในยุค80 มีศิลปินชื่อ Peter Schilling ซึ่งแกน่าจะ
หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของผู้พันทอมในเพลงSpace Oddityอย่างต่อเนื่อง แต่งเพลงพาผู้พัน
กลับลงมายังโลกได้สำเร็จ ชื่อเพลง Major Tom(Coming Home) อีกเพลงที่พูดถึงอวกาศ
ถูกแต่งขึ้นในปี 1972 ก็คือ Life On Mars เพลงนี้ว่ากันว่าเดวิด โบวี่ แต่งขึ้นมาจากความน้อยเนื้อ
ต่ำใจที่ถูกPaul Ankaกระชากลิขสิทธิ์แต่งเพลงMy Wayให้Frank Sinatra
อัลบั้ม Let’s Dance ในปี 1983 ต้องนับว่าเป็นงานชุดที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยิ่งยวด
นอกจากไตเติ้ลแทร็คแล้ว ยังมีChina Girl(เพลงที่เขาเคยแต่งไว้ตั้งแต่ปลายยุค70 แล้วเพื่อนศิลปิน
ที่ชื่อ Iggy Popนำไปบันทึกเสียงก่อน แต่ไม่ดังเท่าฉบับที่แกนำมาถ่ายทอดเอง) ,Modern Love ,
Cat People อาจจะพูดได้ว่าแกตัดสินใจถูกที่เลือกทำงานกับ Nile Rodgers มือกีตาร์วง Chic
นำเสนอดนตรีเต้นรำผสมฟังค์ ผลลัพท์ที่ได้กลายเป็นรวยไม่รู้เรื่อง David Bowie เดินสายทัวร์
เล่นคอนเสิร์ตทั่วโลกกับ Serious Moonlight Tour ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายที่แกแวะมา
เปิดการแสดงที่สนามกีฬากองทัพบก ผู้นำเข้าคอนเสิร์ตครั้งนั้น คือ ไนท์สปอต โปรดั๊กชั่น ไม่ใช่แค่
โชว์จบแล้วจากไปทันทีเพื่อเล่นต่อยังประเทศอื่น แกยังใช้เวลาส่วนหนึ่งเดินทางเที่ยวในประเทศไทย
ด้วยราวกับเตรียมตัวหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี
แต่เรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างมาก คือ แกไปปิ๊งดาราไทยหน้าหมวยคนหนึ่งในยุคนั้น ที่ใบหน้าละม้าย
คล้ายหมวยที่เล่นมิวสิควีดีโอเพลง China Girl และจากข้อมูลของผู้สันทัดกรณีที่ไม่ประสงค์ออกนาม
บอกไว้ว่า คบหากันอยู่ระยะใหญ่เลยทีเดียว (ผู้สันทัดกรณีนั่งเคี้ยวเกาลัด ขณะที่ผมกำลังรีดเค้นข้อมูล
อย่างหนัก นั่งเขย่าขาอย่างไม่ใยดี แต่บอกใบ้มาว่า ดาราสาวหมวยคนนั้น สมัยโน้นเล่นซิทคอมชื่อ
”ขบวนการคนใช้” ปัจจุบันเป็นครูสอนโยคะ คุณเอาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาเอง) คนที่อกหักเพราะ
รักแกมาก เป็นตัวตั้งตัวตีนำเดวิด โบวี่เข้ามาเปิดการแสดงในประเทศไทย กลับตกสำรวจ สร้างความ
ชอกช้ำระกำทรวงอย่างมาก เป็นดีเจไนท์สปอตในยุคนั้น ผุ้สันทัดกรณีไม่ยอมระบุชื่อตามเคย
บอกแค่ว่า จัดรายการวิทยุใช้ชื่อช่วงว่า Radio Active
อีกเพลงหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ Under Pressure ที่แจมกับวงQUEEN ในปี 1981 กลายเป็นอีก
หนึ่งเพลงที่ขึ้นหิ้งคลาสสิคตลอดกาล เพลงนี้ตั้งใจว่าจะทำมิวสิควีดีโอเหมือนเพลงทั่วไปที่ต้องการ
โปรโมท แต่เนื่องจากคิวที่แน่นของทั้งคู่ ทำให้ไม่มีมิวสิควีดีโอ ต้นยุค 90 Vanilla Ice ท่วงทำนอง
บางส่วนไปใส่ไว้ในเพลง Ice Ice Baby
David Bowie ไม่ใช่แค่ศิลปิน นักดนตรี ที่ทำงานได้หลากหลายลักษณะดนตรีเท่านั้น ความช่างคิด
