ถ้าเราพูดถึงกระบะสายพันธุ์อเมริกาก็คงจะต้องนึกถึง ยี่ห้อ Ford ซึ่งเป็นค่ายที่
ทำตลาดรถกระบะมานานแล้ว Ford Ranger ใหม่นั้น แม้ว่าที่จริงมันจะไม่ได้ถูก
พัฒนาในดินแดนบ้านเกิด แต่ก็เป็นกระบะข้ามสัญชาติแดนจิงโจ้ที่ออกแบบมาได้
ดูสมกับที่มีเชื้อสายทางอเมริกา ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะนโยบาย One Ford
ของอดีต CEO Alan Mulally ซึ่งพยายามออกแบบรถโดยเน้นให้สามารถ
ตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งโลกได้ด้วยบอดี้แบบเดียว ทำให้คนไทย
ได้ใช้ Ford Ranger ซึ่งเป็นกระบะอินเตอร์เหมือนกับอีกหลายประเทศ
Ford Ranger บอดี้ปัจจุบันในบ้านเราเปิดตัวมาหลายปีแล้ว และสร้างยอดขาย
ได้ดีพอประมาณโดยอาศัยรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งบึกบึนถูกใจสิงห์กระบะ
ในขณะที่ภายในก็มีความทันสมัย ใส่อุปกรณ์อะไรต่อมิอะไรมาให้ค่อนข้างเยอะ
และยังไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องความปลอดภัย หลายอย่างใน Ranger
กลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาเป็น Benchmark ในการพัฒนารถและจัดคัดเลือก
อุปกรณ์ต่างๆของรถกระบะยุคใหม่ยี่ห้ออื่นๆด้วยเช่นกัน
และในวันนี้ หลังจากที่ออกวิ่งยั่วน้ำลายพวกเรามาบนถนนนานหลายเดือน
ในที่สุด กุญแจของ Ford Ranger Wildtrak คันนี้ ก็มาอยู่ในมือผม จึงโทร
คุยกับพี่ J!MMY กับพี่แพนว่าอยากลองขับไหม? ไม่ยาก แค่มาหาผมที่สุรินทร์
แต่ปรากฏว่าบิ๊กบอส headlightmag.com ติดภารกิจทั้งคู่ จึงขอให้ผม
ทดลองขับและเก็บรายละเอียดต่างๆมาให้เพื่อนๆในเว็บได้อ่านกันก่อนใคร
ถ้าการได้ขับรถสักรุ่นก่อนคนอื่น ถือว่าเป็นโชค ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลก็สอน
ผมมาตลอดว่า ถ้าวันไหนเรามีโชค เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันโชคนั้นให้คนอื่นด้วย
จะเป็นโชคที่ไม่เสียเปล่า ดังนั้น ผมก็ขอทำตาม ด้วยการแบ่งปันเรื่องราว
ของ Ranger ตัวใหม่นี้ ให้ชาว headlightmag ได้อ่านกัน มาเริ่มกันเลยครับ
ความใหญ่โตไม่ต้องพูดถึง หล่อล่ำไม่แพ้ใคร สี Pride Orange สดใสแปลกตา
โดยที่รุ่น Wildtrak นั้นทราบกันอยู่แล้วว่าแต่งมาแบบจัด เต็มยิ่งดูยิ่งหล่อบาดใจ
กระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่ โอบมาถึงใต้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกรับกันพอดีดูสวยลงตัว
ไฟหน้าดวงกลมที่เห็นเป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ ดูหรูหราขึ้นจากตัวเก่ามาก
ด้านข้างยังคงเหมือนเดิม โปงล้อดูใหญ่สะใจมีแร็คหลังคาและโรลบาร์ท้ายรถ
ทำให้รถยิ่งดูหนา ปรับแต่งเพียงรายละเอียดเล็กน้อย มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง
และป้ายบอกตัวเลขอันทรงพลังของเครื่อง 3.2 ส่วนด้านท้ายรถไฟท้ายมีการรมดำ
เล็กๆ และตัดขอบไฟเพิ่มความชัด
ส่วนแผ่นปิดกระบะท้ายในภาพ ทางศูนย์แจ้งว่าเป็นออพชั่นเสียเงินเพิ่มนะครับ
ที่กระจกมองข้างและโรลบาร์ด้านหลังมีไฟส่องข้างรถและไฟส่อง
ท้ายกระบะมาให้ ส่วนไฟที่ท้ายกระบะนั้นสามารถเปิดปิดได้จากตัวรถ
แต่ต้องดับเครื่องถึงจะสั่งเปิด-ปิดไฟเองได้
ล้อ18นิ้วขนาด265/60 R18 สีเงินตัดด้วยสีดำลายใหม่ดูมีมิติ
อย่างน้อยก็เป็นลายที่น่าพิศมัยกว่าล้อที่ติดในรุ่นปกติเมื่อคราว
โชว์ตัว World Premier ซึ่งความเรียบจืดของล้อนั้นทำให้ตัวรถดู
น่าสนใจน้อยลง ส่วนตัว Wildtrak นี้เรื่องความหล่อสอบผ่านสบายๆ
กุญแจรีโมทยังเป็นแบบพับเก็บดอกกุญแจเช่นเดิม แต่เปลี่ยนแบบเล็กน้อยให้ดูทันสมัย
มาดูภายในกันบ้างดีกว่าครับ ในรุ่น Wildtrak นี้ก็จะได้แดชบอร์ดทรงใหม่
แตกต่างจากตัวเดิมชัดเจน คอนโซลด้านบนหุ้มด้วยหนัง โทนสีที่ใช้สีดำเช่นเดิม
แล้วเดินด้วยด้ายตะเข็บสีส้มดูทันสมัย แต่งด้วยลายคล้ายๆ คาร์บอนไฟเบอร์
ตัดด้วยสีเงินเพิ่มความหรูหราได้ดี ที่บังแดดคู่หน้ามีจกพร้อมไฟแต่งหน้า
หลับตาแล้วให้เข้ามาในตัวรถแบบว่าไม่บอกว่าเป็นรถกระบะล่ะก็
นี่มันก็ SUV ดีๆ นี่เอง!!!!!
ประตูคู่หน้าบานใหญ่เปิดได้กว้าง มีที่ใส่ขวดน้ำมาให้พร้อม
กระจกไฟฟ้าเป็น AUTOเฉพาะบานฝั่งคนขับ การขึ้นลงทำได้ง่ายมีมือ
จับเสา A มาให้ทั้งสองฝั่ง ด้วยอาจจะเป็นรถที่สูงเลยจำเป็นในการขึ้นลง
แต่ละครั้ง คนมีปัญหาเข่าอาจจะไม่ชอบนัก ส่วนประตูผู้โดยสารตอนหลัง
ก็เปิดได้กว้างขึ้นลงสะดวกเช่นกัน
เบาะคู่หน้าหุ้มด้วยหนังสลับกับผ้าในบางส่วน สีดำ-ส้ม พร้อมสัญลักษณ์
Wildtrak พิเศษสำหรับรุ่นนี้เท่านั้น และเบาะคนขับสามารถปรับด้วยไฟฟ้า
เบาะนั่งคู่หน้านั่งได้สบายตัวใหญ่โอบกระชับดี แต่เบาะรองศีรษะดันหัวไปนิด
ตามสไตล์รถสมัยนี้ ช่องเก็บของมีมากพอ ช่องเก็บของด้านผู้โดยสาร
ขนาดกำลังดี ช่องเก็บของบริเวณที่วางแขนคนขับมีสองชั้นลึกใช้ได้
และมีไอเย็นออกมาไว้แช่น้ำดื่มได้ แล้วยังมีช่องวางแก้วได้อีก 2 ใบ
เบาะคู่หลังนั่งแล้วไม่อึดอัดเลย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหลังชันไปนิด
แต่โดยรวมถือว่าดีมาก ติดตรงบริเวณรองก้นที่สั้นไปหน่อยสำหรับคนขายาว
ส่วนพื้นที่วางขาเหลือเพียงพอแล้วหัวก็ไม่ติด ยังเอาใจมีช่องเสียบไฟทั้งแบบ
AC และ DC12V มาให้อย่างละช่อง และมีช่องใส่ขวดน้ำข้างประตูมาให้
ถ้าหากเทียบเรื่องความสบายเบาะหลังกับกระบะที่ขึ้นชื่อว่าเบาะหลัง
สบายสุดๆแล้วอย่าง Triton ผมคิดว่าตัวเบาะของ Triton นั้นมีความนุ่มนวล
มีองศาพนักพิงหลังที่นั่งแล้วรู้สึกผ่อนคลายกว่า แต่ Ranger ก็มีพื้นที่วางขา
เหลือให้เยอะกว่า (วัดโดยผมเป็นคนนั่งเองนะครับ)
ถ้าต้องการวางของสูงหรือต้องการเก็บทรัพย์สินที่ไม่ต้องการให้ใครเห็น
เบาะรองนั่งสามารถยกขึ้นได้ มีช่องใส่ของมาให้ สามารถเกี่ยวเพื่อจะยกไว้
ได้ตลอดเพื่อใส่ของที่สูงแล้วไม่ต้องการเก็บไว้ท้ายรถ
พวงมาลัยสี่ก้านขนาดกำลังดี พร้อมปุ่มฟังชั่นมากมายจนกดไม่ถูก
คุมทั้งเครื่องเสียง ระบบตัวรถที่หน้าปัดท้างด้านซ้ายและขวา
และระบบความคุมความเร็ว วัสดุหุ้มด้วยหนังเดินตะเข็บสีส้มเช่นกัน
ที่ขอติก็คงจะมีการปรับระยะของพวงมาลัยได้เพียงสูง-ต่ำเท่านั้น
ถ้าสามารถปรับระยะเข้า-ออกได้ด้วยก็คงจะรองรับสรีระและความยาว
ของแขนคนขับแต่ละคนได้ดีและส่งผลให้ขับทางไกลๆแล้วไม่เมื่อย
หน้าปัดทันสมัยสุดๆ ใช้จอ 4.2 นิ้วถึง 2 จอ ในการบอกข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ
โดยด้านซ้ายของหน้าปัดจะเป็นการเชื่อมต่อระบบ SYNC2 ของการเชื่อมต่อ
ระบบโทรศัพท์ และระบบความบันเทิง ส่วนด้านขวาของหน้าปัดจะบอก
สถานะต่างๆ เช่นอุณหภูมิรอบเครื่องยนต์ บอกสถานการณ์สิ้นเปลืองน้ำมัน
และสามารถตั้งค่าทั้งการแสดงผลและตั้งค่าของตัวรถได้โดยใช้ปุ่มที่พวงมาลัย
ในการเลือก ใช้งานได้ไม่ยุ่งยากเข้าใจง่าย
หน้าจอขนาดสัมผัสขนาด 8 นิ้วพร้อมระบบ SYNC2 อันภาคภูมิใจของ Ford
ที่สามารถสั่งการด้วยเสียง และควมคุมในการใช้ระบบโทรศัพท์ ระบบปรับอากาศ
อ่านข้อความ และระบบความบันเทิง ด้วยระบบSYNC2 และยังเชื่อมต่อได้ทั้ง
Bluetooth และ Wi-Fi และสามรถโหลด Application ต่างๆ เพิ่มเติมได้ทำให้
ลดปุ่มบริเวณคอนโซลกลางไปได้เยอะ และยังสามารถบอกปฏิทิน เข็มทิศ
ได้อีกด้วย แต่เสียดายอ่านภาษาไทยไม่ได้
อนึ่ง จะเล่าให้ฟังด้วยว่า เวลาเปิดใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงนั้น หากคุณปรับ
พัดลมแอร์เอาไว้ให้เป่าแรงๆ ระบบก็จะสั่งการให้เบาลมแอร์ลง เพื่อให้ได้ยิน
เสียงสั่งการของคุณชัดเจนขึ้น
ด้านล่างจอลงมา เป็นระบบเครื่องเสียงพร้อมช่องใส่ CD เหลือปุ่มให้กดไม่กี่ปุ่ม
ไปรวมกับจอด้านบนหมด ลำโพง 6 ลำโพง เสียงกลางๆไปทางดี ให้เสียงครบ
แต่ก็ไม่ได้หนักแน่นมากนัก ระบบปรับอากาศลดจอแสดงผลไปรวมกับจอ 8 นิ้วด้านบน
เลยเหลือเพียงปุ่มเล็กๆ และยังสามารถแยกปรับอุณหภูมิได้เช่นเดิม แต่ปุ่มเล็ก
และติดกันไปหน่อย กดยากพอสมควร มีช่องเสียบไฟ 12V 2 ช่อง และ USB
AUX SD Card มาให้ครบถ้วน หัวเกียร์จับถนัดพร้อมไฟบอกตำแหน่งเกียร์
ข้างเป็นปุ่มปรับขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้วมีปุ่มไว้เลือกว่าจะปิดสัญญาณกะระยะ
ระบบล็อคเฟืองท้าย ESP และระบบลงทางลาดชัน
มาดูสวิตช์ควบคุมฝั่งคนขับกันต่อครับ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้ารถมาอยู่ด้านข้าง
ไม่ได้อยู่บนก้านไฟเลี้ยว รวมอยู่ด้านขวามือและสามารถเปิด-ปิดไฟหน้าแบบ AUTO
ก้านไฟเลี้ยวอยู่ขวามือ และมีปุ่มปรับความสว่างของแสงหน้าปัด ปุ่มปรับความก้ม-เงย
ของไฟหน้า ไฟตัดหมอก และปุ่มเปิด-ปิดไฟท้ายรถ ส่วนระบบก้านปัดน้ำฝนอยู่ซ้ายมือ
พร้อมปรับน้ำฝนแบบ AUTO เช่นกัน
แสงสียามค่ำคืนสามารถปรับเปลี่ยนได้ที่โหมดตั้งค่าจากหน้าจอได้ตามใจชอบ
และมีลูกเล่นเล็กๆ ที่ถือว่าใส่ใจในรายละเอียด ด้วยรถไม่มีกลอนประตู
ให้รู้ว่ารถล็อคหรือไม่ ดูได้จากแค่ปุ่มปลดล็อครถที่แผงประตูข้างคนขับและคนนั่ง
ส่วนลูกเล่นที่มีประโยชน์ ถ้าประตูไหนปิดไม่สนิทไฟตรงบริเวณที่เปิดประตูจะ
เปลี่ยนเป็นสีแดงให้รู้ แต่มีแค่เฉพาะบานคู่หน้าเท่านั้น
ฝากระบะท้ายใหญ่โต ส่วนแผ่นปิดด้านบนของกระบะที่ให้มาเป็นออพชั่นนั้น
น่าจะเหมาะกับคนที่ใช้ Wildtrak โดยไม่คิดบรรทุกของชิ้นใหญ่ๆ เพราะดูแล้ว
การติดตั้งฝาปิดนี้กินเนื้อที่การบรรทุกไปพอสมควร แต่ก็ถูกออกแบบมาดี กันน้ำ
มีการเดินท่อน้ำทิ้งข้างๆ ด้วย แต่การเปิด-ปิดยากพอสมควร
ถ้าจะเปิดต้องโยกสายไปทางซ้าย ถ้าจะล็อคก็ต้องโยกไปทางขวา
สามารถล็อคได้มีกุญแจแถมมาให้ แต่ถึงจะล็อคฝาปิดด้านบน แต่ฝ้ากระบะ
ท้ายไม่มีระบบล็อค แสดงว่าถึงจะล็อคด้านบนแต่ด้านท้ายก็ยังเปิดได้อยู่ดี!!!!
ถัดไป ก็เป็นเรื่องของการขับขี่และสมรรถนะ
เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค 3.2 ลิตร เทอร์โบแปรผันพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์
ให้กำลังกำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
เท่าที่ทราบมา เครื่องและเกียร์ได้รับการปรับปรุงรายละเอียดหลายส่วนแล้ว
แต่ในการขับจริง เครื่องยังมีอาการรอรอบของเทอร์โบเหลืออยู่
ซึ่งถูกล่ะถ้าเอาไปเทียบกับรถเครื่อง 2.2-2.5 ลิตร เครื่อง 3.2 ของ Ford ก็ถือว่า
ติดบูสท์เร็ว แต่มันไม่เร็วเท่าที่เราคาดหวังจากความจุเครื่องที่โตขนาดนี้ เวลากดคันเร่ง
แรงดึงที่เกิดจากเทอร์โบจะมาให้สัมผัสตั้งแต่ 1,800 รอบต่อนาที ซึ่งในช่วงรอบต้น
แบบนี้ Hilux Revo 2.8 ลิตรก็สร้างบูสท์ได้เร็วพอกัน
และส่วนที่ยังคงทำให้คนขับฟอร์ดยังเซ็งไม่หายคงเป็นคันเร่งที่ยังดีเลย์ให้เห็นเช่นเดิม
เวลากดคันเร่งลงไปแล้วจับเวลาไปถึงจุดที่รถเริ่มพุ่งจริงๆจะนานกว่าคู่แข่ง
ฝั่งญี่ปุ่น แต่ถ้าถามว่ามันน่ารำคาญขนาดนั้นหรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จับพอคร่าวๆได้ 11-12 วินาที
เกียร์เป็นแบบ6จังหวะ และสามารถเลือกปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง
และมีโหมด S ช่วยในการลากรอบที่สูงขึ้นกว่าปกติเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่
การทำงานของเกียร์ในภาพรวม สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เรียบเนียนขึ้นกว่าเก่า
บางจังหวะแอบรู้สึกว่าสามารถสั่งการคิกดาวน์ได้เร็วขึ้นเล็กน้อย
ดังนั้นจะพูดเลยก็ได้ว่าการปรับปรุงเครื่องยนต์และเกียร์ที่ทำไป ก็พอทำให้
คนขับรู้สึกว่าบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าขับแบบไม่สังเกตอะไรเลย
Ranger 3.2 ก็ยังเป็นรถที่ทะยานไปแบบนุ่มๆเรื่อยๆมากกว่ามีแรงดึงเปรี้ยว
จี๊ดจ๊าดแบบ Chevrolet Colorado 2.8 หรือ Nissan Navara อยู่ดี
สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สุดน่าจะเป็นระบบบังคับเลี้ยว ที่เป็นแบบไฟฟ้า
แทนที่ระบบปั๊มไฮโดรลิคผ่อนแรงซึ่งหลายคนสงสัยว่าจะทำให้นิสัยรถเปลี่ยนไป
เท่าที่ขับลองในช่วงความเราต่ำ พบว่าพวงมาลัยสาวได้คล่องมากเพราะ
น้ำหนักมันเบามาก และพอใช้ความเร็วสูงจะมีการปรับน้ำหนักหน่วงมือ
ให้หนืดขึ้น อัตราทดพวงมาลัยไม่ได้ไวเป็นรถเก๋งแบบ Triton ดังนั้นการขับ
ทางไกลๆความเร็วสูงจึงไม่ต้องเกร็งมือมากนัก เวลาเลี้ยวแล้วสังเกตจังหวะ
การคืนของพวงมาลัย ก็พบว่ามันดีดกลับเข้าศูนย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ต้องสาวคืนช่วย ดังนั้นข้อตำหนิที่เหลืออยู่ก็คงเป็นเรื่องที่พบได้มากที่สุด
ตอนลุยแบบออฟโรดเพราะพวงมาลัยกรองอาการสัมผัสถึงผิวถนนออกไปเยอะ
ลุยทางดินทางโคลน แรงดีดกลับที่ทำให้เรารู้สภาพถนนที่แท้จริงมันน้อยลง
สำหรับเรื่องพวงมาลัยนี่ คงสรุปได้ว่า ความสนุกหายไป แต่ได้ความสบายมาแทน
ระบบเบรกรู้สึกได้เลยว่าลึก และต้องออกแรงมาก ใครขับรถเก๋งเบรกตื้นๆ
พอมาขับคันนี้ต้องลงแรงกดให้ลึกหน่อย เพื่อได้แรงเบรกที่ต้องการ
แต่พอน้ำหนักเท้าเข้าที่ก็สามารถความคุมเบรกได้ดี ชะลอความเร็ว
ได้เป็นธรรมชาติ หัวไม่ทิ่ม
ช่วงล่างมีการปรับปรุงอย่างรู้สึกได้ เนียนนุ่มขึ้นจากตัวเก่าซึ่งจะหนึบ แข็ง
มั่น จนบางครั้งก็รู้สึกแข็งแบบรถซิ่งไปนิด รถไมเนอร์เชนจ์นี้จะดูดซับ
แรงสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น มีความรู้สึกกระแทกเวลาเจอหลุมใหญ่ แต่หลุมเล็กๆ
รอยต่อถนนเก็บได้เกือบหมด มีสะเทือนเข้ามาบ้างแต่และมีดีดให้รู้สึก
ด้านท้ายบ้างเท่านั้น ให้ความรู้สึกโดยรวมยังถือว่าเป็นรถกระบะที่
ช่วงล่างมั่นใจได้เป็นอันดับต้นๆอยู่ แต่สบายขึ้นกว่าเก่า เยี่ยมครับ!
เนื่องจากวันที่เอารถมาทดสอบ ฝนตกเลยได้เอารถไปลองระบบ
Shift-on-the-fly 4×4 ที่ถนนดินหลังบ้าน ฝนตกใหม่ๆ หน้าดินเละใช้ได้
เริ่มด้วย 2H ปกติไปสบายๆ ปิด ESP พอเริ่มเจอโคลนตมเลยตามด้วย ล็อคเพลาท้าย
ฝนหนักขึ้น หมุนปุ่มไปที่ H4 ทันทีไม่ต้องจอด คลานไปได้สบายใจมากขึ้น
พอไปถึงบริเวณแอ่งน้ำโคลนลึกตัดสินใจจอดโยกเกียร์ไปที่ N แล้วปรับเป็น 4L
ดูเหมือนจะไม่รอด เลยกดล็อคเพลาท้ายให้ล้อคู่หลังช่วยกันออกแรงพร้อมๆ กัน
ช่วยล้อคู่หน้าตะกุย รถก็ค่อยๆ คลานไปช่วงโคลนลึกสุดหายไปครึ่งล้อ
รถสูงเลยยังลุยไปได้ช้าๆ จนหลุดออกมาได้ ในใจคิดเลยว่าเกือบจะไม่รอดแล้ว
พอได้จอดเข้าเกียร์ N ปรับเป็น 2H เช่นเดิม ลุยต่อได้อย่างไม่มีปัญหา
Ford เองก็ดูเหมือนเน้นเรื่องการลุยพอสมควร ดังนั้นจึงเซ็ตรถมาไม่น้อยหน้าคู่แข่ง
อุปกรณ์สำหรับลุยแบบ 4×4 ซึ่งสมัยนี้ก็ต้องมาพร้อม Diff Lock เพลาท้าย
ถ้าไม่มีมาให้สิแปลก ส่วนเรื่องการเตรียมพร้อมรับอุทกภัย Ford Ranger ลุยน้ำ
ได้ลึก 80 ซ.ม. บางคนอาจจะบอกว่า 80 ซ.ม. จะไปลุยที่ไหนกัน? ผมว่าในกรุงเทพ
ช่วงฝนหลงฤดูที่ระบายน้ำไม่ทันก็ได้ใช้นะ
ความปลอดภัยก็อัดมาเพียบ จานเบรกคู่หน้าขนาดใหญ่ ดรัมเบรกคู่หลังอันใหญ่โต
และระบบ ABS EBD BA ESP Traction Control ระบบช่วยขับลงทางลาดชัน
(Hill Descent Control) ระบบออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist)
ถุงลมนิรภัย 6 ใบ เข็มขัดนิรภัยแบบ 3จุดทั้ง5ที่นั้ง ระบบคุมเสถียรภาพเวลาบรรทุกหนัก
(Adaptive Load Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพรถพ่วงท้าย (Trailer Sway Assist)
ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ (Rollover Mitigation)
เซนเซอร์กะระยะรอบคัน 8 จุดและบอกระยะบนหน้าจอ กล้องช่วยจอดแสดง
ผลบนหน้าจอขนาดใหญ่และมีเส้นนำเลี้ยวหมุนตามพวงมาลัย กระจกมองหลัง
พร้อมระบบตัดแรงเวลากลางคืน
มีระบบความคุมความเร็ว Cruise control และระบบจำกัดความเร็ว
โดยที่เราสามารถตั้งความเร็วที่ต้องการ พอขับถึงความเร็วนั้นจะ
ไม่สามารถเร่งเครื่องต่อไปได้ แต่ถ้าต้องการยกเลิกก็สามารถกดคันเร่ง
ซ้ำต่อไปสัก 2-3 วิ ระบบจะยกเลิกแล้วสามารถเร่งเครื่องได้ตามปกติ
หรือกดเลิกที่พวงมาลัยได้เลย
การเก็บเสียงทำได้ดีมากทั้งเสียงลมและเสียงจากล้อ เงียบสบาย
แต่มีเสียงที่ดังเข้ามาชัดคงเป็นเสียงเครื่องยนต์ 5 สูบ ที่ครางออกมา
ทุกครั้งที่กดคันเร่งในรอบสูง แต่ก็ไม่ได้ดังถึงขั้นรำคาญ ออกแนวเร้าใจเล็กๆ
สำหรับคนขับมากกว่า และยังใสใจในรายละเอียดบริเวณเข็มขัดจะบุสักหลาด
ป้องกันเสียงกระแทกที่ก่อให้เกิดความรำคาญ แปะมาทั้งด้านหลังและด้านหน้า
อัตราบริโภคน้ำมันขอไม่พูดถึง เนื่องจากได้รถมาทดสอบเพียงไม่กี่วัน
เลยทำไม่ทันส่วนนี้ขออภัย ถังน้ำมันขนาดใหญ่ถึง 80 ลิตร สามารถเปิดฝาถัง
ด้วยการกดที่ฝาถังน้ำมันได้เลย แต่จะไม่สามารถเปิดได้ถ้าล็อกรถ
**********บทสรุป (เบื้องต้น) **********
เป็นรถกระบะที่เก่งรอบตัวจริงๆ ไปได้ทุกที่ทุกสภาพถนน น้ำท่วมก็ไม่หวั่น
ลุยป่าลุยเขาก็สามารถไปได้ และสามารถโดยสารได้อย่างสบาย
วิ่งในเมืองก็ผ่อนคลาย ขับง่ายถึงแม้รถจะมีขนาดใหญ่โต อาจจะมีปัญหา
ในการจอดรถในที่แคบๆ แต่ออกต่างจังหวัดวิ่งทางไกลเป็นอะไรที่เหมาะ
กับกระบะคันโตคันนี้ ช่วงล่างแน่นนุ่มมั่นใจ ลูกเล่นเยอะจนเล่นไม่หมด
ถึงจะสับสนบ้างและระบบสั่งงานด้วยเสียงก็ยังงงๆ กับสำเนียงภาษาไทยเหมือนเดิม
แต่รู้สึกว่ามันเดาคำพูดเราได้ดีขึ้น
ช่วงล่าง แต่เดิมก็ไม่ใช่จุดอ่อนของ Ranger พอมาคราวนี้ ได้ทั้งความมั่นใจ
และได้ความนุ่มนวลเพิ่มกว่าเดิม ยิ่งส่งผลให้ถีบตัวเหนือคู่แข่งขึ้นไปอีก
แล้วส่วนไหนบ้างที่อยากให้ปรับปรุง?
ส่วนที่จะติก็แค่คันเร่งที่กดแล้วมีอาการดีเลย์ ในจุดนี้ Hilux Revo จะทำได้ไวกว่า
กับการรอรอบของเครื่องยนต์ซึ่งขนาดของเครื่องก็ใหญ่กว่าชาวบ้าน แรงม้า
ก็สูงที่สุดในกลุ่มแล้ว น่าจะทำได้ดีกว่านี้
เรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป คงต้องรอให้ทางพี่ J!MMY
ทำ Full Review ออกมาหรือให้ได้ทดสอบเสียก่อนแล้วเราคงได้ทราบกัน
แต่ในความคิดของผม สำหรับคนที่มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดและมีถนนหนทาง
ที่คาดเดาสภาพได้ยาก มีเงินอยู่ประมาณล้านบาทแล้วต้องซื้อรถมาใช้
ได้เพียงแค่คันเดียวในบ้าน..หากผมอยู่ในสภาวะเช่นนั้น ก็จะเลือก
Ford Ranger Wildtrak 3.2 นี่ล่ะครับ เป็นรถประจำบ้านของผม
ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ฟอร์ด เจริญผลมอเตอร์เซลล์ จังหวัดสุรินทร์
ที่ได้กรุณาให้ยืมรถมาทดสอบ
หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
และขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามครับผม
—————///—————
Sirisak Setpattanachai (Sirisack_AC118)
– นักเขียนรับเชิญของ Headlightmag เป็นสมาชิกเว็บรุ่นแรกตั้งแต่เว็บเปิด ขับรถทางไกล
เป็นกิจวัตร และเขียนเรื่องราวของรถหลากหลายที่ได้ลองขับไว้ในเว็บบอร์ด User’s Voice
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 กรกฎาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 17th, 2015
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE