Hyundai เคยเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ในกระแส (Mainstream Brand) ไม่กี่ค่าย
ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง หลังจากเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกช่วงปี 2008
เพราะ Hyundai ได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีความก้าวหน้าทั้งดีไซน์. งานวิศวกรรม
และ เริ่มเป็นที่ประจักษ์ด้านคุณภาพจึงทำให้ชื่อเสียงและยอดขายของ Hyundai
พุ่งสุดขีดหลังพ้นปี 2010 เป็นต้นมา แต่ทว่าทุกสิ่งที่อย่างก็มีเสื่อมมนต์ลงได้
มีแนวโน้มว่าผลกำไรของ Hyundai Motor จะลดลงเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จน Hyundai
ถึงขั้นเฉือนต้นทุนบางอย่างออก ได้แก่ การลดค่าใช้จ่ายค่าเครื่องบิน Business Class
และ ทริปท่องเที่ยวไปต่างประเทศยกครอบครัว ซ้ำร้ายกว่านั้นทางบริษัทถึงขั้นสั่งให้
ลดการพิมพ์งาน และ ช่วยกันปิดไฟถ้าไม่จำเป็นกันเลยทีเดียว เนื่องจาก Hyundai
กำลังประสบภาวะตลาดเกิดใหม่อ่อนตัวลง และ Hyundai ก็มีแต่รถซีดานขายมากกว่า
SUV ซึ่งสวนทางกับผู้ผลิตรายอื่นที่มุ่งเน้นรถยนต์ SUV เป็นหลัก
เชื่อว่านี่คือมาตรการรัดเข็มขัดอย่างสุดลิ่ม เพื่อซื้อเวลาในการเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่
และ มีการปรับปรุงดีไซน์
แหล่งข่าววงในจาก Hyundai ระบุว่าทางบริษัทพยายามปรับตัวผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับ
ตลาดปัจจุบันให้มากขึ้น การบุกตลาด SUV คือแผนระยะยาว เพียงแต่ตอนนี้ทาง
บริษัทต้องเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มค่า ก่อนที่จะถึงเวลานั้น
Hyundai เคยส่งสัญญาณไม่ดีเกี่ยวกับผลกำไรของการดำเนินงานเมื่อช่วงเดือน
ตุลาคม 2016 ด้วยการประกาศลดเงินเดือนผู้บริหาร Hyundai Motor Group
ลง 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี นอกจากนี้ยังมีการดาวน์เกรด โรงแรมสำหรับการ
เดินทางของผู้บริหาร และ นำเสนอทางเลือกการประชุมผ่านวิดีโอแทนการเดินทาง
นอกประเทศแทน
แหล่งข่าวภายในให้นิยามของแผนดังกล่าวว่า “โหมดการจัดการฉุกเฉิน” เพียงแต่
ไม่ได้ระบุเป็นชื่อแผนการออกสู่สาธารณะเพราะจะทำให้ผู้คนตกใจเสียเปล่า ๆ
อย่างไรก็ตาม Hyundai Motor ได้ระบุแผนรัดเข็มขัดดังกล่าวว่าเป็นปฏิกิริยา
ตอบสนองต่อตลาดรถยนต์ทั่วโลกที่หดตัวลง และ การเติบโตธุรกิจที่เอาแน่นอนไม่ได้
Ko Tae-bong นักวิเคราะห์จาก Hi Investment & Securities ได้แสดงความ
คิดว่า Hyundai ยังอื่น ๆ อีกได้แก่ ซัพพลายเออร์ที่มีกำไรมาร์จิ้นต่ำและแรงงาน
ที่ยึดติดกับสหภาพแรงงานถือเป็นต้นทุนที่ตัดได้ยาก หนำซ้ำ Hyundai ยังต้องทุ่ม
เทงบวิจัยและพัฒนาสำหรับเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและเทคโนโลยีอื่น ๆ
ครั้งหนึ่ง Hyundai เคยเป็นค่ายรถยนต์หลักไม่กี่ค่ายที่สามารถผงาดในตลาดสหรัฐ
อเมริกาหลังปี 2009 หรือปีที่ผ่านพ้นปีวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ได้ไม่นานนัก
เพราะ Hyundai ได้เปิดตัว Sonata และ Elantra ที่โดนใจผู้คนมากมาย แต่ทันที
ที่ตลาด SUV บูม และ ตลาดเกิดใหม่อ่อนตัวลง ก็ทำให้มูลค่าหุ้น Hyundai Motor
ตกลงไป 40% ในช่วง 3 ปี ย่ำแย่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทรถยนต์ในระดับเดียวกัน
คาดการณ์กันว่ายอดขายรถยนต์ Hyundai ที่บวกรวมกับ Kia จะทำได้เพียงแค่ 8 ล้านคัน
หรือมียอดขายลดลงเป็นครั้งแรกนับจากปี 1998 อันเป็นปีที่ Hyundai ได้เข้าซื้อหุ้น
กิจการ Kia Motor ไป
ด้วยสภาวะอันตกต่ำของ Hyundai ที่พลิกเหตุการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือก็ทำให้
Park Hong-jae รองประธาน Hyundai-Kia และ ผู้บริหารวิจัยถึงขั้นเตรียมรื้อแผน
ยกระดับยอดขายภายในปีหน้ากันเลย
The Show Must Go On.. อะไรที่แย่ ๆ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป นับจากนี้ Hyundai
ก็จะเร่งเปิดตัว SUV ใหม่มากขึ้น, ปรับปรุงรูปลักษณ์ Sonata ใหม่ และ เปลี่ยน
เป้าหมายแผนการส่งออกจากกลุ่มตลาดกำลังซื้อน้อยอย่าง ตะวันออกกลางก็
ทุ่มเทกำลังไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาแทน เป็นต้น
Autodata Corp ระบุว่ายอดขาย SUV ของ Hyundai ในสหรัฐอเมริกาช่วง 11 เดือน
ของปี 2016 มีสัดส่วนแค่ 28% ของยอดขายรถยนต์ Hyundai ทั้งหมด ถึงแม้เพิ่ม
จากปีก่อนอยู่ที่ 23% แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่สำรวจในตลาดอยู่
ความหวังใหม่ของ Hyundai คือการเปิดตัว SUV ขนาดเล็กรุ่นใหม่สำหรับตลาด
ประเทศพัฒนาแล้ว (ที่ไม่ใช่ Creta/IX25) ภายใต้รหัสลับ OS เน้นทำตลาดใน
เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา และ ยุโรปเป็นหลัก
สำหรับตลาดรถซีดานก็จะเน้นหนักไปรถขนาดใหญ่, กำไรสูงอย่าง Hyundai Azera
และรวมถึง Genesis แทน เพราะ ณ ขณะนี้ Hyundai Elantra โฉมใหม่และ Sonata
รุ่นปัจจุบันกำลังโดน Honda Civic รุ่นใหม่เบียดบังรัศมีจนผู้บริหาร Hyundai ต้องยอม
รับว่า Civic มันเป็นรถที่มีดีไซน์ Wow
Luc Donckerwolke ผู้บริหารด้านงานออกแบบ Genesis ระบุว่า Hyundai กำลัง
พัฒนารถยนต์เจเนเรชั่นใหม่ที่ “เปล่งประกายความแตกต่าง” พร้อมเริ่มทำตลาดตั้งแต่
ปี 2019 เป็นต้นไป
Skagen Kon-Tiki ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิของ Hyundai Motor รายใหญ่ที่สุดจากนอร์เวย์
ก็มั่นใจว่า Hyundai จะกลับมาได้อีกครั้งภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ด้วย SUV ใหม่, ตลาด
เกิดใหม่ฟื้นตัว และ การจัดทรัพยาการผลิตที่ลงตัวขึ้น
Knut Harald Nilsson ผู้จัดการกองทุนนำเผยว่า Hyundai จะสามารถทำกำไรมาร์จิ้น
ถึง 7% ได้จากที่เคยทำได้ 6% ในช่วงต้นปี แต่ไม่น่าจะกลับไปทำกำไรมาร์จิ้น 10% เหมือน
สมัยหลายปีก่อนได้
ที่มา : Automotive News