“กล้วยว่า มันเหมือน ปลาวาฬ ORGA อะ”

เจ้ากล้วยน้อย BnN อันย่อมาจาก Banana ในทีม The Coup ของเรา เริ่มต้นใช้ฝีปาก อันแสบคัน
ฮากันขี้แตก กับความคมกริบ เชือดเฉือน ของแต่ละถ้อยวจี จนเล่นเอาตะไกรทำแผลในห้องผ่าตัด
ของโรงพยาบาล ดูทื่อไปเลย ทำลายความเงียบด้วยการ ออกความเห็นเกี่ยวกับเส้นสายภายนอก
ของรถคันที่จอดสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าตนกันอย่างไม่อ้อมค้อม

“เฮ้ย แต่พี่ชอบรุ่นนี้หวะ มันสวยกว่ารุ่นที่แล้วเยอะเลย”
ผม ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มาแล้วพักใหญ่ ขอมีส่วนร่วมในวงสนทนากับเขาบ้าง

“แต่พี่ว่า เหมือนอย่างอื่นมากกว่าหวะ….ฮี่ๆๆ”

ท่านผู้เกิน Commander CHENG! ก็เริ่มออกความเห็นตามมาติดๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแฉ่ง และสายตาเต็มเปี่ยม
ด้วยเลศนัย แต่อย่าให้ผมบอกเลยเถอะว่าท่านผู้การจอมเกิน เขามองว่ารถคันนี้ มันชวนให้นึกถึงอะไร…
ฟังแล้ว ก็ฮากันวงแตกไปเลย…แต่ ผมขอไม่เขียนต่อในที่นี้แล้วกันนะครับ คือ มัน….ติดเรท…เอ่อ….
กากบาท 13 ผู้ปกครองควรพิจารณาร่วมกับบุตรหลานของท่าน กันเลยทีเดียว


ไม่ขอเขียนต่อแล้วกัน ขืนผมเขียนแปะลงไปตรงนี้ คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะหัวเราะพรวดพราดดังนั่น
จนผู้คนเขารู้กันว่า คุณๆ อู้งาน หลบมาอ่านรีวิวที่ผมทำอยู่ หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะหลุดปากด่าทอได้ว่า
ไอ้จิมมี่ กับไอ้ผู้การเนี่ย มัน แรงเกินนนนนน แถมยังรับประกันได้เป็นมั่นเหมาะ อีกชัวร์ป้าดว่า
BMW Thailand อาจถึงขั้นโทรมาด่า และ อาจงดส่งมอบรถให้ผมยืมไปเลยตลอดชาติ….(ฮ่าๆๆ)

เพราะต่อให้ พี่บีเวอร์ และพี่ไหม ของ BMW Thailand จะยินดี ปล่อยให้ผมวิพากษ์วิจารณ์รถของบริษัทเขา
อย่างเต็มที่ ขอให้ตรงไปตรงมาก็พอ แต่การจะเขียนวิจารณ์กันทั้งที ก็ควรจะมีขอบเขต อย่างที่สุภาพชนควรทำ
ทะลึ่งทะเล้น เพียงนิดหนะพองาม แต่ไอ้ที่เกินงาม จนอาจเป็นตัวอย่างไม่ดี แก่เยาวชนตาใสซื่อ เราก็ต้อง
กลั่นกรองให้เรียบร้อยแล้วเสียก่อน เหมือนเช่นที่ผมทำมาโดยตลอด

คือ วิพากษ์วิจารณ์กันในแง่มุม สมรรถนะจากตัวรถมันเป็น กันจริงๆ ไม่ใช่นึกจะใช้พื้นที่ (ทั้งที่ใช่
และไม่ใช่ของตนเอง) เขียนด่าคนอื่นเขาไปทั่ว อย่างคะนองคีย์บอร์ด หรือ วิจารณ์งานออกแบบ
กันอย่างองุ่นเปรี้ยว เพราะงานออกแบบ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยรสนิยมของปัจเจกชน
ที่แตกต่างกัน บางคน (เช่นผม) อาจมองว่า รถคันนี้สวยจัง ชอบที่สุดแล้ว แต่ บางคนอาจบอกว่า
อุบาทว์อัปรีย์ ยี้ปากห้อยเป็นที่สุด ก็เป็นได้ทั้งสิ้น เหมือน การกินอาหารตามร้านประเภทเชลล์ชวนชิม
ละครับ ร้านเดียวกันแท้ๆ ข้าวขาหมูหรือเย็นตาโฟ จานชามเดียวกันแท้ๆ ลิ้นแต่ละคน แต่ละคนยังมี
ความเห็นที่แตกต่างกันได้เลย

เอาละ ไม่ว่าใคร จะมองรถคันนี้ ว่าเหมือนอะไร อย่างไร แต่ในที่สุด รถรุ่นนี้ ก็จอดอยู่กับเรา
ริมชายหาดบางแสน กันตรงนี้ เรียบร้อยแล้ว รถในฝันของใครหลายๆคน โดยเฉพาะ น้องกวาง
วง AB normal (เพราะจำได้ว่า เจ้าตัวเขาเคยฝันอยากได้รถรุ่นนี้ และในที่สุด ก็ลงท้ายด้วยการ
สานฝันให้เป็นจริง ซื้อรถรุ่นก่อน มาครอบครองได้สำเร็จสมดังใจ)

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผมได้แต่เฝ้ามอง Z4 รุ่นเก่าแล่นผ่านหน้าไปหลายคัน โดยไม่ได้คิดฝันหรือติดใจ
อะไรนัก นอกเสียจากว่า ถ้าได้ลองขับ สักครั้ง ก็คงจะดี โดยไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ตอนนี้ Z4 ใหม่
จะมาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านผมแล้วในตอนนี้ เพราะผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า BMW จะปล่อย Z4
ให้เว็บไซต์ Headlightmag.com ของเรานำมาทดลองขับกัน

แม้ว่า 1 สัปดาห์ ก่อนหน้าที่ ผมจะไปรับ Z4 คันสีน้ำเงิน คันนี้ มาทำรีวิวให้คุณๆได้อ่าน ฟ้าฝน
ห่าใหญ่ โหมกระหน่ำโครมคราม เกินกว่าปกติ ใส่นิวาสถานย่านบางนาของผม อย่างหนักหนา
เล่นเอาทั้งหน้าบ้าน ในบ้าน แทบจะกลายเป็นบรรยากาศ บ้านกลางทะเลสาบ

เปล่านะ ไม่ใช่ บ้านริมทะเลสาบ แต่ เป็น กลางทะเลสาบ เพราะ น้ำ มันท่วมเข้ามาเป็นบ้าเป็นหลัง
วิดน้ำกันสนุกสนานมาก หน้าปากซอยก็น้ำท่วม

ผมได้แต่ดีใจ ที่ เรานัดรับรถกัน ในวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม อันเป็นช่วงที่พายุ กฤษณา ผ่านพ้นไปพอดี
เพราะ ผมเชื่อว่า มันคงเป็นภาพที่ยากเกินจิตจะบรรยาย หากคุณต้องเห็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์
สุดไฮโซ คันนี้ ต้องคลานต้วมเตี้ยม ลุยน้ำตุ๊บป่องๆ ทำหน้าเป็น “วาฬน้อยลอยน้ำ”  ชวนให้ผม
หวาดเสียวว่า น้ำที่ท่วมอยู่ มันจะเล็ดรอดเข้ามาเปียกแฉะในพื้นพรมหรือไม่

ผมละสุดแสนจะดีใจ ที่ภาพอันน่าหวาดเสียว ชวนหัวร่อในสายตาประชาชี ขี้หมั่นไส้ทั่วไป
ข้างบนนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

และยิ่งเมื่อรถคันล่าสุดที่ผมนำมาทำรีวิว ก็คือ Mazda MX-5 นั่นจึงเป็นโอกาสอันดี ที่แทบจะเรียกได้ว่า
หาได้ยากเย็นยิ่ง แน่ละ จู่ๆ มีรถเปิดประทุนมาให้ทดลองขับ ทำรีวิว ต่อเนื่องติดกัน 2 คันรวด แถมยังเป็น
คู่แข่งกันในตลาดเมืองนอกอีกพอดีด้วย

ดีละ เราจะได้รู้กันซะที ว่า BMW Z4 ใหม่ มันดีพอจนจะทำให้ผม เปลี่ยนใจ จาก Mazda MX-5 สุดเลิฟ
ของผมได้หรือเปล่า และกับค่าตัว ที่เริ่มต้นกันถึงระดับ 4,599,000 บาท

คุณๆ คงทราบกันดีแล้วว่า BMW กับรถยนต์เปิดประทุน Roadster ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลกัน
ประวัติศาสตร์ รถยนต์ เปิดประทุน แนว Roadster ของ ยักษ์ใหญ่ ใบพัดสีฟ้า นั้น เดินทางมายาวไกลมากมาย
ตั้งแต่การเผยโฉมสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของ BMW 315/1 Sports Roadster ที่งานเบอร์ลินมอเตอร์โชว์
ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1934 คิดเอาแล้วกันว่า จากวันนั้นถึวันนี้หนะ วันเวลามันผ่านเลยมานานแค่ไหน
ถ้าคิดไม่ออก จะเฉลยให้ก็ได้ว่า ปาเข้าไปแล้ว 75 ปี พอดีเป๊ะ!!!

จากนั้น ในปี 1936 BMW 328 โรดสเตอร์รุ่นดำนานอันเอกอุ ของ BMW ก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความที่มีเทคโนโลยี
เหนือธรรมดาในยุคนั้น (แต่ปัจจุบัน มันก็เก่าไปเสียแล้ว) ทำให้ 328 คว้าชัยชนะจากสนามแข่งต่างๆ ทั้งการแข่ง
ที่สนามนูร์เบิร์กริง ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1936 ไปจนถึงรายการ Mille Miglia (มิลเล มิลเลีย การแข่งขันรถ
ข้ามประเทศรายการใหญ่ในยุโรป)  และรายการ Le Mans 24 ชั่วโมง ในปี 1939 ด้วย

จากชื่อเสียงและความสำเร็จในการแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะสถิติการพิชิตชัยของ BMW 328
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 บีเอ็มดับเบิลยูจึงตัดสินใจที่จะผลิตรถโรดสเตอร์ที่นอกจากจะมีสมรรถนะ
ที่เหนือชั้นแล้ว ยังมีความหรูหรา สง่างาม เพื่อรับกับยุคทศวรรษที่ 1950  นั่นคือ BMW 507 เครื่องยนต์
V8 3.2 ลิตร 150 แรงม้า ผลงานอันโดดเด้งของ Albrecht Zeppo Goertz นักออกแบบชื่อโด่งดังของ BMW
(ผู้ซึ่งต่อมา กลายเป็น ที่ปรึกษาด้านการออกแบบรถสปอร์ต Nissan ยุคก่อนที่ Fairlady 240Z รุ่นแรก
จะเปิดตัวออกมา)

แต่หลังจาก 507 ไปแล้ว รถยนต์แบบโรดสเตอร์ของ BMW ก็ได้ห่างหายไปจากวงการ นานถึง 3 ทศวรรษ
โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ที่ผู้บริโภคเน้นในเรื่องของความอเนกประสงค์และประโยชน์
ใช้สอย รวมทั้งความประหยัดน้ำมันมากกว่าเรื่องของ มอเตอร์สปอร์ต

ในปีค.ศ. 1986 BMW ได้สร้าง รถเปิดประทุนขนาดเล็ก BMW Z1 ซึ่งตั้งใจจะให้ต้นแบบของการพัฒนา
และผลิตรถยนต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ขั้นสุดยอด BMW Z1 ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ
โมโนคอร์คผลิตจากเหล็กกล้า แต่พื้นผิวทั้งหมดรวมทั้งพื้นตัวรถนั้นผลิตจากพลาสติก แต่ด้วยกระแสตอบรับ
ที่ดี ทำให้ BMW ตัดสินใจ ผลิตออกขายในจำนวนจำกัด เพียง 8,000 คันเท่านั้น

ด้วยอานิสงค์ของ BMW Z1 ที่สร้างความตื่นตัวสำหรับโรดสเตอร์ขึ้นอีกครั้งหลังจากห่างหายไปร่วม
3 ทศวรรษ กอปรกับ สถานการณ์ อันยากจะปฏิเสธ คือ ความสำเร็จของ Mazda MX-5 รุ่นแรก ในปี
1989-1990 ปลุกความสนใจในตลาดกลุ่มนี้ จากผู้ผลิตรถยนต์หลายค่าย กันเลยทีเดียว

BMW จึงเดินหน้าโครงการพัฒนารถสปอร์ตโรดสเตอร์สองที่นั่งขนาดเล็กรุ่นต่อมาอย่างเต็มที่ โดยแบ่ง
ทีมออกแบบเป็น 3 ทีม เพื่อสร้างรถสปอร์ตรุ่นใหม่นี้ จากพื้นฐานรายละเอียดวิศวกรรมของ ซีรีส์ 3
มีเป้าหมาย ไม่เพียงแค่สร้างรถเปิดประทุน ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ไปพร้อมกับให้
ความเร้าใจในการขับขี่ แต่ยังต้องสะท้อนถึงอดีตอันยาวนาน ของตำนานรถสปอร์ตโรดสเตอร์ BMW อีกด้วย

ในที่สุด BMW Z3 รถสปอร์ตเปิดประทุน ที่รวมเอาทั้งความทรงเสน่ห์ของดีไซน์โรดสเตอร์พันธุ์แท้
และความปราดเปรียวคล่องตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็พร้อมออกสู่สายตาคนทั่วโลก เมื่อเดือนตุลาคม 1994

Z3 ใหม่ ถือเป็นรถยนต์ BMW รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกผลิตขึ้น ณ โรงงานแห่งใหม่ ใน Spartanburg
มลรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา ในช่วงจังหวะเปิดตัว BMW นำมันไปอวดโฉมทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่บน
จอภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ อย่าง James Bond 007 ตอน Golden Eye ซึ่ง ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก

ความนิยมไปทั่วโลก และยอดขายที่ไปได้สวยของ BMW Z3 จัดได้ว่าเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของ BMW
Roadster กันเลยทีเดียว และนั่นทำให้ BMW สามารถ ขยายทางเลือกรุ่นย่อยของ BMW Z3 ได้อีกหลายรุ่น
อีกทั้งยังทำให้ BMW ตัดสินใจเดินเครื่อง สานต่อการพัฒนารถสปอร์ตเปิดประทุน ขนาดเล็กของตน
จนกลายมาเป็น BMW Z4

รุ่น แรกของ Z4 ใช้รหัสตัวถัง E85 (คนละเรื่องกับ แก็สโซฮอลล์ E85 นะครับ อย่าเอามาจำปะปนกันเชียวละ)
เปิดตัว ครั้งแรกในโลก เมื่อ 2 ตุลาคม 2002 โดย ผลิตขึ้นจากโรงงาน ของ BMW ใน Spartanburg มลรัฐ
South Carolina อีกนั่นละ และก็ขายดี ไปทั่วโลกอีกตามเคย จนในที่สุด เราก็ได้เห็นรุ่นที่ 2 ของ Z4 กันตรงนี้

รุ่นล่าสุดของ Z4 ใช้รหัสตัวถัง E89 เผยโฉมครั้งแรกในโลก เมื่อ 12 ธันวาคม 2008 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ
และโดยไม่คาดคิดว่า ทาง BMW Thailand จะทำตัวเป็นเสือปืนไว จับแพ็คลงเรือมาเปิดตัว อย่างเป็นทางการ
ครั้งแรกของเมืองไทย ในงาน บางกอกอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนมีนาคม 009 ที่ผ่านมา
แต่กว่า ที่ BMW จะเริ่มทำตลาดในบ้านเรากันได้ ก็ต้องรอถึง 1 กรกฎาคม 2009 ที่ผ่านมา

Z4 ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,091 มิลลิเมตร กว้าง 1,781 มิลลิเมตร สูงเพียง 1,299 มิลลิเมตร
และมีระยะฐานล้อสั้นเพียง 2,495 มิลลิเมตร ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ถือว่าสั้น เพราะ ขาดอีกเพียง 5 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อก็จะเท่ากับ Toyota Vios รุ่นแรก พอดี….. (^_^)  ส่วนน้ำหนักตัว ในโหมด
Unladen weight ตามมาตรฐานของ EU อยู่ที่ 1,480 กิโลกรัม  และสามารถแบกน้ำหนักบรรทุกได้เพิ่มอีก
เพียง 330 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักตัว รวมของเหลว และน้ำหนักบรรทุกเต็มพิกัด จะอยู่ที่ 1,760 กิโลกรัม

คราวนี้ Z4 ใหม่ จะทำให้ BMW ไม่ต้องออกแบบรุ่นตัวถัง Coupe มาขายให้สิ้นเปลืองเวลาอีกต่อไป
เพราะ จะมีให้เลือกในแบบ เปิดประทุน หลังคาแข็ง พับเก็บได้ Retractable Hardtop กันเพียงอย่างเดียว
ทำตลาดแทนที่ ทั้งตัวถังเปิดประทุนหลังคาผ้าใบ แบบเดิม และ รุ่นตัวถังคูเป้ กันได้เลย

งานออกแบบภายนอก ที่ยังคงความเพรียวลม ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.34 นั้น
แม้ว่าจะดูแลโดย เอเดรียน แวน ฮอยดอง (อีตา หอยดอง นี่ชื่ออ่านยากจริงๆวุ้ยยย) หัวหน้าฝ่าย
ออกแบบคนใหม่ของ BMW ที่สืบทอดตำแหน่งจากลุง คริส แบงเกิล ผู้ดังกระฉ่อน คนนั้น

แต่ เอาเข้าจริง คนที่ออกแบบเส้นสายภายนอกของ Z4 ใหม่นั้น กลับเป็น สุภาพสตรีที่ชื่อ จูเลียนา บลาซี
(Juliane Blasi) คนที่กำลังแปะเทปกาว กับหุ่นดินเหนียวขนาดเท่าของจริง นั่นละครับ

จูเลียนบอกว่า “สัดส่วนแห่งความคลาสสิกของรถแบบโรดสเตอร์ คือ ด้านหน้ายาว ด้านท้ายสั้น และราบต่ำ
ซึ่งเป็นเคล็ดลับและมนต์ขลังของโรดสเตอร์พันธุ์แท้ BMW Z4 ได้รับการถ่ายทอดแรงบันดาลใจ จาก BMW 507
ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นโรดสเตอร์ที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์คันหนึ่ง จะเห็นได้จากแนวฝากระโปรงหน้า
ที่งุ้มลงแบบ ‘จมูกฉลาม’ ซึ่งให้ความรู้สึกที่ดุดัน น่าเกรงขาม ในขณะเดียวกันก็จะใช้ลายเส้น ที่ปราณีต
และเน้นความต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์ความสง่างาม เช่น ลายเส้นบนฝากระโปรงหน้าที่เริ่มจากโลโก้
บีเอ็มดับเบิลยู ลากยาวตลอดบนแนวฝากระโปรง และต่อเนื่องผ่านแนวหลังคา สู่ฝากระโปรงด้านหลัง

อีกเสน่ห์หนึ่งของดีไซน์ของ BMW Z4 ใหม่อยู่ที่การใช้พื้นผิวเพื่อขับเน้นความคมคายของคาร์แรคเตอร์ของ
BMW Z4 เช่น ลายเส้นส่วนที่เริ่มจากแนวไฟหน้าลากยาวผ่านพื้นผิวแนวโค้งด้านบนของฝากระโปรงหน้า
ต่อเนื่องรับกับแนวเว้าคอดเพื่อขับเน้นความคมคายของสันของแนวของประตู จากนั้นก็พลิกเปลี่ยนกลับสู่
พื้นผิวแบบโค้งในส่วนของโป่งซุ้มล้อหลังที่แสดงออกถึงความกำยำเสมือนมัดกล้ามของนักกีฬาชั้นยอด
จากความลงตัวของทั้งสามส่วนทำให้ BMW Z4 สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่างความคลาสสิก
และความล้ำสมัย และความดุดันและความสง่างาม”

ส่วนผสมของ Z4 ใหม่ นั้น มี 3 ปัจจัย คือ สัดส่วน ลายเส้น และพื้นผิว ซึ่งเมื่อนำมารวมกัน
นอกจากมันจะต้องบ่งบอกถึงความสดใหม่ ดุดัน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน Z4 แล้ว ยังจะต้องรักษา
มนต์เสน่ห์ของรถสเปอร์ตเปิดประทุนแบบ โรดสเตอร์ ในสไตล์ดั้งเดิมเอาไว้ด้วย

ถ้าถามว่า สวยขึ้นไหม สำหรับผมแล้ว งานออกแบบของ Z4 ใหม่ คือความพยายามในการเติม
อายแชร์โดว์ และลิปสติ๊ก ลงไปบนเส้นสายตัวถังของรถรุ่นก่อน อีกนิดหน่อย แล้วเปลี่ยนเอา
กางเกงยีนส์ จาก ซีรีส์ 6 มาปรับแนวกระเป๋ากางเกงหลังอีกนิดนึง สวมเข้าไป จนตัวรถดูดุดันขึ้นเล็กๆ
โฉบเฉี่ยวขึ้นอีกหน่อย แต่ ยั่วเสนห์กว่าเดิมอย่างมโหฬาร ทั้งที่ดูผ่านๆ คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องรถยนต์
แทบจะแยกความแตกต่างระหว่างรุ่นแรก กับรุ่นใหม่ ด้วยความทรงจำของตนไม่ได้เลย

โดยเฉพาะ ไฟหน้า กับไฟท้าย ที่ปรับปรุงใหม่จนลงตัวยิ่งกว่ารุ่นเดิมอันแข็งทื่อมากๆ ผู้การจอมเกิน
Commander CHENG ของเรา ถึงขั้นบอกว่า สิ่งที่เขาชอบมากที่สุด ก็คือไฟหน้ารถเนี่ยแหละ มันมีเสน่ห์
เหมือนผู้หญิง กันคิ้ว กำลังงาม ส่วนเปลือกกันชนหน้า – หลังนั้น มีความพิเศษอีกเรื่อง ซึ่งมีมานานแล้ว
ใน BMW หลายๆรุ่น ในอดีต นั่นคือ สามารถคืนรูปเองได้ หากปะทะกับสิ่งกีดขวาง ที่ความเร็วตั้งแต่
4 – 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง

โดยส่วนตัว ผมชอบเส้นสายแบบนี้ ของ Z4 ใหม่ มันลงตัวกว่าเส้นสายอันแข็งทื่อ ตามสไตล์ของ
ลุงคริส แบงเกิล เยอะ และผมเชื่อว่า มีผู้คนจำนวนมากเห็นด้วยกับผมในเรื่องนี้ มิเช่นนั้น Z4 ใหม่
ก็คงจะไม่ได้รับรางวัลด้านการออกแบบ ถึง 2 รางวัล รวด ทั้งรางวัล รางวัลดีไซน์ยอดเยี่ยมจากงาน
Red Dot Design Award เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และรางวัลดีไซน์ยอดเยี่ยม Eyes On Design Award
ซึ่งประกาศในงานดีทรอยท์มอเตอร์โชว์ ต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา เช่นเดียวกัน

และล่าสุด เมื่อ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา BMW Z4 ใหม่ ยังไปคว้ารางวัล International Design Excellence Award
(IDEA) 2009 จาก Industrial Designers Society of America (IDSA) ในมลรัฐ Virginia สหรัฐอเมริกา มาหมาดๆ
ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากการเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ของทีมงานทุกๆคน


ไม่เพียงแต่ภายนอก ที่จะดูโฉบเฉี่ยว และสวยงามกว่าเดิม หากแต่ภายในห้องโดยสาร
ยังมีการปรับปรุงใหม่ จนแทบจะทำให้ รถรุ่นเดิม ดู ล้าสมัยไปเลย

การเปิด-ปิดประตู ยังคงเหมือนกันกับรถ BMW รุ่นอื่นๆ คือ ใช้กุญแจ รีโมทคอนโทรลแบบ Keycard Smart Entry
ที่ BMW เรียกว่า Comfort Access  ซึ่งหน้าตาเหมือนกับที่พบได้ใน ซีรีส์ 3 ทุกคันในตระกูล E90 และ 120d
หากพกรีโมทกุญแจอยู่กับตัว และต้องการจะเปิดประตูรถ หรือล็อกรถ ให้เอานิ้วไปแตะที่ ขีดเล็กๆ 4 ขีด
ซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งไปซ่อนไว้ด้านล่างของมือจับประตู เท่านั้น ระบบล็อกก็จะทำหน้าที่ ปลดหรือสั่งล็อกประตู
ทั้ง 4 บานให้แต่ต้องทิ้งระยะการทำงานให้มันนิดนึง หลังจากสั่งล็อก หรือปลดล็อกไปแล้ว
ถ้าไม่ทันใจ ก็กดปุ่ม บนรีโมทกุญแจเองเลย ยังได้

จังหวะเดียวกันนั้น ไฟในห้องโดยสาร ก็จะค่อยๆสว่างขึ้นมา ต้อนรับผู้โดยสาร
หรือดับลงช้าๆ เมื่อสั่งล็อกรถ ตามมาตรฐานของรถยนต์นั่งระดับพรีเมียมทั่วไป

แต่ใน Z4 คันที่เราเอามาทดลองขับคันนี้ ไม่มี หลอดไฟเล็กๆ ใต้มือจับเปิดประตูทั้ง 2 บาน
ที่จะส่องสว่าง ให้คุณได้เห็นพื้นที่รอบคันรถ และรอบเท้าคุณ แต่อย่างใด

บานประตู แบบไร้เสากรอบ Pillar less เปิดออกได้กว้าง ในสไตล์รถยนต์คูเป้ทั่วไป มีขนาดค่อนข้างใหญ่โต
เมื่อเทียบกับขนาดของรถทั้งคัน การก้าวเข้า-ออกจากตัวรถนั้น ต้องใช้แรงโน้มตัวกันพอสมควร ตามสไตล์
รถคูเป้ เปิดประทุน ทั่วไป ถ้าในกรณีที่หลังคาปิดอยู่ คุณอาจต้องระมัดระวังในการก้มหัวลงให้ต่ำหน่อย
มิเช่นนัน โอกาสที่หัวของคุณจะฟาดโป๊ก เข้ากับขอบหลังคาแข็ง อย่างที่ผมโดนมาแล้ว ก็จะเกิดขึ้นได้

แต่ถ้า อยู่ในโหมดเปิดหลังคา เช่นในรูปนี้ การระมัดระวังแค่ไม่ให้ หัวของคุณ ไปเหวี่ยงโดนขอบเสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar อันหนาเตอะ นั่น ก็ดูจะเป็นสิ่งจำเป็น ไม่แพ้กัน

เบาะนั่งคู่หน้า นั้น รวมพนักพิงศีรษะ กับพนักพิงหลังเอาไว้ในชุดเดียวกัน หุ้มด้วยหนังแท้ แบบ
Kansas Leather นอกจากจะปรับตำแหน่ง เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลง รวมทั้งปรับเอนได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ ร่วมกับตำแหน่งกระจกมองข้าง รวม 2 ตำแหน่ง แล้ว ยังมีการติดตั้ง
ระบบ Sun Reflective Technology เพื่อสะท้อนความร้อนจากแดดเพื่อให้ผิวเบาะไม่ร้อนเกินไปเมื่อ
ต้องจอดตากแดดไว้ อีกด้วย

ตำแหน่งนั่งขับนั้น ปรับได้ละเอียดมาก และคุณควรใช้เวลากับมันนิดนึง ซึ่งไม่ยากเกินไปเลย
ยิ่งได้พวงมาลัย แบบปรับระดับ สูง-ต่ำ แถมยังปรับเลื่อนเข้าหา-ออกห่างจากตัว Telescopic ด้วยแล้ว
ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ พวงมาลัยปรับเข้า-ออกจากตัวได้นั้น คุณไม่อาจจะพบได้ใน Mazda MX-5 รุ่นไหนก็ตาม

ตำแหน่งการวางแขนบนแผงประตูด้านข้าง และบนฝาครอบกล่องคอนโซลกลาง ทำได้ดีแล้ว
เพียงแต่ ตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกใช้หนังแบบนี้ กับฝาปิดกล่องคอนโซลข้างลำตัวผู้ขับขี่นั้น
แม้จะให้ผิวสัมผัสที่ หรูหรา นุ่มสบาย ไฮโซ ก็ตาม แต่โอกาสที่จะเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ก็ง่ายเหลือเกิน

กระนั้น ผมก็ยังชื่นชอบ ที่ได้เห็นวัสดุในห้องโดยสาร ของ BMW ที่ดูดี ไม่ใช้ของราคาถูกๆ
แถมยังให้ผิวสัมผัสที่ชวนให้นึกละม้ายได้ว่าคล้ายคลึงกับ กระเป๋า หรือเครื่องหนังแบรนด์เนมชั้นดี

 

หันไปมองดูข้างหลังกันบ้าง จะพบว่ามีเสาหลัง Roll-Bar สีเงิน อยู่ด้านหลังเบาะทั้ง 2 ฝั่ง ทำงานร่วมกับ
โครงสร้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และกระจกบังลมหน้าแบบ Re-inforced เพื่อช่วยลดทอน
การบาดเจ็บ อันอาจเกิดจาการพลิกคว่ำ

สิ่งที่ผมชอบมาก และ MX-5 ไม่มีมาให้ คือ จะพื้นที่ ยื่นออกมาเป็น Bar ขนาดเล็ก สำหรับวางสิ่งของ
เช่น กล้อง หรือ ข้าวของเล็กๆได้ โดยมีตาข่ายกั้นแถมมาให้

และมีแผงพลาสติก พร้อมช่องเปิดทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง พอเปิดเข้าไป ก็จะเจอ
ถุงขนาดกำลังดี พับม้วนๆ เก็บเอาไว้ สาระรูป อย่างกับถุงนอนย่อส่วนของน้องเหมียว สงสัยกัน
ตั้งนาน ว่ามันคืออะไร

จนกระทั่ง เจ้ากล้วยน้อย กับน้องเติ้ล Dr.Slum ในทีม The Coup ของเรา เกิดเล่นซน ไปเปิดคู่มือ
ผู้ใช้รถที่ติดมาให้ นั่งดูกันพักใหญ่ ถึงได้กระจ่างว่า มันคือ ถุงสำหรับ ใส่อุปกรณ์สกี นั่นเอง สามารถ
วาง ไม้สกี และอุปกรณ์ ของเล่นเมืองหนาว ทะลุเข้ามาในห้องโดยสารกันได้ อย่างที่เห็นอยู่

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาด 310 ลิตร ในยามปกติ แต่ถ้าพับหลังคาเก็บลงไปแล้ว จะเหลือพื้นที่
เพียง 180 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน

แผงพลาสติกที่คุณเห็นอยู่นี้ ก็ทำหน้าที่เหมือนกับ ใน E93 325i เปิดประทุน คันที่ผมเคยผ่านมือมานั่นละ
ถ้าคุณ กดแผงที่เห็น ลงมาในตำแหน่งที่เป็นอยู่ตามรูปนี้ แสดงว่า คุณสามารถพับหลังคาได้ แต่จะมีพื้นที่
วางกระเป๋าเสื้อผ้า กีฬา adidas ใบไม่ใหญ่โตนัก หรือกระเป๋า Louise Vuitton ขนดาพอเหมาะกำลังดี
ได้เต็มที่สุด ก็ 2 ใบ เล็งแล้วว่าไม่น่าเกิน

แต่ถ้าต้องการเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระหลังให้กว้างขึ้น คุณก็ต้องยก แผงพลาสติกนี้ ยกขึ้นเพื่อ
ปลดจากจุดล็อกของมัน แล้วดันยกขึ้นพร้อมกับถอยร่นเข้าไปข้างใน คุณจะได้พื้นที่ห้องเก็บของ 310 ลิตร
คืนมา แต่ คุณจะไม่สามารถ พับหลังคาเก็บลงมาได้แต่อย่างใด (ถ้ายกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบชุดแบ็ตเตอรีของรถอยู่ข้างใต้)

แผงหน้าปัด นั้น ออกแบบขึ้นใหม่ จนดูน่าใช้อย่างลงตัวมากยิ่งขึ้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า มีการนำหนัง
แบบ Kansas ซึ่งให้สัมผัส ใกล้เคียงกับ เครื่องหนังแบรนด์เนมชั้นดี มาใช้ตกแต่งทั้งแผงหน้าปัด
แผงประตูด้านข้าง และเบาะนั่ง อีกทั้ง ยังมีการออกแบบ จัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆเอาไว้
เพื่อช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่ จากสภาพการจราจรข้างหน้าไปด้วยในตัว

บรรยากาศในห้องโดยสาร โปร่งสบายกว่ารถเปิดประทุนทั่วไป ที่เคยเจอมา

เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบว่า มีสวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า 4 ตำแหน่ง แบบเดียวกับรถยนต์ซีดาน
อย่าตกใจครับ เพราะนอกจากจะใช้เปิด-ปิด กระจกหน้าต่าง บานประตูทั้ง 2 ฝั่งแล้ว ยังมีกระจก
โอเปรา ขนาดเล็ก ด้านหลังที่อยู่ติดกัน อีก 2 บานด้วย

ถ้าจะเปิดพร้อมกันทุกบานในคราวเดียว กดสวิลต์ใหญ่ ด้านล่างของแผงสวิชต์หน้าต่างไฟฟ้านั้นละครับ
เป็นแบบ One Touch แต่ตอนดึงขึ้นนั้น ถ้าดึงขึ้นพร้อมกันจะไม่ได้เป็นแบบ One Touch หรือ ดึงขึ้น
แยกชิ้น เฉพาะ บานโอเปรา ด้านหลัง ทั้ง 2 ฝั่ง จะไม่ได้เป็นแบบ One-Touch แต่ถ้าดึงขึ้นแยกกันทีละบาน
เฉพาะกน้าต่างบานประตูทั้ง 2 ฝั่ง จึงจะเป็นแบบ One Touch

งงไหมครับ? หวังว่าไม่งงนะ

ชุดมาตรวัด ยังคงใช้โทนสีแสด เหมือนเดิม มี 2 ช่อง มีมาตรวัดเตือนปริมาณน้ำมัน และวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง
มีไฟแจ้งเตือนอุปกรณ์ต่างๆ เกือบจะครบถ้วน จะขาดก็แต่ มาตรวัด อุณหภูมิน้ำในระบบหล่อเย็น ซึ่งจะว่าไปแล้ว
การดูอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ก็พอจะบอกถึงสภาพเครื่องยนต์ได้ในระดับหนึ่ง

ภาพสเก็ตช์การออกแบบพวงมาลัย และชุดปุ่มควบคุมเครื่องปรับอากาศนั้น แสดงให้เราได้เห็นว่า
ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการสร้างรถสักคัน ให้ออกมาสวยงาม
ในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่สะดวก ง่ายดาย คือเป้าหมายหลักของ
การออกแบบที่รถทุกคัน ควรจะมี

พวงมาลัยแบบ 3 ก้านทรงหนา มีปุ่มควบคุม Multifunction ฝั่งซ้าย เอาไว้ควบคุม ทั้งปุ่มเครื่องเสียง
และ ระบบเปิด-ปิด อากาศไหลเวียนภายใน-ภายนอกรถ ที่มีให้ควบคุมกันบนพวงมาลัยเลยซะที
เพราะรถยุโรปนั้น ส่วนใหญ่ มักจะ เปิด-ปิด ระบบไหลเวียน ให้เราเอง โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ
ฝั่งซ้าย ควบคุม โทรศัพท์ และระบบสั่งการด้วยเสียง ที่พ่วงมากับชุดเครื่องเสียงของรถบางรุ่น

โดยชุดเครื่องเสียง ที่ติดตั้งมาให้นั้น เป็นวิทยุแบบ BMW PROFESSIONAL พร้อมกับลำโพง
และแอมปลิฟายเออร์ กระจายเสียงขนาด 4 x 25 วัตต์ ที่สามารถแสดงข้อมูลของเพลงแบบ 2 แถว
เริ่มจากเบอร์โทรศัพท์ ชื่อศิลปิน พร้อมทั้งชื่อเพลง โดยปุ่มความจำ 2×6 ระบบปรับเสียงอัตโนมัติ
และระบบปรับจูนเสียง Bass/ treble/ fader/ balance เครื่องเล่นซีดีมีอุปกรณ์เชื่อมต่อกับ
CD Changer ซึ่งจะทำให้สามารถเล่นเพลงที่เป็นไฟล์ MP3 จาก CD ได้อีกด้วย และยังมี
เสาอากาศคุณภาพสูงที่สามารถรับสัญญาณวิทยุอย่างชัดเจนโดยไม่มีคลื่นรบกวน แม้ว่าคุณกำลัง
มุ่งหน้าไปที่ภูเขา หรือหุบเขาก็ตาม

ซึ่งก็ให้คุณภาพเสียงที่ดี เหมือนกับBMW รุ่นอื่นๆ ที่ทำตลาดในบ้านเรา เหมือนเดิม แม้จะ
ไม่ถึงกับดีเด่นที่สุดในตระกูล BMW แต่อยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี

และถ้าดูให้ดีๆ ที่คอพวงมาลัย จะมีระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ติดมาให้

พร้อมกับระบบ Multi Information Display แสดงผลข้อมูลสถานภาพของรถ บนหน้าจอกลางของแผงมาตรวัด

Z4 ใหม่ ถือเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน ประเภท Roadster รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ ของ BMW ที่ติดตั้ง
ระบบหลังคาแข็ง พับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า RHT (Retractable Hard Top) น้ำหนักเบา มาพร้อมกับกระจก
บังลมหลัง เป็นกระจกแท้ๆ พร้อมระบบไล่ฝ้าด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ในตัว

แถมในระหว่างการพัฒนา วิศวกรของ BMW ได้พยายามค้นหาวิธีการออกแบบแนวขอบหลังคาที่จะช่วยไล่
หยาดน้ำฝนออกไป ในขณะขับขี่ อีกทั้งยังออกแบบวัสดุตกแต่งในห้องโดยสาร และห้องเก็บของด้านหลัง
เพื่อให้ลดการเสียรูปทรง หรือเปลี่ยนรูปทรง เมื่อใช้ไปนานๆ

การเปิดปิดนั้น ทำได้ด้วยการกดสวิชต์ ใต้วิทยุ ข้างๆกันกับ สวิชต์เปิดปิด สัญญาณเตือน ParkTronic นั่นละครับ
ไม่ต้องไปปลดล็อกสลักยึดหลังคาเหมือนใน MX-5 แต่อย่างใด

ถ้าจะเปิด-ปิดหลังคา ให้กดสวิชต์ดังกล่าว แช่เอาไว้ เพียงเท่านั้น หลังคา ส่วนกระจกบังลมหลังพร้อมไล่ฝ้าในตัว
ถูกยกขึ้นไปคร่อมทับหลังคาชิ้นหลัก ก่อนจะ หลุดออกจากเสากรอบกระจกบังลมหน้า

จากนั้น หลังคาจะถูกระบบกลไกไฟฟ้า ไฮโดรลิก ยกถอยหลังเลื่อนลงไปเก็บในห้องเก็บของด้านหลัง

จากนั้น ฝากระโปรงหลัง จะถูกปิดลงจนสนิท เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

หลังคาแข็งพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้านี้ BMW เคลมว่า ใช้เวลาในการ เปิด หรือปิด อย่างใดอย่างหนึ่ง
ภายในเวลา 20 วินาที

แต่ ตัวเลขที่ว่า แสดงให้เห็นว่า การเปิด-ปิดหลังคาในแต่ละครั้ง Z4 ใหม่ ทำได้ช้ากว่า MX-5 RHT อย่างชัดเจน
เพราะรายนั้นหนะ เขาทำตัวเลขได้ 12 วินาที พอดีๆ

และเมื่อพับหลังคาลงมาเรียบร้อยแล้ว มันก็จะถูกจัดเก็บอย่างที่เห็นอยู่นี้ไปโดยตลอด จนกว่าจะสั่งปิดหลังคาอีกครั้ง

ด้านประโยชน์ใช้สอย คราวนี้ BMW มีตำแหน่งช่องวางของ ตามจุดต่างๆ เพิ่มมาให้
ชนิด จุใจไปข้างนึงเลยทีเดียว ในรุ่นที่ไม่ได้มีการติดตั้งระบบ i Drive ก็จะมีช่องเก็บของ
พร้อมฝาปิดแบบนี้มาให้ เหมาะสำหรับซ่อนโทรศัพท์มือถือ แว่นกันแดด หรือข้าวของ
นเล็กๆ ไม่ใหญ่ไม่โตมากนัก มีถาดยางเล็กๆกันลื่น ซ่อนข้างใน ดึงออกมา
ทำความสะอาดปัดฝุ่นได้

ช่องเก็บของพร้อมฝาปิด บริเวณฝั่งซ้ายมือของแผงหน้าปัด มีขนาด พอประมาณ
ไม่มากไม่น้อยไปกว่า BMW รุ่นอื่นๆ เท่าใดนัก เพียงพอให้วางสมุดคู่มือผู้ใช้รถ
และเอกสารประกันภัย เพียงเท่านั้น ก็เต็มพื้นที่ความจุของมันแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีช่องเก็บของที่แผงข้างประตูทั้ง 2 ฝั่ง ที่สามารถดึงให้เปิด-ปิ ดได้
พอจะใส่ กล่อง CD ได้ 2-3 กล่อง ไม่เกินนั้น หรือครั้นจะวางแผนที่ เอกสารอื่นๆ
ก็พอได้ แต่ถ้าถึงขั้นใส่นิตยสารสักฉบับ ทำไม่ได้แน่ๆครับ

ส่วนในกล่องคอนโซลกลางนั้น เมื่อเปิดขึ้นมา จะพบว่า มันไม่อาจวาง กล่อง CD
หรือข้าวของจุกจิกได้ เป็นแบบนี้เหมือนกันกับ BMW รุ่นอื่นๆ อย่างไรก็ตาม จะมีช่อง
สำหรับติดตั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่มาให้ และมีช่องเสียบ AUX สำหรับเครื่องเล่น iPod
หรือ MP3 แบบพกพา รวมทั้งยังมีถาดวางของเล็กๆจุกจิกๆ ทั่วๆไป และที่วางแก้ว
2 ตำแหน่ง ใช้งานได้จริง ล็อกตำแหน่งแก้ว หรือขวดน้ำพลาสติกได้ค่อนข้างแน่นหนา
ซ่อนตัวอยู่อย่างที่เห็น

ด้านความปลอดภัย มีการติดตั้ง ถุงลมนิรภัยตู่หน้า และด้านข้างมาให้ รวม 4 ใบ
เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ทั้งฝั่งซ้ายละขวา เป็นแบบ ลดแรงปะทะ รวมทั้งดึงกลับอัตโนมัติ
(belt latch tensioner and belt force limiter)  และยังสามารถสั่งติดตั้ง จุดยึดเบาะนิรภัย
สำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ บนเบาะผู้โดยสารฝั่งซ้ายได้อีกด้วย

ทัศนวิสัยรอบคันนั้น BMW เยอรมัน เคลมว่า ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม ประมาณ 14 %
จริงเหรอ? มาดูกันให้เห็นจะจะ จากภาพถ่ายจริง บนถนนเมืองไทยกันเลยดีกว่า

ด้านหน้า นั้น ทัศนวิสัยแม้ว่าจะโปร่งตา แต่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับตำแหน่งเบาะนั่งของคุณ
เป็นสำคัญ เพราะถ้าปรับให้สูงพอดีประมาณนี้ คุณจะเห็นทางข้างหน้าชัดเจน แต่ถ้ากดตำแหน่งเบาะ
ลงต่ำสุด คุณจะเห็นฝากระโปรงหน้ามากขึ้น แต่จะกะระยะเข้าจอด โดยเอาด้านหน้ารถทิ่มเข้าไป
ในช่องจอด ได้ยากขึ้น ต้องอาศัยการกะเก็งให้เหม็งเหมาะมากกว่ารถปกติโดยทั่วไป ที่มีด้านหน้า
ของตัวรถ สั้นกว่า Z4 ใหม่นี้

ส่วนเสาหลังคาฝั่งขวา ไม่ได้บดบังทัศนวิสัย ขณะเข้าโค้งขวา บนถนนสวนกัน สองเลน มากนัก
กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่โตขึ้น เหมือนจะมองเห็นได้ดีขึ้น แต่ด้วยงานออกแบบ ทำให้
ยังต้องใช้วิธี หันเหลียวไปมองด้วยตัวเองจะดีกว่า

เสาหลังคาฝั่งซ้าย ไม่บดบังทัศนวิสัยตอนเลี้ยวกลับรถแต่อย่างใด กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย ก็ยังทำตัว
เหมือนฝั่งขวา คือแม้ว่ามีขนาดใหญ่ขึ้น มองเห็นด้ดีขึ้น แต่ในบางจังหวะนั้น ก็ไม่เห็นรถคันที่อยู่ใน
เลนซ้าย และจะเป็นปัญหาสำหรับผมขึ้นมาทันที เพราะ ในแทบทุกครั้งที่ต้องเบี้ยงเข้าไปใช้ทางคู่ขนาน
หรือ ขับอยู่บนทางด่วน ลัดเลาะมาตามโค้ง บรรจบกันที่รูปตัว Y มีถึง 2 ครั้ง ที่ผมมองไม่เห็นรถซึ่งแล่น
พุ่งเข้ามาจากฝั่งซ้ายมือ จนต้องใช้วิธี เหลียวหลังไปมองแว่บหนึ่ง แทน

อีกจุดหนึ่งในภาพที่จะต้องขอเมาท์กันสักหน่อย คือ แผงบังแดด ทำจากพลาสติก พร้อมกระจกแต่งหน้า
ขนาดกระจิ๋วเดียว พอกันกับ MX-5 นั่นแหละครับ สิ่งที่ผมว่า ไม่ธรรมดาคือ คุณจะไม่มีทาง และไม่มีวัน
หาทางปิดพับแผงบังแดดที่ว่านี้ กลับเข้าไปเก็บในที่ของมัน อย่างเงียบๆ ละมุนมือ แน่ละ พอพับเก็บทีไร
ก็ดัง “ปัง” ทุกที เล่นเอาตกใจเล็กๆ ไปหลายหน

 

ส่วนทัศนวิสัย เมื่อมองจากมุม หลังซ้าย อย่างนี้ แม้ว่า เบาะนั่ง จะไม่ได้บดบัง จักรยานยนต์ไปเต็มๆคัน
กระนั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นของดีเข้าให้จนได้…ถ้าจะให้เป็นการดี หากมีการออกแบบพลาสติก
หรือวัสดุชิ้นส่วนอะไรสักอย่าง ที่สามารถ ปิดทับ ไม่ให้เห็นกลไก และสายไฟของระบบเปิด-ปิดหลังคา
อย่างที่คุณเห็นอยู่ในรูปข้างบนนี้ได้ ก็จะเข้าทีดีกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ

********** รายละเอีดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

Z4 ใหม่ เวอร์ชันไทย มีให้เลือก 2 ขุมพลัง 2 ระดับความแรง

รุ่น Z4 sDrive35i จะเป็นรหัส N54B30 บล็อก 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว กระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.6 x 84.0 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection เจเนอเรชันที่ 2 และพ่วงระบบอัดอากาศ
Twin Turbo (เทอร์โบ คู่) 306 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.)
ที่รอบตั้งแต่ 1,300 – 5,000 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แบบ
Doube Clutch มาให้เลือก โดยเวอร์ชันไทย จะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะเท่านั้น แต่เราคงจะ
ไม่ขอพูดถึงมากนัก เนื่องจากเรายังไม่มีโอกาสสัมผัสรถรุ่นนั้น ในยามนี้

ส่วนรุ่น Z4 sDrive 23i เวอร์ชันไทย คันที่คุณเห็นอยู่นี้ ก็ใช้เครื่องยนต์เหมือนกับในตลาดส่งออก ทั่วโลก
เป็นรหัส N52B25 บล็อก 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.8 x 82.0 มิลลิเมตร
กำลังอัด 11.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Double VANOS และระบบควบคุม
การเปิด-ปิดวาล์ว VALVETRONICS พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 204 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.4 กก.-ม.) ที่ 2,750 รอบ/นาที อัตราส่วนน้ำหนัก ต่อ แรงม้า อยู่ที่
7.3 กิโลกรัม / 1 แรงม้า ผ่านมาตรฐานไอเสียในระดับ Euro Step 5 แล้ว (ยุโรปเขาไปไกลกันมากแล้ว)

เวอร์ชันตลาดโลก มีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้เลือก

เวอร์ชันไทย เอาแค่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมดบวก-ลบ StepTronic
ก็หรูทัดเทียมเมืองนอกเมืองนาเขาแล้ว

แต่…เอ….ทำไมอัตราทดเกียร์…คุ้นๆจังแหะ…

เฮ้ย! นี่มันเกียร์ลูกเดียวกับ ใน 320d และ 120d เวอร์ชันไทยเลยนี่หว่า!!
อัตราทดเหมือนกันอย่างกับแกะ
เกียร์ 1……………………..4.171
เกียร์ 2……………………..2.340
เกียร์ 3……………………..1.521
เกียร์ 4……………………..1.143
เกียร์ 5……………………..0.867
เกียร์ 6……………………..0.691
เกียร์ถอยหลัง………………3.403

มีสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันคือ
อัตราทดเฟืองท้าย ที่เซ็ตเอาไว้ที่ 3.727 : 1

และ เพิ่มระบบ Dynamic Drive Control มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน Z4 ทุกรุ่น
ระบบนี้ จะช่วยปรับบุคลิกการเปลี่ยนเกียร์ ให้ สปอร์ตขึ้น ตามโหมด SPORT และ
SPORT+ ซึ่งโหมดหลังนี้ จะปิดการทำงานระบบ DTC ให้เอง แถมอีกต่างหาก เท่านั้นเลยจริงๆ !

ตัวเลขสมรรถนะที่โรงงานเคลมไว้ มีดังนี้
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์ธรรมดา ได้ 6.6 วินาที เกียร์อัตโนมัติ ได้ 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด เกียร์ธรรมดา 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติ 239 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 11.2 กิโลเมตร/ลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
เพียง 207 กรัม / ระยะทาง 1 กิโลเมตร

แต่ แน่นอน เราย่อมต้องมีตัวเลข ที่เราจับเวลากันเอาเอง โดยใช้มาตรฐานดั้งเดิม
คือ ทดลองจับตัวเลขกันในเวลากลางคืน เปิดแอร์ นั่ง 2 คนเกียร์จะค้างไว้
ที่ตำแหน่ง D อย่างเดียว ไม่เล่น โหมด บวก-ลบ แต่อย่างใด ทำอย่างนี้มาชั่วนาตาปี

สักขีพยาน ผู้ช่วยทดลอง ก็ยังคงเป็น น้องกล้วย BnN ในกลุ่ม The Coup Team ของเรานั่นเอง
และตัวเลข ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ตามพิกัด อย่าง Mazda MX-5 ใหม่ มีดังนี้

(ภาพนี้โดย Shyboy จากเว็บไซต์ MXphone.com ที่ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย)

 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.  

ครั้งที่…………..2009 Z4 sDrive23i…………..2009 MX-5 RHT
1………………………….8.93………………………….10.47…………….วินาที
2………………………….8.85………………………….10.63…………….วินาที
3………………………….8.74………………………….10.39…………….วินาที
4………………………….8.96………………………….10.67…………….วินาที

รวมแล้วเฉลี่ย……………8.87………………………….10.54…………….วินาที

—————————————–

อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
กดคันเร่งจนจมสุดทันที จาก 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 6 เพื่อให้ระบบเกียร์
คิ๊กดาวน์ เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงมายังเกียร์ 2 มีดังนี้

ครั้งที่…………….2009 Z4 sDrive23i…………..2009 MX-5 RHT  
1………………………….6.42……………………………7.91……………..วินาที
2………………………….6.46……………………………7.96……………..วินาที
3………………………….6.65……………………………7.87……………..วินาที
4………………………….6.56……………………………7.62……………..วินาที

รวมแล้วเฉลี่ย……………6.52……………………………7.84……………..วินาที

—————————————–

รอบเครื่องยนต์ที่เกียร์ 6 อันเป็นเกียร์สูงสุด
(ความเร็ว 100 และ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเท่ากับ Mazda MX-5 NC พอดีเป๊ะ)

ความเร็ว   80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 1,600 รอบ/นาที
ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,100 รอบ/นาที
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,300 รอบ/นาที

—————————————–

ความเร็วสูงสุด ที่วัดได้ในแต่ละเกียร์ อ่านจากมาตรวัดบนแผงหน้าปัด
(หน่วย กิโลเมตร / ชั่วโมง ที่ รอบเครื่องยนต์/นาที)

………………2009 Z4 sDrive23i…………..2009 MX-5 RHT
เกียร์ 1…………….50 @ 6,900………………….40 @ 6,200
เกียร์ 2…………….95 @ 6,900………………….80 @ 6,400
เกียร์ 3…………..140 @ 6,900………………..115 @ 6,400
เกียร์ 4…………..195 @ 6,900………………..165 @ 6,400
เกียร์ 5…………..240 @ 6,400………………..202 @ 5,250

—————————————–

ความเร็วสูงสุด

2009 Z4 sDrive23i 6AT
240 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 6,400 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5

2009 MX-5 RHT Minorchange 6AT
202 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 5,250 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5

—————————————–

อัตราเร่งนั้น ถ้าคนที่ไม่เคยสัมผัสกับรถ BMW มาก่อน อาจจะคิดว่า เฮ้ยย พุ่ง ๆ ๆ ดีเว้ยเฮ้ย
แต่ถ้าถาม ในมุมของคนที่ขับ BMW ผ่านมือมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ก็ต้องบอกว่า มันก็ดึงดีครับ
ดึงในแบบที่เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 2.5 ลิตร ซึ่งมีโอกาสได้วางลงบนโครงสร้างของ
รถเปิดประทุนหลังคาแข็ง พับได้ด้วยไฟฟ้า และมีน้ำหนักตัวรวมของเหลว กับผู้ขับขี่
และผู้โดยสาร 2 คน พอกันกับน้ำหนักตัวของรถเก๋งบ้านๆ ซีดานธรรมดา 1 คัน มันควรจะเป็น

ถ้าถามว่าพละกำลังของเครื่องยนต์รุ่นเล็กสุดเท่าที่มีในตระกูล Z4 ใหม่ อย่างที่เห็นอยู่นี้
จะเพียงพอกับการใช้งานบนถนนเมืองไทยหรือไม่ ผมก็ตอบยืนยันทันทีว่า เพียงพอ
เพราะอย่างน้อย ในจังหวะที่ ผมเจอ Toyota Camry รุ่นเก่า โรคจิต คันหนึ่ง พุ่งมาจ่อท้าย
ขณะกำลังอยู่ในเลนขวา ช่วงทางลงจากทางด่วนบางนา เวลาราวๆ ตี 1 นิดๆ และผมไม่อาจ
หลบเข้าเลนซ้ายให้เขาแซงขึ้นไปไม่ได้ เพราะมีรถทางขวาอีก 2 คัน

ผมก็ตัดสินใจ กดคันเร่ง เต็มเท้า การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ก็จะไม่ต่างจาก ซีรีส์ 3
ตระกูล E90 ซีดาน E92 คูเป้ และ E93 เปิดประทุนกันเลย คันเร่งจะต้านเท้าอยู่นิดนึง
ต้องเพิ่มแรงเหยียบลงไป ต่างจากคันเร่งในรถญี่ปุ่นทั่วไปชัดเจน

และสิ่งที่เครื่องยนต์ตอบสนองกลับมา ก็คือ ไฟหน้าของ Camry รุ่นเก่าคันที่จ่อท้ายผมนั้น
เริ่มมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อมองจากกระจกมองหลัง เข็มความเร็ว ของ Z4 จากเดิม ที่ระดับ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พุ่งขึ้นไปเป็น 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงอย่างว่องไว

การเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จะเริ่มได้ยินเสียงกระแสลม ดังขึ้น
ที่ความเร็ว ตั้งแต่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่ก็ยังไม่ดังจนน่ารำคาญ นัก จนกว่าจะใช้
ความเร็วเกินระดับปกติไปที่ 160-180 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปนั่นละครับ ถึงจะเริ่มสังเกตว่า
เสียงกระแสลม ดังขึ้นมากจนชัดเจน

ถ้าเทียบประเด็นเรื่องการเก็บเสียง แล้ว ชัดเจนแน่นอน ว่า Z4 มีการออกแบบที่ดีกว่า
ทำให้เก็บเสียงกระแสลมที่เล็ดรอดเข้ามาจากภายนอก ขณะขับขี่ ได้ดีกว่า MX-5
ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเริ่มมีเสียงดังตั้งแต่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป

ข้างหน้า จะมีทางออก สู่ช่องทางคู่ขนาน หน้าเซ็นทรัลบางนา ผมเห็นแต่ไกล
และตัดสินใจถอนเท้า จากคันเร่ง เปิดไฟเลี้ยวซ้าย เบนรถเข้าฝั่งซ้ายสุด ชะลอความเร็วลง
ใช้เวลาไม่นานนัก Camry ผู้รีบร้อนราวกับจะรีบกลับบ้านตามคำสั่งเมียหลวง คันนั้น
ปาดจากเลยขวาสุด ฟ้าบบบบบบ เข้าเลนซ้าย ที่หน้ารถคันที่ผมขับอยู่ ก่อนจะเข้าช่องทาง
คู่ขนานไปก่อนหน้าผม

ผมไม่เคยคิดจะแข่งกับคนแบบนี้ หรือแบบไหนทั้งสิ้น ถนนหลวงไม่ใช่สนามสำหรับ
การประลองความเร็ว ความเป็นลูกผู้ชาย หรือ ความไม่รู้จักความอื่นใด
เลยได้แต่ปล่อยให้ Camry คันนั้น แซงขึ้นหน้า เพื่อไปเผชิญชะตากรรมของเขาต่อ
ตามอัธยาศัย

เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยังไงๆ Z4 คันที่ผมขับอยู่นี้ แม้จะเป็นรุ่นล่างสุด แต่พละกำลัง
รวมทั้งสมรรถนะในด้านต่างๆ เหนือชั้นกว่ารถที่เขาขับอยู่พอสมควร

(ภาพนี้โดย Shyboy จากเว็บไซต์ MXphone.com ที่ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย)

เมื่อชายผู้ขับ Camry เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าไปทางศรีนครินทร์ ผ่านหน้าวัดศรีเอี่ยม
ผมก็ขับเลยไปอีกหน่อย เพื่อเลี้ยวซ้าย ไปขึ้นสะพานยกระดับข้ามแยกวัดศรีเอี่ยม
คร่อมเหนือถนนบางนา-ตราดนั่นละครับ จะมุ่งหน้าไปทางศรีนครินทร์ ขาออกไปทาง
เทพารักษ์ เพื่อจะไปส่งเจ้ากล้วย ให้ถึงบ้าน

ตรงนั้น เขากำลังทำทางกันอยู่ แน่นอน มีก้อนกรวด และผิวถนนที่ไม่เรียบ ระบบกันสะเทือนหน้า
แบบสตรัต Double-joint tiebar ทำจากอะลูมีเนียม เพื่อช่วยในเรื่องของความแข็งแรง และลดน้ำหนักตัว
ลงไปได้ รวมทั้งระบบกันสะเทือนหลังแบบ Multi-Link  Central-arm axle แยกชุดช็อกอัพ และสปริง
ออกจากกัน แถมด้วยเทคโนโลยี anti-squat and anti-dive  ก็ให้ การตอบสนองที่…หนึบ แน่น มั่นใจ
แต่ ติดแข็งกระด้างมานิดหน่อย อันเป็นปกตินิสัย ของรถสปอร์ตประเภทนี้

เพียงแต่ ช่วงล่างของ Z4 ไม่ได้ถึงกับดิบหยาบกระด้างจนเถื่อนทุ่ง เหมือนรถอย่าง MINI Cooper-S
ซึ่งรายนั้น สะเทือนตับม้ามไต หัวใจ และเซี่ยงจี้ กันเกินเหตุไปหน่อย ไม่รู้จะแข็งไปถึงไหน
ช่วงล่างของ Z4 ตอบสนองได้ละมุนกว่า MINI Cooper-S และ ถือว่า ให้ความนุ่มติดปลายนวมมานิดเดียว
จนทำให้นึกถึง ช่วงล่างของ E92 320d Coupe คือไม่แข็งจนชวนให้ปวดตับ เหมือน E92 325i
แต่ก็ไม่ได้นุ่มเท่ากับ E93 325i เปิดประทุน แต่อย่างใด มันอยู่ตรงกลางๆ ระหว่างรถ ทั้ง 2 รุ่นหลัง

ส่วนในช่วงขณะที่ต้องเข้าโค้ง นั้นแม้ว่าด้านหน้าของรถจะมีช่วงยาว แต่กลับไม่ได้เป็น
อุปสรรคใดๆ เลย แถมยังเข้าออกจากโค้งได้ ฉับไวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณหักเข้าโค้งเร็วๆ ด้วยความเร็วเกินกว่าที่รถจะรับมือไหว โอกาสที่บั้นท้ายจะ
ปัดออกไป จนเป็นอาการ Over steer ก็มีสูง อยู่เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้แหละ คืออีกความสนุกในการขับ
รถสปอร์ตพวกนี้ละ สนุกที่ได้บังคับรถ ให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการได้ง่ายเข้า

ทีนี้ มันก็มีเรื่องให้เปรียบเทียบกันเล็กน้อย ในฐานะที่ เพิ่งจะก้าวออกมาจาก MX-5 ไมเนอร์เชนจ์
ได้ราวๆแค่ 2 สัปดาห์ มีคนเริ่มถามแล้วว่า ช่วงล่างทั้ง 2 คันนี้ เป็นอย่างไร ผมมองว่า มันเป็น
สัมผัสอันแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ หากผมจะบอกว่า การตอบสนองต่อ
ลูกระนาด ตามตรอกซอกซอย อารีย์ และอารีย์สัมพันธ์ ไปจนถึง ถนนทั่วๆไป Z4 ใหม่
แข็งในระดับเดียวกับ MX-5 ตัวถัง NC รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ และชวนให้เข้าถึงบุคลิกของ
รถสปอร์ตได้ดี แต่ ถ้าเทียบกับ MX-5 NC โฉมไมเนอร์เชนจ์แล้ว มันกลับกลายเป็นว่า
รุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่ผมเพิ่งทำรีวิวให้คุณๆได้อ่านกันไปก่อนหน้านี้ มันกลับนุ่มนวล
และซับแรงสะเทือน ได้ดีมากๆ ดีมากกว่า Z4 ใหม่ ในหลายครั้งที่ผมขับผ่านถนนขรุขระ
สัมผัสนี้ ชัดเจนมากจนคนทั่วไป น่าจะสามารถแยกความแตกต่างจากรถ 2 รุ่นนี้ กันได้เลย!

ไม่ได้หมายความว่า ช่วงล่างของ Z4 ไม่ดีนะครับ อ่านดีๆ

เพราะความเห็นผม ต่อการตอบสนองของช่วงล่าง Z4 ใหม่ คือ ดีมาก และสมกับการเป็นรถสปอร์ต
เปิดประทุนได้แบบนี้แล้ว เพียงแต่ สำหรับผู้สูงวัยแล้ว การซับแรงสะเทือนในแบบที่ MX-5 ไมเนอร์เชนจ์
ปรับตั้งมาให้จากโรงงานนั้น น่าจะมีผลดีต่อสุขภาพ และการกระทบกระเทือนของพุงกะทิ แล้วข้าวของ
เครื่องใน ที่อาศัยในนั้น  มากกว่า Z4 ใหม่นิดนึง อีกทั้งยังพอจะจับได้ว่า Z4 มีอาการดีดดิ้น ไปตาม
พื้นผิวถนน มากกว่า MX-5 อยู่นิดหน่อย ซึ่งก็คงมีเรื่องของยางมาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย

กระนั้นทั้งคู่ ให้ความมั่นใจ ขณะอยู่ในโค้ง เหมือนกัน เพียงคนละอาการนิดนึง

พวงมาลัยถึงจะเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน แต่คราวนี้ BMW ใช้ระบบ เพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronics
Power Steering) ซึ่งผมกลับไม่รู้สึกพารานอยด์ เหมือนกับพวงมาลัย Servo tronic ใน E92 325i Coupe
และ มันเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า ใน BMW ที่ผมถือว่าทำได้ดี ทั้งในช่วงการขับขี่ความเร็วต่ำ เคลื่อนคลาน
ไปตามสภาพการจราจรอันเชื่องช้า แต่ให้ความมั่นใจได้ดี และมีน้ำหนักที่เหมาะสม เมื่ออยู่ในย่าน
ความเร็วสูง หรือในขณะเข้าโค้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดว่า อยากได้ระบบ Servotronic ใน Z4 ก็สามารถ
สั่งติดตั้งได้ในฐานะเป็นอุปกรณ์พิเศษ

ส่วนการบังคับเลี้ยว หรือเปลี่ยนเลน นั้น พวงมาลัย ตอบสนองไวกว่ารถทั่วไปชัดเจน ก็เหมือนกับ
พวงมาลัยของ MX-5 นั่นละครับ แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็ยังพอมี ระยะฟรีให้เห็นอีกนิดนึง การหักเลี้ยว
อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่า พวงมาลัย คม แต่ยังสามารถ ปรับแต่งให้เฉียมคมกว่านี้ได้อีกนิดเดียว
กระนั้น เพียงเท่าที่เป็นอยู่นี้ ผมว่า เพียงพอแล้ว

(ภาพนี้ โดย Commander CHENG!)

ระบบห้ามล้อ ใน Z4 นั้น ดิสก์เบรก พร้อมรูระบายความร้อน ทั้ง 4 ล้อ เส้นผ่าศูนย์กลาง
เท่ากันทั้งหมด ที่ 300 มิลลิเมตร แต่ความหนาของ จานเบรกคู่หน้าอยู่ที่ 24 มิลลิเมตร
ส่วนคู่หลัง อยู่ที่ 20 มิลลิเมตร พร้อมกับตัวช่วยสำคัญ ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS
ระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC (Dynamic Stability Control) ซึ่งรวมเอาระบบควบคุม
การออกตัวไม่ให้ล้อฟรี DTC (Dynamic Traction Control) ระบบช่วยเบรกในขณะเข้าโค้ง
CBC (Conering Break Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพของระบบเบรก DBC
(Dynamic Brake Control) ที่ช่วยลดอาการ fade จากการชะลอรถ เมื่อใช้ความเร็วสูงๆ
อีกทั้งยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเบรก โดยเฉพาะในสภาพถนนอันเปียกลื่น

รวมทั้งยังมีระบบ Break Stand-By เตรียมความพร้อม เพื่อช่วยลดระยะเบรกให้สั้นลง
ในกรณีต้องเหยียบเบรกฉุกเฉิน จากผลของพฤติกรรมอันเห่ยเฟยโดยรถคันข้างหน้าคุณ
มีระบบช่วยติดเครื่องยนต์ขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill-Start Assistannt

การตอบสนองของแป้นเบรก อยู่ในเกณฑ์ดี เมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ ของ BMW
แป้นเหยียบไม่ได้ตื้นนัก มีระยะเยียบพอประมาณ กำลังดี ไม่เตี้ยไป ไม่สูงไป
การจับตัวของคาลิเปอร์ ค่อนข้างไวพอประมาณ การหน่วงความเร็ว ในช่วงความเร็วต่ำ
และ ส่วนการชะลอจากความเร็วสูงนั้น ทำได้มั่นใจกว่า BMW รุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน
นิดนึง ส่วนช่วงที่ต้องเบรกกระทันหัน รถหน่วงความเร็วลงมาได้ไว ใช้ได้

แต่ระบบเบรกมือไฟฟ้า ของรถคันนี้ ผมไม่เข้าใจนิดนึงว่า ทำไมเสียงจะดังไปไหน
ทำงานแต่ละที ตกใจกันเลยทีเดียว นึกว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า อ๋อ ไม่หรอกครับ
มันทำงานจับตัวตามปกติ แต่เสียงดังเหลือเกิน

ยางในรุ่นพื้นฐานที่เห็นนี้ เป็นยาง Bridgestone POTENZA RE050A I ขนาด 225/45 R17
สวมเข้ากับล้ออัลลอย 8J x 17 นิ้ว แบบ Star Spoke 293 ซึ่ง มีเสียงยางดังให้เข้ามาได้ยิน
พอประมาณ แต่การยึดเกาะกับผิวถนนนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เพียงแต่บนถนนลื่น
ก็อย่าไปกระทืบคันเร่งออกตัวเต็มเท้า แล้วกัน แม้ว่าจะมีระบบ DTC ช่วยแล้ว ก็ตาม

ยางรุ่นนี้เป็นแบบ RFT (Run Flat Tyre) เหมือนใน BMW รุ่นอื่นๆ ซึ่ง หากเกิดปัญหาลมยางรั่ว
จนหมดเกลี้ยง คุณยังสามารถขับรถต่อไปได้ ประมาณ 80 กิโลเมตร ด้วยความเร็วไม่เกิน
80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อหาที่ปะยางชั่วคราว ก่อนจะเดินทางต่อไป หรือไม่เช่นนั้น
ก็ต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่ แล้วสั่ง Reset สัญญาณแจ้งเตือน ความดันลมยาง Tyre Pressure
Monitoring System กันบนชุดมาตรวัด ที่แผงหน้าปัด นั่นละครับ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงใช้วิธีการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตามมาตรฐานเดิม ซึ่งหลายท่านคงจะท่องกันได้
ขึ้นใจไปแล้ว ทันทีที่รับรถมาอยู่ในมือ เราก็มุ่งหน้าไปเติมน้ำมัน ที่ สถานีบริการน้ำมัน เชลล์
ปากซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS และเติมน้ำมันเบนซิน วีเพาเวอร์ 95
จนเต็มถังน้ำมันของรถ ซึ่งมีความจุ 55 ลิตร แล้วเอาแค่หัวจ่ายตัดพอ แน่นอนว่า เราไม่ใช้
แก็สโซฮอลล์ ในการทดลอง

ในเมื่อ ตอนทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิ้งเฉลี่ย ของ คู่แข่งอย่างเจ้า MX-5 เรายังใช้วิธีปิดหลังคา
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดเดียวกัน เราจึงตัดสินใจ ปิดหลังคา Z4 คันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

ใครมันจะไปทนขับรถเปิดประทุนที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วนเมืองไทย ตอน บ่าย 2 โมง อันแผดเผาได้บ้าง?

จากนั้น ขับออกจากปั้ม ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ขึ้นทางด่วนพระราม 6 มุ่งหน้าไปยัง
ปลายสุดสายทางด่วน เส้นเชียงราก เลี้ยวกลับเมื่อถึงปลายทางด่วน ย้อนกลับมาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง
มุ่งหน้ากลับมายัง ทางลง อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยใช้ความเร็ว ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ผู้ร่วมสังเกตการณ์ และสักขีพยานของเรา เช่นเคย น้องกล้วย BnN
สมาชิก The Coup Team ของเรา น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม ผู้เขียน น้ำหนักตัว 95 กิโลกรัม

และเมื่อกลับมาถึง ปั่มเชลล์ แห่งเดิม เราก็มุ่งหน้าไปเติมน้ำมันยังหัวจ่ายเดิม…

ต่อไปนี้คือ ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด 93.6 กิโลเมตร

 ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.82 ลิตร

  อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย….ทายสิครับว่าเท่าไหร่…..ติ๊กต๊อกๆๆๆๆ

ครับ 13.72 กิโลเมตร/ลิตร…ถือว่า งานนี้ เจ้ากล้วย เดาตัวเลขไว้ถูกต้องเป๊ะเลยแหะ ว่าจะอยู่แถวๆ 13 กิโลเมตร/ลิตร กลางๆ

แม้จะดูตัวเลขว่า ด้อยกว่า Mazda MX-5 โฉม NC ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งทำได้ 13.96 กิโลเมตร/ลิตร
แต่เมื่อพิจารณาดูกันดีๆ Z4 ใช้เครื่องยนต์ใหญ่กว่า MX-5 แต่นน้ำมันได้พอกัน ห่างกันแค่
0.2 กิโลเมตร/ลิตรโดยประมาณ ย่อมต้องถือว่า ทำได้ดีสมตัวแล้ว นี่ถ้าเอาเครื่องดีเซล
สุดโปรดของผม วางลงไป มันจะประหยัดขึ้นกันอีกเท่าไหร่หว่าเนี่ย?

จากการใช้งานจริงนั้น รถคันนี้ ถือว่าประหยัดน้ำมันพอกันกับ Nissan TIIDA 1.8 ลิตร
และ Chevrolet Optra อันเป็นรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์ จะว่าไปแล้ว ถ้าคุณจะเดินทาง
ไปต่างจังหวัดนั้น หากคุณ ขับไปชลบุรี บางแสน หรือพัทยา เพชรบุรี หัวหิน นั้น
หากใช้ความเร็ว เดินทาง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะใช้น้ำมัน ไม่เกิน 1 ถัง ความจุ 55 ลิตร แน่นอน

********** สรุป **********

วาฬน้อย สุดหรรษา ราคาแพงไปนิดเดียว

4 วัน 3 คืน อันสุดหรรษา กับเจ้าวาฬน้อย กำลังจะผ่านพ้นไป
ก็เล่นเอาผมใจหายไปเล็กๆ อยู่เหมือนกัน

แม้ผมจะผ่านประสบการณ์กับ BMW รุ่นใหม่ๆมาหลายคัน แต่ แน่นอนว่า
Z4 ใหม่ สามารถเอาชนะใจผมได้ จนกลายเป็นหนึ่งใน BMW ที่ผมไม่อยากคืน
นอกเหนือจาก E90 320d SE ใหม่

อันที่จริง 120d ก็น่าจะเป็น BMW อีก 1 รุ่น ที่ผมควรจะจับเข้ามาอยู่ในรายชื่อดังกล่าว
แต่ รายนั้น เครื่องยนต์ กับเกียร์ เหมือนกับ 320d SE เป๊ะ ทว่า ได้ตัวถังเล็กกว่า
แม้จะขับคล่องตัวกว่า แต่เราต้อง่ายเงิน ถึง 3.6 ล้านกว่าบาท เพื่อแลกกับมันมา
ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่

อ้าว! แล้ว เจ้าวาฬน้อยคันนี้ ค่าตัวก็ปาเข้าไป 4.6 ล้านบาท เนี่ย มันแพงกว่ากัน
ตั้งล้านนึงเลยนะ ทำไมถึงจะจัดเข้าลิสต์ดังกล่าวด้วยละ ?

เหตุผลก็คือ

1. Z4 เป็นรถที่คุณสามารถขับใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นคูเป้ ในวันธรรมดา
หรือเปิดประทุนในวันบ้าๆ อยากอาบแดด

2. เครื่องยนต์ แรงกำลังดี ไม่ต้องแรงมากเกินไป จนกินน้ำมันดุเดือด
แต่ ก็ไม่ใช่ประหยัดซะจนเรี่ยวแรงหายไปหมด เจ้าวาฬน้อย คันนี้
เหยียบแล้วก็มีพละกำลังโผล่มานะ และโผล่มาได้ตามต้องการด้วย
เพียงแต่การตอบสนองของคันเร่ง มาในแนวแข็งแบบรถยุโรป
ก็ต้องกดมากขึ้นนิดนึง

3. วัสดุ การประกอบต่างๆ ผมมองว่า แม้จะแพงกว่าที่คิดไปนิดหน่อย
แต่ก็ถือว่า สมกับค่าตัวที่ต้องจ่ายออกไป  เพราะถือว่าเป็น BMW คันหนึ่ง
ที่ใช้วัสดุค่อนข้างจะดีมาก เมื่อเทียบกับ รุ่นอื่นๆที่ผมประสบมา

4. แม้ว่าหน้ารถจะยาว แต่การบังคับขับขี่ ไม่ยากอย่างที่คิด
สนุกได้กับการเข้าโค้ง พอกับการเปิดรับความรื่นรมณ์จากทั้ง
อากาศภายนอก และผู้คนร่วมสัญจร ที่ถึงกับทักทายพวกเราเข้ามา
ระหว่างที่เราพาเจ้าวาฬน้อย คันนี้ แล่นไปตามถนน ไม่ว่าจะเป็นพหลโยธิน
แถวซอยอารีย์ หรือริมชายหาดบางแสนก็ตาม

แล้วจะมีเหตุผลอื่นใด อีกละ ที่ผมจะไม่รัก Z4 ใหม่ มากพอจนจะเก็บเข้าไปอยู่ใน
รายชื่อของ 10 รถยนต์ที่ ขับมาแล้ว ชอบที่สุด เขี่ยบางคันหลุดจากรายชื่อไปแล้วเรียบร้อย

คำตอบก็คือ…มี

ถ้าถามว่า แล้วนอกจากคุณงามความดีทั้งหมดที่กล่าวมา Z4 รุ่นนี้ยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกบ้าง
คำตอบ ก็คือ มีครับ ไม่เยอะเท่าไหร่หรอก แต่ก็มี เช่นเคย และเป็นปกติของรถยนต์ทุกคันในโลก
ที่ไม่มีคันไหนสมบูรณ์แบบครบ 100% เต็มหรอกครับ

ถามว่าผมอยากได้อะไรจาก Z4 รุ่นใหม่นี้

1. ระบบกันสะเทือนนั้น ถ้าเป็นไปได้ อยากขอความนุ่มนวลกว่านี้ อีกนิดนึง
แม้ว่ามันจะไม่ทำให้ผม พารานอยด์มากเท่ารุ่น E92 325i แต่ มันก็มีคำถามให้ชวนสงสัยว่า
ทำไม Mazda จึงสามารถ เซ็ตระบบกันสะเทือนของ MX-5 ใหม่ ให้นุ่มนวลเพิ่มขึ้นนิดนึง
ยามการขับขี่ ในเมือง แต่ยังคงประสิทธิภาพดีในขณะใช้ความเร็วสูง ขณะที่ Z4 ใหม่นั้น
แน่นอน เดินทางด้วยความเร็วสูง มั่นคง และมั่นใจกว่า MX-5 นิดนึง แต่ในช่วงความเร็วต่ำนั้น
กระเทือนกว่า MX-5 ไมเนอร์เชนจ์ ชัดเจน (แต่ เท่ากันกับ MX-5 รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์พอดี)

2. ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม รถคันที่ผมได้รับมาทดลองขับนี้ ตัวถัง และหลังคา มันลั่นกรอบแกรบ พอสมควร จังเลย
ผิดกับ MX-5 ซึ่ง เสียงลั่นกรอบแกรบ ที่ว่า น้อยกว่ามาก (หากตัดเอาเสียงกระแสลม ที่ดังของ MX-5 ออกไปแล้ว)
ผ่านมือผ่านเท้ามาหลายต่อหลายคนมากไปหรือเปล่า?

3. มาดูเรื่องของราคา
เจเนอเรชัน ที่ 2 ของ Z4 ใหม่ มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย
Z4 sDrive23i คันที่คุณเห็นอยู่นี้ 4,599,000 บาท
Z4 sDrive23i Highline ตกแต่งพิเศษเพิ่มเติม 5,049,000 บาท
Z4 sDrive35i อันเป็นรุ่นท็อป สูงสุด แน่นอน แพงสุดกู่ 7,599,000 บาท

ราคาขนาดนี้ หากผมมีเงินพอ และสมมติว่าคิดจะซื้อขึ้นมา
ถ้าได้เครื่องยนต์ 3,000 ซีซี ผมจะเต็มใจจ่ายมากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะเอาเข้าจริงคือ แม้จะรับได้ แต่ก็แพงไปหน่อย

4. ล้ออัลลอย เรื่องนี้ น้องใหม่ เจ้าของร้าน แมคไกวร์ สาขาซอยลาซาล
ฝากใครก็ได้ใน BMW Thailand ไปบอก ป้าจูเลียน ให้ทีด้วยครับว่า
“ช่วยกรุณาออกแบบลายล้อ ให้ล้างง่ายๆ ทำความสะอาดง่ายๆกว่านี้
อีกสักนิดนึง จะเป็นพระคุณอย่างสูง!”

นั่นสิ ลายล้อ ที่แถมมาให้ในรุ่นล่างสุดนี้ นอกจากจะดูไม่เข้ากับรถแล้ว
ยังมีลวดลาย เหมือนกับล้อของ Honda City รุ่น V ซะด้วยซ้ำ!!!

5. ช่วย เก็บ ซ่อน กลไกพับหลังคา และสายไฟ บริเวณ เหนือศีรษะสักนิด
อย่าปล่อยให้เปลือยแบบนั้น มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เช้านี้ ผมจะต้องเอาเจ้าวาฬน้อยคันนี้ไปคืนกับทาง BMW Thailand แล้วละ
บอกตามตรง ไม่อยากคืนไปเลยจริงๆ นานๆที BMW จะทำรถ รุ่นที่ผมขับแล้ว
ไม่ค่อยจะพารานอยด์นัก (หากไม่คิดถึงเรื่องราคา ไปด้วย ตอนขับอยู่)
เป็นรถที่น่าจะใช้ชีวิตด้วย บรรยากาศในห้องโดยสารก็กำลังดี ไม่มาก ไม่น้อย
จนเกินไป สมราคา (ถ้าได้เครื่อง 3.0 ลิตรนะ)

ก็ต้องขอต้อนรับ Z4 sDrive23i เข้าสู่ 1 ในทำเนียบของ รถที่ผมไม่อยากคืนอีกคันหนึ่ง
ไปเรียบร้อย มา ณ โอกาาสนี้

นี่ขนาด ว่าเป็นแค่ รุ่น sDrive23i ยังทำเอาผมรู้สึกดี ได้ขนาดนี้ ผมก็ชักเริ่มสงสัยแล้วละว่า
ถ้าตัดประเด็นเรื่องราคาแพงมหากาฬถึง 7.59 ล้านบาท ของรุ่นท็อป ออกไป

รุ่น Z4 sDrive35i จะน่าคบหามากน้อยแค่ไหนกันเนี่ย?

———————————————///———————————————-

(ภาพโดย Shyboy @ MXphone.com)

ขอขอบคุณ
คุณพิสมัย เตียงพาณิชย์ (พี่ไหม)
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย จากสตูดิโอออกแบบ เป็นของ BMW AG เยอรมัน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
24 กันยายน 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 24th,2009   

 

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่