ถึงแม้ว่าทั้ง Hyundai-Kia ต่างพยายามพัฒนาตัวเองขึ้นมาด้วยความพยายามลอกเลียนความสำเร็จในช่วงปี 2009-2010 ด้วยดีไซน์ที่น่าตื่นตา, เทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้น ในราคามิตรภาพ แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่ก็ยังประสบกับปัญหาจากปัจจัยภายนอกที่คาดไม่ถึง ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาข้อพิพาทระหว่างจีน ในกรณีที่ประเทศเกาหลีใต้ได้ติดตั้งระบบยิงสกัดขีปนาวุธ ‘THADD’ (Terminal High Altitude Area Defense System) โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุน ทำให้ประเทศจีนไม่พอใจเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก จนส่งผลโดยตรงต่อยอดขายรถยนต์ Hyundai และ Kia ในจีนหดตัวลงอย่างช่วยไม่ได้
และที่สำคัญ Hyundai-Kia ก็ประสบปัญหาในการรุกตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างยากลำบาก เพราะทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มหันเหมาซื้อรถยนต์ SUV กันมากขึ้น
ผลลัพธ์จากปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ Hyundai-Kia สร้างยอดขายได้ 7.25 ล้านคันในปี 2017 แม้ว่าทั้งคู่ยังยืนอันดับ 5 ของโลกอยู่เช่นเคย แต่ทว่ายอดขายประจำปี 2017 กลับลดลง 7% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2016 ถือว่าเป็นยอดขายที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาและยังพลาดเป้ายอดขายต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยเป้าหมายการขายประจำปี 2017 พวกเขาจะต้องทำให้ได้ถึง 8.25 ล้านคัน
ถึงแม้ Hyundai-Kia ยังไม่แถลงยอดขายประจำปี 2017 อย่างเป็นทางการ แต่ถ้าเจาะลึกเฉพาะยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาตลอด 11 เดือนในปี 2017 จะพบว่ามียอดขายลดลงถึง 11% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 11 เดือนในปี 2016
Kim Jin-woo นักวิเคราะห์ด้านการลงทุนและความปลอดภัยจากเกาหลีใต้ ลงความเห็นว่า ยากหน่อยที่ Hyundai-Kia จะไปฟาดฟันกับเจ้าถิ่นในสหรัฐอเมริกาอย่าง Ford และ GM ได้ ทั้งคู่จำเป็นต้องพึ่งพา Kona และ Santa FE โฉมใหม่ในภาวะที่ตลาดกำลังเปลี่ยน
นอกจากจะต้องต่อสู้กับปัญหาภายในของตนเองแล้ว Hyundai-Kia ก็ยังจะต้องเจอคู่แข่งตัว Top ของวงการที่เริ่มจะแข็งแกร่งขึ้นอย่าง Volkswagen Group ที่กำลังจะฟื้นตัวจากปัญหา Dieselgate และ Renault-Nissan ที่มีการควบรวมธุรกิจรถยนต์ Mitsubishi Motors
สภาวะเศรษฐโลกที่อยู่ในช่วงชลอตัว, มาตรการปกป้องและภัยคุกคามประเทศ ก็เป็นสิ่งบั่นทอนให้ Hyundai-Kia เติบโตยากเข้าไปอีก
Chung Mong-koo ผู้บริหาร Hyundai Motor Group กล่าวในแถลงการณ์ว่า ทางบริษัทจะร่วมลงทุนในตลาดใหม่ อาทิ ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยรักษายอดขายที่หดตัวจากตลาดอื่น ๆ
สำหรับเป้ายอดขาย Hyundai-Kia จะอยู่ที่ 7.55 ล้านคัน แต่ทั้งคู่จะถึงเป้า 8 ล้านคันในปีไหน คงยากที่จะทำนายได้
ที่มา : Bloomberg, Automotive News