ภาพรวมของงาน Geneva Motorshow 2018 ก็ยังคงเปล่งแสนยานุภาพของงานจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่และรถต้นแบบที่ยิ่งใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เพราะในปีนี้ มีรถยนต์และนวัตกรรมที่มีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน บ้างก็เน้นเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม, บ้างก็เน้นเพื่อการโดยสารในเขตเมือง, บ้างก็เพื่อโชว์ความแรงขั้นล้ำหน้า, บ้างก็เพื่อประโยชน์สุขของผู้คนในสังคม จะเห็นได้ว่างาน Geneva Motorshow 2018 มันเป็นได้มากกว่าอวดโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีทิศทางเหมือน ๆ กันไปหมด

ภาพรวมของงานในปีนี้ ยังคงเปิดพื้นที่ให้บริษัทรถยนต์รายเล็ก, บริษัทโมดิฟายด์รถยนต์ ให้ได้จัดแสดงควบคู่กับบริษัทรถยนต์ขนาดเล็ก-ใหญ่ ทำให้เพิ่มความน่าสนใจขึ้นอีกระดับ

Aston Martin

ค่ายรถสปอร์ตที่ก่อตั้งมายาวนาน 104 ปี ก็ถึงเวลาออกโรงกันบ้าง ถึงจะเป็นรถที่ไม่ใหญ่นักแต่พอถึงเวลาบรรเลงเพลงแล้วล่ะก็ ทุกคนต้องจับตามอง ในงาน Geneva ปีนี้พวกเขานำ รถต้นแบบ Aston Martin Lagonda Vision Concept ขยายแนวความคิดที่เป็นไปได้มากว่าอัครยานยนต์ทางเลือกใหม่

Lagonda อาจจะไม่ใช่เป็นรถที่แฟนพันธุ์แท้ Aston Martin ชื่นชอบมากที่สุด เพราะมันเป็นรถที่มีแนวคิดแปลก ๆ อยู่หลายอย่าง แต่ใช่ว่า Aston Martin จะหยุดยั้งสายพันธุ์ไว้แค่ Lagonda รุ่นปัจจุบันเท่านั้น ในอนาคตพวกเขาอาจจะทำ Lagonda ที่เป็นเวอร์ชันรถยนต์ไฟฟ้า EV ก็ได้

Aston Martin Lagonda Vision Concept คือความพยายามครั้งใหม่ที่จะต่อลมหายใจรถยนต์ตระกูล Lagonda และมีความเป็นไปได้ว่านับต่อจากนี้ชื่อของ Lagonda ที่นอกจากจะเป็นรถหรูที่เหนือชั้นอีกระดับแล้ว มันอาจกลายเป็นชื่อแบรนด์สำหรับทำเป็นรถ EV โดยเฉพาะ

สัดส่วนตัวรถจะมาแนวล้ำสมัย เสา A ลาดลู่จรดกันชนหน้า, แนวหลังคาตัวรถลากยาวจรดไฟท้าย ก็ถือว่าเป็นความพยายามในการตีความเป็น Next Generation Saloon สไตล์ Coupe ในยุคถัดไป นั่นเป็นเพราะรถคันนี้มันติดตั้งขุมพลังไฟฟ้าที่สามารถพลิกแพลงการออกแบบได้อย่างชาญฉลาด, แบตเตอรี่ถูกติดตั้งใต้พื้นตัวถัง มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลดีต่อขนาดห้องโดยสารที่ใหญ่โตกว้างขวาง

พอเปิดประตูเข้ามา ก็พบกับความ Surprise อย่างยิ่ง เพราะ Aston Martin เล่นนำเบาะ Captain Seat แบบเต็มยศมาติดตั้งลงในรถ ถือเป็นการอวดศักยภาพพื้นตัวถังรถยนต์ EV ที่น่ามหัศจรรย์ที่สุด เพราะนักออกแบบและวิศวกรหลายคนยืนยันว่า รถ EV จะไม่มีอุปกรณ์เครื่องยนต์และเกียร์ จึงสามารถจัดพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น

ถือเป็นการตีความใหม่ของรถหรู ที่นำความหรูหราแบบจัดเต็ม แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวเชย ถ้าอยากสัมผัสรอได้เลยในปี 2021

Audi

All NEW Audi A6 Sedan บทพิสูจน์ที่ 3 ต่อจาก All NEW A8 และ A7 Sportback กับความพยายามในการออกแบบให้ดู “แตกต่าง” กันมากที่สุด แต่ทว่าสัดส่วนโดยรวมของ A6 โฉมใหม่ก็ดูคล้ายกับ A8 ย่อส่วน ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากเดิมอย่างที่คิด แต่ถ้าสังเกตรายละเอียดจริง ๆ จะพบว่า Audi มีรายละเอียดการออกแบบที่แตกต่างกับ A8 ไม่ว่าจะเป็นเส้น Belt Line, การออกแบบไฟหน้า, ความโค้งของพื้นผิวตัวถังที่ต่างกัน

จุดขายของ All NEW Audi A6 Sedan ก็คือ การขายความล้ำสมัยของเทคโนโลยีที่เหนือชั้นกว่าผู้อื่น เริ่มจากภายในห้องโดยสารใหม่ ติดตั้งมาตรวัดจอสี Virtual Cockpit 12.3 นิ้ว, หน้าจอสัมผัส MMI ขนาด 10.1 นิ้ว และไฮไลต์สำคัญคือแผงหน้าจอสัมผัส 8.6 นิ้ว สำหรับแทนที่ปุ่มปรับอากาศและปุ่มควบคุมต่าง ๆ กลายเป็นว่า Audi ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถคลาสนี้โดยปริยาย เพิ่มความอภิรมย์ด้วยระบบเสียง Bang & Olufsen Advanced 3D Sound System

ถึงแม้ All NEW Audi A6 จะไม่มีช่วงล่าง Active Suspension ขั้นเทพเหมือน Audi A8 แต่ก็ยังติดตั้งช่วงล่างถุงลมพร้อม Electronic Chassis Program (ECP) และขอท้าชน BMW 5 Series ด้วย ระบบ Audi AI Remote Parking Pilot ควบคุมการจอดรถจาก myAudi Application

ทุกรุ่นจะเป็นขุมพลัง Mild Hybrid น้ำหน้ากว่าใคร
3.0 TFSI

เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (BAS) 48V (Mild Hybrid : MHEV) และ แบตเตอรี่ Lithium-ion เพื่อช่วยในการออกตัว และ ประหยัดน้ำมันมากขึ้น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ S-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra ความเร็วสูงสุด Top Speed ถูกล็อคเอาไว้ที่ 250 km/h อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 5.1 วินาที ปล่อย CO2 151 – 161 g./km.

3.0 TDI

เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตันเมตร พร้อมติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (BAS) 48V (Mild Hybrid : MHEV) และ แบตเตอรี่ Lithium-ion เพื่อช่วยในการออกตัว และ ประหยัดน้ำมันมากขึ้น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Tiptronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra ความเร็วสูงสุด Top Speed ถูกล็อคเอาไว้ที่ 250 km/h ปล่อย CO2 142 – 150 g./km.

 

Bentley

Bentley Bentayga รุ่นปกติเปิดตัวในไทยเมื่อไม่นานนัก โดยมีราคาที่ชวนให้คุณผู้อ่านขนหัวลุก เพราะราคาหน้าป้ายมันพรีเมี่ยมเอามาก ๆ นั่นเอง แต่ก็เชื่อว่า เศรษฐีทั้งหลายก็รู้สึกว่ายังไม่พึงพอใจ ถ้าหากมีแค่ทางเลือกเครื่องยนต์ปกติ ไร้เงาขุมพลัง Hybrid ดังนั้น Bentley จึงจัดสรรให้โดยพร้อมสรรพ

Bentley Bentayga Hybrid ทางเลือกใหม่ล่าสุดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทันใจแต่นิ่มนวลในฉบับเครื่องยนต์ลูกผสม Plug-in Hybrid เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ที่เคลมว่ารองรับการวิ่งในโหมด EV ได้ไกลถึง 50 กิโลเมตรแต่น่าเสียดายว่า พวกเขาไม่กล้าจะระบุตัวเลขแรงม้า แรงบิดและขนาดแบตเตอรี่

ผลของการติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ใหม่นี้ก็ทำให้ Bentley Bentayga Hybrid ต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในรถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอการแสดงผลทั้งหลาย, ระบบเชื่อมต่อที่สามารถสั่งการฟีเจอร์ในรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนได้

ข้อดีอีกประการของ Bentley Bentayga Hybrid คือดีไซน์แทบไม่ต่างจากรุ่นปกติเลย คงเพราะเศรษฐีมีเงินคงไม่ต้องการรถที่เป็นจุดสนใจมากจนเกินไป เพราะแค่รถคันนี้แล่นผ่านหน้าทุกคนก็ต้องหันมามองแล้ว จริงไหม?

BMW

BMW 2 Series Active Tourer และ Grand Tourer LCI ก็มาในงานนี้ด้วย งานนี้มีการปรับปรุงใบหน้าใหม่ให้กับ Design Theme ใหม่ที่เปิดอิสระแห่งการออกแบบมากขึ้น ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ที่มีมุมหักมุมงอมากขึ้นเมื่อสังเกตจากด้านข้างและมาพร้อมกับกันชนหน้าที่มีรายละเอียดมากขึ้น หากเป็นตัว Active Tourer ก็จะได้กันชนหน้าที่คล้ายกับรุ่นก่อน LCI แต่ถ้าเป็น Grand Tourer กลับพบว่าได้กันชนหน้าที่ดูสปอร์ตหรรษาขึ้นกว่าเดิมเยอะ พร้อมกันนี้ยังแนะนำสี น้ำเงิน Jucaro Beige และส้ม Sunset Orange ที่แรงจี๊ดจ๊าดน่าดู

ภายในห้องโดยสารอาจไม่ได้มีการปรับปรุงขนานใหญ่ แต่บางสื่อก็รายงานว่าเบาะนั่งคู่หน้านั่งสบายขึ้น มีการปรับปรุงระบบ iDrive และติดตั้งเกียร์อิเล็กทรอนิคส์ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะและ 8 จังหวะ

ใช่ว่า BMW มัวแต่ปรับลุคภายนอกของ 2 Series Active Tourer และ Grand Tourer LCI เท่านั้น พวกเขายังได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน ด้วยการปรับแรงดันหัวฉีดให้แรงขึ้น, แครงก์ชาฟท์ที่เบาลงและปรับปรุงเทอร์โบชาร์จ ผลของการปรับปรุงเครื่องยนต์ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มกำลัง 7 แรงม้า (PS) แรงบิด 10 นิวตันเมตร

BMW 2 Series Active Tourer และ Grand Tourer LCI รุ่น 216i ให้กำลัง 109 แรงม้า (PS), รุ่น 225i xDrive ให้กำลัง 231 แรงม้า (PS), รุ่น 225xe iPerformance พ่วงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo 88 แรงม้า (PS) และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 202 กิโลเมตร/ชั่วโมง

น่าแปลกใจไม่น้อยเลยว่าทำไม BMW ถึงเปลี่ยนโฉม X4 ฉับไวมาก คือรุ่นเก่าเพิ่งเปิดตัวในปี 2014 แต่ตัวใหม่เปิดตัวในปี 2018 ที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงราวกับว่ารุ่นปัจจุบันล้มเหลวอย่างร้ายแรง ถึงขั้นมีการปรับปรุงสัดส่วนตัวถังให้ดูคล้ายกับ BMW 6 GT เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดีไซน์ครึ่งคันท้ายที่ลดความลาดชันลง เพิ่มความลงตัวด้วยการออกแบบแนวหลังคาใหม่ พร้อมช่องกระจกโอเปร่าอันเป็นเอกลักษณ์ล่าสุด

แม้ BMW X4 จะมีขนาดตัวถังที่ใหญ่กว่าขึ้น แต่กลับมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม 50 กิโลกรัม เนื่องจากหันมาใช้เทคโนโลยี BMW Efficient Light Weight ที่ใช้วัสดุหลายแบบด้วยกัน ส่วนอัตรากระจายน้ำหนักหน้าหลังอยู่ที่ 50 : 50 สำหรับระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้คือ Driving Assistant Plus Safety Package ประกอบไปด้วย

ภายในห้องโดยสารนอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์แล้ว มันยังมากด้วยประโยชน์ใช้สอย ด้วยช่องเก็บของจุกจิกรอบห้องโดยสาร รวมถึงที่วางแก้วบริเวณแผงประตู ที่ใส่ขวดน้ำขนาด 1 ลิตรได้ ฝากระโปรงท้ายของ BMW X4 เป็นแบบไฟฟ้าในทุกรุ่นย่อย เบาะหลังรองรับผู้โดยสาร 3 ที่นั่ง พับแยกแบบ 40:20:20 ส่วนพื้นที่บรรทุกสัมภาระมีความจุ 525 – 1,430 ลิตร

ขุมพลังของ BMW X4 มีให้เลือกด้วยกัน 5 แบบ ส่วนเครื่องยนต์มีรายละเอียดต่อไปนี้

xDrive 20i

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.6 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive

xDrive 30i

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.6 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า ที่ 5,200 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,450 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive
xDrive 20d

เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive

xDrive 30d

เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 231 แรงม้า ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive

xDrive M40d

เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร 2,993 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive

Citroen

All NEW Citroen Berlingo Multispace คือการ Fusion ครั้งใหม่ระหว่าง MPV ที่เน้นโดยสารและ SUV ที่มีการจับยกตัวถังให้สูงขึ้นเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ดีไซน์ภายนอกสุดน่ารัก ตั้งแต่ด้านหน้าที่ดูคล้ายกับ C3 รุ่นปัจจุบัน และมีดีไซน์ด้านข้างคล้ายกับ C3 Aircross และนอกจาก Citroen จะต้องผลิตเจ้ารถตู้คันนี้แล้ว Peugeot และ Opel ก็ต้องนำรถตู้คันนี้ไปออกแบบใหม่ทั้งคัน จำหน่ายในชื่อ Partnet และ Combo ตามลำดับ

ถึงแม้ตัวรถจะดูก้ำกึ่งระหว่าง B-Segment กับ C-Segment แต่ PSA Group ก็ใจป้ำใช้พื้นตัวถัง EMP2 Platform ร่วมกับ Peugeot 308 นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นรถที่ต้องใช้น้ำหนักบรรทุกมากกว่ารถเก๋ง ก็อาจจะต้องใช้พื้นตัวถังที่ใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่า Platform สำหรับ B-Segment อื่น ๆ

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Citroen ต้องเปิดตัว Berlingo Multispace ก่อนเวอร์ชันรถขนของก็เพราะว่ายอดขาย Multispace มียอดขายสะสมสูงถึง 1.7 ล้านคันเมื่อเทียบกับยอดขาย Berlingo ทั้งหมดที่มียอดสะสม 3.3 ล้านคันนับตั้งแต่เปิดตัว

Cupra

กว่าที่ SEAT จะรวบรวมความกล้าในการเปิดตัวซับแบรนด์ Cupra ให้เป็นเอกเทศก็เกือบสายไปแล้ว โชคดีที่มี SUV รุ่นใหม่มาทำตลาด และเปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ได้ทันเวลา

ในงานนี้ได้อวดโฉม Cupra e-Racer : รถแข่ง Touring Car EV ที่ให้กำลังสูงสุด 402 แรงม้าในเบื้องต้น และสามารถให้พละกำลังในช่วงพีคได้เป็น 670 แรงม้า

พื้นฐานของ Cupra e-Racer จะใช้พื้นฐานร่วมกับ Leon TCR แต่โละขุมพลังเครื่องยนต์ทิ้งและแทนที่ด้วยระบบส่งกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 300 กิโลกรัม มีอัตราส่วนกระจายน้ำหนัก 40:60 แตกต่างจาก Leon TCR ที่มีอัตราส่วนกระจายน้ำหนัก 60:40

และเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานนัก Cupra เตรียมแนะนำ Ibiza ที่นำ SEAT Ibiza มาพัฒนาต่อยอดใหม่ด้วยการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่, กระจังหน้าคาร์บอนไฟเบอร์และสปอยเลอร์ท้าย และที่แน่ ๆ สิ่งที่เปลี่ยนรอบคันเลยก็คือต้องถอดโลโก้ SEAT ทิ้งแล้วแทนที่ด้วยโลโก้ Cupra

Cupra Ibiza จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) แรงบิด 320 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 6.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Honda

Honda Jazz X-Roard มาโชว์ตัวกันแบบเงียบ ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนำ WR-V เข้ามาจำหน่าย เพราะแค่ Honda Jazz รุ่นปัจจุบันก็น่าจะมีใบหน้าที่ถูกใจชาวยุโรปมากพอแล้ว ความแตกต่างหลักจาก Jazz รุ่นปกติจะอยู่ที่การตกแต่งด้วยซุ้มล้อ, กาบข้าง, คิ้วกันกระแทกสีดำ พร้อมตกแต่งวัสดุกันกระแทกสีเงินใต้กันชนหน้า-หลัง ล้ออัลลอย 16 นิ้วและจับยกสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันมากนัก

ในช่วงแรกจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร i-VTEC 103 แรงม้า (PS) ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 11.4 วินาทีในรุ่นเกียร์ธรรมดาและ 12.3 วินาทีในรุ่นเกียร์ CVT

Hyundai

ในงานนี้ถือว่าจัดเต็มมากที่สุดในหลายรอบปี ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 2 รุ่นและรถต้นแบบที่บ่งบอกทิศทางการออกแบบบางอย่าง

Hyundai Kona Electric : B-SUV EV จะใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ Kona เครื่องยนต์ปกติ แต่มีการออกแบบด้านหน้าใหม่ให้แตกต่างจากที่เคยเป็น ด้วยกระจังหน้าใหม่, กันชนหน้าใหม่ที่ออกแบบช่องดักลมที่เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีการเปลี่ยนขอบซุ้มล้อสีดำรอบคันที่ดูเรียบร้อยขึ้นและพยายามลบมุมเหลี่ยมออกไปให้มากที่สุด ส่วนบั้นท้ายก็มีการเปลี่ยนแปลงกันชนหลังให้มีทิศทางการออกแบบเดียวกันกับด้านหน้าและติดตั้งสปอยเลอร์แบบใหม่

ภายในห้องโดยสารที่ลงทุนเปลี่ยนแผงคอนโซลกลางใหม่หมด ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความล้าสมัยแล้วมันยังมอบความอเนกประสงค์ที่มากกว่าด้วยคอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น และดูเหมือนว่า Hyundai ได้ปรับปรุงวัสดุภายในห้องโดยสารให้ดูมีราคามากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ Hyundai Kona Electric จะมีขุมพลัง 2 ทางเลือกที่แตกต่างทั้งพละกำลังและระยะทางวิ่งสูงสุด ได้แก่

  • มอเตอร์ไฟฟ้า 133 แรงม้า แรงบิด 395 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Li-ion 39.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 300 กิโลเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จ 6 ชั่วโมง 10 นาทีจนกว่าจะเต็มเมื่อใช้ไฟบ้านปกติ แต่จะใช้เวลาชาร์จด่วนเพียงแค่ 54 ก็มีพลังให้ใช้ราว 80% เมื่อชาร์จด้วยกระแสไฟ 100 กิโลวัตต์กระแสตรง
  • มอเตอร์ไฟฟ้า 201 แรงม้า แรงบิด 395 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Li-ion 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 470 กิโลเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จ 9 ชั่วโมง 40 นาทีจนกว่าจะเต็มเมื่อใช้ไฟบ้านปกติ แต่จะใช้เวลาชาร์จด่วนเพียงแค่ 54 ก็มีพลังให้ใช้ราว 80% เมื่อชาร์จด้วยกระแสไฟ 100 กิโลวัตต์กระแสตรง

เรื่องตลกคือ Hyundai พยายามชูป้าย Billboard บริเวณสถานที่จัดงาน Geneva Motorshow 2018 เพื่อหยามเกียรติ Elon Musk ว่า Kona ก็มีระยะทางวิ่งสูงสุดแทบจะเท่ากับ Tesla แล้วนะ แต่ราคาดันถูกกว่ามาก ถึงลูกค้าคนละกลุ่มเป้าหมาย แต่ Hyundai ก็พยายามจะไต่ไปสู้ ก็น่านับถือในความพยายาม

All NEW Hyundai Santa Fe ไม่ใช่ร้านสเต๊ก แต่มันคือ D-SUV รุ่นใหม่ที่น่าจะช่วยกู้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของ Hyundai ให้กลับมาเป็นที่สนใจด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีใหม่

ด้านหน้าของ All NEW Hyundai Santa Fe คงเอกลักษณ์กระจังหน้าแบบ Cascading Grille เอาไว้ เสริมด้วยไฟหน้า LED ที่ติดตั้ง LED DRL เอาไว้ด้านบนสุดของโคม ส่วนเส้นสายตัวถังให้อารมณ์แข็งแกร่งกว่าเคย ทั้งยังดูพร้อมลุยด้วยกาบพลาสติกสีดำด้านล่างรอบคัน เสริมด้วยล้อปัดเงาขนาด 19 นิ้ว ด้านหลังมาพร้อมกับไฟท้าย LED และท่อไอเสียทรงเหลี่ยมปลายคู่

ระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจใน All NEW Hyundai Santa Fe คือ Rear Seat Occupant Alert ที่ใช้ Ultrasonic ตรวจจับความเคลื่อนไหวของเด็กหรือสัตว์เลี้ยงในเบาะหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนขับลืมผู้โดยสารไว้ในรถ โดยระบบจะส่งข้อคามเตือนบนหน้าปัดก่อนคนขับลงจากรถ และจะมีการบีบแตร – เปิดไฟหน้า – ส่งข้อความเข้ามือถือ หากระบบตรวจพบความเคลื่อนไหวที่เบาะหลัง ตอนที่คนขับลงจากรถแล้ว

อีกระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจคือ Safe Exit Assist ที่จะป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารเปิดประตูรถได้ หากพบว่ามีจักรยานหรือจักรยานยนต์ กำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ในระหว่างที่จะมีการเปิดประตู โดยระบบจะทำการล็อคประตูชั่วคราว พร้อมส่งเสียงเตือน และข้อความเตือนบนหน้าปัด

ส่วนรายละเอียดเครื่องยนต์โดยสังเขป มีดังนี้

  • เครื่องยนต์เบนซิน GDI 4 สูบ ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 185 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
    เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 232 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
  • เครื่องยนต์ดีเซล CRDi 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 434 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

Hyundai Le Fil Rouge Concept รถยนต์ต้นแบบที่โชว์ความสง่างามที่ขุดรากความเป็นอดีต, ปัจจุบันและอนาคตของ Hyundai จนได้แนวคิดการออกแบบ “Sensuous Sportiness” ความพลิ้วไหวแห่งความสปอร์ต ที่มีเส้นสายและสัดส่วนชวนน่าตะลึงราวกับนำเส้นสายของรถสปอร์ต Ultra Sport Car มาใส่ไว้ในรถยนต์บ้าน ๆ

เส้นสายที่เห็นอยู่ในขณะนี้มันจะถ่ายทอดไปสู่รถยนต์ Hyundai รุ่นอื่น ๆ นับตั้งแต่รถ Sedan ไปจนถึง SUV โดยมีเป้าหมายในการออกแบบคือ คุณค่าแห่งอารมณ์และความปรารถนา ที่มีความลงตัวทั้งด้านสัดส่วน, งานวิศวกรรมและสไตล์การออกแบบ

ข้อมูลที่น่าสนใจ Hyundai Le Fil Rouge Concept คือเป็นการย้อนไปศึกษาความเป็น Hyundai ในอดีต ถึงขั้นนำรถต้นแบบ Hyundai Coupe Concept ที่เคยอวดโฉมในปี 1974 มาอ้างอิงกัน

การออกแบบจะยึดมั่นหลักการสัดส่วนทองคำ Golden Ratio ซึ่งเป็นหลักการออกแบบที่สวยงามตามหลักธรรมชาติที่สามารถวัดค่าตัวเลขตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ โดยชูจุดเด่นระยะฐานล้อที่ยาว, มีล้อขนาดใหญ่, มีระยะโอเวอร์แฮงค์ที่สั้น ที่เอื้อต่อการพัฒนาภายในห้องโดยสารให้กว้างขวาง สะดวกสบาย

น่าสนใจไม่น้อยเลยว่าถ้า Hyundai รุ่นใหม่ทั้งหมดมีทิศทางการออกแบบเช่นนี้ ก็น่าจะช่วยทำให้ภาพลักษณ์ Hyundai ดูพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น

Jaguar

Jaguar i-Pace รถยนต์ไฟฟ้า Crossover EV ที่ทำให้วงการรถหรู Shock ไปตามกัน เพราะไม่มีใครกล้าเชื่อว่า Jaguar จะนำความได้เปรียบของ EV Platform มาสร้างรถที่มีขนาดเล็กลงแต่มีขนาดห้องโดยสารเทียบเท่ากับ SUV ขนาดกลาง จนกลายเป็นรถในฝันของเศรษฐีที่เริ่มเบื่อกับรถขนาดใหญ่เต็มทน

ถึง Jaguar i-Pace จะมีขนาดที่ดูเล็กแต่คู่แข่งของมันก็คือ Tesla Model X : SUV EV ที่เคยสร้างความ Shock กันมาก่อนหน้านั้น แต่ดันติดขัดด้วยความไม่ลงตัวในคุณภาพการใช้งานที่สร้างความรำคาญให้แก่เจ้าของเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ได้เปรียบของ Tesla Model X ก็คือมันสามารถติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 ได้ แต่นอกนั้นดูเหมือนว่า Jaguar i-Pace สามารถแข่งขันจนสามารถเทียบชั้นและในประเด็นก็เหนือกว่าด้วยซ้ำ

ห้องโดยสารของ Jaguar I-PACE รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ตกแต่งด้วยวัสดุที่ลูกค้าเลือกได้ตามใจชอบทั้ง หนัง Windsor, วัสดุทดแทนแบบ Premium จาก Kvadrat, สีดำ Piano Black, ลายไม้ Satin Wood Grain และอะลูมิเนียม ส่วนพื้นที่ Headroom ถือว่ากว้างขวาง แม้หลังคาจะลาดต่ำ เนื่องจากมีตำแหน่งเบาะที่เตี้ยนั่นเอง

Jaguar I-PACE ยังมาพร้อมกับกล่องเก็บของขนาด 10.5 ลิตร บริเวณคอลโซลเกียร์ เนื่องจากไม่มีอุโมงค์เกียร์อีกต่อไป ใต้เบาะหลังยังมีช่องสำหรับเก็บ tablet และ laptop ด้วย ส่วนพื้นที่บรรทุกสัมภาระหลังเบาะอยู่ที่ 656 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,453 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง

ขุมพลังของ Jaguar I-PACE เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แต่ละตัวมีหน้าที่ขับเพลาแต่ละฝั่ง ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 696 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที

แบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-ion ขนาด 90kWh ติดตั้งอยู่ระหว่างเพลาขับหน้า – หลัง โดยติดตั้งในตำแหน่งที่ต่ำที่สุด เพื่อให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และมีอัตรากระจายน้ำหนักหน้า : หลัง ในอัตรา 50 : 50 ส่วนการชาร์จไฟสามารถอัดไฟได้ 80% ภายในเวลา 40 นาที เมื่อชาร์จไฟแบบ DC Rapid Charging ขนาด 100kW ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้านผ่าน AC Wall Box ขนาด 7kW ต้องใช้เวลาราว 10 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ระดับไฟเทียบเท่ากัน

Jaguar i-Pace ขอสู้กับ Tesla Model X 75D ด้วยราคาค่าตัว $70,495 ถูกกว่า Model X ที่มีราคา $80,700 งานนี้ไม่ขอวัดดวง แต่ขอชนช้างกันเลย

Kia

Kia ขอเปิดตัวซีรีส์รถ C-Segment พร้อมกันสองคันคือ All NEW Ceed Hatchback และ Ceed Sportswagon ที่มาดับเครื่องชนคู่แข่งใน Segment เดียวกัน

All NEW Kia Ceed ชัดเจนแล้วว่าตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Hyundai i30 ใหม่ บนพื้นตัวถัง K2 Platform ใหม่ที่ช่วยเปลี่ยนบุคลิกใหม่ให้มีมิติที่หลากหลาย จากเดิมที่เป็นแค่ Hatchback ที่มีดีไซน์สปอร์ต ปราดเปรียว ดูขี้เล่นเหมือนเด็ก ๆ ก็กลายเป็นรถ Hatchback แนวสปอร์ตที่ดูสุขุมขึ้นมาก

ตัวรถจะยาวขึ้น, กว้างขึ้นและมีระยะโอเวอร์แฮงค์ท้ายยาวกว่ารุ่นเดิม เน้นสัดส่วนที่ให้มีระยะฐานล้อที่ดูยาว อีกทั้งยังเน้นเส้นสายแนวเส้นตรงเพื่อให้ตัวรถดูยาวยิ่งขึ้น ด้านหน้าเด่นด้วยกระจังหน้า Tiger Nose แบบใหม่ และเพิ่มลูกเล่นไฟ DRL LED แบบ ice cube เพิ่มเสน่ห์ด้วยเส้นสายฝากระโปรงหน้าและขอบซุ้มล้อที่มีเส้นสายเฉียบคมขึ้น

การออกแบบกรอบกระจกห้องโดยสารก็ถือเป็นการพลิกโฉมจาก Kia Cee’d รุ่นก่อน ๆ ด้วยการออกแบบให้ดูคล้ายพระจันทร์ครึ่งลูก ไม่เน้นเส้นสายของขอบกระจกด้านหลังฉวัดเฉวียน สะท้อนบุคลิกของตัวรถที่ดูเติบโตขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มไฟ DRL LED ในด้านหลังอีกด้วย

ขุมพลังมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร T-GDI 120 แรงม้า (PS), เบนซิน 1.4 ลิตร T-GDI 140 แรงม้า (PS) มาแทนที่เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตรปกติ และรุ่นประหยัดเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร MPI 100 แรงม้า (PS)

ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นเครื่องบล็อกใหม่ล่าสุดรหัส ‘U3’ ที่ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO6 ขนาด 1.6 ลิตร CRDi Selective Catalytic Reduction (SCR) ปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์และ NOx ต่ำ มีให้เลือกทั้งแบบ 115 แรงม้า (PS) และ 136 แรงม้า (PS) แต่แรงบิดเท่ากันคือ 280 นิวตันเมตร

ทุกรุ่นเครื่องยนต์จะจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร T-GDI และดีเซล 1.6 ลิตรจะมีเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะให้เลือกด้วย

แต่บอกตรง ๆ ว่างานนี้ Kia Ceed อาจจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกระดับ เพราะวันนี้ได้เจอ All NEW Toyota Auris ที่มีความเปลี่ยนแปลงก้าวกระโดดตั้งแต่ดีไซน์ภายนอกจนถึงช่วงล่างการขับขี่ ก็ยิ่งทำให้ Kia ที่ยังเป็นรองบ่อนกว่าคู่แข่งอาจจะต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น

และเพื่อให้แน่ใจว่า All NEW Kia Ceed จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ Kia จึงส่ง All NEW Kia Ceed Sportswagon ในคราเดียวกัน ตัวรถจะยาวกว่ารุ่นเดิม 95 มิลลิเมตร กว้างกว่าเดิม 20 มิลลิเมตร เตี้ยลง 20 มิลลิเมตร มีระยะฐานล้อเท่าเดิม 2,650 มิลลิเมตร

สิ่งที่น่าสนใจคือ ห้องสัมภาระถูกขยายเพิ่มอีก 72 ลิตรเป็น 600 ลิตร กว้างใหญ่กว่า D-Segment Wagon หลาย ๆ คันเสียอีก พร้อมความอเนกประสงค์ที่จัดเต็มได้แก่ เบาะนั่งหลังพับได้เรียบ 40:20:40 เป็นต้น

Lexus

Lexus UX : Urban Crossover ที่มาแทน CT200h ที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย ตัวรถจะว่าไปเป็นแฝดสยามร่วมกับ Toyota C-HR ก็ว่าได้เพราะใช้พื้นฐาน TNGA ใหม่ล่าสุด แต่ว่าเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น GA-C (Global Architecture – Compact) แทน

มิติตัวถังของ Lexus UX ที่ได้รับการเปิดเผยแล้วคือ ความยาว 4,495 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,639 มิลลิเมตร ส่วนการออกแบบมาในแนวคิด Urban Explore Design โดยด้านหน้ารักษาเอกลักษณ์ของกระจังหน้า Spindle Grille เอาไว้ ผสานเข้ากับไฟหน้า LED ที่มี DRL ทรงตัว L อยู่ ส่วนด้านหน้ามีซุ้มล้อและเส้นสายตัวถังที่คมชัด

ห้องโดยสารของ Lexus UX รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ส่วนการออกแบบเน้นความลื่นตา ให้ทุกอย่างดูเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกัน ตั้งแต่เบาะ, แดชบอร์ด และกระจก โดยเป็นการนำแนวคิดการออกแบบบ้านในญี่ปุ่น ที่ขจัดส่วนที่แบ่งภายนอกและภายในออกจากกัน ทั้งยังมีเสา A-Pillar บางลง เพื่อให้มีทัศนวิสัยที่ดี ส่วนเบาะคนขับให้ความรู้สึกเหมือนขับรถ Sport Hatchback อยู่

วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน Lexus UX มีให้เลือกด้วยกัน 2 วัสดุ 4 สี แบ่งเป็น วัสดุที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกระดาษญี่ปุ่น Washi และวัสดุหนังแบบเดียวกับที่ใช้ใน LC Coupe รวมไปถึง LS นอกจากนั้น ยังมีวัสดุหนังที่ใช้แรงบันดาลใจ มาจากการเนาแบบญี่ปุ่น Sashiko อันเป็นเทคนิคที่ใช้ในการเนาชุดยูโด และชุดเคนโด้ด้วย

ขุมพลังของ Lexus UX มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ และมีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้

UX 200 เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 168 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift-CVT
UX 250h เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร และระบบ Hybrid แบบ Generation ที่ 4 ให้กำลังสูงสุดรวมกัน 176 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four AWD มาพร้อมกับระบบ Predictive Deceleration Supportที่จดจำลักษณะการขับขี่และสภาพถนน เพื่อเตรียมระบบให้พร้อมชาร์จไฟล่วงหน้า เช่น ก่อนถึงทางลงเขา หรือจุดจอดรถยนต์

Mazda

Mazda 6 Wagon Big Minorchange เจริญรอยตามความเปลี่ยนแปลงหลังการเปิดตัวรุ่น Sedan ภายนอกของ Mazda 6 Wagon มาภายใต้ธีม Mature Elegance เหมือน Mazda Vision Coupe ผสานเข้ากับแนวคิด Mazda Premium โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือกระจังหน้าที่กว้างและลึกกว่าเดิม ทำให้ตัวถังดูมีมิติมากขึ้น ไฟหน้าเป็นแบบ LED อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลง พร้อมรวมไฟตัดหมอกไว้ในโคมเดียว นอกจากนั้น ยังเพิ่มล้อขนาด 17 – 19 นิ้วลายใหม่ พร้อมเพิ่มสีแดง Soul Red Crystal นอกจากนี้ Mazda ยังมีการเปลี่ยนรายละเอียดไฟท้ายและกันชนท้ายให้ดูลงตัวยิ่งขึ้น

ห้องโดยสารยกแนวทางการออกแบบใหม่จาก Mazda Vision มาใช้กับแดชบอร์ดของ Mazda 6 พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa, UltraSuede และไม้ Sen บริเวณเบาะ แผงประตู และแผงแดชบอร์ด หน้าปัดเปลี่ยนมาใช้แบบ TFT ขนาด 7.0 นิ้ว ส่วนจอสัมผัสมีขนาด 8 นิ้ว ที่ให้สีคมชัดขึ้น พร้อมติดตั้งระบบ Mazda Connect มาให้

สำหรับตลาดยุโรปจะติดตั้งเครื่องยนต์ที่หลากหลายมาก ได้แก่
SKYACTIV-G 2.0 145 แรงม้าและ 165 แรงม้า (PS)
SKYACTIV-G 2.5 ลิตร 194 แรงม้า (PS) แรงบิด 258 นิวตันเมตร
SKYACTIV-D 2.2 ลิตร 150 แรงม้า (PS) แรงบิด 380 นิวตันเมตร
SKYACTIV-D 2.2 ลิตร 184 แรงม้า (PS) แรงบิด 445 นิวตันเมตร

Mercedes-Benz

All NEW Mercedes-Benz A-Class ที่เมื่อมองเผิน ๆ ก็คิดว่ามันคือการนำตัวเดิมมา Re-Styling, Re-Engineering กันใหม่ ซึ่งเข้าใจถูกต้องกันแล้วครับ แต่ก็ใช่ว่า Daimler AG จะเอารถรุ่นเดิมมาปรับปรุงใหม่ให้ “ดูใหม่” ดื้อ ๆ เหมือนกับรถยนต์บางยี่ห้อ แต่พวกเขาก็พยายามลงทุนปรับปรุงงานวิศวกรรมหลายจุดให้ดูดีและโดดเด่นมากยิ่ง ที่สำคัญพวกเขายังกล้ายกระดับภายในห้องโดยสารครั้งใหญ่ หลังจากที่โดนตำหนิอย่างรุนแรงในรุ่นที่แล้ว

ภายนอกของ All NEW Mercedes-Benz A-Class มาในแบบ compact two-box design มีสัดส่วนที่สปอร์ตกว่าเดิมในทุกมุมมองด้วย ฝากระโปรงหน้าที่ลาดลงกว่าเดิม พร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond Grille เส้นโครเมี่ยมคาดกลาง ไฟหน้าเป็นแบบ LED ซึ่งสามารถติดตั้งไฟ Multibeam LED เพิ่มได้ ด้านข้างดูยาวขึ้นเพราะมีการขยายระยะฐานล้อ ทั้งยังมีซุ้มล้อที่ขนาดใหญ่กว่าเดิม

ยาว x กว้าง x สูง : 4,419 x 1,796 x 1,440 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ : 2,729 มิลลิเมตร (ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม 30 มิลลิเมตร)
ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25
ที่เก็บสัมภาระ ขนาด 370 ลิตร (มากกว่ารุ่นเดิม 29 ลิตร)

ห้องโดยสารของ All NEW Mercedes-Benz A-Class มาพร้อมกับแดชบอร์ดที่โอบล้อมห้องโดยสาร แบ่งระดับ 2 ชั้น ออกแบบให้ดูลื่นไม่สะดุดตาตลอดแนว ผสานเข้ากับหน้าจอคู่ Dual Screen Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ และช่องแอร์เรืองแสงแบบ Turbine ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบ Multi-function 3 ก้าน ท้ายตัด ที่เรียกได้ว่า “ฆ่า” คู่แข่งในระดับเดียวกันทิ้งให้ตายเรียบกัน

สำหรับลูกเล่นอื่นที่น่าสนใจในห้องโดยสาร มีดังนี้

ระบบควบคุม Multimedia “ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ”
ระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบใหม่ ทักทายรถด้วยคำว่า “ Hey Mercedes ”
ไฟสร้างบรรยากาศในรถ Ambient Light 64 สี
ระบบนำทาง Navigation System แสดงผลแบบสมจริง Augment Reality

และด้วยความพิเศษด้านเทคโนโลยีที่อัดแน่นมากเกินตัวขนาดนี้ก็ทำให้ Mercedes-Benz กล้าตั้งราคา All NEW A-Class ให้แพงกว่า BMW 1 Series และ Audi A3 เข้าไปอีก ถ้าหากใครไม่ชอบตัวถัง Hatchback ก็รอเวอร์ชัน Sedan ที่น่าจะเปิดตัวได้ในปี 2019 นี้

Mercedes-AMG GT 4 Door Coupe’ ชื่อรุ่นที่ดูแปลก ๆ ไปเสียหน่อยเพราะรถคันนี้ไม่ได้ใช้พื้นฐานอันใดร่วมกับ GT Roadster เลยแม้แต่น้อย แต่ดันใช้พื้นตัวถัง MRA (Modular Rear Architecture) ดังนั้น สัดส่วนของตัวรถครึ่งคันหน้าแทบจะคล้ายกับ Mercedes-Benz CLS เป็นอย่างมาก

Mercedes-AMG GT 4 Door Coupe’ มีให้เลือก 3 รุ่น 3 พลังได้แก่

GT 53 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร Turbo บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 21 แรงม้า (HP) ที่ให้พละกำลังรวมกัน 435 แรงม้า (PS) ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง

GT 63 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Bi-Turbo 585 แรงม้า (PS) แรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง

GT 63 S 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Bi-Turbo 639 แรงม้า (PS) แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กิโลเมตร/ชั่วโมง

รุ่น GT 63 4MATIC+ และ GT 63 S 4MATIC+ จับคู่เกียร์อัตโนมัติ MCT 9 จังหวะพร้อมช่วงล่างถุงลม multi-chamber และระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ ส่วนรุ่น GT 53 4MATIC+ ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ MCT 9 จังหวะเหมือนกัน

Nissan

Nissan IMX Kuro Concept รถต้นแบบ EV SUV จาก IMX Concept โดยมีความแตกต่างคือ อัพเดทกระจังหน้าใหม่, พ่นรมดำมากขึ้นและ เปลี่ยนโทนสีภายนอกใหม่

ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือเทคโนโลยี Brain-to-Vehicle (B2V) สั่งการจากสมองมนุษย์สุดล้ำ พร้อมติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 429 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 600 กิโลเมตร โดยรวมๆ ก็ถือเป็นการตอกย้ำนวัตกรรม ที่ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เรารู้และได้เห็นจะเกิดขึ้นเมื่อไรกันแน่

Peugeot

All NEW Peugeot 508 การเปิดตัวที่มาพร้อมกับความฮือฮา เพราะไม่มีใครคาดคิดว่านี่คือ D-Segment Sedan จากค่ายรถยุโรปที่ฉีกแนวคู่แข่งไปไกลด้วยดีไซน์ภายนอก-ภายในที่ดูสปอร์ตเต็มพิกัด ไม่เหมือนเป็นรถที่เอาใจครอบครัวเป็นหลัก แต่เหมือนเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้คนที่ชื่นชอบความแตกต่าง

All NEW Peugeot 508 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง EMP2 Platform ใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับดีไซน์ New Low Coupe ตัวรถลาดเตี้ยคล้ายกับรถสปอร์ต

All NEW Peugeot 508 กล้าออกมาสู้กับ SUV ด้วยการเปลี่ยนตัวถัง D-Segment 4 ประตู ที่เคยชินเป็นตัวถัง 5 ประตู Fastback Coupe-Saloon Style แทน ทั้งยังมาพร้อมกับกระจกประตูแบบไร้กรอบ Frameless Door และ ความสูงตัวรถเพียง 1,400 มิลลิเมตร

มิติตัวถังของ All NEW Peugeot 508 ที่ได้รับการเปิดเผยแล้วคือ ความยาว x ความสูง : 4,750 x 1,400 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม จะพบว่ารุ่นใหม่ สั้นลง 80 มิลลิเมตร และ เตี้ยลง 60 มิลลิเมตร นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แปลกมาก เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ มักจะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิม

ห้องโดยสารเป็นแบบ i-Cockpit อันเป็น design language ภายในของ Peugeot ในยุคหลัง ซึ่งมีอุปกรณ์สำคัญ ประกอบไปด้วย พวงมาลัยท้ายตัดขนาดเล็ก, หน้าจอแสดงผลแบบ ขนาด 10 นิ้ว และหน้าปัดขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Head-Up Display ซึ่งหน้าจอเหล่านี้ สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 6 รูปแบบ

Peugeot Rifter เป็นรถตู้ฝาแฝด All NEW Citroen Berlingo Multispace และ Opel Combo ด้านนอกมาในสไตล์เหลี่ยมสัน ด้านหน้าดูหล่อคล้าย Peugeot SUV ส่วนภายในห้องโดยสารมีแค่แผงแดชบอร์ดกลางที่ดูคล้ายกับของฝั่ง Citroen แต่ทว่าชิ้นส่วนภายในอื่น ๆ มีการประยุกต์เส้นสาย i-Cockpit ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาประยุกต์เข้าด้วยกัน ถ้าไม่คิดว่าภายในเป็นพลาสติกล้วนทั้งหมด ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวนัก

Porsche

Porsche Mission E Cross Turismo รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบจาก Porsche ได้ขยายจากตัวถัง Sedan ไปยังตัวถัง Crossover แล้วในชื่อ Porsche Mission E Cross Turismo ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 600 แรงม้า สามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 400 กิโลเมตร หลังชาร์จไฟเพียงเวลา 15 นาที พร้อมช่วงล่างยกสูง ให้พร้อมลุยทางวิบากได้แบบพอหอมปากหอมคอ

ภายนอกของ Porsche Mission E Cross Turismo ผสมผสานเอกลักษณ์จากพี่น้องร่วมค่ายในหลายรุ่น โดยด้านหน้าดูคล้ายกับ 911 ด้วยไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมไฟ DRL กันชนหน้ามีช่องดักลมแนวตั้ง ส่วนแนวหลังคาเป็นแบบ flyline คล้ายกับของ Panamera Sport Turismo ล้อมีขนาด 20 นิ้ว มากับยาง 275/40 พร้อมเสริมภาพลักษณ์ off-road ด้วยช่วงล่างยกสูง และกาบกันกระแทกสีดำรอบคัน

การออกแบบภายใน ให้อารมณ์ Porsche ย้อนยุคด้วยแดชบอร์ดที่แยกออกจากกันเป็น 2 ชั้น ผสานเข้ากับความทันสมัยด้วยหน้าจอแสดงผล ยาวตลอดแนวแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสาร เบาะทรงสปอร์ตทั้งแถวหน้าและแถวหลัง มีคอลโซลกั้นกลางตลอดแนว ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ เพื่อตอบโจทย์การทำกิจกรรมต่างๆ โดยมีความสูงถึงเพดาน 1,420 มิลลิเมตร และยังพับเบาะได้หลายรูปแบบ

ขุมพลังของ Porsche Mission E Cross Turismo มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ permanent magnet synchronous motors จำนวน 2 ตัว ให้กำลังสูงสุดรวมกัน 600 แรงม้า ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบกระจายแรงบิดในแต่ละล้อ Porsche Torque Vectoring ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที และ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 12 วินาที

แบตเตอรี่เป็นแบบ lithium-ion ขนาด 800 โวลต์ สามารถชาร์จไฟผ่านแบบ Quick Charge ให้มีกำลังไฟมากพอ สำหรับการขับขี่เป็นระยะทาง 400 กิโลเมตร ภายในเวลา 15 นาที พร้อมรองรับการชาร์จไฟผ่านระบบ Porsche home energy storage system ซึ่งเป็นระบบที่ปั่นไฟขึ้นมาจากพลังงานแสงอาทิตย์

Range Rover

แนวความคิดที่จะขยายไลน์รถไปสู่ SUV แบบ 3 ประตู Coupe’ ของ Range Rover ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเสียที ด้วย Range Rover SV Coupe’ : Top of The Line SUV ที่มีระดับสูง และคาดว่า SUV 3 ประตูจะขยายไลน์ไปสู่รุ่นอื่น ๆ ด้วยแน่นอน

Range Rover SV Coupe’ เป็นการรังสรรค์โดยแผนกพิเศษ SVO (Special Vehicle Operations) ทีมพัฒนาต่อยอดงานวิศวกรรมดั้งเดิมเพื่อสร้างความแปลกใหม่ โดยยึดรากฐานของความเป็น Range Rover รุ่นดั้งเดิมในปี 1970-1996 ที่มีรุ่น 3 ประตูให้เลือก แต่การกลับมาในครั้งนี้มันพิเศษกว่ายิ่งนัก

เหตุผลเดียวที่ทำไมต้องมีชื่อ Coupe’ ต่อท้ายเพราะทีมออกแบบได้กำหนดนิยาม Range Rover SV Coupe’ ให้มีบั้นท้ายยาวและมีแนวลาดราวกับรถ Coupe’ เราจึงสังเกตได้ว่าตัวรถจะให้อารมณ์คล้าย ๆ รถพวก Shooting Brake ที่มีระยะโอเวอร์แฮงค์ท้ายยาวยื่นขนาดนั้น และรวมถึงความพยายามในการออกแบบแนวหลังคา Floating Roof ที่ดูแปลกตาไปเสียหน่อย พร้อมทั้งออกแบบบานประตูแบบ Frameless Design

ความพิเศษที่มากกว่านั้นคือการยกระดับภายในห้องโดยสาร Range Rover SV Coupe’ ให้ดูน่าอภิรมย์ราวกับเป็นห้องโดยสารเครื่องบิน jet หรูส่วนบุคคล ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังหุ้มหนัง พิมพ์ลายสี่เหลี่ยมอัญมณีชั้นดี นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทางโรงงานจะติดตั้งด้วยมือเป็นอย่างดี พร้อมทั้งสามารถเลือกสีภายในห้องโดยสารให้จับคู่กันเป็นร้อย ๆ สีได้

Range Rover SV Coupe’ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V8 5.0 ลิตร Supercharge ทำความเร็ว 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 5 วินาที ความเร็วสูงสุด 265 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ความหรูหราพิเศษเช่นนี้จะเตรียมส่งมอบภายในไตรมาส 4 ของปี 2018 ราคาในอังกฤษเริ่มที่ 240,000 ปอนด์ หรือ 10,400,000 บาท

Renault

Renault EZ-GO Concept ชื่อละม้ายกับชื่ออาหารแช่แข็งเจ้าหนึ่ง แต่สำหรับคันนี้มันเป็นรถสำหรับใช้งานในเมืองที่ติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 4 ที่รองรับผู้โดยสารถึง 6 ท่าน ตัวยานพาหนะเป็นโครงโปร่งรอบคัน ที่เน้นโครงสร้างใหญ่หนาแกร่งและมีพื้นที่เข้า-ออกห้องโดยสารสะดวก

Renault EZ-GO Concept จะจอดรับ-ส่ง ณ จุดจอดรถเฉพาะกิจสำหรับรถคันนี้ และเนื่องจากมันเป็นยานพาหนะสำหรับในเมืองจริง ๆ ก็เลยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังขับน้อย เพราะมันถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แนวคิดการทำรถลักษณะนี้น่าสนใจ และมันคงไม่ได้มาแทนที่ Mini Bus หรือระบบขนส่งมวลชนใด ๆ แต่เป็นแค่ทางเลือกใหม่สำหรับชุมชนที่มีระยะทางวิ่งไม่ไกลนัก

Rimac

Rimac นางคือใคร? พวกเขาคือผู้ผลิตรถสปอร์ตทางเลือกใหม่จากโครเอเทีย (Croatia) ก่อกำเนิดมาจากงานอดิเรกที่นำรถมาโมดิฟายด์ในโรงรถเมื่อปี 2007 โดย Mate Rimac จนสามารถรวบรวมโอกาสและเงินทุนก่อตั้งบริษั่ทในปี 2009 และขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่มีอายุน้อยมากเพราะสมัยนั้น Mate Rimac อายุแค่เพียง 19 ปีเท่านั้น

นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท พวกเขาก็พัฒนารถสปอร์ตต้นแบบกันไม่หยุดยั้ง โดยผลงานเด่นที่สุดคือ Rimac Concept 2 รถสปอร์ตที่ดูแล้วน่าจะพร้อมออกมาวิ่งบนถนนจริงมากที่สุด และแล้วในที่สุดฝันนั้นก็เป็นจริง

Rimac C_Two คือการสานฝันของ Concept 2 ให้กลายเป็นรถคันจริงที่เศรษฐีสามารถสัมผัสกันได้เสียที โดยมีจุดเด่นด้านขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวให้กำลังรวมกันสูงสุด 1,914 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 2,300 นิวตันเมตร แรงชนิดเอาช้างสารก็ฉุดไม่อยู่ ทำความเร็ว 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 1.85 วินาที เรียกว่าเฉือนกับ Tesla Roadster แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทำความเร็ว 0-160 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 412 กิโลเมตร/ชั่วโมง

มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวจะส่งกำลังยังแต่ละล้อ พ่วงด้วยแบตเตอรี่ขนาด 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ที่ช่วยให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีการขับขี่บนสนามแข่ง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 650 กิโลเมตร

เห็นเป็นรถสปอร์ตพร้อมแข่งเช่นนี้ อย่าคิดว่าจะทอดทิ้งเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อื่น ๆ เพราะ Rimac มีวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ดีเยี่ยม ถึงขนาดติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ Level4 ที่ผนึกกำลังกับกล้อง 8 ตัว, LIDAR, เรดาร์ 6 ตัว, Ultrasonic Sensor และ GPS ที่มีความแม่นยำสูง

Skoda

เป็นแบรนด์เล็ก ๆ ในเครือ Volkswagen ที่ไม่ธรรมดาจนทำให้บรรดาคนที่ทำงานใน Volkswagen ต่างพากันตาร้อนและเล่นเกมส์การเมืองเพื่องัดข้อไม่ให้ Skoda โดดเด่นไปมากกว่านี้ โอเค ต้องยอมรับว่าแบรนด์ Skoda เป็นรองในด้านการรับรู้ของลูกค้าชาวยุโรปตะวันตกเยอะ แต่ในเมื่อมันเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ลูกค้าก็เริ่มรู้ว่าถ้าได้ของดีเท่า ๆ กับ Volkswagen แล้วจะจ่ายแพงกว่าทำไม?

Skoda ได้อวดรถที่เฉลิมฉลองความสำเร็จด้วย Fabia Minorchange ดีไซน์ด้านหน้าถูกออกแบบใหม่ด้วยไฟหน้าทรงใหม่คล้ายทรงสามเหลี่ยม Polygon ควบคู่กับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่คล้ายรูปหัวใจ ส่วนกันชนหน้าไม่แตกต่างจากเดิมนัก แต่มีการเพิ่มมิติลงไปใต้ไฟหน้า พร้อมไฟหน้า-ไฟท้าย LED ใหม่ และมีสิ่งหนึ่งที่ Skoda ใจป้ำติดตั้งมาให้คือ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่ช่วยทำให้ตัวรถดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น

หน้าจอสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว ที่มีชื่อเรียกว่า ‘Swing’ ที่รองรับการบริการด้านออนไลน์จาก Skoda พร้อมทั้งระบบนำทาง ’Amundsen ’ ที่สามารถแสดงผลแบบ Real-Time, SmartLink+ รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทุกระบบปฏิบัติการ

Skoda Vision X Concept ฝาแฝด Volkswagen T-Roc ที่มาพร้อมทิศทางการออกแบบที่ดูใกล้เคียงกับ Kodiaq และ Karoq : SUV รุ่นพี่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือการออกแบบกระจังหน้าที่มีเหลี่ยมมุมมากยิ่งขึ้นที่มาพร้อมกับกันชนหน้าที่ถูกออกแบบให้กระจังหน้าดูเด่นเสมือน 3 มิติ และที่สำคัญยังเพิ่มมิติขอบมุมตัวถังที่ดูเหลี่ยมสันบึกบึนขึ้น โดยไม่ละทิ้งเส้นสายที่มีมิติแบบ Crystalline ตามฉบับ Skoda

ภายในห้องโดยสารดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่า Volkswagen T-Roc มาก ที่ถึงแม้ว่า Layout ของมันจะดูธรรมดา ๆ แต่การจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ทำให้ Skoda Vision X Concept ดูน่าสนใจขึ้นมาก แผงแดชบอร์ดถูกออกแบบเป็นแนวกว้างเพื่อความโปร่งตา และเน้นพื้นที่ภายในห้องโดยสาร

แต่ด้วยความที่ Skoda ได้วางตำแหน่ง Vision X Concept ให้เป็น Urban Crossover ที่เน้นความสปอร์ตและรองรับการไลฟ์สไตล์ที่น่าตื่นเต้น พวกเขาจึงคัดเลือกวัสดุผ้า, วัสดุสังเหคราะห์และยาง บุหุ้มภายในห้องโดยสาร

Ssangyong

ส.แสงยนต์ของพวกเราได้ออกรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า Musso Truck เป็นการกลับมาใหม่ของชื่อ Musso ที่คนชาวยุค 90s คุ้นเคยกันว่ามันเคยเป็นชื่อของ SUV ใหญ่ที่เคยจำหน่ายในไทยมาก่อน คราวนี้กลับมาใหม่เป็นรถกระบะ

Ssangyong Musso Truck เป็นรถกระบะที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ Rexton ที่ยืนยันว่ามันสามารถรองรับการบรรทุกได้ถึง 1 ตัน รองรับน้ำหนักลากจูงถึง 3.5 ตัน

ดีไซน์ภายนอกจะเป็นการดัดแปลงจาก Rexton พร้อมกับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ดูถึกขึ้น ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะใช้ข้าวของร่วมกับ Rexton ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 181 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

Subaru

นับตั้งแต่ Subaru ได้เผยโฉมตระกูลรถยนต์ต้นแบบ Viziv ในปี 2013 เพื่อแสดงออกถึงทิศทางของแบรนด์ดาวลูกไก่ที่มีต่อรถยนต์ในอนาคต ทั้งการออกแบบและเทคโนโลยีโดยมุ่งหวังเพื่อการสร้างรถที่ทำให้ลูกค้าเพลินเพลินและความสงบจิตสงบใจ

Subaru Viziv Tourer Concept จะเป็นรถแนวคิดที่ขับขี่อย่างเพลิดเพลินภายใต้ทรงตัวถังแวกอน มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Symmetrical AWD และเครื่องยนต์ Boxer

เส้นสายภายนอกที่ดูแรงเข้มกว่ารถต้นแบบ Subaru Viviz Concept อื่น ๆ แนวกระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมที่มีมิติพุ่งไปด้านหน้ามากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างมิติให้ดูลึกขึ้น, เส้นสายซุ้มโป่งล้อที่ดุดันช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นรถยนต์ที่ขับขี่สนุกและมอบความรู้สึกปลอดภัย

Tata

Tata โชว์ศักยภาพในการพัฒนารถยนต์ที่ก้าวล้ำด้วย EVision Concept ภายนอกของ Tata EVision Concept ออกแบบด้วยปรัชญา IMPACT 2.0 โดยมีเอกลักษณ์เป็น Humanity Line หรือเส้นอลูมิเนียมปัดเงารอบตัวถังทั้งกระจังหน้า, ใต้กันชนหน้า-หลัง, คิ้วหลังคา และชายล่างของประตู ด้านหลังมาพร้อมกับไฟท้ายแบบ animated ที่ให้แสงสว่างแบบเคลื่อนไหวได้ โดยเปล่งแสงจากด้านในตัวถังออกสู่ด้านนอก

ภายในห้องโดยสาร มีจอแสดงผล 2 หน้าจอ ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้งาน สั่งการเท่านั้น ส่วนพื้นที่ใต้แดชบอร์ด ไม่มีอุปกรณ์ใดทั้งสิ้น เพื่อให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เบาะหลังสามารถปรับได้หลายรูปแบบ โดยผู้ใช้งานสามารถสั่งการผ่านหน้าจอควบคุมบริเวณกึ่งกลางเบาะได้ และผู้ผลิตยังระบุด้วยว่ามีพื้นที่ทั้ง headroom และ knee room มากกว่าใคร

Toyota

All NEW Toyota Auris ที่กล้าเปิดตัวท้าชนกับ All NEW Kia Ceed แต่ดูเหมือนว่างานนี้โชคจะเข้าข้าง Toyota เสียหน่อยเพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของ Auris น่าจะทำให้ลูกค้าชาวยุโรปตกตะลึงกันไม่น้อย

Toyota ยังคงยึดมั่นแนวความคิดกระจังหน้า Keen Look และช่องดักลมกันชนหน้าใหญ่โต Under Priority แต่มีพัฒนาการที่ก้าวไปสู่สิ่งใหม่และล้ำสมัยมากขึ้น สัดส่วนตัวถังดูคล้าย Auris ตัวแรกแต่มีมิติตัวรถที่เตี้ยลง เพราะสร้างบนพื้นฐาน TNGA

ตัวรถมีความยาวเพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 35 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง 25 มิลลิเมตร ส่งผลให้ตัวรถดูเพรียวกว่ารุ่นเดิม และน่าดึงดูดมากขึ้น ด้วยบริเวณห้องเครื่องที่ดูเตี้ยและขนานไปกับพื้นถนนมากขึ้น ที่นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้รถดูสวยงามแล้ว มันก็ยังทำให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้ดีขึ้น

All NEW Toyota Auris จะมีขุมพลังหลากขนาดให้เลือก ตั้งแต่

  • เบนซิน 1.2 ลิตร Turbo 122 แรงม้า
  • เบนซิน 1.8 ลิตร
  • เบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid THS-II 180 แรงม้า

All NEW Toyota Auris อาจจะยากที่เข้ามาขายในไทย เพราะดูมีบางสิ่งบางอย่างที่เข้าตาคนยุโรปมากกว่า แต่ก็จงจับตาไว้ให้ดีว่า Platform แบบนี้, ทิศทางการออกแบบอย่างนี้ จะเข้าไปสิงสู่ใน All NEW Toyota Corolla (Altis) แน่นอน

Toyota Aygo Minorchange รถเล็กที่ดูเหมือนว่ายอดขายก็เล็กตามไปด้วย เพราะกระแส A-Segment ในยุโรปก็ไม่ได้มาแรงมากเท่าไรนัก แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่งคือ Toyota เริ่มดำเนินการปรับปรุงตัวรถที่นอกเหนือจากหน้าตาแล้ว ก็ยังมีการปรับปรุงงานวิศวกรรมให้มันดีขึ้นด้วย

หากไม่สังเกตให้ดี หลายคนจะไม่รู้เลยว่า Toyota Aygo Minorchange ได้มีการเปลี่ยนทรงไฟหน้าใหม่จากเดิมเป็นทรง คล้าย 4 เหลี่ยม ก็กลายเป็นไฟหน้าทรงเรียวยาวพร้อมไฟ DRL LED อลังการ, กระจังหน้าทรง X-Shape เช่นเคย แต่เปลี่ยนรายละเอียดการออกแบบใหม่ที่ดูมีราคาขึ้น, ช่องดักลมกันชนหน้าสไตล์ดุดัน และเพิ่มแถบชิ้นส่วน 3 เหลี่ยมสีดำ ติดตั้งใต้ไฟหน้า ทำให้ดูเสมือนเป็นช่องดักลมกันชนหน้า ส่วนดีไซน์ด้านท้ายไม่ต่างจากรุ่นเดิม ยกเว้นการออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่ พร้อม DRL LED

เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ รหัส 1KR-FE ขนาด 1.0 ลิตร 996 ซีซี DOHC 12 วาล์ว VVT-I ปรับปรุงใหม่ผ่านมาตรฐานค่าไอเสีย EURO 6.2 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดคู่, เพิ่มกำลังอัดให้สูงขึ้น, ออกแบบชิ้นส่วนใหม่ให้ลดแรงเสียดทาน, ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยไอเสีย EGR, ปรับปรุง Balance Shaft เพื่อลดการสั่นสะเทือน ขณะเครื่องเดินรอบเบา ช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงกว่าเดิม รีดสมรรถนะสูงสุดขณะขับขี่ในเมือง

ให้กำลัง 72 แรงม้า (DIN HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 93 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 13.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแค่เพียง 3.9 ลิตร/100 กิโลเมตรหรือ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร

นอกจากนี้ Toyota ยังใส่ใจกับคุณภาพการซีลและเพิ่มวัสดุซับเสียงบริเวณแดชบอร์ด, เสา A, ประตูและแผงกั้นสัมภาระ เพื่อลดอาการสั่นสะเทือน, เสียงรบกวนและความกระด้าง

ในที่สุด เราก็ได้เห็นการกลับมาของรถสปอร์ตในตำนานอย่าง Toyota Supra หลังหยุดผลิตไปตั้งแต่ปี 2002 ที่กลับมาในร่างของรถแข่งต้นแบบชื่อ Toyota GR Supra Racing Concept ซึ่งเชื่อกันว่านี่จะถูกนำไปพัฒนาต่อเป็นรถยนต์ที่ใช้ออกจำหน่ายจริง เพื่อสานต่อตำนานของสปอร์ตประจำค่าย ผู้ผลิตระบุว่า Toyota GR Supra Racing Concept เป็นรถ 2 ประตูขนาด Compact มีมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 4,574 x 2,048 x 1,230 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ : 2,470 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ทั้งยังมาพร้อมกับโครงสร้าง ที่ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีน้ำหนักเบาขั้นสูง ส่วนหมายเลข 90 ที่ประตูสื่อถึงรหัสเรียก Supra ในอดีต

การออกแบบของ Toyota GR Supra Racing Concept ต้องการสื่อให้เห็นถึงข้อความ fun to drive ในรูปแบบของรถแข่งที่พร้อมลงสนามด้วย กันชนหน้า – หลังที่ยื่นออกมารับกับซุ้มล้อ, ชายกันชนหน้า, ดิฟฟิวเซอร์หลัง, สเกิร์ตข้าง, กระจกมองข้างแบบรถแข่ง, สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่, ฝากระโปรงหน้าเจาะช่อง และกระจกรอบคันทำจากพลาสติก
ห้องโดยสารมาพร้อมกับแดชบอร์ดและหน้าปัดสไตล์รถแข่ง ส่วนแผงประตูทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งยังมี Paddle Shift มาให้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีเบาะคนขับ และพวงมาลัยถอดคอได้ง่ายจาก OMP ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยมีทั้ง เข็มขัดนิรภัย 6 จุด, โรลบาร์เต็มลำ และถังดับเพลิง พร้อมแป้นเหยียบ, สายเบรก, สายเชื้อเพลิง และการเดินสายไฟ ตามมาตรฐานรถแข่ง

ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า Toyota GR Supra Racing Concept จะใช้ขุมพลังแบบใด ส่วนช่วงล่างเป็นแบบโหลดเตี้ยจากโรงงาน พร้อมล้อน็อตล็อคกลางจาก BBS รัดด้วยยางจาก Michelin ส่วนคาลิปเปอร์เบรกเป็นของ Brembo Racing ทั้งยังมีท่อไอเสียแบบรถแข่งด้วย

Toyota GR Supra Racing Concept จะปรากฏตัวอีกครั้งในเกมส์ Gran Turismo Sport ซึ่งมีกำหนดออกจำหน่ายในเดือนเมษายนปีนี้ แต่รถยนต์คันจริงจะมาเมื่อใดนั้น โปรดติดตามชม

Volvo

All NEW Volvo V60 คือลำดับการเปิดตัวที่แปลกประหลาดที่สุดของ Volvo เพราะโดยปกติ พวกเขามักจะเปิดตัวรถตัวถัง Sedan ก่อน แต่คราวนี้ดันเปิดตัวรถทรง Wagon ก่อน ซึ่งเมื่อดูภาพ Spyshot ของ S60 ใหม่ ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องจัดลำดับการเปิดตัวแบบนี้

รูปลักษณ์ของ All NEW Volvo V60 ได้รับการนิยามโดย Robin Page รองประธานอาวุโสฝ่ายออกแบบของ Volvo ว่ามีสัดส่วนที่สวยงามและลงตัว ทั้งยังผสานประโยชน์ใช้สอยเอาไว้ด้วยกัน ส่วนภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับระบบ Volvo Cars’ Sensus รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto, Apple CarPlay และ 4G ผ่านหน้าจอแสดงผลแบบ Tablet ที่แสดงข้อมูลของรถยนต์และระบบนำทางได้ด้วย

ระบบความปลอดภัยใน All NEW Volvo V60 ไม่ทำให้เสียชื่อบริษัทแน่นอนกับ ระบบเบรกอัตโนมัติ City Safety หนึ่งเดียวในตลาดที่สามารถตรวจจับคนเดินถนน จักรยาน และสัตว์ขนาดใหญ่ได้ ทั้งยังทำงานเมื่อพบความเสี่ยงที่จะปะทะกับรถวิ่งสวนทาง ได้เป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย

นอกจากนั้น ยังมีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist system ที่เร่งและลดความเร็ว พร้อมควบคุมพวงมาลัยได้เองบนถนนที่มีเส้นจราจรชัดเจน โดยทำความเร็วได้สูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นมีทั้ง ระบบแจ้งเตือนรถสวนทาง Oncoming Lane Mitigation, ระบบแจ้งเตือนเมื่อเสียหลักลงข้างทาง Run-off Road Mitigation และระบบ Active Safety อื่นอีกหลายรายการ

Volkswagen

Volkswagen I.D. Vizzion Concept เป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างมากว่ามันอาจจะเป็น Next Phaeton ในรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมออกจำหน่ายในปี 2022 นั่นก็หมายความว่าเจ้านี่เป็นคู่แข่ง Tesla Model S อย่างช่วยไม่ได้

สิ่งที่โดดเด่นเอามาก ๆ เลยก็คือ มันติดตั้งเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Level 5 พร้อมระบบ A.I. หรือที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์สมบูรณ์แบบ ก็เรียกได้ว่าสามารถสั่งการได้ตามปรารถนา ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 201 แรงม้า ด้านหลัง 302 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดภายใน 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 664 กิโลเมตร