คุณผู้ชมและคุณผู้อ่านทุกท่านครับ รถยนต์ที่นำมาทดลองขับกันคราวนี้ ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังช่วยกอบกู้ชีวิตของ KIA Motors เอาไว้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 1997 อีกด้วย… ใช่ครับ! มันคือ KIA Carnival ! MPV 11 ที่นั่ง สัญชาติเกาหลี คันนี้ที่เราเห็นอยู่นี้นั่นเอง

KIA Carnival เริ่มต้นการพัฒนาครั้งแรกในปี 1994 ก่อนที่จะเปิดตัวในงาน Tokyo Motor Show ตุลาคม 1997 และเริ่มจำหน่ายจริงในต้นปี 1998 จากนั้นก็ถูกนำไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย โดยรุ่นใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันที่ 4 เปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ บ้านเกิด ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2020 ก่อนผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย อย่าง Yontrakit KIA Motors จะเผยข้อมูลตัวรถ พร้อมประกาศราคาจำหน่าย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2020  แล้วรถคันจริงก็ถูกนำไปโชว์ตัวภายในงาน Motor Expo 2020

ทำตลาดของ Carnival ในประเทศไทย ยังคงเป็นการนำเข้าทั้งคันแบบ CBU จากประเทศเกาหลีใต้ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่
  • 2.2 EX ราคา 2,144,000 บาท
  • 2.2 SXL ราคา 2,459,000 บาท
( KIA Grand Carnival เจเนอเรชันที่ 3 รุ่น LX ประกอบเวียดนาม ราคา 1,397,000 บาท ยังคงทำตลาดควบคู่กันไปอยู่)
อุปกรณ์ของรุ่น SXL ที่เพิ่มเติมเข้ามาจากรุ่น EX
ภายนอก
  • ไฟส่องสว่างบริเวณประตูสไลด์
  • ไฟ Mood Light ที่แผงประตู
  • แร็คหลังคา
ภายในห้องโดยสาร
  • คันเกียร์แบบหมุน Dial Type – Shift-By-Wire พร้อม Paddle Shift  (รุ่น EX เป็นคันเกียร์ปกติ)
  • ไฟอ่านแผนที่แบบ LED (รุ่น EX เป็นหลอดไส้)
  • หลังคา Sunroof 2 ตอน
  • ลำโพง Bose 12 ตำแหน่ง
  • จอ Tablet ด้านหลังพนักพิงเบาะนั่งคู่หน้า
  • หน่วยความจำเบาะนั่งคนขับ และกระจกมองข้าง
  • ระบบอุ่นและทำความเย็นเบาะนั่งคู่หน้า
  • แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Wireless Charger
ขุมพลังของ KIA Carnival เวอร์ชันไทย ยังคงมีให้เลือกเพียงแบบเดียว นั่นคือ เครื่องยนต์รหัส D4HE ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร 2,151 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 99.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.0 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged (VGT) กำลังสูงสุด 202 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร (45.0 ก.ก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า มาตรฐานไอเสีย EURO5 รองรับน้ำมันสูงสุด ดีเซล B7
เครื่องยนต์ D4HE บล็อกนี้ มีความแตกต่างจากเครื่องยนต์ R II บล็อกเดิม ตรงที่เสื้อสูบเปลี่ยนมาเป็นวัสดุอะลูมิเนียม กระบอกสูบ (Bore) แคบลง แต่มีระยะชัก (Stroke) ยาวขึ้น ความจุกระบอกสูบรวม ลดลง 48 ซีซี และน้ำหนักเครื่องยนต์ลดลงราวๆ 38 กิโลกรัม
มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่
  • ECO Mode
  • Normal Mode
  • Sport Mode
  • Smart Mode

นอกจากนี้ งานวิศวกรรมที่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ ระบบบังคับจากเลี้ยว ซึ่งยังคงเป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion อยู่ แต่ระบบช่วยผ่องแรง ถูกเปลี่ยนจากแบบไฮดรอลิก มาเป็นแบบไฟฟ้า MDPS (Motor Driven Power Steering)

ในเมื่อ Grand Carnival เจเนอเรชันที่ 3 ที่เพิ่งตกรุ่นไปนั้น ทำคุณงามความดีในแง่การขับขี่เอาไว้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความแรงที่มาพร้อมกับความประหยัดชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึงกับรถครอบครัวไซส์บ้านบึ้มอย่างนี้ หรือการบังคับควบคุม พวงมาลัย ช่วงล่าง ที่ได้ทั้งความสบาย และความมั่นใจ มาดูกันว่า Carnival ใหม่ จะยังมีบุคลิกความเป็นพ่อบ้านขาซิ่งแบบเดิมอยู่หรือเปล่า และในราคาค่าตัวที่แพงขึ้นกว่ารุ่นเดิมมีอะไรที่เพิ่มเติมเข้ามาบ้าง ไปชมกันครับ


แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่  >> https://community.headlightmag.com/79197.0