ไอเดียบรรเจิดของเขาลุกลามไปถึงองค์ประกอบในการแสดงบนเวที เช่น เทคนิคภาพสามมิติบนเวที
ที่สร้างความอลังการแก่ผู้ชม หรือแฟชั่นการแต่งตัวที่กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินรุ่นถัดมา
อย่าง MADONNA, LADY GA GA หรือแม้แม้แต่วิสัยทัศน์ทางธุรกิจดนตรี
ปี 1997 เขาออกพันธบัตรตราสารหนี้เพื่อนำเงินไปลงทุนอย่างอื่น โดยเปิดโอกาสให้ประชาชน
สามารถจับจองเป็นเจ้าของพันธบัตรได้เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดที่ออก
ก่อนปี 1980 รวมทั้งชุดLet’s Danceในปี83 เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย
ที่สูงกว่าพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯในยุคนั้น จะถือว่าเป็นนวัตกรรมทางธุรกิจอย่างหนึ่งก็ได้
เพราะวิธีดังกล่าวนิยมใช้ในสินเชื่อรถยนต์กับที่อยู่อาศัย เดวิด โบวี่ นำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจดนตรี
ที่เขาเล็งเห็นแล้วว่าในอนาคตลิขสิทธิ์ดนตรีจะด้อยค่าลงเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ปรากฏว่า
การออกพันธบัตรครั้งนั้น ส่วนใหญ่ถูกกว้านซื้อไปโดยพรูเดนเที่ยลประกันภัยในมูลค่าสูงถึง 55 ล้าน
ยูเอสดอลลาร์ (ปัจจุบันพรูเดลเที่ยลฯถูกซื้อไปโดยลี กา ชิง นักธุรกิจชาวฮ่องกงและเปลี่ยนชื่อเป็น
เอฟดับลิวดี) นวัตกรรมพันธบัตรของเขาถูกขนานนามเพื่อให้เกียรติว่า Bowie Bond ภายหลังมีศิลปิน
อีกหลายคนใช้วิธีการเดียวกันนี้เพื่อระดมทุน เช่น Rod Stewart,James Brown , Iron Maiden
หลังการจากไปของเดวิด โบวี่ พินัยกรรมที่ถูกเปิดเผยออกมา นอกจากการแบ่งสันปันส่วนสินทรัพย์
มรดกแก่ครอบครัว คนใกล้ชิดแล้ว ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า ต้องการให้นำเอาอัฐิของเขาไปโปรยที่เกาะบาหลี
และมีการทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ
และในงาน Grammy Awards ครั้งที่ 58 ที่กำลังจะประกาศผล คืนวันที่15 กพ.59 Lady Gaga
ได้รับเลือกให้โชว์เพลงของเดวิด โบวี่บนเวที โดยมีNile Rodgers เพื่อนรักของโบวี่
ทำหน้าที่เป็น Musical Director
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
GLENN FREY :
ผมรู้จัก Glenn Freyครั้งแรก ก็เรียกนามสกุลแกผิดทันที ก็เขียน F-R-E-Y ใครจะไปคิดว่าต้องอ่านว่า
ฟราย ก็เอ่ยออกมาว่า เฟรย์ สิครับ จนกระทั่งได้ยินได้ฟังดีเจในรายการวิทยุกับนิตยสารดนตรีขานเรียก
ที่ถูกต้องหลังจากนั้นจึงได้รู้ว่าตัวเองอ่านผิดมาโดยตลอด เกลน ฟราย หนึ่งสมาชิกคนสำคัญของ
The Eagles วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดที่สุดวงหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ปี 1977 ตอนที่อัลบั้ม
Hotel California ออกจำหน่าย เรียกกันว่าขายดีจนมีคำพูดหนึ่งของคุณน้าทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการ
นิตสารสีสัน เคยพูดไว้ว่า “ยุคนั้นบ้านทุกหลังในสหรัฐอมริกา ต้องมีแผ่นเสียงอัลบั้มHotel Calofornia
อย่างน้อยบ้านละ1แผ่น “ ยังกับยาสมัญประจำบ้านเลยทีเดียว ที่ต้องมีติดไว้กันปวดหัว ตัวร้อน ท้องอืด
ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว
เกลน ฟลาย เป็นคนดีทรอยท์ เกิดเมื่อปี 1948 ตอนเด็กๆสนใจทั้งกีฬาและดนตรี เพลงที่จุดประกาย
ให้เขากระตือรือร้นมุ่งมั่นอยากเป็นนักดนตรี คือ Rock Around The Clock ก่อนจะมาเป็นวงดิ อีเกิ้ลส์
เขาเคยตั้งวงดนตรีกึ่งอาชีพชื่อ The Mushroomในบ้านเกิด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงมุ่งหน้าสู่
แคลิฟอร์เนีย บ้านเช่าที่เขาอาศัยอยู่ตอนนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าต่อมาจะกลายเป็นศิลปินระดับโลกทั้งคู่
เพื่อนบ้านคนนั้นของฟลายคือ Jackson Browne ซึ่งตอนนั้นกำลังแต่งเพลงTake it Easy แต่จบไม่ลงเสียที
เขาเข้าไปช่วยเขียนจนสำเร็จ กระทั่งต่อมา Take it Easy กลายเป็นเพลงฮิตเพลงแรกของวงThe Eagles
ในปี 1972 นับจากนั้นเป็นต้นมาตำนานที่ยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้นจนหยุดไม่อยู่อย่างที่นักฟังเพลงทั่วโลกรู้กันดี
ปี1980 หลังจากที่ดิ อีเกิ้ลส์ แยกทางกัน เขาออกโซโล่อัลบั้มชุดแรกชื่อ No Fun Alound มีเพลงฮิตที่
ต้องบรรจุไว้ในเพลย์ลิสต์ทุกครั้งที่เปิดการแสดงอย่าง The One You Love และ I Found Somebody
แม้อีก2-3 อัลบั้มต่อมาจะไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าใดนัก แต่อีกฝั่งของการผลิตผลงานเพลง
ฟลายแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์Bevery Hills Cop และ Miami Vice ซึ่งเขารับแสดงในบทเล็กๆ
ของภาพยนตร์อีกด้วย
กลางยุค90 The Eagles กลับมาออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด Hell Freeze Over และเดินสายออกทัวร์
คอนเสิร์ตทั่วโลก อยากจะบอกว่านี่คืออัลบั้มชุดแรกของดิ อีเกิ้ลส์ ที่ผมอดออมเงินค่าขนมเพื่อนั่งรถเมล์
ไปสหกรณ์เอกมัยซื้อมาฟัง หนึ่งในเพลงที่ถูกเปิดบ่อยที่สุดเห็นจะเป็น Love will keep us alive ที่แต่งโดย
Paul Carrack อีกเรื่องที่จำได้แม่นมากคือ แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกห้างสรรพสินค้า หมวดทีวี วีดีโอ
(ในยุคนั้นวีดีโอ ยังไม่ตายนะครับ) ต้องมีแผ่นบันทึกการแสดงสดชุด Hell Freeze Over ไว้เปิดโชว์
คุณภาพความคมชัดของภาพ และเสียงที่ก้องกระหึ่ม สัมผัสได้ถึงมิติของเสียงที่ครบครันราวกับ
พญาอินทรีถูกเชิญมาเล่นดนตรีที่บ้านคุณ (ว่าไปนั่น)
ปี 1992 เขาเคยเดินทางมาเปิดการแสดงสดในบ้านเรา ที่มาบุญครอง ชั้น 7 ผู้นำเข้าโชว์ตอนนั้นคือ
มีเดียพลัส ผู้ผลิตรายการวิทยุSmile Radio ผุ้สันทัดกรณี (คนเดียวกับที่ให้ข้อมูลเรื่องดาราหมวย
ในประเทศไทย ที่เดวิด โบวี่ หลงใหลในความงาม ) เล่าว่าเกลน ฟราย หัวเด็ดตีนขาด จะไม่ยอมเล่น
