การรอคอยอันแสนยาวนานทรมานปานใด ว่ากันว่าถ้าอยากรู้ค่าของเสี้ยววินาที ให้ถาม
นักวิ่งที่เพิ่งได้ที่ 2 ในกีฬาโอลิมปิก ถ้าอยากรู้ค่าว่า 1 นาทีนานขนาดไหน ให้ถามญาติ
หรือบิดามารดาของผู้ที่ประสบอุบัติเหตุแล้วต้องนั่งรอฟังชะตากรรมอยู่หน้าห้องผ่าตัด
และถ้าอยากรู้ค่าว่า 1 ปีนานแค่ไหน ก็ให้ถามนักศึกษาที่เพิ่งสอบตกและถูกตัดสินให้
ต้องเรียนซ้ำใหม่
ในเวลานี้ ผมคิดว่าเราน่าจะเพิ่มไปอีกอย่างหนึ่ง ว่าถ้าใครอยากรู้ว่าเวลา 1 ทศวรรษนั้น
นานเพียงใด..คงต้องถามคนที่รอการเปิดตัว Toyota Fortuner รุ่นใหม่! ถูกครับ
รถ Fortuner รุ่นแรกนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวกับพวกเรามานานขนาดนั้นแล้ว ตั้งแต่ยุคแรกๆ
ที่ออกมา แล้วมีปัญหาเรื่องเบรกซึ่งบางท่านที่อายุค่อนข้างมากแล้วจะจำวาทกรรมที่ว่า
“เบรกทื่อแต่ปลอดภัย” และเรื่องราวระหว่าง Toyota กับคุณปรีชา..อันนี้พี่ J!MMY เล่าให้ฟัง
ในช่วงเวลานั้นผมยังถือกระเป๋า Jacob ไปโรงเรียนอยู่ คงไม่ทันเรื่องราวเหล่านี้ครับ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม Toyota ก็มีการปรับปรุงพัฒนาองค์ประกอบต่างๆของรถเรื่อยมา
รวมถึงแก้ไขปัญหาเรื่องเบรก และเพิ่มความหรู เพิ่มรุ่นต่างๆเข้ามาเช่นรุ่น TRD สีขาว
ที่ปรับปรุงเรื่องช่วงล่างกับเบรกเพิ่มเติม ผ่านการไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ 2 ครั้งในปี 2008 และปี
2011 โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมายังคงเป็นรถประเภท PPV ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆมาโดยตลอด
รับบทเอกในการสร้างกระแส PPV จนวิ่งกันเต็มท้องถนนทุกวันนี้ พบได้ทุกที่ไม่ว่าบนถนน
ตามลานจอดรถในห้าง หรือจี้ท้ายรถพี่ J!MMY
แต่ความเป็นรถยอดนิยมนั้นย่อมมีวันเสื่อมลงตามกระแสของลูกค้ารุ่นใหม่ซึ่งรู้จักการ
เปรียบเทียบรถก่อนซื้อและรู้จักการหาข้อมูลหรือทดลองขับเองมากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยัง
ต้องพยายามถีบตัวเองให้มีจุดเด่นที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ ในวันที่มันเปิดตัว
Fortuner เป็นรถที่โดดเด่นที่สุดในเซกเมนต์ของมันทั้งในด้านความหรูหรา พละกำลัง ไม่มี
คู่แข่งรายใดที่เอามันอยู่หมัด แต่หลายปีต่อมา ก็ปรากฏว่ามีคู่แข่งอย่าง Mitsubishi
Pajero Sport ซึ่งชูจุดเด่นเรื่องราคาที่ถูกกว่าและช่วงล่างที่นั่งสบายใกล้เคียงรถเก๋งมากกว่า
หรือจะเป็น Chevrolet Trailblazer ซึ่งแม้จะมียอดขายไม่สูงมากนัก แต่ก็เป็นหัวหอกในการ
นำเอาระบบความปลอดภัยแปลกใหม่มาใส่ในรถ PPV ในขณะที่ Isuzu เองแม้จะทำ MU-7
ออกมาแล้วยังขนาดความลงตัวบางด้าน แต่ก็แก้ลำอย่างสมศักดิ์ศรีด้วย MU-X ใหม่
นี่ยังไม่นับ Everest ตัวใหม่ล่าสุดที่ Hot Hit ขนาดจองสงกรานต์รับรถปลายปีกันด้วยซ้ำ
Fortuner ที่เคยเปรียบเสมือนบาบูนจ่าฝูง (Alpha Male) ผู้ทรนงองอาจ วันนี้ก็แก่ไปตามวัย
ต้องคอยระวังพวกวัยรุ่นหาเรื่องอยู่เสมอ รอเวลาทวงคืนความเป็นจ้าวในตลาด PPV
ทั้งทางยอดขายและในด้านประสิทธิภาพของตัวรถอีกครั้ง เราจะมาพิสูจน์กันว่าการกลับมา
ของ Fortuner ในร่างใหม่ เจนเนอเรชั่นใหม่จะสร้างความประทับใจแรกพบได้ดีขนาดไหน
ซึ่งทาง headlightmag.com ก็ต้องขอขอบพระคุณ คุณจิว โชว์รูม Toyota Krungthai
รามอินทรา ก.ม. ที่ 9 ที่เอื้อเฟื้อรถทดลองขับให้เราได้จับสัมผัสกันเป็นระยะสั้นๆเพื่อ
จับความรู้สึกและพยายามค้นหาบุคลิกและลักษณะการตอบสนองของรถมาให้อ่าน
สำหรับคนที่ไม่อาจรอ Full Review หรือ TheClip ได้ จะเป็นอย่างไรเรามาลองดูกัน!
