ทุกวันนี้ผู้ผลิตรถยนต์ยุคใหม่ต่างก็โปรโมตระบบ infotainment ของตนเองว่าสามารถเชื่อมต่อระบบ นู้น นี้ นั้น พร้อมโอ้
อวดอิทธิฤทธิ์การเชื่อมต่อที่ง่ายยิ่งกว่าดีดนิ้ว ทุกอย่างดู modern ไปหมด แต่ก็มีคนกระซิบข้างหูผมว่า “แล้วมันใช้ยังไงล่ะ
อีหนูเอ๋ย?”
และเราก็มีหลักฐานที่ยืนยันได้เลยว่าผู้ใช้รถส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปลาบปลื้มกับระบบ infotainment ในรถยุคนี้เท่าไรนัก
ผลสำรวจจากกลุ่มผู้ใช้รถยนต์จำนวน 14,000 รายที่ศึกษาโดย Nielsen และที่ปรึกษายานยนต์ SBD พบว่า ผู้ใช้รถส่วน
ใหญ่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี infotainment เลยหรือไม่เคยตระหนักที่จะใช้ด้วย
ผลจากการสอบถามแบบออนไลน์ให้รายละเอียดว่า ผู้ผลิตรถยนต์ยัดเยียดฟังก์ชัน infotainment มากเกินไป และ
เทคโนโลยี infotainment ก็พลอยเป็นตัวฉุดค่าดัชนีความพึงพอใจลูกค้าให้ต่ำลงมาด้วย เนื่องจากลูกค้าสับสนกับ
เทคโนโลยีนี้
จากฟีเจอร์ 42 ระบบ พบว่าระบบออกคำสั่งด้วยเสียง เป็นฟีเจอร์ที่มีคะแนนความประทับใจห่วยสุด และฟีเจอร์รองบ๊วยก็
คือฟีเจอร์การเชื่อมต่อควบรวมกับสมาร์ทโฟนทำให้สามารถใช้แอพฯ ผ่านหน้าจอได้
Andrew Hart ผู้อำนวยการ SBD เปิดเผยว่าผู้ผลิตรถยนต์มักติดตั้งเทคโนโลยี infotainment ใหม่ล่าสุดก็เพื่อหวังดึงดูด
ใจให้ลูกค้าหันมาซื้อรถของตนและการมีของพวกนี้ก็ทำให้ผู้ผลิตบวกราคาเพิ่มเพื่อหากำไรที่มากขึ้น
แต่การยัดเยียด infotainment ก็ช่วยทำลายความจงรักภักดีของลูกค้าได้ ถ้าผู้ผลิตต้องการรักษาลูกค้าไว้ก็ควรติดตั้ง
infotainment ให้ถูกที่ควร, ปรับแต่งฟีเจอร์ให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าที่ต้องการและทำให้มันใช้ง่ายด้วย
และนี่ก็คือ 4 ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้รถแทบจะไม่ใช้เลยนั่นก็คือ
-หน่วยความจำเพลงในตัว : เพราะผู้ใช้ต่างก็เก็บเพลงไว้ในอุปกรณ์พกพาส่วนตัวอย่าง มือถือ, iPod จึงไม่จำเป็นต้อง
โหลดเพลงให้เสียเวลา
-เครื่องเล่น CD : ผู้ผลิตยังสงสัยว่าควรจะติดตั้งเครื่องเล่นนี้อีกนานเท่าไร?
-ระบบช่วยติดตาม : Onstar มีฐานบริการที่ใหญ่ที่สุด แต่ระบบคล้าย ๆ กันที่มีฐานลูกค้าน้อยกว่ามากอย่าง BMW
Assist และ Hyundai Bluleink ยังต้องล่อใจลูกค้าด้วยการให้ใช้ฟรีจนกว่าจะหมดอายุ
-ระบบออกคำสั่งเสียง : ถึงระบบถูกพัฒนาให้สามารถฟังคำออกเสียงจากมนุษย์ได้ดีขึ้นเท่าไร แต่ผู้ใช้ก็ยังมีประสบการณ์
ไม่ดีจนต้องใช้มือกดปุ่มเอง
ที่มา : Automotive News