เพลง Lover’s Moon เพราะสาเหตุใดไม่ทราบ ทราบแค่ว่าประเทศอื่นเพลงนี้ไม่ฮิต ฮิตเฉพาะในเมืองไทย
แต่ท้ายที่สุด โปรโมเตอร์คงทั้งกราบกรานทั้งขอร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจ ในที่สุดพี่แกก็ใจอ่อน
ยอมบรรจุLover’s Moonไว้ในเพลย์ลิสต์จนได้ (พูดถึงเพลงสากลที่ฮิตเฉพาะในบ้านเรา มีอีกหลายเพลง
เช่น GoodbyeของAir Supply ,Sleeping ChildของMichael Learns to Rock )
สามปีก่อนหน้านี้เกลน ฟลาย ออกอัลบั้มชื่อ AFTER HOUR นำเอาเพลงชั้นครูหรือที่ฝรั่งเรียกว่า
American Song Book มาบันทึกเสียงใหม่ เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าจะทิ้งทวนงานชุดนี้เป็นอัลบั้ม
สุดท้ายในชีวิต เพราะเมื่อเมื่อวาน 18 มกราคม Glenn Frey ในวัย 67 ปี จากไปด้วยโรครูมาตอยด์
ชนิดร้ายแรงที่มีผลให้อวัยวะในร่างกายบางส่วนผิดรูป
ถึงตัวจะจากไป แต่เพลงของเขาเป็นอมตะอย่างไม่ต้องสงสัย
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
BLACK (aka Colin Vearncombe ) :
สมัยที่หัดฟังเพลงสากลใหม่ๆ ไอ้เราก็งงว่าฝรั่งนี่ใช้ชื่อเล่นบนปกเทปด้วยเหรอ ศิลปินอะไร(วะ)
ชื่อ”ดำ” เพลงต้องเท่แน่ๆเลย ขนาดชื่อยังไม่เหมือนใคร ดำ-เป็นอะไรที่น่าค้นหาสุดๆ หลังจาก
เสียบม้วนเทปลงเครื่องเล่นแล้วเพลงWonderful Lifeค่อยๆเดินหน้าไปเรื่อยๆจนเพลงจบ
ก็เกิดความรู้สึกในใจว่า “เออนะ..เสียงบาริโทนที่ขับขานบวกกับท่วงทำนองมันช่างโศกาอาลัย
ราวกับท้องฟ้าสีหม่นตอนฝนเริ่มตั้งเค้า” เพลงของเขาช่างอึมครึม ดำสมชื่อจริงๆ
BLACK หรือชื่อจริง Colin Vearncombe เป็นเด็กเมืองลิเวอร์พูล เริ่มต้นทำเพลงแนวพั๊งค์
จากนั้นจึงเข้าไปเป็นหนึ่งในทีมนักดนตรีของวง Thompson Twin ต่อมาจึงมีผลงานเดี่ยวในนาม
ของ BLACK เพลงที่ฮิตที่สุดจนสื่อมวลชนฝรั่งบางส่วนเขียนแซวว่าเป็น One Hit Wonder ก็คือ
Wonderful Life แต่ถ้าคุณคือคนที่ฟังเพลงแล้วตัดสินใจว่าเพลงไหนไพเราะหรือไม่อย่างไร
โดยไม่เอายอดขายมาเป็นองค์ประกอบตัดสิน The Sweetest Smile , The Big One , Everything’s
Coming Up Roses เป็นอีก 3เพลงที่ขอแนะนำว่าควรลองฟังอย่างยิ่ง
กลางเดือน มกราคม ที่ผ่านมา เขาประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในเมืองCork ประเทศไอร์แลนด์
เข้ารับการรักษาตัวจนกระทั่งวันที่ 26 มค.59 ในที่สุดแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ BLACK
เสียชีวิตที่โรงพยาบาลท้องถิ่นในวัย 53 ปี
No Need to Run And Hide , It’s a Wonderful, Wonderful Life
No Need to Laugh And Cry ,It’s a Wonderful, Wonderful Life
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
MAURICE WHITE :
นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์, มือกลอง, นักร้อง เขาคือผู้สร้าง Kalimba จากเครื่องดนตรีอาฟริกันพื้นเมือง
ให้เป็นเครื่องดนตรีร่วมสมัย MAURICE WHITE เป็นเด็กชิคาโก ด้วยความเชื่อส่วนตัวที่มีต่อพลัง
ทางธรรมชาติของธาตุต่างๆ จึงเป็นที่มาของชื่อ Earth Wind & Fire วงดนตรีที่เขาเป็นหัวหน้าวง
ซึ่งกว่าจะประสบความสำเร็จมีเพลงฮิตเพลงแรก ก็ปาไปอัลบั้มชุดที่6 คือ That’s The Way of The World
กับเพลงฮิตเพลงแรก คือ Shining Star
หลังจากนั้นความสำเร็จทั้งยอดขายและรางวัลถาโถมสู่วงดนตรีของเขาและชาวคณะอย่างท่วมท้น
เพลงฮิตมากมายที่กลายเป็นเพลงที่นักฟังเพลงทั่วโลกชื่นชอบ เช่น September , Fantasy ,
After The Love Has Gone , Let’s Groove , Sing a song ,Boogie Wonderland เสียงร้องประสาน
ในเพลงคือ วง The Emotion วงดนตรีที่จำเป็นต้องผละตัวออกจากStax Record เพราะประสบปัญหา
ทางการเงิน พวกเธอย้ายมาอยู่กับสังกัดโคลัมเบีย และได้มอริซ ไวท์ ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ จนมีเพลงฮิต
อย่างThe Best of my love ช่วงยุค70
Earth Wind & Fire ต้องใช้คำว่าเป็นวงดนตรีฝีมือจัดจ้าน ผสมผสานดนตรีหลายสาขาไว้ได้อย่าง
กลมกล่อมตั้งแต่ริธึ่ม แอนด์ บลูส์, โซล, ฟั้งค์, แจ็ซซ์, ดิสโก้, ป็อป, ร็อค ละติน จนถึงอัฟริกันบีท
เพลงของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจของศิลปินรุ่นถัดมามากมาย
ปี1985 เขาออกอัลบั้มเดี่ยวชื่อเดียวกับชื่อและนามสกุลของตัวเอง นำเพลงของศิลปินที่ตนชื่นชอบ
มาบันทึกเสียงใหม่ มีเพลงStand By Me (เพลงเก่าของBen E. King) ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
และโดยส่วนตัวผมเองนั้น ออกจะชอบฉบับนี้มากกว่าต้นฉบับเสียอีก
น่าเสียดายที่โรคพาร์กินสันมาเยือนเขาตั้งแต่ปลายยุค80 จึงต้องหยุดทัวร์คอนเสิร์ตตลอดไป แต่ยังคง
ทำงานในสตูดิโอบันทึกเสียงบ้างในระหว่างทำการรักษาตัวอย่างต่อเนื่องยาวนาน20กว่าปี
Earth Wind & Fire ได้รับการจารึกเข้าสู่หอเกียรติยศ ร๊อค แอนด์ โรล เมื่อปี 2000 และตัวเองเขาเอง
ในฐานะนักแต่งเพลงได้รับเกียรติเดียวกันนี้เมื่อปี 2010 ล่าสุดในงานประกาศรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์
ครั้งที่ 58 Earth Wind & Fire ถูกรับเลือกให้รับรางวัล Lifetime Achievement Award
แต่เขาจากไปก่อนที่วันนั้นจะมาถึง
3 กุมภาพันธ์ 2559 ในวัย 74 มอริซ ไวท์ เสียชีวิตอย่างสงบ ตามรายงานข่าวแจ้งว่า เขาหลับไปแล้ว
ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย หลังจากต่อสู้กับโรคพาร์กินสันมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ป่านนี้สวรรค์คงครื้นเครงไปด้วยมหรสพที่เต็มไปด้วยนักดนตรีฝีมือเยี่ยม ร้อง-เล่น-เต้นอยู่บนเวที
อย่างมีความสุข เหมือนกับที่ชาวโลกเคยได้สัมมผัสกับความรู้สึกเดียวกันนี้มาก่อน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพบางส่วน
1.คุณประเสริฐ ธีระมโน
2.คุณอัมพร จักกะพาก
3.เพจ 77PPP
4.นิตยสารสีสัน และคุณทิวา สาระจูฑะ