Fortuner รุ่นใหม่ แบ่งออกเป็นระดับการตกแต่งต่างๆดังนี้
2.4G 4×2 6M/T เกียร์ธรรมดา ราคา 1,199,000 บาท
2.4V 4×2 6A/T เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,369,000 บาท
2.7V 4×2 6A/T เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,449,000 บาท
2.8V 4×2 6A/T เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,529,000 บาท
2.8V 4×4 6A/T เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,599,000 บาท <-นี่คือคันที่เราจะลองกัน
รายละเอียดอุปกรณ์ของแต่ละรุ่น ผมทำเอาไว้ให้แล้วที่นี่ครับ
ขนาดมิติ เทียบกับรุ่นเดิมเป็นอย่างไรบ้าง?
Fortuner รุ่นเดิมมีขนาดยาว 4,705 มม. กว้าง 1,840 มม. สูง 1,795 มม. และมีระยะ
ฐานล้อยาว 2,750 มม. ระยะต่ำสุดของรถจากพื้นอยู่ที่ 220 มม.
ส่วนรุ่นใหม่มีขนาดยาว 4,795 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ
ยาว 2,750 มม. ระยะต่ำสุดของรถจากพื้นลดลงเหลือ 193 มม. ซึ่งก็กล่าวได้ว่า
ระยะฐานล้อเท่าเดิม แต่ตัวรถยาวขึ้น กว้างขึ้น และสูงขึ้น
การออกแบบภายนอก ถูกปรับให้ดูมีความเรียวยาวขึ้นกว่าเดิม ไฟหน้าที่ให้มานั้นจะเป็น
แบบโปรเจคเตอร์ พร้อม Daytime Running Light แต่รุ่น G ตัวถูกสุดจะใช้หลอด
ฮาโลเจนในขณะที่รุ่น V ทั้งหลายจะเป็นหลอด LED แบบ Bi-Beam ปรับสูงต่ำอัตโนมัติ
ด้านหน้าของรถเมื่อมองผ่านๆแล้วนับว่าเปรียบเสมือนการยำเอา Volkswagen เข้ากับ
ไฟหน้าของ Altis และกันชนของ Camry Extremo ซึ่งมีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ แต่ในเรื่อง
ความดุดัน จะบอกว่าของจริงดูโหดกว่าเวลามองในรูปเสียอีก
สังเกตได้ว่าระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าหายไป..ลูกเพจหลายคนบ่นคิดถึงครับ
ด้านข้างของรถเล่นโป่งแบบพองามตามสมัยนิยม กระจกประตูหลังมองแล้วนึกถึง Altis
เป็นอย่างแรก ในขณะที่เส้นสายประตูหน้ายังดูค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เส้นของประตูหลัง
กระจกหลังกับบานโอเปร่าหลังสุดออกจะดูขัดตาแปลกๆ แต่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก
สำหรับดีไซน์เนอร์ เพราะถ้าไม่หยักส่วนปลายประตูหลังขึ้นแบบนั้น ตัวรถก็อาจจะดูจืดชืด
กว่ารุ่นเก่าเสียด้วยซ้ำไป
ด้านท้ายรถ ดูล้ำสมัยด้วยหลอดไฟท้าย LED ยิงเป็นเส้นยาว มีทรวดทรงคล้ายของ Altis
แต่สลับตำแหน่งไฟเลี้ยวไฟถอยลงข้างล่างและทำมาได้ดูสมกับราคาค่าตัวของรถ
รุ่น 2.5G ตัวล่างสุดจะเป็นฝาท้ายแบบธรรมดา แต่รุ่น V ทุกพิกัดทุกระบบขับเคลื่อนจะได้
ฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ Jam Protection กันฝาท้ายกระแทกเหม่ง สามารถกดเปิดได้
จากตำแหน่งคนขับ (ปุ่มกดอยู่ใต้ช่องแอร์ลงมา แต่เหนือคันชักเปิดฝากระโปรง) สามารถ
กดจากรีโมทก็ได้ หรือจะกดปิดการทำงานไว้ก็ได้
ส่วนถ้าใครสงสัยเรื่องไฟตัดหมอก บอกให้ก็ได้ว่ามีมาให้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
และมีครบในทุกรุ่นย่อย
ล้ออัลลอยของ Fortuner ใหม่นั้น ไม่ว่ารุ่นไหนก็จะได้ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ขนาดยาง
265/60/18 ยี่ห้อ Bridgestone Dueler H/T 684 II
การเข้าออกตัวรถ ก็กดปุ่มที่บริเวณมือจับประตูด้านนอกได้เลยเหมือนกับ Hilux Revo
ทุกรุ่นทุกระดับจะมี Smart Keyless Entry กับปุ่ม Push Start มาให้หมด หน้าตาของ
รีโมทนั้นก็เหมือนของ Revo เพียงแต่เปลี่ยนลายเส้นรูปตัวรถให้เป็น Fortuner เท่านั้น
ถ้าอยากดูไฮโซ เวลาเพื่อนถามให้บอกว่ากุญแจเดียวกับ Alphard ก็ได้ (มันก็ทรงเดียวกันหมด)
ภายในห้องโดยสาร รุ่น 2.8V 4WD ตัวท้อป จะได้เบาะพิเศษกว่าใครเขา เป็นสีชามัวร์
ในขณะที่รุ่น V ที่เป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อจะได้เบาะหนังสีน้ำตาล ส่วนรุ่น G ตัวถูกสุด
จะเป็นเบาะผ้าสีน้ำตาล
เบาะนั่งคนขับ เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง (รุ่น 2.4G จะไม่มีปรับไฟฟ้า) ส่วน
เบาะนั่งคนนั่งด้านหน้าจะปรับระดับด้วยมือแบบธรรมดา
เบาะนั่งคู่หน้าของ Fortuner ใหม่ หน้าตาของเบาะดูแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับ Hilux Revo
มาก เมื่อลองนั่งแล้วก็พบว่าดีกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากสามารถปรับดันหลังให้
รองรับแผ่นหลังได้ตามสรีระที่แตกต่างของแต่ละคน ก็คงเป็นเบาะนั่งที่สบายไม่ว่าเดินทาง
ใกล้หรือไกล ตัวเบาะรองนั่งคู่หน้ายังค่อนข้างสั้น หากไม่สังเกตจริงๆจะไม่รู้สึกว่ายาวขึ้น
กว่าเดิม พนักพิงศรีษะนุ่มสบาย สามารถเอาหัวอิงนาบลงไปในระหว่างขับได้ ช่วยให้
เวลาขับรถไกลๆแล้วสบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม
ส่วนเบาะคู่หลังนั้นก็ใช้วัสดุที่มีความหนานุ่มกว่ารุ่นเดิม (ซึ่งมีลักษณะเบาะแข็งๆเหมือน
ม้านั่งแบบที่ชวนเมื่อยเวลานั่งไกลๆ) แต่โดยรวมแล้วความนุ่มนวลของเบาะ
ยังเป็นรอง Ford Everest และ Ford ก็มีเบาะรองนั่งที่ขนาดโตกว่า ส่วนพื้นที่
เหนือศรีษะนั้น หากเทียบ Fortuner กับ Everest ที่เป็นหลังคา Panoramic จะ
มีพื้นที่พอๆกัน รวมทั้งพื้นที่วางขาซึ่งก็มีขนาดใหญ่ มอบความสบายได้ใกล้เคียงกัน
เบาะแถวสาม ยังเป็นแบบพับออกข้างแล้วแขวนไว้เวลาไม่ใช้เหมือนรุ่นเดิม
เวลาจะพับ ก็จะมีเชือก ให้ดึงเชือกแล้วตัวเบาะจะกระดกขึ้นไปเอง ที่เหลือ
ก็เอาเชือกไปเกี่ยวกับขอรั้งไว้แล้วก็จบ
การเข้าไปนั่งในเบาะแถวสามนั้นทำได้ง่าย เพราะเบาะแถวสองสามารถพับ
ได้ 2 ทบแบบล้มไปข้างหน้า ซึ่งถ้าเป็น Ford Everest จะล้มเบาะได้แค่ 45 องศา
เข้าไปนั่งหลังยากกว่าอยู่บ้าง
แผงแดชบอร์ดที่หลายคนกลัวว่าจะยกจาก Revo มาใส่ทั้งดุ้น ก็เลิกกลัวได้เลยเพราะ
Fortuner จะได้รับแผงแดชบอร์ดที่ดีไซน์ต่างกัน ดูหรูหราขึ้นตามระดับทางการตลาด
ของรถ แต่ก็ยังเป็นธีมดีไซน์ทรงผาตั้งบั้งท้าลม+ช่องแอร์สไตล์ Retro แบบเดียวกับ
ที่เราเห็นใน Altis, Revo นั่นเองแต่ผสานความอ่อนช้อยแบบ Toyota 86 ลงไปแล้ว
โรยหน้าด้วยการตกแต่งวัสดุเช่นหนังเย็บตะเข็บ (ตะเข็บจริง!) วัสดุสีเงิน และลายไม้
สีด้านเพื่อให้ดูสมราคารถ
พวงมาลัยยกมาจาก Revo แต่มีการตกแต่งลายไม้และเพิ่มแพดเดิลชิฟท์มาให้
แน่นอนว่าขนาดวงกำลังดีสำหรับรถสมัยใหม่ ค่อนข้างเต็มไม้เต็มมือ ตกแต่งด้วย
สีเงินด้านล่าง มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง คุมหน้าจอ MID รวมถึงปุ่มรับโทรศัพท์
ของระบบ Bluetooth ส่วน Cruise Control นั้นจะยังเป็นก้านเล็กๆอยู่ทางขวา
ด้านหลังของพวงมาลัยตามธรรมเนียม Toyota อยู่ (เฉพาะรถที่ใช้เครื่อง 2.8 ลิตร
เท่านั้นที่จะมี Cruise Control) ตัวพวงมาลัยสามารถปรับสูง-ต่ำ และเข้า-ออกได้
เพื่อให้เกิดความสบายสูงสุดในการขับขี่
มาตรวัดเป็นแบบ Optitron เรืองแสง รูปแบบหน้าปัดเป็น 2 วงใหญ่ โดยมีจอตรงกลาง
เป็น TFT แสดงผล 3 มิติ ตำแหน่งของสิ่งต่างๆดูมาตรวัดเหมือนกับ Revo เด๊ะ!
แต่ก็มีการเล่นสีสันลวดลาย และการตกแต่งบนผิวหน้าของมาตรวัดเพื่อให้ต่างกัน
งานนี้ชาว Revo คนไหนอยากลองเบิกหน้าปัด Fortuner มาใส่ดูมั้ย?
มองไปด้านด้านขวามือแล้วเหลือกตาลงมาหน่อย ก็จะมีชุดสวิตช์ 3 สหาย ซึ่งได้แก่
ปุ่มปิดระบบฝาท้ายไฟฟ้า ถัดไปทางขวา เป็นปุ่มกดเปิดฝาท้ายไฟฟ้า แล้วค่อยเป็น
ปุ่มสำหรับปิดระบบ Start/Stop ซึ่งในรุ่นท้อปและรุ่นรองๆลงไปหน้าตาของสวิตช์
จะแตกต่างกันบ้าง และจะมีเฉพาะรุ่น 2.8 ลิตรเท่านั้นที่มีระบบ Start/Stop ให้
ชุดเครื่องเสียงในรุ่น V ทั้งหมด จะได้เครื่องเสียงแบบจอทัชสกรีน 7 นิ้วพร้อม
DVD/CD/MP3 1 แผ่น พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB/AUX และระบบ Bluetooth
มีระบบโทรออกด้วยเสียง Voice Tag อีกทั้งยังมีระบบนำทางในชื่อ T-Connect
เช่นเดียวกับ Revo ตัวท้อป เบื้องต้นคุณภาพเสียงออกมาดีกว่า Camry แน่ล่ะ
แต่เนื่องจากผมยังไม่ใช่หูเอกทางเสียงดนตรี ควรจะรอให้พี่ J!MMY มาลอง
อีกครั้งใน Full Review แล้วกัน ส่วนตัวผมคิดว่ามันฟังได้ครับ
ถัดลงมาจะเป็นที่อยู่ของสวิตช์ระบบปรับอากาศ ซึ่งในรุ่น V ทุกรุ่นจะเป็นแบบอัตโนมัติ
พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล ซึ่งยังไม่สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้ายขวาอย่างอิสระได้
ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน ระบบปรับอากาศสามารถทำความเย็นได้อย่างทั่วถึง
ตามสไตล์แอร์ Toyota ส่วนรุ่น 2.4G ตัวล่างสุด จะใช้แอร์แบบปุ่มลูกบิดธรรมดา
Fortuner ตัวใหม่นี้ จะมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2 และ 3 มาให้ครบ ไม่ว่าจะรุ่นไหน
อีกทั้งยังมีช่องแช่เป่าลมเย็น (Coolbox) สำหรับเอาเครื่องดื่มเก็บไว้ อาจจะไม่ได้เย็น
ถึงขนาดแช่ของสด Served Chilled แต่ก็ดีกว่าไม่มี
ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยนั้น..
ในรุ่น 2.4 G เกียร์ธรรมดาขับหลังนั้นจะมีถุงลมนิรภัย 3 ใบ ได้แก่คู่หน้า 2 ใบ
และเข่าคนขับ ส่วนรุ่น V ทุกตัว จะได้ถุงลมนิรภัย 7 ใบ ซึ่งก็คือถุงลมด้านข้าง
กับชุดม่านถุงลมนิรภัยนั่นเอง
Fortuner ทุกรุ่น จะมาพร้อมระบบเบรก ABS, EBD BA และยังมีระบบรักษาการ
ทรงตัว VSC, ระบบควบคุมการหมุนฟรีของล้อ TRC, ระบบควบคุมการส่ายของ
ส่วนพ่วงท้าย TSC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ไฟฉุกเฉินวาบอัตโนมัติ
เมื่อเบรกกระทันหัน ESS (มีมาเสียที รถยุโรปใช้กันมาเป็นสิบปีแล้ว)
และยังมีระบบ BOS-Brake Override System ซึ่งในกรณีที่คันเร่งค้างแบบติดพรม
หรืออะไรก็ตามแต่ ให้ผู้ขับกดเบรกลงสู้ไปเลย ถ้า ECU รถจับสัญญาณได้ว่าทั้ง
แป้นเบรกกับแป้นคันเร่งถูกเหยียบอยู่พร้อมกัน ECU จะรอแค่ชั่วครู่เดียวก่อนสั่ง
ตัดการทำงานของลิ้นคันเร่ง เพื่อให้สามารถเอารถหลบเข้าข้างทางได้อย่างปลอดภัย
ส่วนรุ่นท้อปขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเพิ่มระบบ DAC ช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทาง
ลาดชันมาให้อีกอย่างหนึ่ง
นับว่าเป็นการปรับปรุงที่เรายินดีรับ เพราะในรุ่นก่อนหน้านี้ ถ้าหากต้องการ EBD, TRC
และ VSC คุณจะต้องเล่นตัว 3.0V หรือเหนือกว่าเท่านั้น รุ่นอื่นหมดสิทธิ์ ดังนั้นถือว่า
เป็นพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ไม่ถือว่าแปลกหรือเด่น เพราะถ้าหากยังใช้วิธีกั๊กออพชั่น
เอาไว้สำหรับรุ่นท้อปแบบเดิม ก็มีสิทธิ์โดนคู่แข่งตีกระหน่ำในจุดนี้เอาได้ เราต้องไม่ลืมว่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Ford กับ GM ต่างก็ได้นำเสนออุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ
ใส่ลงในรถของตัวเองไปหลายอย่าง หรือ Pajero Sport ตัวเก่าที่ราคาลดกระหน่ำกัน
อยู่ตอนนี้ อย่างน้อยก็มี EBD ทุกรุ่น และมีระบบป้องกันการลื่นไถลและล้อหมุนฟรีในรุ่น
2.5GT ขับเคลื่อนสองล้อ
ทางด้านขุมพลังที่ให้เลือกนั้น ก็ยกมาจาก Hilux Revo แต่เอามาใช้เพียงแค่ 3 แบบได้แก่
เครื่อง 2GD-FTV ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว 2,393 ซี.ซี. พร้อมเทอร์โบแปรผัน VN-Turbo
และอินเตอร์คูลเลอร์ (ย้ายจากด้านบนมาอยู่ด้านหน้า เช่นเดียวกับ Revo สเป็คไทย)
ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่
1,600-2,000 รอบต่อนาที เป็นเครื่องที่อยู่ในรุ่น 2.4G เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
และ 2.4V เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะขับเคลื่อนล้อหลัง
เครื่อง 1GD-FTV ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,756 ซี.ซี พร้อม Turbo แปรผันครีบ
VN-Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที เมื่อเทียบกับ Fortuner
3.0V ที่เป็นรุ่นเดิมพบว่า มีแรงม้าเพิ่มขึ้นแค่ 6 ตัวก็จริง แต่แรงบิดเพิ่มขึ้นถึง
90 นิวตันเมตร เครื่อง 1GD-FTV นี้จะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น แต่มีทั้งขับหลัง
และขับสี่ Sigma 4
เครื่อง 2TR-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC Dual VVT-i 2,694 ซี.ซี. แรงม้าสูงสุดอยู่ที่
166 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 245 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ
ต่อนาที ซึ่งถ้าเป็น 2.7 ลิตรเบนซินตัวเก่า จะมี 160 แรงม้า กับ 241 นิวตันเมตร
เครื่องเบนซินนี้จะมีให้เลือกแค่รุ่นขับหลัง เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะเท่านั้น
เบื้องต้น รถคันที่ผมทดลองขับ เป็นรุ่น 2.8V 4×4 ตัวท้อปราคาแพงสุด (1GD-FTV)
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT พร้อมโหมด + – Sequential
Shift ให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เอง อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.600
เกียร์ 2 2.090
เกียร์ 3 1.488
เกียร์ 4 1.000
เกียร์ 5 0.687
เกียร์ 6 0.580
เกียร์ถอยหลัง 3.732
และอัตราทดเฟืองท้าย 3.909
(ทุกรุ่นไม่ว่า 2.4,2.7,2.8 อัตราทดเกียร์เท่ากันหมด ต่างแค่เฟืองท้ายรุ่น 2.4 ใช้ 4.100
และรุ่น 2.7 เบนซินเป็น 4.555)
ส่งกำลังสู่ล้อทั้งสี่ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Sigma 4 ซึ่งมันก็คือระบบขับเคลื่อน
4 ล้อแบบ Part time นั่นล่ะครับ มีโหมดการขับเคลื่อนแบบ H2 สำหรับการขับขี่ทั่วไป
H4 สำหรับทางลูกรังหรือเปียกลื่น ทางหล่มเบาๆที่ต้องอาศัยแรงตะกายจากล้อหน้า
และท้ายสุดกับโหมด L4 ซึ่งจะปรับอัตราทด สร้างแรงขับเคลื่อนสูงสุดสำหรับทาง
ออฟโรด หรือทางชัน เปลี่ยนจากรุ่นเดิมซึ่งเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
คาดว่าคงเปลี่ยนมาใช้แบบนี้ เพราะบนสภาวะการขับขี่ปกติก็ยังสามารถขับเคลื่อน
แค่ 2 ล้อหลัง ซึ่งช่วยให้รถมีอัตราเร่งดีขึ้น และประหยัดน้ำมันขึ้น คู่แข่งในตลาดก็ล้วน
ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-time
เราขับรถออกจากโชว์รูม Toyota Krungthai ที่รามอินทรา ก.ม. 9 โดยผลัดกันลอง
คนละรอบกับพี่ Pan Paitoonpong โดยผมอาศัยช่วงแรกลองสังเกตจากตำแหน่ง
คนนั่งหลัง และพยายามจับความรู้สึกช่วงล่างไปก่อน
จากนั้นพอครบรอบ .พี่แพนก็ลงจากรถ เปลี่ยนเป็นผม จากนั้นก็เริ่มขับไปบนถนน
รามอินทราก่อน เพื่อใช้เวลาในการขับทำความเคยชินกับรถ ซึ่งก็ไม่ได้นานมาก
เพราะการตอบสนองของเครื่องยนต์การตอบสนองของคันเร่ง มันก็เหมือนกับใน
Hilux Revo 2.8 นั่นล่ะครับ กดคันเร่งลงไปรถก็จะพุ่งแทบจะในทันที ความแรงใน
การพุ่งก็จะเป็นไปตามความลึกและความไวในการกด ไม่ค่อยมีอะไรให้ติมากนัก
การเปลี่ยนเกียร์ในยามขับแบบนุ่มนวลก็จัดว่าเรียบเนียนต่อเนื่องดีถ้าเทียบกับ
รถระดับเดียวกัน
แต่ในจังหวะถนนว่างแล้วลองกดเต็มจากจุดหยุดนิ่ง รู้สึกว่าแรงถีบที่เครื่องยนต์ส่งมานั้น
จะค่อนข้างมาเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว รอบต้นๆประมาณ 1,500-1,700 รอบคือจุดที่
สามารถเรียกพลังจากเทอร์โบมาใช้ได้แล้ว และจะดึงต่อเนื่องไปจนผ่าน 3,500 รอบ
แล้วแรงดึงก็จะแผ่วลง ยิ่งถ้าเป็นเกียร์ 2-3 จะรู้สึกได้เลยว่ารอบปลายๆแรงจะเหี่ยวหาย
หากมองจากแรงม้าที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมแค่ 6 ตัว ก็จะเข้าใจว่าทำไมอัตราเร่งถึงไม่ได้
แรงระเบิดระเบ้ออย่างที่คิด แต่ผมแอบคาดหวังเอาไว้มากกว่านี้เพราะดูจากแรงบิด
ที่เพิ่มจากรุ่นเดิมตั้ง 90 นิวตันเมตร มันน่าจะสร้างความต่างได้มากกว่านี้
การเร่งแซงนั้น เกียร์จะคิกดาวน์ลงให้ตามความลึกของเท้า หากเทียบกับ Pajero Sport
หรือคู่แข่งรายอื่นๆ จะพบว่ามันตอบสนองได้ไวกว่ากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งพอ
มีข่าวว่า Ford Everest ใหม่เขาก็ปรับปรุงเกียร์ให้ทำงานได้เรียบลื่นขึ้นกว่าเดิม
คราวนี้ เป็นไปได้ว่าการทำงานของเกียร์ Toyota อาจจะไม่ได้เด่นไปกว่าคู่แข่งแล้วก็ได้
รุ่น 2.8 ลิตร มีแพดเดิลชิฟท์มาให้เล่นด้วย แต่ผมคิดว่าคงจำเป็นต้องใช้ก็ต่อเมื่อ
ต้องการความสนุกแบบ Extra หรือต้องการเล่นเกียร์เองเวลาขับบนทางแถบหุบเขา
เพราะถ้าเป็นการใช้งานบนถนนหรือการวิ่งทางไกล แรงบิดช่วงล่างที่มีมาก บวกกับ
สมองกลเกียร์ที่ทำงานได้ดี ไม่เฉื่อยแฉะและไม่ไวประสาทกินเกินไป ผมแค่ใส่เกียร์ D
แล้วสั่งรถด้วยเท้าขวาก็พอแล้ว
จากนั้น ผมลองวิ่งขึ้นเส้นวงแหวนต่อ เพื่อขยับความเร็วขึ้นอีกหน่อย การเก็บเสียงของ
Fortuner รุ่นใหม่นี้ ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน เสียงลมที่เล็ดรอดผ่านตาม
ขอบประตูเข้ามานั้นมีน้อยลงมาก และเสียงเครื่องยนต์กับเสียงยางบดถนนก็ดัง
เข้ามาน้อยลงเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะพูดเลยก็ได้ว่าในช่วงเวลาที่ Ford Everest
ยังไม่ถูกปล่อยให้ทดลองขับ และ Pajero Sport รุ่นใหม่ยังไม่เปิดตัว Fortuner
จัดเป็นรถยนต์นั่ง PPV ที่มีการเก็บเสียงดีที่สุดในตลาด
นี่คือการปรับปรุงพัฒนาการขจัดเสียงและความสั่นสะเทือนของตัวรถ แบบเดียว
กับที่พวกเขาทำใน Hilux Revo และประสบผลสำเร็จมาแล้ว
พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ยังเป็นพวงมาลัยแบบไฮดรอลิก
(Ranger และ Everest รุ่นใหม่จะไปใช้แร็คไฟฟ้ากันแล้ว) ดังนั้นการตอบสนองที่
ความเร็วต่ำจึงค่อนข้างเป็นธรรมชาติ มีน้ำหนักหน่วงมือดี เวลาขับในซอยหรือถอยจอด
จะรู้สึกว่าเบาแรงกว่า Fortuner รุ่นเดิมมากในขณะที่ความไวในการตอบสนอง
ก็จะไวขึ้นกว่ารุ่นเดิม ไวกว่า Pajero Sport รุ่นเก่า แต่อยู่ในระดับที่ไม่ไวจนเหมือน
รถเก๋งอย่างพวงมาลัยของเจ้ากระบะ Triton ผมมองว่าความไวระดับนี้ เหมาะสมกับ
รูปแบบลักษณะของรถแล้ว แต่พอใช้ความเร็วสูงขึ้นจะรู้สึกว่าน้ำหนักค่อนข้างเบาไปนิด
โดยเฉพาะการเข้าโค้งที่ช่วงความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. อยากจะให้หน่วงมือกว่านี้สักนิด
ส่วนน้ำหนักพวงมาลัยที่ความเร็วสูง ก็คล้ายกับ Revo อาจจะเพิ่มความหน่วงมือสักหน่อย
เพื่อให้ขับแล้วมีความรู้สึกเกร็งน้อยลงก็ได้
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นคานบิด
แบบโฟร์ลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง
การขับบนถนนรามอินทราที่มีทั้งหลุม รอยต่อ และสภาพถนนที่เป็นผิวกึ่งเรียบพบว่า
ได้รับการปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น จากรุ่นเดิมที่แข็งและเด้งดีด พอมา
รุ่นนี้อาการดีดเหลือแต่เพียงบางๆพอให้รู้สึกได้ ความนุ่มนวลของช่วงล่างนั้น
Isuzu MU-X จะนุ่มกว่าเล็กน้อย แต่ส่วนท้ายก็จะย้วยกว่า ในขณะที่ Pajero Sport
รุ่นเก่ามีความนุ่มนวลใกล้เคียงกันมาก ผมคิดว่า Fortuner โฉมใหม่มีความสบาย
ในการโดยสารอยู่ตรงกลางระหว่าง MU-X กับ Pajero Sport ครับ
แต่จะปึ้กแน่นสู้ Everest ใหม่ได้หรือไม่? รอก่อนนะครับ รอให้เราได้ขับ Everest
กันจริงๆเสียก่อนเถิด
ต่อมา ผมลองใช้ความเร็วสูงขึ้น แต่เนื่องจากสภาพการจราจรไม่อำนวย
จึงไม่ได้ใช้ความเร็วสูงนัก แต่รู้สึกว่าช่วงความเร็วระดับ 110-120 นั้น
Fortuner ใหม่ยังทรงตัวไว้ใจได้ แอบมีนุ่มมีย้วยเล็กๆ จะไม่แข็งกระชับ
แบบ Chevrolet Trailblazer ส่วนที่ความเร็ว 130-140 นั้น ตัวรถจะมีอาการ
วูบข้างไปมาเวลาวิ่งผ่านถนนที่ระดับซ้ายขวาไม่เท่ากัน ดูแล้วเป็นช่วงล่าง
ที่เซ็ตเอาไว้สำหรับการใช้งานของคนส่วนใหญ่มากกว่านักซิ่งล่าวิญญาณ
ถ้าถามว่าต่างจาก Revo มั้ย? ตอบได้เลยครับว่านุ่มกว่า อีกทั้งอาการดีดดิ้น
ของด้านท้ายรถก็น้อยกว่ากันมาก คนที่เคยขับ Fortuner ตัวเก่าจะรู้สึก
สบายนุ่มขึ้นแน่ๆ
ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม ระบบเบรกป้องกัน ล้อล็อค ABS ระบบ
กระจายแรงเบรก EBD การตอบสนองของแป้นเบรก ถือว่าไว้ใจได้ในช่วง
ความเร็วต่ำ หน่วงความเร็วดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเก่า ระยะปล่อยถึงระยะเหยียบ
สุดจะไม่ยาวนัก แต่ถ้าใช้ความเร็วสูงขึ้นเกิน 120 ก.ม./ช.ม. แล้วลองเบรก
จะรู้สึกคล้ายๆกับรถไหลหน่อยๆ ต้องกดเบรกเพิ่ม เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับ
เวลาขับ Vellfire คือตัวรถหนัก ต้องกดเบรกลงลึกกว่าปกติถึงจะลดความเร็วได้
อย่างที่ต้องการ แต่ทั้งนี้ ขอเรียนท่านผู้อ่านทราบไว้ก่อนว่ารถคันที่เราลองขับ
เพิ่งลงมาจากเทรลเลอร์ได้ไม่นาน และเพิ่งวิ่งไปแค่ 150 ก.ม. เท่านั้น
หากผ่านระยะ 1,000 ก.ม. ไปแล้วผ้าเบรกจับเต็ม อาจจะดีกว่านี้ครับ
**สรุป Impression สำหรับ Fortuner 2.8V 4×4**
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบ Toyota แต่รอคอยวันเวลาที่ Fortuner จะได้ภายใน
ที่ดูทันสมัยขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุที่ดีขึ้น มีนิสัยสุภาพเรียบร้อยขึ้น เก็บเสียง
ดีขึ้น ช่วงล่างนุ่มนวลนั่งสบายขึ้น เบาะนั่งต่างๆทำออกมาแล้วน่านั่งกว่าเดิมล่ะก็
ผมบอกได้เลยว่าการรอคอยของคุณสิ้นสุดลงแล้วครับ!
แต่เพื่อที่จะแลกมากับทุกอย่างที่ “ขึ้น ขึ้น ขึ้น” ตามที่ผมบอกไว้ข้างบน
คุณก็ต้องยอมจ่ายค่าตัวที่ “แพงขึ้น” ตามไปด้วย และในเคสของรุ่นท้อปนั้น
ส่วนต่างเพิ่มจากรุ่นเดิมคือ 143,000 บาท นี่ยังไม่นับว่ารุ่นเก่ามีโปรมาชั่นอำลา
ซึ่งลดกันเป็นแสนบาท ทำให้ส่วนต่างยิ่งมากขึ้นไปอีก
หลายคนถามผมว่าถ้าเป็นสถานการณ์อย่างนี้ จะเอารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ดี
จริงอยู่ว่ารุ่นเก่าราคาถูกมาก แต่อุปกรณ์ความปลอดภัยของรุ่นใหม่ก็จัดเต็มเช่นกัน
ดังนั้น หากคิดจะซื้อรถแบบผ่อนชำระรายเดือน อาจจะต้องมาหารงวดที่ผ่อนส่ง
แล้วดูว่ายอดชำระต่องวดนั้นมีส่วนต่างในขนาดที่เราพอรับได้หรือไม่
แต่หากต้องการแค่รถขนาดใหญ่ที่ลุยน้ำท่วมได้สบายใจ ซื้อง่ายขายคล่อง
กล่องแต่งได้ดันรางได้ ช่วงล่างโมดิฟายได้ ของแต่งมีเยอะท่วมตลาด
และอาศัยความที่อยู่มานาน ทำให้ชาวบ้านชาวช่องรู้นิสัยหมดแล้วว่า
มีปัญหาอย่างไร แก้อย่างไร แบบนี้ ผมแนะให้ลองไปขับรุ่นเก่า ดูว่าโอเคมั้ย
กับช่วงล่างที่ยังเป็น PPV เด้งๆยุคเก่าอยู่บ้าง ถ้าโอเคก็จัดมา แล้วค่อยไป
ปรับแต่งตัวรถเอา
เมื่อเทียบกับคู่แข่งในวันนี้ แน่นอนว่าพัฒนาการของ Fortuner ใหม่ พาตัวรถ
ให้เข้าไปหาลูกค้าประเภทที่รักความหรูหรา สะดวกสบาย แต่ไม่ใช่รถใหญ่ซิ่ง
เครื่องยนต์ไม่ได้ให้ความรู้สึกรุนแรงสะใจต่างจากตัวเก่ามากนัก ส่วนช่วงล่าง
เวลาเล่นบทคนเท้าหนัก ก็ยังไม่ได้ชนะ Pajero Sport รุ่นเก่า แต่ก็ยังรู้สึกมั่นใจ
มากกว่า MU-X
แต่อย่าลืมว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ จะมีผู้เล่นหน้าใหม่มาเยือนอีก 2 ตัว
Ford Everest นั้น แม้คนส่วนมากยังไม่ได้ขับ แต่ยอดจองก็ล้นหลามชนิด
จองก่อนสงกรานต์ยังต้องรอรับรถปลายปี เรายังคิดว่า Ford นั้น นอกจากจะ
เสกเอาความทันสมัยใส่ในรถแล้ว ยังน่าจะไม่ทิ้งฝีไม้ลายมือในการเซ็ตช่วงล่าง
ส่วน Mitsubishi นั้นก็มี Pajero Sport ซึ่งรอเผยโฉมวันที่ 1 สิงหาคม
และมีข่าวว่าจะมาพร้อมกับเซอร์ไพรส์ อุปกรณ์ และด้านเทคนิคด้วย
ดังนั้น หากคุณไม่คิดรีบจะเสียเงินล้านภายในสิ้นเดือนนี้ จะรอดูท่าทีของ
ศึกกำปั้น PPV สะท้านโลกนี้ก่อนค่อยตัดสินใจก็ดีนะครับ
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
คุณป๊อก ,คุณเน็ต,คุณจิว และคุณตุ้ม
โชว์รูม Toyota Krungthai ถนนรามอินทรา กิโลเมตรที่ 9
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการต้อนรับอย่างดียิ่งในครั้งนี้
เรื่อง และ ภาพ โดย Moo Cnoe/Edited by Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
16 กรกฎาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
16 July 2015
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE