การประกาศผล BEST DRIVE 2012 ของ Headlightmag.com เรา เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2013 ที่ผ่านมา เป็นธรรมเนียมของเราทุกปี ที่จะต้องประกาศ
10 รายชื่อรถยนต์ ที่ ผม และ สมาชิกกลุ่ม The Coup Team เราเห็นว่า เป็นรถยนต์
ที่ขับสนุก และควรค่าแก่การซื้อหามาครอบครอง เป็นเจ้าของเพื่อการขับขี่ให้สุนทรีย์อันสูงส่ง
โดยปกติแล้ว คุณผู้อ่านหลายคนก็มักจะถามว่า ทำไมรถยนต์ยุโรปราคาแพงอย่าง BMW
Mercedes-Benz ถึงติดอันดับรางวัล Best Drive กับเขาทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 รุ่น ก็เห็น
เป็นประจำ
เหตุผล ไม่มีอะไรมากครับ ในเมื่อ พวกเขาทำรถยนต์ออกมาได้ ขับสนุกดีเด่นเด้งเป็นลูกชิ้น
โอเด้ง ในแทบทุกหัวข้อในช่องกรอกคะแนน โดนใจ และมีราคาค่าตัวที่เหมาะสม แล้วเหตุใด
กันเล่า ที่พวกเขาถึงไม่คู่ควรแก่การติดอันดับประจำปีของเว็บไซต์เรา?
และปีนี้ BMW ก็ทำผลงานได้ดี นับเป็นปีที่ 2 ที่พวกเขา คว้ารางวัลอันดับ 1 จากการตัดสิน
ร่วมกันของเรา ปีกระโน้น เป็น BMW 5-Series มาในปีนี้ ก็ถึงคราวของน้องเล็กขายดีที่สุด
อย่าง 3-Series ใหม่ ในรุ่นที่ขายดีที่สุดของเมืองไทยตอนนี้….
320d…..ในตัวถังใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันล่าสุด รหัสรุ่น F30
ผมยังจำได้เมื่อครั้งที่ใครบางคน ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า หลังจาก
Full Review 320d รุ่น E90 จะเผยแพร่ครั้งแรก ในเว็บไซต์เก่า ที่ผมเคยทำงานอยู่ในช่วง
ปี 2007 – 2008 นั้น เผยแพร่ออกไป เดือนถัดมา ยอดขายของ 320d ก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่าง
มีนัยยะสำคัญ
หลังจากนั้น 320d ก็กลายมาเป็น BMW รุ่นที่ขายดีที่สุด ในบรรดา 3-Series ทุกรุ่นที่วาง
จำหน่ายอยู่ในเมืองไทย แสดงว่า คนไทยเริ่มยอมรับรถเก๋งขุมพลัง Diesel Turbo บ้างแล้ว
ทันทีที่ รถรุ่นใหม่ เปิดตัวในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2012 กลางงานแถลงข่าว
ประจำปีของ BMW Thailand แทบจะรู้ได้ทันทีเลยว่า อีกไม่นาน กระแสของ 320d
จะกลับมาอีกรอบอย่างแน่นอน
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆด้วย
เพียงแต่ว่า การที่รถรุ่นนี้จะขายดี ก็ต้องยอมรับว่า ได้อานิสงค์มาจากคุณงามความดี
ทั้งในด้านความประหยัด ควบคู่กับความแรงเอาเรื่อง เมื่อเทียบกับค่าตัวที่หลายๆคน
ยังพอจะเอื้อมถึงกันอยู่
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า รถยนต์รุ่นใหม่ จะต้องดีกว่ารถยนต์รุ่นก่อน ในทุกด้านเสมอไป
บางที ความคาดหมายของหลายๆคนอาจสูงเกินไปสักนิด แม้ว่า 320d ใหม่ F30 จะ
ค้วาอันดับ 1 จากการประกวด BESTDRIVE ของเราในปีนี้ไปครอง แต่นั่นก็มิได้
หมายความว่า มันจะเป็นรถยนต์ที่หาข้อด้อย ข้อเสีย ข้อที่ต้องตำหนิไม่ได้เลย
แต่อย่างใดทั้งสิ้น….
320d ก็เหมือนรถยนต์คันอื่นๆแหละครับ ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ Perfect 100%
มันยังมีความไม่ลงตัวในบางจุด ซ่อนให้คุณเห็นอยู่บ้าง ภายใต้เรือนร่างที่แม้จะ
คล้ายของเดิม แต่ก็ดูมีมัดกล้าม และจิกสายตาขึ้นกว่าเดิม
จะเป็นจุดไหนอย่างไรบ้าง เนื้อหาข้างล่าง รอคุณผู้อ่านกันอยู่แล้ว ………และคราวนี้
ไม่ได้มาแค่ ตัวถังเดียว แต่มากันครบ ทั้ง 2 ตัวถัง คือ Sedan / Saloon รหัส F30
และ ตัวถัง Station Wagon ในชื่อ 3-Series Touring รหัส F31 มากันเป็นแพ็คคู่!
เพียงแต่…ตามธรรมเนียม ก่อนที่จะรู้ว่า s-Series ใหม่ โดยเฉพาะรุ่น 320d จะขับขี่แล้ว
ดีหรือด้อยกว่าเดิมอย่างไร สำหรับผู้ที่ยังเป็น “มือใหม่” ในเรื่องรถยนต์ ก็ควรจะมีความรู้
เอาไว้ติดรอยหยักกันสักนิด ว่าทำไม 3-Series ถึงกลายเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่สุดของ
ค่ายใบพัดสีฟ้า ตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ผ่านมา
จุดกำเนิดของ BMW ซีรส์ 3 นั้น เกิดขึ้นจากการที่ ผู้ถือหุ้นใหญ่สุด มากถึง 51% ของ BMW
อย่าง Herbert Quandt ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ บริษัทของเขาจะต้อง พัฒนารถยนต์นั่งในพิกัด
C-Segment เพือทำตลาดในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ของ BMW 2002 ถ้าไม่รีบทำ BMW
ที่เพิ่งฟื้นตัวจากภาวะล้มละลาย ในช่วงไม่กี่สิบปีก่อนหน้านั้น อาจต้องสูญเสียภาพลักษณ์
ในการเป็นบริษัทที่เน้นการผลิตรถยนต์ เพื่อนักขับขี่เป็นหลัก และอาจต้องเสียลูกค้าที่เคย
อุดหนุน รุ่น 2002 ไป
Paul Bracq หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ BMW ช่วงปี 1970 ถึง 1974 เป็นผู้วางแนวทางการ
ออกแบบ ซีรีส์ 3 รุ่นแรก E21 โดยมีWilhelm Hofmeister นักออกแบบผู้สร้างเอกลักษณ์
บั้นท้ายบริเวณ เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar แบบ Hofmeister Kink ให้กับ BMW วาดภาพ
ร่างแบบแรกของรถรุ่นนี้ ในปี 1975 ก่อนการเปิดตัวไม่กี่เดือน Claus Luthe เข้ามารับ
ตำแหน่งแทน Bracq และเป็นเจ้าของโครงการคนถัดมา
ซีรีส์ 3 รุ่นแรก รหัส E21 เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 1975 ทำตลาดจนถึงปี 1983 จะมีเฉพาะ
ตัวถัง Sedan 2 ประตู เพียงแบบเดียว ก่อนที่จะมีตัวถัง เปิดประทุนออกแบบพิเศษ โดย Baur
ออกมาขายกันในจำนวนไม่มากนัก ในช่วงแรกมีไฟหน้าแค่ฝั่งละดวง ก่อนจะมีแบบ 2 ดวง
ตามออกมาในรุ่นย่อยที่ใช้เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น ภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้มีแผงหน้าปัด
แบบ Driver’s focus cockpit เอียงแผงควบคุมให้ใกล้มือคนขับมากกว่ารถยนต์ทั่วไป ถือเป็น
แม่แบบให้กับการออกแบบของ BMW มาจนถึงปัจจุบัน
ตัวรถยาว 4,355 มิลลิเมตร กว้าง 1,610 มิลลิเมตร สูง 1,380 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,563
มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,364 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,377 มิลลิเมตร
ช่วงแรก วางเครื่องยนต์ 4 สูบ คาร์บิวเรเตอร์ ขนาด 1,573, 1,766 และ 1,990 ซีซี โดยมีรุ่นย่อย
ให้เลือก ทั้ง 315 , 316 , 318 ,320 และ 320i ขุมพลังแบบหัวฉีด BOSCH K Jetronic แรงสุด
เป็น 125 แรงม้า (HP) เปิดตัวช่วงปลยปี 1975 ซีรีส์ 3 ทุกรุ่น มีทั้งเกียร์ธรรมดา 4 หรือ 5 จังหวะ
และเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน (มีเพาเวอร์ผ่อนแรงในบางรุ่น)
ระบบกันสะเทือนหน้า แบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้าหลัง แบบ Semi-Trailing Arm ระบบห้ามล้อ
หน้าดิสก์ หลังดรัม
ในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 1977 BMW เปิดตัวขุมพลัง 6 สูบ และดิสก์เบรก
4 ล้อ ให้กับรุ่น 320 และ 323i กำลังสูงสุด 143 แรงม้า (HP) ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซีรีส์ 3 รุ่นแรก ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมาก จนมียอดผลิตผ่านหลัก 1 ล้านคัน ได้
สำเร็จในปี 1981 หรือเพียงแค่ 6 ปี ในสายการผลิตเท่านั้น และมียอดผลิตรวมจนถึงสิ้นอายุ
ตลาด ในปี 1983 มากถึงประมาณ 1,360,000 คัน ทั่วโลก
รุ่นที่ 2 รหัส E30 เริ่มผลิตเมื่เดือนธันวาคม 1981 แต่พร้อมสู่การเปิดตัวเมื่อปี 1982 ทำตลาดจนถึงปี
1994 ถือเป็น รุ่นยอดนิยมตลอดกาล ในดวงใจของคนรัก BMW ทั่วโลก มีให้เลือกหลากรุ่นย่อย และ
เครื่องยนต์ และถือเป็นรุ่นแรกที่มีตัวถังใหม่ๆ เปิดตัวออกมา ทั้ง Sedan 2 กับ 4 ประตู เปิดประทุน
(ทั้งจาก BMW เอง และของ Baur) และ Station wagon หรือที่เรียกว่ารุ่น Touring สิริรวมตัวเลขที่
BMW ผลิต E30 ทุกตัวถัง รวมทั้ง M3 กับ M3 Cabriolet ทุกรุ่น ทุกเวอร์ชัน ออกโลดแล่นทั่วโลก
มากถึง 2,339,520 คัน!
รายละเอียดต่างๆ อยู่ในบทความ ประวัติ BMW ซีรีส์ 3 รุ่น E30 โดย Commander CHENG ของเรา
คลิกอ่านต่อได้ที่นี่
รุ่นที่ 3 รหัส E36 เปิดตัวเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 1990 ทำตลาดจนถึงปี 1998 คราวนี้ ตัวถัง Sedan 4 ประตู
ถูกยกขึ้นมาเป็นรุ่นหลักสำหรับการบุกตลาดทั่วโลก ก่อนที่รุ่น Coupe 2 ประตู จะตามออกมาในปี 1992
ตามด้วยรุ่นเปิดประทุน และ M3 ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา พอล่วงเข้าปี 1994 ก็มีตัวถัง Hatchback 3 ประตู
ในปี 1994 และตัวถัง Station Wagon หรือ Estate ในชื่อ Touring ตามมาในปี 1995 จุดเด่นของรุ่น E36
(หรือที่บ้านเราเรียกว่ารุ่น นกแก้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาจากใครกัน) อยู่ที่การวางขุมพลัง 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว
พร้อมระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ VANOS วางลงในรุ่น 2 ประตู ตามด้วยรุ่น 325tds ที่มาพร้อม
เครื่องยนต์ Diesel 6 สูบ พ่วง Turbocharger และ Intercooler รวมทั้งรุ่น 318tds วางขุมพลัง Diesel
4 สูบ Turbocharger และในปี 1994 – 1995 ก็มีการอัพเกรดเครื่องยนต์ 6 สูบ ด้วยอ่างน้ำมันเครื่อง หรือ
Crankcase ทำจาก Aluminium
รุ่นที่ 4 รหัส E46 เปิดตัวเมื่อ 23 พฤษภาคม 1998 ทำตลาดจนถึงปี 2005 ถือเป็นรุ่นสำคัญที่มีการออกแบบ
ใหม่หมดทั้งคัน ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม 4 เซ็นติเมตร แถมยังกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติอีกด้วย ในปี 1999
ซีรีส์ 3 มียอดขายสูงเป็นอันดับ 3 ในบรรดารถยนต์ที่จดทะเบียนในเยอรมันี แซงหน้าคู่แข่งทุกคันในพิกัด
เดียวกัน ทั้ง Mercedes-Benz C-Class และ Audi A4 อีกทั้งรุ่น E46 ยังถือเป็นรุ่นแรกที่มี รุ่นย่อยใหม่
อย่าง 320d ซึ่งเป็นครั้งแรกของ BMW ที่ทำเครื่องยนต์ Diesel Turbo แบบฉีดตรง Direct Injection
ขณะที่รุ่นขายดีอย่าง 318i ก็มีแกน balancer shafts มาให้ 2 จุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นครั้งแรกของการนำ
เทคโนโลยี ระบบแปรผันวาล์ว Double-Vanos มาใช้ ทั้งแคมชาฟต์ฝั่งไอดีและไอเสีย เพื่อเพิ่มแรงบิด
ของเครื่องยนต์ และลดมลพิษลงไปในตัว ส่วนรุ่น 330d ก็เริ่มติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง แบบ
Common rail injection เป็นครั้งแรก พอมาถึงปี 2001 BMW ก็เริ่มติดตั้งระบบ VALVETRONIC
ระบบแปรผันวาล์วไอดี ที่กระเดื่องวาล์วโดยตรง ก่อนหน้านั้น ก็มีการแนะนำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ
ใหม่ xDrive ทั้งในรุ่น Sedan และ Touring รวมทั้งการนำเครื่องยนต์ Diesel Common-Rail
Turbo ติดตั้งให้กับตัวถัง Coupe และเปิดประทุนอีกด้วย ถือเป็น ซีรีส์ 3 รุ่นที่ยกระดับด้านเทคโนโลยี
เกินกว่าที่รุ่นก่อนหน้านี้เคยมีมาเสียอีก
รุ่นที่ 5 รหัส E90 เปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม 2005 ทำตลาดถึงปี 2011
เป็นผลงานการออกแบบในยุคสมัยที่ Chris Bangle กุมบังเหียนฝ่ายออกแบบของ BMW อยู่ แต่ว่ากันว่า
เขาถูกกันออกมา ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับโครงการนี้มากนัก เพราะ BMW กังวลกับผลงานในช่วงตั้งแต่ปี 1999
ของเขา ซึ่งมีเสียงตอบรับจากทั่วโลก ทั้งชอบสุดขั้วและเกลียดแบบสุดขั้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยาก
นำอนาคตของ ซีรีส์ 3 มาเสี่ยงด้วย E90 จึงเป็น BMW เพียงรุ่นเดียวที่ Bangle มีส่วนร่วมไม่มากนัก
ในยุคที่ เขายังอยู่กับ BMW (ก่อนจะย้ายไป Samsung ในเวลาต่อมา)
E90 ถือเป็นรุ่นที่มีการยกระดับเทคโนโลยีเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ให้มีประสิทธิภาพสูง อัตราเร่งดี
และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงได้มาก ตามแนวทาง BMW EfficientDynamics ที่เริ่ม
ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2007 โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ทุกรุ่น จะใช้ระบบฉีดตรง Direct njection ด้วย
หัวฉีดที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง ในรุ่น 330i และ 335i ขุมพลัง 6 สูบ และ 320i กับ 318i ที่ใช้
ขุมพลัง 4 สูบ โดยรุ่น 335i นั้นจะใช้เทคโนโลยี TwinPower Turbo (กรณีนี้ เป็น Turbo 2 ลูก พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว แบบ Double-Vanos โดยใช้ อ่างน้ำมันเครื่องทำจาก Aluminium หรือแม้แต่วัสดุ
ที่เบายิ่งขึ้นกว่าอย่าง Magnesium/aluminium composite และในปี 2010 เครื่องยนต์ทุกรุ่น สามารถ
ผ่านมาตรฐานมลพิษ EURO 5 ทั้งหมด โดยเฉพาะรุ่น 320d EfficientDynamics Edition ซึ่งถือเป็น
รถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน และปล่อยมลพิษต่ำสุด ในกลุ่มเดียวกัน ด้วยการนำระบบ Common rail
Direct injection เจเนอเรชัน 3 มาใช้ ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (HP) แต่ประหยัดน้ำมันได้ถีง
4.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร !!
จนถึงเดือนมิถุนายน 2012 BMW ผลิต ซีรีส์ 3 ออกมาโลดแล่นบนท้องถนนทั่วโลกแล้วมากถึงกว่า
12.51 ล้านคัน ในจำนวนนี้ 4 ใน 5 คน ของลูกค้าที่เคยซื้อ ซีรีส 3 ไปขับ ไม่ว่ารุ่นใดก็ตาม พวกเขา
จะกลับมาซื้อรถรุ่นนี้ซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกัน ตัวถังเดียวกัน แต่ต่างรุ่นย่อย หรือ เจเนอเรชัน
ใหม่ที่คลอดออกมาหลังจากนั้น
และปัจจุบันนี้ ซีรีส์ 3 ยังคงครองตำแหน่ง รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในบรรดา BMW ทุกรุ่น ต่อเนื่องมา
ตลอดหลายสิบปี คิดกันเล่นๆว่า BMW 10 คันที่คลอดจากโรงงาน จะมีถึง 3 คัน ที่เป็น ซีรีส์ 3 !
นี่ยังไม่นับอีกสารพัดรางวัลมากมายก่ายกอง ที่ BMW ได้รับ มาตลอด รวมทั้งรการติดอยู่ในรายชื่อ
Ten Best ของ นิตยสาร Car and Driver เป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 1992 จนถึงปี 2012
ก็ยังติดอยุ่ในทำเนียบดังกล่าว และถือเป็นรถยนต์ที่ติดอันดับในทำเนียบนี้ ต่อเนื่องยาวนานที่สุด
และปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนึ่งในรถยนต์ รุ่นสำคัญที่สุด ที่ดีที่สุดของโลก ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้ ยืนยันได้อย่างดีว่า ซีรีส์ 3 เป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญที่สุด สำหรับ BMW มากแค่ไหน
ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเตรียมรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่หมดทั้งคันแบบ Full Model Change
มันจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย อย่างที่หลายคนคิด
ถามว่าซีเรียสกันแค่ไหน เอาเป็นว่า เมื่อครั้งที่ BMW จะเปลี่ยนโฉม 3-Series จากรุ่น E46 มา
เป็นรุ่น E90 เคยมีรายงานข่าวว่า พวกเขาถึงขั้น ไม่ยอมให้ Chris Bangle อดีต หัวหน้าฝ่าย
ออกแบบของ BMW ผู้โด่งดังในความครีเอทีฟ เข้ามาปรับเปลี่ยนเส้นสายตัวรถมากเหมือนกับ
รถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่เขาทำมาทั้งหมดก่อนหน้านั้น ทั้ง 5-Series รุ่น E60 , Z4 รุ่นที่ 2 , 6-Series
และ 7-Series (E65/E66)
ดังนั้น เมื่อ Chris Bangle ตัดสินใจลาออกจาก BMW แล้วข้ามธุรกิจ ไปอยู่ที่ Samsung BMW
จึงต้องพึ่งพาศิษย์เอกของ Bangle อย่าง Adrian van Hooydonk (คนที่ยืนชี้นิ้วในรูปข้างบนนี้)
มารับหน้าที่เป็น Director of BMW Group Design และมาเป็นผู้ขัดเกล้า อนุมัติงานออกแบบ
ของ 3-Series ใหม่ อีกด้วย
งานออกแบบ ถูกอนุมัติในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2009 โดย BMW คัดเลือก งานออกแบบภายนอก
ของตัวรถ รุ่น Sedan จากปลายปากกา ของ Christopher Well ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น เป็น
ผลงานของ Christian Bauer (บริษัทนี้ เป็นอะไรมากไหม กับคนชื่อ Chris เนี่ย?)
ขณะที่รุ่น Touring นั้น จะเป็นผลงานการดัดแปลงบั้นท้ายของตัวรถ ภายนอก โดยนักออกแบบ
ของ BMW ที่ชื่อ Michael de Bono คนที่คุณเห็นอยู่ในรูปข้างบนนี้ เขารับผิดชอบดูแลตั้งแต่ขั้น
ร่างภาพ Sketch ไปจนถึง งานขึ้นรูปดินเหนียวขนาดเท่ารถคันจริง ของรุ่น Touring ทั้งหมด
และแน่นอนว่า นับจากต้นปี 2009 เป็นต้นมา BMW ก็พยายามทุ่มเทออกแบบ วิจัย สร้างชิ้นส่วน
ตัวอย่าง ปรับปรุงและทดสอบความทนทานของชิ้นส่วนต่างๆในตัวรถ ประกอบขึ้นเป็นรถยนต์
Prototype ออกแล่นทดสอบตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ตามมาตรฐานของพวกเขา เหมือนเช่นเคย
และใช้เวลาในการพัฒนาไปทั้งหมด ราวๆ 4 ปี (ตั้งแต่ ปี 2008)
ในที่สุด BMW ก็พร้อมเปิดตัว ซีรีส์ 3 รุ่นปัจจุบัน สู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการ ด้วยการจัดงาน
เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ที่โรงงาน ในเมือง Munich เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2011 ถือเป็นการเปิดตัวที่ต้อง
ยอมรับว่า อลังการงานสร้างใช้ได้ เพราะ BMW เล่นจัดงานถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผ่านทาง Internet
และ ใน Facebook ของ BMW Group เอง มีขบวนพนักงานในโรงงานยืนเรียงแถวต้อนรับการมาถึง
ของรถรุ่นนี้ จากไลน์ประกอบ ต่อเนื่องมาถึงบนเวทีจัดงาน ที่สร้างไว้ตระการตาเอาเรื่องเลยทีเดียว
แต่วันที่ BMW พร้อมส่งมอบรถยนต์คันแรกให้ลูกค้า หรือวันออกสู่ตลาดจริง ในยุโรป เกิดขึ้่นเมื่อ
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012
สำหรับในเมืองไทย ต้องถือว่า BMW Thailand เป็นเสือปืนไวอย่างมาก ที่ตัดสินใจสั่งนำเข้ารถยนต์
ตัวอย่าง รุ่น 320d จำนวน 3 คัน ประกอบจากโรงงานในเยอรมันี เข้ามาเป็นล็อตพิเศษ เพื่อจัดแสดง
ในงานแถลงข่าวผลประกอบการ ประจำปี 2011 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012 ก่อนจะนำไปเปิดตัว
ให้สาธารณชนได้สัมผัส และจับจองกันล่วงหน้า ในงาน Bangkok International Motor Show
เมื่อ วันที่ 26 มีนาคม 2012 (รอบประชาชนทั่วไป วันที่ 28 มีนาคม 2012) และพร้อมเปิดสั่งจองกัน
ทันที แต่กว่าลูกค้าจะได้รับรถประกอบไทย ก็ต้องรอกันจนถึงช่วง มิถุนายน – กรกฎาคม 2012
ส่วน รุ่น Touring รหัสรุ่น F31 นั้น เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2012
แต่เริ่มทำตลาดจริงในยุโรป วันที่ 6 กรกฎาคม 2012 เรียกได้ว่า เปิดตัวตามรุ่น Sedan กันแบบไม่เว้น
ช่องว่างให้คู่แข่งหายใจกันเลย คาดหวังจะเอาใจ ลูกค้ากลุ่มครอบครัว มากขึ้น
ช่วงแรก เปิดตัวในยุโรปด้วยรุ่น 328i , 320d และ 330d ก่อนที่รุ่น เครื่องยนต์ใหม่ 316d 318d และ
320i จะตามออกมาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2012
ในเมืองไทย รุ่น Touring ถูกส่งมาเปิดตัวในบ้านเรา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2012 กลางงานแสดง
รถยนต์ประจำช่วงปลายปีอย่าง Motor Expo 2012 โดยมีเพียงรุ่นเดียว คือ 320d Touring M Sport
Package ตั้งราคาขายไว้แพงโดดถึง 4,499,000 บาท ต่างจากรุ่น Sedan ประกอบในประเทศซึ่งตั้ง
ราคาไว้ 2,890,000 บาท ถึง 1,609,000 บาท !!!
แพงโอเวอร์อะไรขนาดน้านนนนน??
3 Series ใหม่ ตัวถัง Saloon มีความยาว 4,624 มิลลิเมตร กว้าง 1,811 มิลลิเมตร สูง 1,429 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาวถึง 2,810 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,543 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง
1,583 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังสุทธิ (น้ำหนักรถเปล่า) ของ 320d F30 ใหม่ อยู่ที่ 1,490 กิโลกรัม ระยะ
ห่างจากพื้นถนนจนถึงพื้นรถ 140 มิลลิเมตร ในรุ่น Sedan / Saloon
หากเปรียบเทียบตัวเลข กับ 3-Series ตัวถัง Saloon รุ่น E90 เดิม ซึ่งมยาว 4,531 มิลลิเมตร กว้าง 1,817
มิลลิเมตร สูง 1,421 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อสั้นกว่าคือ 2,760 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า รถรุ่นใหม่
มีความยาวทั้งคันเพิ่มขึ้น 93 มิลลิเมตร แคบลงแค่ 6 มิลลิเมตร จากส่วนที่กว้างที่สุดของตัวรถ แต่ความ
กว้างช่วงล้อคู่หน้าเพิ่มขึ้นอีก 37 มิลลิเมตร เป็น 1,543 มิลลิเมตร สูงขึ้น 9 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ
ยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร
ส่วนตัวถัง Touring F31 นั้น มีขนาดตัวถัง ยาว กว้าง สูง และระยะฐานล้อ เท่ากับรุ่น Sedan ไม่มีผิด!
รูปลักษณ์ภายนอกของ 3 Series ใหม่ ดูแล้วเหมือนเป็นการผสมผสาน เอาแนวโครงสร้างตัวถัง
ของ รถรุ่นเดิม รหัสรุ่น E90 / E91 มาปรับประยุกต กับเส้นสายที่ดูหนา ภูมิฐาน แต่มีพลัง ของ
5 Series รุ่นปัจจุบัน (รหัสรุ่น F10 / F11) อย่างชัดเจน
จุดเด่นของงานออกแบบรถรุ่นใหม่นี้ อยู่ที่ แนวเส้นกระจังหน้ารูปไตคู่ Kidney ที่มีการลากเส้น
ด้านบนให้ยาวต่อเนื่องมายังชุดไฟหน้า แบบ Xenon ทั้งไฟสูง และไฟต่ำ ปรับระดับสูง – ต่ำได้
โดยอัตโนมัติ จนทำให้ด้านหน้าของรถ ดูเหมือน จิกมองไปที่พื้นถนน หรือรถคันข้างหน้าอยู่
ตลอดเวลา เสาอากาศติดตั้งบนหลังคา ด้านหลัง เป็นครีบปลาฉลามเหมือนเคย
ส่วนบั้นท้าย อาจต้องหาศัยการสังเกตมากเป็นพิเศษ ในการแยกความแตกต่างระหว่าง 3 Series
และ 5 Series รุ่นปัจจุบัน เพราะทั้งคู่ เหมือนกันมากๆ จนยากจะแยกให้เห็นในระยะไกล จนต้อง
เพ่งมองกันใกล้ๆ ถึงจะรู้ว่า เป็น 3 Series ยิ่งถ้าเป็นรุ่น Touring 5 ประตู ยิ่งหาความแตกต่าง
จาก 5 Series ตัวถัง Touring ยากยิ่งกว่ารุ่น Sedan เสียอีก ชุดไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3
ของทุกรุ่น เป็นแบบ LED ทั้งหมด เส้นสายข้างใน คล้ายกับชุดไฟท้ายของ 5 Series ใหม่มากๆ
กระนั้น ในความเห็นส่วนตัว เส้นสายของ 3 Series รุ่นนี้ ผมมองว่า ลงตัวมากที่สุดนับตั้งแต่
รุ่น E30 เป็นต้นมา เป็นรุ่นที่ผมมองว่า ไม่จำเป็นต้องปรับแก้ไขส่วนใดๆทั้งสิ้น ลงตัว และ
สมบูรณ์มากๆ เสียจนนึกไปว่า ในอนาคต รุ่นต่อไป จะยังคงรักษาความลงตัวแบบนี้ไว้ได้
อีกหรือเปล่า?
เพียงแต่ว่า แม้จะมองเห็นจากระยะไกลว่าเป็น BMW แต่ต้องเพิ่งใกล้ๆ เพื่อแยกแยะว่าเป็นรุ่นใดกันแน่
สิ่งที่จะถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับ BMW ในคราวนี้ก็คือ มีการแบ่งรูปแบบการตกแต่งทั้งภายนอก
และภายในให้กับ ซีรีส์ 3 ใหม่ ถึง 3 รูปแบบ ด้วยกัน ซึ่งแม้จะคล้ายคลึงกับแนวทางของคู่รักคู่แค้น
อย่าง Mercedes-Benz ที่มีให้กับ C-Class แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ก็ต้องถือว่า เป็นแนวทางที่ BMW
ต้องการเอาใจกลุ่มลูกค้าสำคัญ ที่มีรสนิยมแตกต่างกัน 3 กลุ่มหลัก เพื่อให้ได้ ซีรีส์ 3 ในแบบที่ลูกค้า
แต่ละกลุ่ม ต้องการอย่างแท้จริง
การตกแต่ง จะมีให้เลือก 3 รูปแบบ ดังนี้
1 Modern Line เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบรรยากาศสบายๆ ผ่อนคลาย และเน้นการ
ใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยมที่ดี
2.Luxury Line เอาใจกลุ่มลูกค้าระดับผู้ใหญ่ หรือผู้บริหาร ที่อยากได้รถยนต์ ซึ่งช่วย
แสดงออกถึงสถานภาพทางสังคมได้ ตกแต่งในแนวหรูหรา
3. Sport Line (คันสีแดงที่เห็นอยู่ในรีวิวนี้) เน้นการตกแต่งสไตล์ Sport เอาใจกลุ่ม
ลูกค้าวัยรุ่น หรือรวมทั้งกลุ่ม Young at Heart ที่ชอบขับรถเป็นชีวิตจิตใจ
รายละเอียดการตกแต่ง เมื่อแยกย่อยไปในแต่ละชิ้นส่วน มีรายลเอียดโดยสรุปดังนี้
กระจังหน้า Kidney Grill
รุ่น Modern ใช้สีแบบอลูมิเนียม
รุ่น Luxury ใช้ซี่กระจังโครเมี่ยม
รุ่น Sport ใช้สีดำ Black Chrome
ช่องดักลมบริเวณโคมไฟตัดหมอกหน้า
รุ่น Modern ใช้แถบอลูมิเนียมคู่ มีการจบขอบด้านใน รูปทรงตัว U
รุ่น Luxury ใช้เส้นโครเมียม คาดยาวตลอดช่องดักลมเหนือ ไฟตัดหมอกหน้า
รุ่น Sport ใช้เส้นอลูมิเนียมเส้นเดียวคาดกลางช่องดักลม
ชายกันชนหน้าด้านล่าง จะใช้วัสดุลักษณะเดียวกับ กระจังหน้า
รุ่น Luxury จะมีเส้นโครเมียมคาดยาวชายกันชนหน้า
รุ่น Modern จะใช้เส้นอลูมิเนียม
รุ่น Sport จะเป็นสีดำ Black Chrome
ชายล่างกันชนหลัง จะเป็นวัสดุเดียวกันกับ ชายล่างกันชนหน้า
แตกต่างกันในแต่ละ รูปแบบการตกแต่งเหมือนด้านบน
ปลายท่อไอเสีย
รุ่น Modern โครเมียม
รุ่น Luxury โครเมียม
รุ่น Sport ใช้โครเมียมรมดำ
แนวเส้นขอบกระจกหน้าต่าง ประตูทั้ง 4 บาน
รุ่น Sport และ Modern จะเป็นขอบสีดำ Black Chrome
รุ่น Luxury จะเพิ่มเส้นโครเมียมเพื่อให้ดูหรูขึ้น
ล้ออัลลอย ให้มาเป็นขนาด 17 นิ้ว เท่ากันหมด สวมยาง
Bridgestone Potenza S001 RFT 225/50 R17
รุ่น Modern จะเป็นลาย 10 ก้าน V-spoke รหัส 413
รุ่น Luxury จะเป็นลายซี่เล็ก 20 ซี่ Multi-spoke รหัส 414
รุ่น Sport จะเป็นลาย 5 ก้านคู่ Double spoke รหัส 392
สีภายนอก มีให้เลือก หลายสี แต่มีการจำกัดเฉพาะบางรูปแบบในบางสี
รุ่น Modern สีภายนอกที่สามารถเลือกได้มีอยู่เพียง 3 สีเท่านั้น
ได้แก่ สีขาว Alpine White, สีดำ Black Sapphire และสีน้ำตาล Havanna
รุ่น Luxury มีให้เลือกถึง 6 สี ซึ่งมีให้เลือกมากที่สุดในบรรดา 3 ไลน์ ประกอบด้วย
สีขาว Alpine White, สีดำ Black Sapphire, สีเงิน Glacier Silver, สีน้ำเงินเข้ม
Imperial Blue Brilliant Effect และสีเทา Mineral Grey
รุ่น Sport มีสีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว Alpine White, สีดำ Black Sapphire,
สีเทา Mineral Grey และ สีแดง Melbourne Red ซึ่งมีให้เลือกในเฉพาะรุ่น Sport เท่านั้น
อย่างที่เห็นในรีวิวนี้
สีของภายในรวมถึงวัสดุหนังหุ้มเบาะ หรือ Upholstery
รุ่น Modern จำกัดอยู่แค่เพียงสีเดียว คือ ด้านบนจะเป็นสีครีมเข้ม ส่วนด้านล่างและ
ตัวเบาะจะเป็นสีครีมขาว Oyster ส่วน Stitching หรือด้ายเย็บจะเป็นสีเดียวกับตัวเบาะ
รุ่น Luxury จะมีให้เลือกอยู่สองสี คือ สีเบจ Veneto + Stitching สีเดียวกับเบาะ
และ สีน้ำตาล Saddle Brown + Stitching สีดำ ส่วนแผงหน้าปัดจะเป็นสีเทาดำ
รุ่น Sport มีให้เลือก 2 สีเช่นเดียวกันคือ สีดำ + Stitching สีแดง และสีแดง
Coral red + Stitching สีดำ แผงหน้าปัดทั้งด้านบนและล่างจะเป็นสีดำ
วัสดุตกแต่งแผง หน้าปัด
รุ่น Luxury จะใช้ลายไม้ Wallnut สีเข้ม กับแถบอลูมิเนียม
รุ่น Modern จะใช้ลายไม้สี Fineline Anthracite ออกสีเทาเข้ม กับแถบอลูมิเนียม
รุ่น Sport จะใช้ วัสดุสีดำ Hi-gloss black กับ แถบสีแดง Hi-gloss
การตกแต่งทั้งหมดนี้ ในต่างประเทศ คุณสามารถเลือกได้ทั้งตัวถัง Saloon หรือ Touruing
แต่ในประเทศไทย คุณจเลือกได้เฉพาะตัวถัง Saloon เท่านั้น เพราะรุ่น Touring สั่งนำเข้า
มาเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ M Sport ที่จะมาพร้อมชุดเปลือกกันชนหน้า – หลัง สไตล์สปอร์ต
ล้ออัลลอย ลาย M ขนาด 18 นิ้ว และพวงมาลัยหุ้มหนังแบบพิเศษ ฯลฯ กันอยู่แล้ว
ระบบกลอนประตูไฟฟ้า ควบคุมด้วย รีโมทกุญแจ Immobilizer แค่เพียงพกรีโมทไว้กับตัว เดินเข้าไป
ใกล้ตัวรถ ก็สามารถดึงเปิดประตูออกได้แล้ว ถ้าจะสั่งล็อกประตู ก็แค่ปิดประตู แล้วเอานิ้ว แตะบนแถบ
ด้านบนของมือจับประตู เท่านี้ก็เรียบร้อย มีปุ่มเปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง และมีดอกกุญแจ
สำรองซ่อนอยู่มาให้ หน้าตาพื้นฐานของกุญแจรีโมท จะเป็นแบบเดียวกันนี้ แต่จะใช้โทนสีแตกต่าง
ไปตามรูปแบบการตกแต่ง อย่างรุ่น Sport ที่เห็นอยู่ จะเป็นกุญแจสีดำคาดด้วยแถบเส้นสีแดง
นอกจากนี้ ในยามค่ำคืน เมื่อเปิดประตูรถ ทั้ง 4 บาน กางออก คุณจะเห็น ไฟส่องสว่าง ใต้แผงประตู
ด้านข้าง ของประตูทุกบาน เพื่อช่วยให้เห็นพื้นด้านข้าง ขณะกำลังจะก้าวขึ้น – ลงจากรถ เป็นอุปกรณ์
ซึ่งสมควรจะมีในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั่วไปได้แล้ว
การเข้าออก จากบานประตู คู่หน้า อาจต้องใช้วิธีเดียวกับรถสปอร์ต หรือรถเก๋งยุคเก่า ที่มีตำแหน่งเบาะ
ค่อนข้างเตี้ย คือ อาจต้องปรับระดับเบาะลงให้เตี้ยสุดเสียก่อน แล้วค่อยก้าวขา เข้าไป เพราะดูเหมือนว่า
BMW จะออกแบบให้ กรอบประตูด้านล่าง ค่อนข้างสูง จนทำให้พื้นที่วางขา กลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่
พอจะให้ปลาว่ายเล่นได้ 1 – 2 ตัว ขณะที่ศีรษะนั้น ต้องก้มหัวให้เยอะไว้ก่อน มิเช่นนั้น หัวของคุณ อาจ
โขกกับกรอบประตูด้านบนได้
สรีระอย่างผม ยังไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็คนตัวอ้วนหมีพีใหญ่ ระดับ ตาแพน Commander
CHENG! ของเว็บเรา บอกได้เลยว่า คุณมีปัญหาแน่ๆ เพราะช่องทางเข้าประตูยังคงเล็กพอกับรถรุ่นเดิม
เลยนั่นแหละ!
แผงประตูคู่หน้า ออกแบบมาให้วางแขนได้ในระดับกำลังดี มือจับประตูก็อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
ตามสไตล์ของ BMW มีช่องใส่ของ ซึ่งสามารถวางขวดน้ำดื่ม หรือกระป๋องเครื่องดื่ม ได้สบายๆ
โปรดสังเกตว่า ยางขอบประตูนั้น บุมาให้ ทั้งที่บานประตู และบริเวณกรอบช่องทางเข้าห้องโดยสาร
งานนี้ หวังผลในด้านลดเสียงกะรแสลมเล็ดรอดเข้ามาอย่างเต็มที่
มือเปิดประตูจากภายใน เปิด 2 จังหวะ ครั้งแรกเพื่อปลดล็อก อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปิดบานประตูออกไป
แบบเดียวกับรถยุโรปทั่วไป (ยกเว้น Ford Focus ใหม่ ที่เปิดกางออกได้แม้รถจะแล่นอยู่!)
เบาะนั่งของรถรุ่น Sport จะตกแต่งด้วยโทนสีที่มีให้เลือกทั้ง แบบ LCL3 Black/Red เบาะสีดำ เย็บ
ด้วย ด้ายสีแดง และ LCL5 Coral Red สีแดง และด้ายสีดำ ทั้งด้านหน้าละด้านหลัง หนังหุ้มเบาะ
ยังคงเป็นหนังแบบ Dakota ที่ BMW ใช้กับรถยนต์แทบจะทุกรุ่นมานานหลายปีแล้ว
เบาะคู่หน้า จะเป็นเบาะแบบ Sport ปีกข้างจะโอบกระชับเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โอบจนสัมผัสได้เลยว่า
จะโอบแน่นแบบนี้ไปอีกนานไหม ในรุ่น Touring มีสวิชต์ไฟฟ้า ปรับระดับการโอบของปีกข้าง
ว่าจะให้โอบกระชับ หรือคลายออกได้แค่ไหน แต่ในจังหวะคลายออกจนสุด ก็ยังโอบกระชับ
กันอยู่ดี กลัวว่าเข้าโค้งแรงๆจะหลุดจาเบาะเลยกระมัง
พนักพิงหลังนั่งสบาย และขับขี่ทางไกลได้ดี มันอาจจะไม่ได้นุ่มสบาย เหมือนเบาะของ ซีรีส์ 5
ใหม่ รุ่น F10 / F11 แต่ สำหรับบรรดาคนชอบขับรถ น่าจะไม่ปริปากบ่นกับเบาะของ ซีรีส์ 3 ใหม่
เท่าใดนัก
พนักศีรษะมีขนาดใหญ่โตมาก ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ แต่ปรับมุมองศา ได้ ด้วยการกดปุ่มด้านข้าง
ล็อคได้ 4 ตำแหน่ง ขอแนะนำว่า ดันไว้ตำแหน่ง ตั้งตรงที่สุด จะนั่งสบายหัวมากที่สุดแล้ว ไม่รู้จะ
ทำพนักศีรษะมาใหญ่โตขนาดนี้เพื่ออะไร?
ส่วนเบาะรองนั่ง ใครที่บ่นว่า มันสั้นไป ไม่พอดี คราวนี้น่าจะเลิกบ่นกันได้แล้ว เพราะ BMW ติดตั้ง
ส่วนรองขา ปรับความยาวได้ด้วยคันโยก เพิ่มมาให้ ทั้งเบาะคนขับ และฝั่งผู้โดยสาร กันเลย และ
มีการออกแบบให้มุมเงย (ในตำแหน่งกดลงไปจนต่ำสุด) เพิ่มขึ้นจากเบาะของรุ่น E90 เล็กน้อย
ไม่มากนัก อยู่ในระดับกำลังดี หรือจะปรับตำแหน่งให้ก้นยกลอยขึ้น ลดมุมเงยลงได้ด้วยตัวคุณเอง
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และลดแรงปะทะ Pre-tensioner &
Load Limiter แต่ยังคงปรับระดับสูง – ต่ำไม่ได้ อยู่ดี ประเด็นนี้ ดูเหมือนว่า ผู้ผลิตฝั่งยุโรป จะมอง
เรื่องนี้คนละมุมกับผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่น เพราะชาวอาทิตย์อุทัยมองว่า ควรจะปรับระดับได้ เพื่อให้สอดรับ
กับสรีระของทุกๆคน แต่ผู้ผลิตฝั่งยุโรป จะมองว่า ควรปรับเบาะนั่งให้เหมาะสม แล้วตำแหน่งเข็มขัด
ก็จะลงตัวพอดีกับสรีระคุณเอง ก็ไม่รู้ว่า ใครผิดใครถูกในประเด็นนี้ แล้วแต่จะคิดมองกัน
พื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังถือว่า หายห่วง ไม่ว่าคุณจะตัวสูงขนาดไหนก็ตาม การปรับเบาะจะช่วยให้คุณ
หาตำแหน่งนั่งที่ลงตัวได้มากขึ้น
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง ทำได้ ง่ายดายขึ้น คล่องขึ้น เพราะช่องทางเข้า กว้างขึ้น แต่กระนั้น
ควรระวังศีรษะสักเล้กน้อย ควรจะก้มหัวให้เยอะๆ เวลาลอดผ่านหลังคารถ มิเช่นนั้น อาจโขกกับขอบ
ด้านบนของกรอบประตูได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับด้านหน้า
แต่ปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลย ในรุ่น Touring เพราะช่องทางเข้า-ออกนั้น มีแนวขอบหลังคาที่
ยาวต่เนื่องไปจรดบั้นท้ายรถ ทำให้กรอบช่องประตูมีขนาดใหญ่กว่า และเข้า-ออกได้สบายกว่า แต่
อาจต้องระวังเวลาย่อลงไปนั่ง เพราะโอกาสที่เป้ากางเกงจะขาด มีสูงมาก!
การวางแขน บนแผงประตูหลัง ยังคงทำได้ดี เท่าๆกับ แผงประตูคู่หน้า ตำแหน่งต่างๆ ของพื้นที่พักแขน
และมือจับประตู จัดวางมาอย่างดี ลงตัว และไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรอีก
เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบมาให้นั่งได้สบายขึ้น ฟองน้ำยังคงมีความหนาแน่นพอกันกับรถรุ่นเดิม
ซุ้มล้อ อาจกินพื้นที่เข้ามายังด้านข้างของแผ่นหลัง พอๆ กันกับรถรุ่นเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดเล็ก แต่ถือว่ายังคงนั่งสบายอยู่
ลักษณะเบาะนั่งแถวหลัง คล้ายกับ 3-Series E90 รุ่นเดิม แต่มีพื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 15 มิลลิเมตร
ดังนั้น ต่อให้สรีระร่างของคนขับ จะให่โต เท่ากับตาแพน Commander CHENG! ของเว็บเรา
แต่คุณจะยังมีพื้นที่วางขาเหลือเฟืออย่างแน่นอน เพียงแต่ การกระดกปลายขา อาจทำได้ไม่
สะดวกเท่าใดนัก แค่นั้นเอง ส่วนพนักศีรษะ มีมาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง หนาและแน่นกำลังดี
ตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตู และ ที่วางแขน แบบพับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง
มีปุ่มกดฝาพับเปิดแบบ บานตู้กับข้าว ยังคงพอจะใช้งานได้ดี แต่ถ้าวางแก้ว ก็แทบไม่ต้องวางแขนเลย
พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนตัวสูง 171 เซ็นติเมตรอย่างผม เหลือให้พอสอดนิ้วเข้าไประหว่าง
หัวและเพดานอีก 3 นิ้ว (นิ้วชี้ กลาง และ นิ้วนาง) เรียงติดกัน น่าเสียดายที่เบาหลังยังคงพับ
เพื่อเปิดทะลุไปยังห้องเก็บของไม่ได้ ตามแบบฉบับที่ยกมาจากรุ่นก่อนๆ แต่ก็ยังมีจุดยึดเบาะ
นิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้ทั้งฝั่งซ้าย และขวา เช่นเดียวกับ เข็มขัดนิรภัยของ
เบาะแถวหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ในรถคันที่เราทดลองขับ ไม่มี
ม่านหน้าต่างมาให้แต่อย่างใดทั้งสิ้น แม้จะมี “ศาสดา” มือจับยึดเหนี่ยวทางจิตใต พร้อมขอเกี่ยว
ไม้แขวนเสื้อ และไฟส่องสว่างกลางเพดานด้านหลัง ที่ออกแบบให้มีไฟอ่านหนังสือ สำหรับ
ผู้โดยสารทั้ง 2 ฝั่งแถมมาให้ด้วย
ส่วนเบาะหลังในรุ่น Touring Wagon นั้น แม้จะมีรูปทรงของพนักพิงหลังต่างกัน แต่ลักษณะ
การนั่งโดยสาร ก็ไม่ด้ต่างกันมากมายนก อาจมีการรองรับบริเวณหัวไหล่ที่ดีขึ้น และมีพนัก
ศีรษะ ที่รองรับได้สบายหัวมากกว่ารุ่น Sedan นิดนึง แต่ก็ไม่ถึงกับต่างกันมากนักอย่างที่คิด
ความยาวเบาะรองนั่งของรุ่น Sedan กับ Touring พอๆกัน สำหรับคนช่วงขาสั้นอย่างผม นั่งแล้ว
พอดีกับข้อพับ นั่งได้เต็มก้น แต่สำหรับคนขายาว อาจจะต้องนั่งชันขาขึ้นมานิดนึง ไม่มากนัก
ทุกรุ่น ให้เข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง แต่สำหรับรุ่น
Touring จะมีช่องสำหรับติดยึดกับข้อเกี่ยวเพื่อการกั้นพื้นที่บรรทุกสัมภาระมาให้ ใกล้กับมือจับ
เหนือ บานประตูคู่หลัง เป็นพิเศษ
และความแตกต่างที่สำคัญนั่นคือ เบาะนั่งแถวหลัง สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ให้ใหญ่โตเป็นพิเศษ แถมยังสามารถพับให้ราบเป็นแนว
เดียวกันกับ พื้นห้องเก็บของด้านหลัง ได้อีกด้วย
การเปิดฝากระโปรงท้าย มี 3 วิธี ทั้งการกดปุ่มบน รีโมทกุญแจ การกดสวิชต์ไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่
บริเวณ ไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง และ วิธีการใหม่ล่าสุดที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในตระกูล
3-Series (หลังจากมีมาให้ใน 5-Series ใหม่ F10 กันแล้ว) นั่นคือ สามารถใช้เท้า เตะลอด
เข้าไปใต้กันชน และต้องเตะในตำแหน่งตรงกับเซ็นเซอร์ คือ เตะเหมือน เตะลูกบอล อย่า
ไปโดนกันชน เตะอากาศโดย ลอดขาเข้าไป ถ้าเซ็นเซอร์ เจอขาของคุณ กลอนฝากระโปรง
ด้านหลัง จะปลดล็อก และดีดฝากระโปรงหลัง ขึ้นอย่างรวดเร็ว…ระวังโดนขอบล่างของฝา
กระโปรง Upper Cut เสยปลายคาง นะจ้ะ คุณหนูๆ ทั้งหลาย!
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดยกขึ้นตั้งฉากอย่างที่เห็น มีพาสติกครอบเสาค้ำยันมาให้
แถมยังมี ทับทิมสามเหลี่ยม ติดมาให้จากโรงงาน เพื่อให้ คุณกางมันออกใช้ ขณะที่รถต้อง
จอดอยู่บนไหล่ทาง รอความช่วยเหลือ เพื่อให้แสงไฟหน้ารถคันที่แล่นตามมา สะท้อนกับ
ทับทิม และลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ ส่วนผนังใต้ฝากระโปรงหลัง บุมาอย่างเรียบร้อย ซึ่ง
หลังๆนี้ ไม่ค่อยเห็นบริษัทรถยนต์ทำแบบนี้กันเท่าใดนัก
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของ รุ่น เดิม E90 มีขนาดความจุ 460 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
ขณะที่ Mercedes-Benz C-Class Saloon จะอยู่ที่ 475 ลิตร VDA ดังนั้น 3-Series F30 ใหม่
จึงถูกปรับปรุงให้มีพื้นที่ห้องเก็บของท้ายรถ เพิ่มขึ้นเป็น 480 ลิตร VDA คาดว่าน่าจะวางถุงกอล์ฟ ได้
2 ถุงใหญ่ ผนังด้านข้าง ถูกออกแบบมาให้เป็นช่อง สำหรับวางข้าวของจุกจิก ฝั่งซ้ายจะมีตาข่าย
ไม่สูงนัก ไว้กันข้าวของขนาดเล็ก กลิ้งไปมา ส่วนฝั่งขวา จะเป็นช่องวางแบ็ตเตอรี มีฝาปิดมาให้
วางของได้อีกนิดหน่อย
ทีมออกแบบของ BMW ยังคงรักษาความสูงจากพื้นถนน จนถึงขอบกันชนหลัง ไว้ที่ 66 เซ็นติเมตร
เพื่อให้สะดวกต่อการขนถ่ายเคลื่อนย้ายข้าวของจากด้านหลังของรถ
เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้น จะไม่พบยางอะไหล่ คุณจะเจอแค่หลุมวางของขนาดใหญ่ พร้อมฝาปิด แค่นั้น
ส่วนรุ่น Touring นั้น การเปิดฝาประตูท้าย ทำได้ 2 แบบ คือจะเลือกเปิดแค่ บานกระจกบังลมหลัง
ด้วยกดสวิชต์ล็อกที่เชื่อมติดกับชุดใบปัดน้ำฝนหลัง หรือว่าจะเลือกเปิดฝาท้าย ทั้งบาน ด้วยวิธีการ
ที่เหมือนกับรุ่น Sedan แทบทุกประการ ทั้งการเปิดจากสวิชต์รีโมทกุญแจ หรือจากสวิชต์ เหนือ
ช่องใส่ป้ายทะเบียน
แผงพลาสติกด้านหลังฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เป็นที่อยู่อาศัยของ ป้ายสามเหลี่ยมสีแดง
สะท้อนแสง สำหรับกางไว้ตอนรถจอดเสียอยู่บนไหล่ทาง ยามค่ำคืน รวมทั้ง สวิชต์ บานประตู
แบบไฟฟ้า ถ้าต้องการยกฝาขึ้นเอง กลไกไฟฟ้าก็ทำงานไปแล้วในตอนเปิดฝาประตู แต่ถ้าจะ
ดึงฝากระโปรงหลังลงมาปิดเอง ไม่ต้องครับ กดปุ่มด้านบนที่เห็นนั่นละ ถ้าจะกดแบบให้ยัง
สามารถเปิดใช้งานในครั้งต่อไปได้ อีก ก็กดปุ่มใหญ่ แต่ถ้ามั่นใจว่าจะไม่ใส่ของอะไรเพิ่ม
ก็กดปุ่มรุปกุยแจ เพื่อให้ฝาประตูไฟฟ้า เลื่อนลงมาปิดเอง แล้วล็อกไปเลย การปลดล็อกก็ใช้
รีโมทกุญแจนั่นละครับ ระบบนี้ยกชุดมาจาก ซีรีส์ 5 Touring X3 X5 กับ X6 เลยนะ
ความยาวตัวถังที่เพิ่มขึ้น 97 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร ส่งผลให้
ห้องเก็บของด้านหลังของ รุ่น Touring ยาวขึ้น ช่วยเพิ่มขนาดความจุด้านหลังจากรถรุ่น
Touring E91 รุ่นเดิม อีก 35 ลิตร มาเป็น 495 ลิตร และถ้าพับเบาะหลังลงทั้งหมด ความจุ
จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมันี
อุปกรณ์ที่แถมมาให้กับตัวรถ ซึ่งจำเป็นต้องมีสำหรับรถยนต์ประเภท Station Wagon ก็มี
มาให้ครบ ทั้งม่านบังสัมภาระด้านหลัง ถอดเก็บได้ ตาข่ายสำหรับกันสัมภาระ ไม่ให้พุ่ง
ข้ามมายังห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมี จุดยึดต่างๆ ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ทั้งบนพื้นห้อง
เก็บของ และผนังด้านข้าง เพื่อให้สะดวกต่อการผูกเชือกมัดยึดตรึงสัมภาระด้านหลังไว้
ไม่ให้กระแทกมายังผู้โดยสารด้านหลังเมื่อเกิดการชน และมีปลั๊กไฟสำหรับเสียบเชื่อม
อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆมาให้ด้านหลังรถ
พื้นห้องเก็บของ สามารถยกออกได้ จะเห็นเป็นถาดหลุมสำหรับวางข้าวของขนาดเล็กต่างๆ
ที่ต้องการแอบซ่อนจากสายตาผู้คนทั่วไป ส่วนพื้นด้านที่ติดกับขอบทางเข้าห้องเก็บของ ยัง
สามารถยกเปิดได้ เพื่อใส่อุปกรณ์เกี่ยวข้องกับการบรรทุกสัมภาระของรถ
ผนังด้านข้าง ฝั่งซ้าย จะเป็นฝาปิด Recycle เป็นช่องเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาล First Aid Kit
และปลั๊กไฟ ฝั่งขวาจะมีช่องตาข่ายสำหรับเสียบข้าวของจุกจิก ทั้ง 2 ฝั่ง มีขอเกี่ยวสำหรับ
แขวนห้อยถุงหรืออุปกรณ์เล็กๆมาให้
ที่แน่ๆ ทั้ง 2 ตัวถัง ไม่มียางอะไหล่มาให้ อย่าลืมนะครับว่า BMW ให้ยางติดรถแบบ RFT
(Run Flat Tyre) ซึ่งแม้ว่ายางจะแตก ลมรั่วหมด คุณยังสามารถพารถแล่นบดยางไปได้อีก
80 กิโลเมตรด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อหาร้านเปลี่ยนยางได้เอง
แผงหน้าปัดถูกออกแบบขึ้นใหม่ แม้จะยังวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ ให้ถูกต้องตามหลักการ
ออกแบบที่เน้นด้านสรีรศาสตร์ หรือ Ergonomic Design ไว้เหมือนกับ BMW รุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมา
แต่มีแนวเส้นพริ้วขึ้นกว่าเดิม และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้สะดวกต่อการควบคุม ใช้งาน และการ
มองเห็น มากยิ่งขึ้น เอนตำแหน่งแผงควบคุม ไปทางผู้ขับขี่เพิ่มขึ้นอีกนิด ในระดับกำลังดี และ
ในระดับที่ผู้โดยสารจะไม่บ่น เพราะยังคงใช้งานร่วมกันได้ด้วย
ในรุ่น Sport จะตกแต่งแผงหน้าปัดด้วย Trim แบบ High Gross สีดำ คาดด้วยเส้นสีแดง จากฝั่ง
ซ้ายจรดขวา และประดับด้วย Trim สีเงิน Aluminium ตามจุดต่างๆ ทั้งแผงควบคุมวิทยุ ระบบ
เครื่องปรับอากาศ แผงคันเกียร์ สวิชต์ระบบ i-Drive และมือจับประตู
มองขึ้นไปด้านบนเพดานสีเทาสว่าง แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิด และไฟ
ส่องสว่าง ฝังบนเพดาน มาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง ตรงกลาง เหนือกระจกมองหลังแบบตัดแสดงอัตโนมัติยาม
ค่ำคืน เป็นไฟส่องสว่างพร้อมไฟอ่านแผนที่ 2 ฝั่ง แสงในตอนกลางคืนถือว่า พอใช้ได้ กำลังดี
จากบานประตูฝั่งขวา ไล่มาถึงพวงมาลัย
กระจกหน้าต่างทั้ง 4 บาน เลื่อนขึ้น – ลง ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แบบ One-Touch ทั้งหมด มีสวิชต์ กันล็อก
ไม่ให้เปิดกระจกหน้าต่างบานอื่น ยกเว้นฝั่งคนขับ รวมทั้ง สวิชต์ ปรับ และพับกระจกมองข้างด้วย
ไฟฟ้า พร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติยามค่ำคืน เหมือนกระจกมองหลัง และสวิชต์เลื่อนเพื่อเปิดการ
ทำงานของระบบปรับมุมกระจกมองข้างฝั่งซ้ายลง ทันทีที่เข้าเกียร์ถอยหลัง เพื่อให้มองเห็นขอบ
ฟุตบาธ ขณะถอยเข้าจอด
ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวา ด้านคนขับ เป็นสวิชต์ เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟหรี่ ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง และสวิชต์แบบ
หมุนเลื่อนปรับระดับความสว่างของชุดมาตรวัด ยามค่ำคืน
ก้มลงไปมองที่ฐานเสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวามือ ใกล้กับคันเร่งแบบ Piano Padel จะเห็นทั้ง สวิชต์เปิด
ฝากระโปรงหลังด้วยไฟฟ้า กดปุ่มแบบ One Touch ช่องเสียบเชื่อม เครื่องคอมพิวเตอร์ OBD (On-Board
Diagnosis) สำหรับศูนย์บริการ ใช้วิเคราะห์ปัญหาของระบบอีเล็กโทรนิกส์ต่างๆในรถ
การเปิดฝากระโปรงหน้า ต้องดึงคันโยกฝั่งขวา ทั้งหมด 2 ครั้ง นะครับ ครั้งแรก คือการยกฝาลอยขึ้นมา
ให้ดึงอีกครั้ง เพื่อให้กลอนมันปลดล็อก จากนั้น ก็เดินไปยกเปิดฝาห้องเครื่องได้เลย เป็นวิธีที่ไม่เหมือน
ชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไหร่
กลับขึ้นมาที่ คอพวงมาลัยฝั่งขวา ก้านสวิชต์ ใบปัดน้ำฝน มาพร้อมระบบปัดหน่วงเวลา ปรับตั้งเองได้
และมี Rain Sensor มาให้ ที่ด้านบนสุดของกระจกบังลมหน้า ร่วมกับ ไฟหน้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ
ก้านสวิชต์ฝั่งซ้ายชองคอพวงมาลัย เป็นสวิชต์ ไฟเลี้ยว และไฟสูง มีระบบกระดิก 1 ครั้งเบาๆ ไฟเลี้ยว
จะกระพริบ 3 ครั้ง เพื่อการเปลี่ยนเลน เหมือนรถยุโรปสมัยใหม่ทั่วไปในตอนนี้
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ทรงกึ่งสปอร์ต กึ่งหรู หุ้มหนัง ในรุ่น Sport คันนี้ ใช้หนังสีดำ เย็บเชื่อมติด
ด้วยด้ายสีแดงเหมือนเบาะนั่ง ประดับด้วย Trim สีเงิน มาพร้อมสวิชต์ระบบ Multi-Function ฝั่งซ้าย
ของก้านพวงมาลัย ควบคุมระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ส่วนฝั่งขวา ไว้ควบคุมชุด
เครื่องเสียง กับระบบโทรศัพท์ในรถ แสดงผลผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์กลาง และบนแถบด้านล่าง
ของชุดมาตรวัด
ส่วนรุ่น Touring M Sport Package นั้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นจะหุ้มด้วยหนังแท้ดีไซน์พิเศษ หนา
นุ่ม เย็บตะเข็บด้วยสีน้ำเงินแบบ “M” ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการจับท่อยางหุ้มท่อแอร์ เลยทีเดียว!
มีหัวเกียร์ และกาบบันไดดีไซน์พิเศษแบบ “M” มาให้เป็นพิเศษ
สวิชต์ไฟฉุกเฉิน และสวิชต์ ปลดหรือสั่งล็อกประตู ติดตั้งคู่กัน ระหว่างช่องแอร์กลาง สวิชต์ไฟฉุกเฉิน
อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ใช้งานง่าย แต่ขนาดเล็กไปนิดนึง สีไม่เด่นพอ ส่วนสวิชต์ล็อกประตู น่าจะ
ติดอยู่ที่แผงประตูด้านข้างมากกว่า ใช้งานสะดวกกว่า แต่นี่ก้เป็นตำแหน่งปกติของสวิชต์ทั้ง 2 ชนิด
ที่พบได้ใน BMW ทุกรุ่นอยู่แล้ว ส่วน ชุดเบรกมือ เป็นแบบก้านโยกตามปกติ
ชุดมาตรวัด เปลี่ยนมาใช้แบบ 4 วงกลม เหมือนเช่นทั้งใน ซีรีส์ 7 และ ซีรีส์ 5 ใหม่ พื้นสีดำ ตัวเลข
ตัวอักษร สีขาว และส่องสว่างเป็นสีแดง เมื่อเปิดไฟหน้าตอนกลางคืน มาตรวัดความเร็วฝั่งซ้าย
มาตรวัดรอบ อยู่ฝั่งขวา มีมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ฝั่งซ้าย และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำใน
ระบบหล่อเย็น (หม้อน้ำ) ทางฝั่งขวาสุด ทั้ง 4 วง ล้อมรอบด้วยกรอบโครเมียม
แถมยังมี จอแสดงข้อมูล ทั้ง On-Board Computer ตรงกลาง เพื่อแจ้งข้อมูลทั้งระยะทางที่ใช้งาน
มาทั้งหมด (Odometer) มาตรวัดจับระยะทาง Trip Meter (กดปุ่มขวาล่างสุดของมาตรวัดเพื่อเซ็ต
ตั้งค่าเป็น 0 ) นาฬิกา มาตรวัดอุณหภูมิภายนอกรถ และระยะทางที่น้ำมันในถังเหลือจะแล่นต่อไป
รวมทั้ง หน้าจอ ความละเอียดสูง แบบเดียวกับใน ซีรีส์ 7 และ ซีรีส์ 5 แต่มีขนาดเล็กกว่านิดนึง เพื่อ
แจ้งเตือน อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real Time แจ้งเตือนการทำงานของระบบติดและดับ
เครื่องยนต์อัตโนมัติ ในช่วงการจราจรติดขัด Auto Start/Stop แจ้งเตือนสถานะของรถ เช่น ลืมปิด
ประตู ฝั่งใดก็ตาม กำหนดการนำรถเข้าเช็คตามระยะทางครั้งต่อไป เตือนว่า เปิด หรือปิดระบบช่วย
ควบคุมการทรงตัว แจ้งยืนยันว่าเปลี่ยนมาใช้โหมดการขับขี่ใดอยู่ ทั้ง ECO Pro ,Comfort , Sport
และ Sport + (อ่านต่อได้ในส่วนของรายละเอียดทางวิศวกรรม ถัดจากนี้ไป) ติดตั้งอยู่ใต้มาตรวัดรอบ
ในรุ่น Sport กับ Luxury จะใช้ชุดมาตรวดแบบเดียวกันนี้ แต่ในรุ่น Modern นั้น ชุดมาตรวัดจะเป็น
พื้นสีน้ำตาล Oylster ตัวอักษร และตัวเลขสีขาวในตอนกลางวัน จะเปลี่ยนเป็นสีแดงตามมาตรฐาน
ของ BMW เมื่อเปิดไฟหน้า ใช้งานยามค่ำคืน
กล่องเก็บของพร้อมฝาปิด Glove compartment มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนิดนึง ไม่เยอะนัก พอให้
ใส่ชุดคู่มือผู้ใช้รถ และเอกสารประจำรถอีกนิดหน่อยเท่านั้น
ใต้แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใกล้กับคันเกียร์ จะมีถาดใส่เหรียญขนาดเล็ก พื้นเป็นบางสังเคราะห์
กันลื่น และกันเสียงกระทบกัน ขณะรถกำลังเคลื่อนที่ แต่สามารถยกถอดออก เพื่อใช้เป็นช่องวางแก้ว
หรือกระป๋องน้อัดลมได้ 2 ตำแหน่ง ถัดขึ้นไป เป็นช่องวางของจุกจิก พร้อทฝาปิด และช่องเสียบจ่าย
ไฟฟ้า สำหรับปลั๊กชาร์จโทรศัพท์เคลื่อนที่
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ อัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา พร้อมช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ติดตั้งอยู่ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง การใช้งาน จะง่าย ถ้าคุณคิดแค่ต้องการปรับอุณหภูมิเพียง
อย่างเดียว แต่ถ้าต้องการจะลดความแรงของพัดลมแอร์แล้ว อาจต้องใช้นิ้วคลำ หรือไม่ก็ต้องลด
สายตาลงมาจากถนน เพื่อมองหาสวิชต์พัดลม ที่อยู่ตรงกลาง และมีขนาดเล็ก ไม่ได้เด่นสะดุดตา
มากพอให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยนัก
ส่วนอุปกรณ์ด้านการสื่อสารและความบันเทิงนั้น เป็นชุดเครื่องเสียง BMW Professional ประกอบ
ด้วย วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 1 แผ่น 6 ลำโพง มี Harddrive สำหรับเก็บข้อมูลของ
แผนที่สำหรับระบบนำทาง และเพลง ส่วนแผงสวิชต์ที่เรียงกันหมายเลข 1-8 นั้น หากคุณลองเอานิ้ว
ไปแตะ ยังไม่ต้องกดลงไป แล้วรูดเลื่อนไป จะเห็นแถบเมนูด้านบนจอมอนิเตอร์ ค่อยๆ โผล่แบบ
ป๊อปอัพขึ้นมา แสดงว่า ปุ่มนั้น ณ หน้าจอนั้น จะทำหน้าที่อะไร เปลี่ยนคลื่นวิทยุเป็นช่องไหน เพื่อ
ลดการละสายตาลงต่ำมากเกินไป
ชุดเครื่องเสียง ติดตั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System มาให้ แสดงผลเป็นแผนที่
ในเมืองไทย จากโรงงาน และยังคงเชื่อมต่อกับระบบควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ i-Drive ซึ่ง
มีสวิชต์หมุนๆ กด และโยก เป็นวงกลม ตรงกลาง ถัดจากคันเกียร์ มีปุ่มเลือกเข้า Menu หลักทันที ทั้ง
ชุดเครื่องเสียง (Media) วิทยุ (Radio) โทรศัพท์ (Tel) ระบบนำทาง (Navi) ถ้าต้องการย้อนกลับไปยัง
หน้าจอก่อนหน้านี้ กดปุ่ม Back ถ้าจะเลือกปรับตั้งค่าของการใช้งานในระบบ เลือก Option และถ้า
คิดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากเริ่มต้นใหม่ กดปุ่มใหญ่ Menu แสดงข้อมูลของระบบต่างๆ ผ่านทางจอ
มอนิเตอร์สีขนาดใหญ่ 8.8 นิ้ว ตั้งเด่นตระหง่านแบบ Free Standing
หน้าจอมอนิเตอร์ Freestand ขนาด 8.8 นิ้ว ยังสามารถแสดงผลให้กับ ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS
ทั้งแบบแผนที่ธรรมดา หรือ 3 มิติ พร้อมภาพกราฟฟิก แสดงอาคารสถานที่ในบริเวณโดยรอบใกล้เคียงได้
เป็นหน้าจอแสดงการทำงานของทั้งชุดเครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ การตั้งค่าระบบต่างๆ ในตัวรถ และ
ยังมีการติดตั้ง “คู่มือผู้ใช้รถ” ฝังมาให้ในระบบเสร็พสรรพ ชนิดไม่ต้องกลัวว่าจะทำคู่มือผู้ใช้รถหล่นหาย
กันอีกต่อไป ทั้งหมดนี้ สามารถแสดงผลได้ทั้งแบบจอเต็ม หรือจอแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา Spilt Screen
อีกฟังก์ชันล่าสุดที่ติดตั้งใน ซีรีส์ 3 ใหม่ เวอร์ชันไทย คือ ระบบสื่อสาร BMW ConnectedDRIVE
เชื่อมต่อ 320d เข้ากับโทรศัพท์มือถือ Smart Phone ได้ผ่านทาง Bluetooth โดยมี BMW Apps
ช่วยให้คุณสามารถใช้ Facebook , Twitter เช็ค E-Mail จากโทรศัพท์ของคุณ ผ่านทางหน้าจอ
มอนิเตอร์ ได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ
ทุกรุ่นมีเซ็นเซอร์ กะระยะขณะถอยหลังเข้าจอดรอบคัน PDC (Parking Distance Control) แสดงผล
ทั้งด้วยเสียงเตือน (ที่น่ารำคาญมากหากจอดใกล้วัตถุรอบข้างเกินเหตุ) และภาพ Graphic บนหน้าจอ
มอนิเตอร์ตรงกลาง
นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น iPod หรือ iPhone ได้ผ่านช่องเสียบ USB / AUX ซึ่งสามารถ
เล่นเพลงจาก USB Memory Stick หรือ iPod ได้ และระบบ Bluetooth Hands Free เพื่อใช้ร่วมกับฟังก์ชัน
โทรศัพท์ในขณะขับรถในกล่องคอนโซลเก็บของตรงกลาง พร้อมฝาปิดที่เลื่อนเข้า-ออกเพื่อเป็นที่วางแขน
ในตัวได้ คั่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่องเสียบเชื่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในตัว แต่
เสียดายว่า พื้นที่กล่องเก็บของบริเวณนี้ ก็น้อยไปสักหน่อย เหมือนรุ่นเดิมอยู่ดี
ทัศนวิสัยด้านหน้า ดูโปร่งโล่งตามากขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่แผงหน้าปัด ถูกออกแบบใหม่ ลดความสูง
ลงมาจากรุ่นเดิมนิดนึง การติดตั้งจอมอนิเตอร์ 8.8 นิ้ว ในระดับนี้ ช่วยให้อ่านข้อมูลที่ต้องการ แว่บเดียว
รู้เลยทันที ไม่ต้องเสียเวลานาน ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ทางอ้อม
ตั้งข้อสังเกตว่า เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีขนาดความหนา เท่าๆ กันกับ เสาหลังคาคู่หน้าของ
ซีรีส์ 3 รุ่น E90 ที่เพิ่งตกรุ่นไปหมาดๆ ชนิดที่เรียกว่า ถ้าถ่ายภาพในมุมเดียวกัน มาซ้อนภาพกัน อาจ
พบว่า เป็นเสาหลังคาต้นเดียวกันด้วยซ้ำ ดังนั้น มุมมองที่ถูกบดบัง จึงยังคงไม่แตกต่างไปจากเดิม
มากมายนัก การบดบังรถที่แล่นสวนมา บนทางโค้งขวา ของถนนที่แล่นสวนกัน 2 เลน ยังมีให้เจอ
อยู่เหมือนเดิม
กระจกมองข้าง ปรับเปลี่ยนรูปทรงใหม่ จากแบบวงรี มาเป็นสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูน และยังมี
ขอบด้านใน ที่บดบังกินพื้นที่ริมขอบด้านขวาของบานกระจกอยู่เล็กน้อย การมองดูรถที่แล่นมา
จากด้านหลังฝั่งขวา อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังกันสักหน่อย
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ก็มีขนาดเท่าๆกันกับ รถรุ่นเดิม เช่นเดียวกัน กระจกมองข้าง
ก็ยังคงมีขนาดเท่ากัน แต่เมื่อมองจากฝั่งคนขับแล้ว บานกระจกดูมีขนาดเล็กลง และแทบช่วย
ผู้ขับขี่ในการมองเห็นรถคันที่แล่นตามหลังมาจากเลนซ้าย ได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มาก
ดังนั้น ถ้าต้องการจะเปลี่ยนเลน หรือเบี่ยงเข้าช่องทางคู่ขนาน ควรจะหันซ้าย และขวา อีก
หลายๆรอบ จนกว่าจะมั่นใจ ค่อยออกรถไป อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังอยู่เหมือนกัน
ส่วนเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillars แม้ว่า บานประตูคู่หลัง จะมีการเปลี่ยนแนวเส้นโค้งมน
Hofmeister Kink จากเดิมชัดเจน แต่ขนาดความหนาของเสาหลังคา มันก็พอกันกับรุ่น
E90 เดิมนั่นแหละ การมองเห็นยังถือว่า พอใช้ได้ แต่ใช้ความระมัดระวังสักหน่อยก็ดี
ขณะที่รุ่น Touring F31 นั้น พื้นที่การมองเห็นด้านหลัง กลับจะน้อยกว่ารุ่น Sedan ยิ่ง
ถ้าดึงพนักศีรษะตรงกลาง ยกขึ้นมาใช้งานด้วยแล้ว แทบจะมองไม่เห็นด้านหลังรถกัน
เลยทีเดียว กระนั้น การที่มีกระจกหน้าต่างด้านข้าง บานหลังสุด เพิ่มเข้ามา ก็พอจะ
ช่วยเพิ่มการมองเห็น จักรยาน หรือ มอเตอร์ไซค์ ที่แล่นมาจากทางด้านหลังสะดวกขึ้น
อีกเล็กน้อย ถ้าคิดจะเปลี่ยนเข้าสู่เลนคู่ขนาน ต้องใช้ความระมัดระวังนะครับ แต่ไม่ถึง
ขั้นเดียวกันกับ Volvo V60 เท่าใดนัก
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ช่วงแรกที่เปิดตัว ในตลาดเมืองไทย BMW ซีรีส์ 3 ใหม่ มีทางเลือกเครื่องยนต์ เพียงแบบเดียว นั่นคือรุ่น
320d ก่อนที่จะมี 320i Modern และ 328i Sport ตามมีในงาน Motor Expo 2012 ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
โดยรุ่น 320d นั้น จะยังคงวางเครื่องยนต์ เดิม เหมือนกันกับ 320d E90 Last Minorchange (Facelift) รุ่นปี
2009 – 2011 ที่เพิ่งจะตกรุ่นไป เป็นขุมพลังรหัสรุ่น N47D20 เวอร์ชันล่าสุด Diesel 4 สูบเรียง วางตามยาว
ไปทางด้านหลัง DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร เพิ่มกำลังอัดจาก
เดิม 16.0 : 1 เป็น 16.5 : 1 ใช้ระบบกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ DDE 7.1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ
Common-Rail เจเนอเรชันที่ 3 โดยหัวฉีด Solenoid injectors จะส่งเชื้อเพลิงด้วยแรงดันที่สูงสุดได้มากถึง
2,000 bar นอกจากนี้ ยังใช้ระบบหัวฉีดแบบตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection อีกด้วย
เครื่องยนต์รุ่นนี้ ถูกปรับปรุงให้มี ห้อข้อเหวี่ยง หรืออ่างน้ำมันเครื่อง ทำจาก Aluminium composite
พร้อมระบบอัดอากาศแบบ เทอร์โบเดี่ยว แปรผันครีบ VNT (Variable Nozzle Turbocharger) ไม่ใช่
Turbo 2 ลูก อย่างที่เข้าใจในตอนแรกแต่อย่างใด เทอร์โบลูกนี้ ถูกปรับปรุงด้าน Thermodynamics
(ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนกับพลังงานกล) รวมทั้งมีการปรับปรุง Actuator ไฟฟ้า ช่วยปรับมุม
ของครีบเทอร์โบ ไปตามภาระโหลดของเครื่องยนต์ ในเสี้ยววินาที ถ้าผู้ขับขี่ ต้องการอัตราเร่ง โดย
เหยียบคันเร่งจมมิด เครื่องยนต์ก็จะ ตอบสนองในรอบต่ำ ดุจการเร่งเต็มพิกัด รวมทั้งยังติดตั้งระบบ
Intercooler เพื่อช่วยลดความร้อนของอากาศ ก่อนจะเข้าไปผสมกับละอองน้ำมัน เพื่อฉีดเข้าสู่ห้อง
เผาไหม้ มาให้ตามธรรมเนียม
ที่สำคัญก็คือ ในเมื่อเครื่องยนต์ N47 รุ่นนี้ ได้แรงบิดสูง ในรอบต่ำ ก็จะมีปัญหาเรื่องการสั่นสะเทือน
ในช่วงรอบต่ำๆ ดังนั้น วิศวกรของ BMW และ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอย่าง LuK จึงแก้ปัญหาด้วยการติดตั้ง
แผ่น “Centrifugal pendulum absorber” ใน Flywheel แบบ Dual Mass ถ้าแปลให้เป็นไทย
ก็คงต้องเรียกมันว่า “ฟลายวีลสองชั้นพร้อมกลไกถ่วงสมดุลย์เพื่อลดแรงสะเทือน” อย่างที่ผู้การแพน
Commander CHENG! แห่ง The Coup Team ของเราช่วยแปลมาให้นี่ละครับ
จะอธิบายให้เข้าใจกันยังไงดีละเนี่ย? ก็ต้องถามคนที่รู้เรื่องทางเทคนิคมากกว่าผมละครับ
คุณ Puvanai Mon Dardarananda บอกว่า “อารมณ์มันคล้ายๆกับ ตะกั่วถ่วงล้อ นั่นแหละครับ”
เออ จริงแหะ อธิบายแล้วเข้าใจง่ายเลยทีนี้ ล้อรถ เมื่อหมุน นอกจากมีแรงเหวี่ยงแล้ว มันก็มีการสั่น
สะเทือนอีกด้วย เกิดจากการที่ล้ออาจกลมไม่เท่ากันทั้งวง ตะกั่วถ่วงล้อ ทำหน้าที่ เพื่อช่วยลดการสั่น
สะเทือน ในขณะที่ล้อหมุนด้วยความเร็วสูงๆ สร้างสมดุล ให้ล้อ กลมเท่าๆกัน
เจ้า centrifugal pendulum absorber นี่ก็ทำหน้าที่คล้ายๆกับ ตะกั่วถ่วงล้อนั่นละครับ แปะเข้าไปใน
Flywheel แล้วจะช่วยถ่วงให้เกิดสมดุลย์ขณะหมุนมากขึ้น ลดการสั่นสะเทือนลงไปได้ ช่วยให้
เครื่องยนต์ เดินนิ่งขึ้น แถมช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลง และลดมลพิษลงได้ในทางอ้อม
กำลังสูงสุด ยังคงเท่ากับ 320d E90 เวอร์ชันครั้งสุดท้าย อยู่ที่ 184 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร หรือ 38.68 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที
แรงบิดต่อเนื่องแบบ Flat Torque
ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ ZF 8HP ของ ZF Friedrichshafen ซึ่งถูกแนะนำ
เป็นครั้งแรกใน BMW ซีรีส์ 7 รหัสรุ่น F01 / F02 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2008 แต่ ใน ซีรีส์ 3 ใหม่
รุ่น F30 จะได้ใช้เกียร์ 8 จังหวะ รุ่น ZF 8HP45 อันเป็นเวอร์ชันที่รองรับแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์
เบนซินได้ 450 นิวตันเมตร และ เครื่องยนต์ Diesel ได้ 500 นิวตันเมตร
คันเกียร์ไฟฟ้าของ 320d เป็นแบบเดียวกับ รถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ของ BMW ทุกรุ่นในตอนนี้ คือ
มีโหมด บวก-ลบ มาให้ ที่คันเกียร์ หน้าตาเหมือน Joystick (แท่งหรรษา) แต่ไม่มีแป้นเปลี่ยนเกียร์
Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัยมาให้แต่อย่างใด อัตราทดเกียร์มีดังนี้
เกียร์ 1……………………..4.714
เกียร์ 2……………………..3.143
เกียร์ 3……………………..2.106
เกียร์ 4……………………..1.667
เกียร์ 5……………………..1.285
เกียร์ 6……………………..1.000
เกียร์ 7……………………..0.839
เกียร์ 8……………………..0.667
เกียร์ถอยหลัง……………….3.295
อัตราทดเฟืองท้าย…………..2.813
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของ 320d มาพร้อมกับ ระบบ Auto Start/Stop เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น
เมื่อใดที่คุณขับรถมาสักพักหนึ่ง แล้วเหยียบเบรกจอดรอสัญญาณไฟ ให้รถจอดสนิท เครื่องยนต์จะตัด
การทำงาน เช่นเดียวกับคอมเพรสเซอร์แอร์ จนกว่าจะถอนเท้าจากแป้นเบรกหรือเมื่อถึงจุดที่ ระบบแอร์
ต้องเริ่มทำงานอีกครั้ง เพื่อรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารตามที่คุณปรับตั้งไว้เครื่องยนต์จึงจะติดขึ้นมา
อีกครั้ง อย่างเนียนๆ
อันที่จริงระบบนี้ ถือว่าทำงานได้ดี และช่วยประหยัดน้ำมัน ไม่ต้องเดินเครื่องยนต์ทิ้งไว้ตอนรถติด
แต่ในเมื่อมันทำงานค่อนข้างถี่พอสมควร บางคนอาจรำคาญได้ ส่วนใครที่ยังใหม่กับระบบนี้ ก็อาจ
ตกใจได้ว่า ทำไมเหยียบเบรกปุ๊บ รถจอดสนิท เครื่องดับทันที รถฉันเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ก็ขอได้
อย่าตกใจไปครับ เป็นการทำงานของระบบ Auto Start/Stop ตามปกตินั่นเอง
แต่ถ้าคาญหงุดหงิดใจ จนทนไม่ไหว ก็กดสวิชต์เปิด – ปิดระบบการทำงานได้ เป็นรูปตัว A ที่ลูกศร
วนครอบจากซ้ายไปขวา อยู่เหนือกับสวิชต์ติดเครื่องยนต์ เท่านี้ ก็สิ้นเรื่อง
ส่วนด้านข้างคันเกียร์ คุณจะพบว่า มีปุ่ม กดขึ้น-ลง เขียนว่า Sport และ ECO Pro อาจสงสัยว่า ใช้ทำอะไร
คำตอบก็คือ มันเป็น สวิชต์เลือกโปรแกรมการขับขี่ ให้เข้ากับสถานการณ์ ได้ตามต้องการ BMW เรียกว่า
Driving Experience Control Switch ซึ่ง ซีรีส์ 3 ใหม่ จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 โหมด ดังนี้
1. ECO PRO Mode
เป็น Mode ที่เน้นการขับขี่แนวประหยัดน้ำมันให้ได้มากที่สุด มีการควบคุมเครื่องปรับอากาศ ให้ทำงาน
เท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มีคำแนะนำ (Tip) ในการขับประหยัดให้ลองทำตามดู
อีกด้วย (เปิด-ปิดได้) คุณสามารถเลือกปรับให้เปิดหรือปิดระบบเตือนความเร็ว Speed Warning ซึ่งตั้งค่า
ได้จนถึงไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีกราฟแสดงผลการขับประหยัดให้ดูอีกต่างหาก ใน Mode นี้
ถ้าคุณปิดระบบ Auto Start-Stop ไว้ มันก็จะเปิดกลับมาทำงานให้คุณเองอีกครั้งอัตโนมัติ แต่คุณก็ยัง
เลือกปิดระบบ Auto Start-Stop ทิ้งได้ หลังจาอยู่ในโหมด ECO PRO เรียบร้อยแล้ว
2. COMFORT Mode
ใช้าสำหรับการขับขี่ทั่วไป ในเมือง หรือตามต้องการ เป็นโหมดมาตรฐาน ถูกปรับตั้งไว้เป็นค่ากลาง
ตั้งมาจากโรงงาน ปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมเหมือน Mode อื่นไม่ได้
3. SPORT Mode
เป็นโปรแกมสำหรับการขับขี่ที่ช่วยให้รถ ตอบสนองออกไปในแนว Sport ยิ่งขึ้นนิดนึง พวงมาลัยจะ
แข็งขึน หนืดขึ้น นิดนึง แต่ระบบ DSC จะยังทำงานอยู่ ครบ เหมาะกับการขับขี่ไปตามทางหลวงใน
ต่างจังหวัด ช่วงที่คดเคี้ยวเลี้ยวโค้งเยอะๆ เช่น ดอยอ่างขาง หรือเส้นเชียงใหม่ – ปาย – แม่ฮ่องสอน
4. SPORT + Mode
ก็เหมือนกับ Sport Mode แต่…ระบบ DSC จะปิดการทำงานลง เหลือแค่ระบบ DTC เท่านั้น เหมาะ
สำหรับกรณีที่อยากซน หรืออยู่ในสนามแข่ง อยากทดลองอะไรเป็นพิเศษ บนพื้นที่โล่งแจ้งและ
ปลอดภัยพอสมควร
นอกจากนี้ยังมี มาตรวัดพิเศษ Sport Display ให้คุณรู้ว่า คุณกำลังเหยียบคันเร่งลงไปเท่าไหร่ แรงบิด
และแรงม้า ที่เรียกใช้อยู่นั้น ออกมาลงสู่พื้นถนนในระดับใด แบบ Real-Time ให้ดูกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มีข้อที่คุณควรรู้ไว้ อย่างน้อยๆ 2 ข้อ
1. แม้ว่า ใน ซีรีส์ 5ใหม่ รุ่น F10 โปรแกรมการขับขี่แบบเดียวกันนี้ จะช่วยให้สามารถปรับเลือก
ความแข็ง-อ่อน ของระบบกันสะเทือนได้ แต่ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า โปรแกรมแบบนี้ ในซีรีส์ 3
ใหม่ รุ่น F30 ไม่สามารถปรับช่วงล่างได้แต่อย่างใด เป็นเพียงแค่การปรับรูปแบบการขับขี่และ
การตอบสนองของเครื่องยนต์ เท่านั้น
2. การผลักคันเกียร์ ไปที่โหมด บวก/ลบ ไม่มีผลต่อการปรับพวงมาลัยให้แข็งหรือหนืดขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ใน ซีรีส์ 5ใหม่ รุ่น F10 โปรแกรมการขับขี่แบบเดียวกันนี้ จะช่วยให้สามารถ
ปรับเลือกความแข็ง-อ่อน ของระบบกันสะเทือนได้ แต่ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า โปรแกรมแบบนี้ ใน
ซีรีส์ 3 ใหม่ รุ่น F30 ไม่สามารถปรับช่วงล่างได้แต่อย่างใด เป็นเพียงแค่การปรับรูปแบบการขับขี่
และการตอบสนองของเครื่องยนต์ เท่านั้น
ตัวเลข จากโรงงานระบุว่า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ภายใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด
230 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 22.2 กิโลเมตร/ลิตร (4.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร)
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ยต่ำ เพียงแค่ 118 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU)
เฮ้ย! ถ้าดูแค่ตัวเลขความประหยัดน้ำมัน กับตัวเลขการปล่อย CO2 นี่มันตัวเลขในระดับเดียวกับพวก
ECO-Car 1.2 ลิตร ที่ผลิตขายกันในบ้านเราเลยนะนั่น!!! เพราะ ECO Car เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร
จะปล่อยก๊าซ CO2 ระดับ 120 กรัม/กิโลเมตร !!!!
แล้วตัวเลขที่ทำได้จริง จะดีขนาดนี้เลยหรือเปล่า เรายังคงจับเวลากันในตอนกลางคืน นั่ง 2 คน เปิดแอร์
เปิดไฟหน้า และผลที่ได้ เมื่อเทียบกับ เพื่อนฝูงร่วมตระกูล และคู่แข่งร่วมตลาด ตัวเลขที่ออกมา มีดังนี้
จากตัวเลขในตารางนั้น จะพบว่า หากดูกันแต่ตัวเลขอย่างเดียว 320d ใหม่ F30 ทำเวลาในเกมจับอัตราเร่ง
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่ารถรุ่นเดิม E90 ชัดเจน ประมาณ 0.5 วินาที แถมเมื่อเทียบตัวเลขกับรุ่น
Touring แล้ว กลับกลายเป็นว่า รุ่น Sedan อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่า Touring ที่ราวๆ
0.1 – 0.2 วินาที แต่พอเป็นเกมอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แน่นอนว่า รุ่น Sedan จะตอกเลข
ออกมาได้ไวกว่า Touring อยู่แล้ว
แต่ที่แน่ๆ นั่งคู่ ทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ออกมาได้ ด้อยกว่า Mercedes-Benz C250 CDI
W204 รุ่นก่อนปรับโฉม ที่ยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะด้วยซ้ำ ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
หากแต่เมื่อไปนั่งดูตัวเลขการทดสอบของสื่อวลชนต่างประเทศ ส่วนใหญ่ ก็ออกมาในแนวเดียวกันว่า
3 Series ใหม่ มีอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่าเดิมนิดนึง
อย่างไรก็ตาม พอเป็นช่วงอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง 320d F30 กลับทำตัวเลขได้แรงกว่าเพื่อน
ตัวเลขออกมา เท่าๆกัน ไล่เลี่ยกัน และพอๆกัน กับ 330i E90 เลยทีเดียว ต่างกันแค่ราวๆ 0.1 วินาที เท่านั้น
อีกทั้งยังเป็นรองเพียงแค่ 330i กับ 330d Coupe E92 นอกนั้น 320d ใหม่ กินชาวบ้านเขาเรียบวุธ
ส่วนความเร็วสูงสุด “บนมาตรวัด” นั้น อยู่ที่ 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 4,600 รอบ/นาที ที่เกียร์ 7
ถือว่า ลดลงมาเล็กน้อย ทำได้ไม่ถึง 244 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างที่รถรุ่น E90 เคยทำได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผม
มองว่าสำคัญนัก ยิ่งสำหรับประเทศไทย ซึ่งก็ไม่รู้จะหาถนนที่ไหนมาใช้ทำความเร็วสูงสุด Top Speed กัน
แบบแช่ยาวต่อเนื่อง “อย่างปลอดภัย” เท่ากับ ทางหลวง Autobahn ในเยอรมนี ตัวเลขนี้ ก็มีไว้เพียงเพื่อแค่
ให้คุณผู้อ่านได้รับรู้ว่า ความเร็วสูงสุด ลดลงจากเดิม 244 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น E90 นิดนึงนะ แค่นั้น
ต้องขอย้ำเหมือนเช่นในรีวิวอื่นๆ ว่า เราได้ลอง Top Speed ให้คุณแล้ว อย่าทำตามอย่าง เพราะมันไม่ปลอดภัย
สำหรับชีวิตของคุณเอง และเพื่อนผู้ร่วมใช้เส้นทางบนถนน อีกทั้งยังเป็นการผิดกฎหมายจราจรของบ้านเราด้วย
การที่เราทำให้คุณดูนั้น เป็นการทำตัวเลข เพื่อการศึกษา และเพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้สนใจ เท่านั้น ทันทีที่เข็ม
ความเร็ว แช่ไว้ 5- 10 วินาที แล้วไม่ไต่ขึ้นไปต่อ แค่นั้น เราก็ถอนเท้าออกมาจากคันเร่ง แล้วเหยียบเบรก ชะลอ
รถลงมาอยู่ในความเร็วปกติ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันแล้ว ไม่ได้แช่กันยาวๆท้ามฤตยู อย่างแน่นอน เพราะเรา
รู้ดีว่า ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา ผลกระทบที่เกิด มันคงไม่ใช่เรื่องที่ควรบังเกิดแน่ๆ อยากฝากเน้นย้ำไว้ตรงนี้เช่นเคย
ผมว่าพอรู้แล้วละ ว่าทำไมตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันเลทไปกว่ารุ่นเดิม ราวๆ 0.5 วินาที
ก็ดูช่วงออกตัวสิครับ ทันทีที่เหยียบคันเร่งปุ๊บ ในช่วงเสี้ยววินาทีแรก มันแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนต้อง
รอให้ Turbocharger เริ่ม Boost ที่ระดับ 1,400 รอบ/นาที ก่อน พอเข้าที่ปุ๊บ ทุกแรงดึงที่คุ้นเคย จะ
สร้างความหรรษาให้คุณเหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้วใน 320d รุ่นก่อน (E90) ไม่มีผิด ดังนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมตัวเลขช้าลง 0.5 วินาที
แต่ในจังหวะเร่งแซงนั้น หากขับขี่บนถนนทั่วไป แทบไม่ต้องไปยุ่งกับ Paddle Shift เลย เพียงแค่เพิ่ม
น้ำหนักเท้าลงไปบนคันเร่งตามต้องการ ที่เหลือ สมองกลจะจัดการสั่งให้เครื่องยนต์ ตัดเปลี่ยนเกียร์
แล้วลากรอบต่อเนื่องจากเดิม พารถพุ่งขึ้นแซงหน้าไปอย่างทันใจ หรือต่อให้เติมคันเร่งเข้าไปช้าๆ
คุณก็จะยังสัมผัสได้ถึงพละกำลังจากเครื่องยนต์ ที่พารถทะยานแซงหน้าขึ้นไป อย่างต่อเนื่อง
ส่วน Paddle Shift แนะนำว่า จะช่วยคุณได้มากขณะเข้า-ออกจากโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางโค้ง
คดเคี้ยวไปตามแนวภูเขา ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ของไทย การขับ 320d ใหม่ บนเส้นทาง ในจังหวัด
ตรัง ถึง กระบี่ ทำให้ผมได้พบความสนุกในการบังคับ และควบคุมรถ รวมทั้งการทำงานของเกียร์ ที่ราบรื่น
ในโหมด D เป็นการเปลี่ยนจังหวะเกียร์ที่ “แทบจะไร้รอยต่อ” กันเลยทีเดียว ถ้าอยากให้รู้สึกถึงรอยต่อ
ก็เปลี่ยนเป็นโหมด +/- แป้น Paddle Shift และชุดเกียร์ ออกแบบมาให้สามารถ ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้
เร็วมาก ถ้าตบเกียร์ ลงมา 2 จังหวะรวด เกียร์ ก็พร้อมจะทำงานให้ทันทีอย่างฉับไว ไม่มีอิดออด
การตอบสนองของคันเร่งและลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ถือว่า ไวขึ้นกว่าเดิมนิดนึง ในช่วงที่กำลังใช้ความเร็ว
หากต้องการอัตราเร่งแค่ไหน ก็เหยียบคันเร่งลงไปเท่านั้น แล้วเครื่องยนต์ N47 ก็จะส่ง แรงบิดสุดแสน
หฤหรรษ์ ไปหมุนล้อคู่หลัง ในแทบจะทันที อาจมีล่าช้าไปบ้างนิดๆ แต่ก็แค่เพียง ไม่ถึง 0.5 วินาที โดย
ประมาณ ถือว่า คันเร่งไม่ได้ Lag มากเหมือนเช่นรถยุโรปอื่นๆ แต่ก็ยังแอบมีอาการให้เห็นนิดๆ ในช่วง
บางจังหวะ เช่นตอนออกตัว อยู่ใน Mode Comfort หรือ ECO :Pro แล้วเหยียบเต็มมิด คันเร่งจะ Lag
อย่างชัดเจนมาก จนต้องถามว่าตกลงแล้วนี่ คันเร่ง Mercedes-Benz หรือ Volvo ใช้ไหม? จริงอยู่ว่า
รถยุโรปค่ายไหน ก็ Lag ทั้งนั้นแหละ หากเหยียบจมมิดออกรถในทันทีทันใด เพราะสมองกล จะต้องขอ
คิดดูก่อนว่า จะเอายังไงกับชีวิตต่อไป แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้ Sport Mode หรือ Sport + คันเร่งจะไวขึ้น
ทันตาเห็น! เรียกเป็นมา สั่งแล้วต้องได้ ภาพรวมแล้ว คันเร่งไฟฟ้าของ 320d F30 จะตอบสนองไวหรือช้่า
ขึ้นอยู่กับว่า คุณเลือก Mode การขับขี่แบบใดเป็นหลัก แต่ในภาพรวมแล้วยังเหลือความทันใจให้คุณ
ได้สัมผัสอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ยังมีช่วงออกตัวแบบกดเต็มตีน ใน Comfort หรือ ECO PRO เท่านั้นที่
Lag ไปราวๆ เกือบ 1 วินาที เกือบทำให้ผมออกรถไม่ทันที่ Taxi คันหนึ่ง พุ่งเข้ามาเกือบถึงตัวอยู่แล้ว!
การเก็บเสียง ในภาพรวม ยังถือว่า ทำได้ดีอยู่ เสียงลมไหลผ่านตัวรถจะเริ่มดังขึ้นที่ความเร็วเกินกว่า
120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่จะดังจนเริ่มต้องใช้สมาธิมากขึ้น เมื่อเกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปแล้ว ในรถคันสีแดงที่เราทดลองขับกัน ขอบประตูฝั่งซ้าย มีเสียงกระแสลมไหลผ่าน ดังกว่า
ปกติที่เคยเจอนิดนึง ขณะที่รถคันสีขาว Touring ไม่มีปัญหาดังกล่าวให้เจอ ทั้งที่รถทั้ง 2 คัน เป็น
รถยนต์ประกอบในเยอรมันี เหมือนกัน!!
ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็น พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน แต่ใช้ระบบผ่อนแรง แบบกลไกไฟฟ้า EPS
(Electromechanical Power Steering System) พร้อมระบบ Servotronic Speed Sensitive
Power Assist ซึ่งก็ยังคงเป็นชุดแร็คแบบกลไกนั่นละ แต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยผ่อนแรงหมุนพวงมาลัย
BMW บอกว่า ระบบ EPS ของพวกเขาจะทำงานยามจำเป็น เช่น การหมุนพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำ
เท่านั้น ถ้าใช้ความเร็วเดินทาง ถือพวงมาลัยตรงๆอยู่ EPS จะไม่ทำงาน หรือทำงานให้น้อยที่สุด ใน
ขณะที่ระบบไฮโดรลิกแบบเดิม ยังต้องใช้แรงดันน้ำมันช่วยผ่อนแรง แม้ในขณะขับขี่ทางตรงๆ ดังนั้น
ระบบ EPS จึงช่วยเพิมประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น และเพิ่มความแม่นยำของ
พวงมาลัยมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความสบายในการขับขี่ และการรักษาทิศทางให้ตรงไปข้างหน้า
อีกด้วย
การตอบสนองของพวงมาลัยในความเร็วต่ำ เบากว่าเดิม อาจไม่เบาถึงขนาด X3 ใหม่ล่าสุด แต่ก็ใกล้เคียงกัน
การขับขี่ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยในเมือง หรือหาที่จอด เลี้ยวกลับรถ ทำได้คล่องตัวพอสมควร และ
ช่วยให้คุณหักหลบฝาท่อ มอเตอร์ไซค์รับข้าง หรือแม้แต่ Sprint ตัว พุ่งหนีพ่อค้าซาเล็งที่คลานอย่างเชื้องช้า
อยู่ข้างหน้าได้อย่างทันท่วงที ก่อนรถคันที่แล่นสวนมา จะใกล้เข้ามาถึงตัว ถ้าต้องหักพวงมาลัยซิกแซกละก็
การตอบสนองยังคงทำได้ดี Linear ไว กระชับ มีน้ำหนักที่ดีแล้ว และไม่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งถ้าต้องให้เลี้ยวเข้าโค้ง พวงมาลัยตอบสนองได้นิ่ง เฉียบคม บังคัทิศทางได้ดังใจสั่ง พร้อมน้ำหนัก
ที่ตึงมือกำลังพอดีๆ ว่านอนสอนง่าย สั่งให้เลี้ยวแค่ไหน ก็เลี้ยวไปแค่นั้น ไม่มีเติมเพิ่ม หรือเลี้ยว
น้อยเกินไปแต่อย่างใด
พวงมาลัยจะเริ่มหนืดและหนักขึ้น เมื่อเข็มความเร็วไต่ขึ้นไปสูงขึ้น และการขับขี่ในช่วงความเร็วไม่เกิน
180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังถือว่า ทำได้ มั่นใจดี แต่ในช่วงหลังจากนั้น ด้วยระยะฟรีของพวงมาลัยที่ถูกเซ็ตมา
เผื่อไว้พอสมควร ทำให้การถือพวงมาลัยนิ่งๆ ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากขนาดนั้น จะก่อให้เกิด
ความไม่มั่นใจตามมาได้เหมือนกัน เพราะในขณะที่ถือพวงมาลัยตรงๆ ล้อก็จะทำปฏิกิริยากับพื้นถนน
ไปด้วยจนในบางจังหวะ เหมือนกับว่าพวงมาลัย บังคับรถได้ไม่นิ่งนัก ถ้าปรับตรงจุดนี้ได้ ก็ประเสริฐ
ถึงขั้นจบข่าวภาคกลางวันจากกรมประชาสัมพันธ์กันเลยทีเดียว!
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ สตรัต พร้อมสปริงแบบ Aluminium double-joint displaced camber
camber , small positive steering roll radius, anti-dive ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบ 5 จุดยึด หรือ
5 link ที่ใช้โครงสร้างน้ำหนักเบามาผลิต
ส่วนรุ่น Touring นั้น ได้รับการยืนยันจากทาง BMW Thailand มาว่า สำหรับ 320d Touring M Sport
Package ที่สั่งเข้ามาขายในบ้านเรา จะใช้ช่วงล่างแบบ”มาตรฐาน” เหมือนรุ่น Sedan เพื่อความสบาย
สำหรับการขับขี่บนถนนทั่วไป
มิน่าละ! ว่าทำไม อากัปกิริยา และการตอบสนองของช่วงล่าง ทั้งรุ่น Sedan และ Touring มันถึงได้
เหมือนกันเป๊ะ! งั้นก็คงต้องขอเขียนรวบยอดไปเลยแล้วกัน
ผมมองว่าระบบกันสะเทือนนั้น เซ็ตมานุ่มไปสักหน่อย จากเดิมที่เคยติดดิบมากว่านี้ ขับแล้วมั่นใจ
กลายเป็นว่าคราวนี้ ช่วงล่าง กลับกลายเป็นว่า นุ่มพอกันกับ เนื้อย่างโพนยางคำ ระดับ Medium-Rare!
โอเคละ มันยังมีความดิบเหลือยู่นะ แต่ อาการที่พบส่วนใหญ่ มันกระเดียดไปในทางนุ่มขึ้นมากกว่า
เนี่ยสิ ในทางตรง ยังมั่นใจอยู่ เหมือนเดิม การเก็บอาการจากพื้นถนน จงใจให้เกิดความนุ่มนวลมากขึ้น
จนแทบอยากจะใช้คำว่า นิ่มขึ้น มากกว่าคำว่า นุ่มขึ่น
จริงอยู่ว่า ถ้าคุณขับขี่ในเมือง นี่คือระบบกันสะเทือนที่คุณจะรักมันมากกว่า BMW ซีรีส์ 3 รุ่นก่อนๆ
เพราะมันช่วยให้คุณรับมือกับพื้นผิวขรุขระ ของถนนในกรุงเทพฯ ได้ดีขึ้น คุณก็รู้นี่ว่า มันช่างแสน
จะขรุขระ ดุจโลกพระจันทร์ จนต้องรอให้องค์การ NASA มาออกใบรับรองให้ว่า เป็นถนนจริงๆ
ไม่ใช่พื้นผิวดาวเคราะห์ดวงใดในระบยบสุริยจักรวาล
การขับผ่านไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ทำได้นุ่มนวลกำลังดี แทบจะรูดผ่านร่องรอยเสียหายของ
พื้นผิวถนนปูน หรือยางมะตอยไปได้เลย อันที่จริบง ถ้าไม่แคร์อะไร มันนุ่มมากขนาดว่าสามารถ
พาครรูดผ่าน เลนซ้ายสุดของถนนสายเอเซีย ขาเข้ากรุงเทพฯ ได้ราวกับนั่งบนพรมวิเศษของ
Aladdin! ติดอยุ่แค่ว่า ในบางหลุมที่ลึก คุณอาจต้องระวังขอบล้ออัลลอยจะดุ้ง และแรงสะเทือน
จากหลุมบ่อ รอยต่อที่แข็งและลึกเหล่านั้น มันก็ส่งแรงกระเทือนเข้ามายังเบาะนั่ง พอให้คุณยังคง
ระลึกได้ว่า คุณยังขับ BMW อยู่นะ ไม่ได้ขับ Toyota Camry!
ถึงเป็นช่วงที่ใช้ความเร็วสูง ช่วงล่าง ก็ยังคงนิ่งและให้ความมั่นใจกับคุณได้ดี ต่อให้แล่นด้วย
ความเร็วสูงมากๆ ช่วงล่าง ก็ยังไม่เป็นปัญหาอะไรกับคุณ มันยังคงหนักแน่นใช้ได้ในแบบที่
คุณคาดหวังจาก BMW นั่นแหละ ตราบเท่าที่คุณใช้ความเร็วไม่เกิน 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เพียงแต่ว่า ในช่วงการเข้าโค้ง หรือเลี้ยวไปมานั้น จะสัมผัสได้เลยว่า ตัวรถ เริ่มเอียงออกทาง
ด้านข้าง เพิ่มขึ้นจากรุ่น E90 อยู่พอสมควร บางคนอาจรู้สึกกลัว และไม่มั่นใจ จนต้องถอน
เท้า ยกคันเร่ง ขึ้น ต้องยอมรับเลยครับว่า ช่วงล่างที่นุ่มขึ้น มันก็ต้องแลกมาด้วยอาการเอียง
เทออกด้านข้างในขณะเข้าโค้งที่มากขึ้นนั่นละ แม้ว่า ซีรีส์ 3 ใหม่ จะ “เอาอยู่ในทุกโค้ง”
ดังเดิม แต่อาการเอียงที่เกิดขึ้นเยอะกว่ารุ่นเดิม ก็แอบทำให้คนขับหวั่นใจได้บ้างเหมือนกัน
ถ้าเป็นไปได้ อยากจะขอการปรับเซ็ตระบบกันสะเทือน ใน E90 320d Face Lifted รุ่น
สุดท้าย ก่อนจะปรับโฉมเป็น F30 จะได้ไหม นั่นละ คือช่วงล่างของ ซีรีส์ 3 ที่เซ็ตมาได้
ลงตัวมากที่สุด จะทั้งบู หรือทั้งบุ๋น ก็รองรับได้มั่นใจ และนุ่มแน่นกำลังดี อย่างที่ผมหวัง
จะเห็นจากซีรีส์ 3 เลยทีเดียว!
เพราะช่วงล่างที่นุ่มแบบนี้ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง สำหรับคนที่ชอบขับรถเร็วๆ โดยเฉพาะ
นักศึกษา ABAC ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรถรุ่นนี้ในบ้านเรา ในวันสอบ พวกเขา
มักจะซัดบนบูรพาวิถี ด้วยความเร็ว แถวๆ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อไปให้ทันสอบกัน
ที่วิทยาเขตบางนา แทบจะทั้งสิ้น ดังนั้น ช่วงล่างที่จะช่วยให้น้องๆเหล่านี้ มีชีวิตรอด
จึงจำเป็นต้องเพิ่มความหนึบมากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะช่วงล่างแบบนี้ ผมว่า นุ่มไป
สำหรับพวกเขา
สำหรับช่วงล่างของรุ่น 320d Touring F31 นั้น แม้จะเซ็ตความนุ่มของสปริงมาพอกัน
จนแทบเหมือนกันกับรุ่น Sedan เป๊ะ แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้เพิ่มเติมนั้น ต้องยอมรับว่า
BMW เซ็ตช่วงล่างสำหรับรถ Touring แบบนี้ได้ดีเลยทีเดียว
ตามปกติ ของรถที่ถูกเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น บุคลิกการขับขี่ ขณะอยู่ในโค้ง จะ
แตกต่างจากรถที่มีระยะฐานล้อสั้นกว่า ยิ่งถ้าเป็นรถยนต์แบบ Station Wagon แล้ว
โอกาสที่บั้นท้ายจะถูกเหวี่ยงจนท้ายปัด หรือ Oversteer ก็เพิ่มขึ้นจากตัวถัง Sedan
ชัดเจน
แต่ใน 320d Touring ใหม่นั้น การเข้าโค้งในช่วงความเร็วสูงบนทางด่วน กลับทำได้
กระชับ มั่นใจ และแทบไม่รู้สึกว่าแตกต่างจากรุ่น Sedan เลย บั้นท้ายออกง่ายขึ้น
ถ้าคุณตั้งใจพาให้มันไถลออก แต่ถ้าคุณพารถเข้าโค้งอย่างเหมาะสม รถก็ยังคงพา
คุณออกจากโค้งได้โดยไม่มีความน่ากลัวอะไรเลย อาจมีบ้างแค่บุคลิกเทออกด้านข้าง
มากเหมือนกับรุ่น Sedan แต่ก็แค่นั้น ทำให้ 320d Touring ขับสนุกและมั่นใจได้
พอกันกับรุ่น Sedan ช่วงล่างไม่ได้ต่างกันอย่างที่คิดเลย
ระบบห้ามล้อยังคงเป็น ดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนมาให้ทั้ง 4 ล้อ พร้อมกับสารพัดผู้ช่วย ทั้ง
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ( Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนัก
บรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BA
Brake Assist ทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC (Dynamic Stability Control)
ซึ่งมี ระบบควบคุมล้อฟรีขณะออกตัวหรือบนถนนลื่น DTC (Dynamic Traction Control) ระบบ
ควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง CBC Cornering Brake Control และระบบ DBC
Brake Assistant รวมอยู่ด้วย
การตอบสนองของแป้นเบรก ยังคงพอกันกับรถรุ่นเดิม คือในช่วงคลานไปตามสภาพการจราจรของ
ตัวเมืองที่ติดขัด ถ้าคุณจะเบรกให้นุ่ม อาจทำได้ไม่เนียนนัก มันยังมีอาการ “จิก” ในตอนจบ จังหวะ
ที่รถหยุดนิ่ง มาให้สัมผัสกันนิดนึง แต่ก็ทำงานได้ไว และทันท่วงที แป้นเบรก หนักแน่น น้ำหนัก
กำลังดี ตอบสนองมั่นใจได้ในระดับดี ถ้าให้ผมต้องรีบขับรถทำเวลา ผมก็ยังถือว่า ระบบเบรกไว้ใจ
ได้ดีอยู่เหมือนเดิม ของเดิมที่ติดรถมาให้นั้น เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปและรองรับเผื่อในวันที่
คุณเกิดอยากโหดไว้แล้ว
แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว โดยส่วนตัว ผมว่า การหน่วงรถลงมาจากช่วงความเร็วสูงนั้น BMW ยัง
ทำได้ดีไม่พอ เพราะแม้จะสัมผัสได้ว่า มีการหน่วงรถลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต่อให้เหยียบเบรกลง
ไปอีก ลึกจนถึงประมาณ 60% ของแป้นเบรก ผมก็พบว่า รถยังคงพุ่งเข้าไปหารถคันข้างหน้า ใน
ระยะที่ใกล้กัน กับการเหยียบ 50% จนต้องเพิ่มแรงเหยียบเบรกลงไปอีก รถจึงจะเริ่มชะลอลง
อย่างที่ต้องการ อาการนี้ เป็นเหมือนกันทั้งรุ่น Sedan และ Touring
เอาเข้าจริง การตอบสนองของระบบเบรก ก็ไม่ได้ถึงขั้นต่างจาก E90 เดิมอย่างชัดเจน เพียงแต่
พอจะสัมผัสได้ว่าดีขึ้นนิดเดียว
โครงสร้างตัวถังของ ซีรีส์ 3 ใหม่ ถูกยกระดับความปลอดภัยเพิมมากขึ้นจากรุน E90 เดิม ไม่ว่าจะเป็น
การออกแบบให้พื้นที่รองรับการกระแทกมีขนาดใหญ่ขึ้นในหลายจุด การคำนวนจุดยุบตัว และส่งแรง
ปะทะ กระจายต่อไปยังโครงสร้างหลังคามีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น การเลือกใช้เหล็กรีดร้อน ทั้งแบบ
High-Tensile และ Ultra-High Tensile Steel ตามจุดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้น
แต่ยังมีน้ำหนักเบา อาทิ พื้นตัวถัง คาน Sids Members หัวเสาหลังคา หากเกิดการปะทะด้านข้าง เสา
หลังคากลาง B-Pillar ทั้ง 2 ฝั่ง รวมทั้งคานนิรภันเสริมในประตูทั้ง 4 บาน ด้วยเหล็ก High-Tensile
ที่ถูกเสริมความแข็งแร่งมาอย่างดี จะรองรับ และกระจายแรงะทะ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ขับขี่
และผู้โดยสารให้น้อยที่สุด ในภาพรวมแล้ว โครงสร้างตัวถังของ ซีรีส์ 3 ใหม่ F30 แข็งแกร่งขึ้นกว่า
รุ่น E90 เดิม มากกว่า 10% และเบากว่ารุ่นเดิมราวๆ 45 กิโลกรัม!
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบพื้นที่บริเวณด้านหน้าของรถ ให้รองรับการปะทะ กับคนเดินถนน ที่อาจ
พุ่งเข้ามาตัดหน้าโดยไม่รู้ตัว ในเสี้ยววินาที อาทิ พื้นที่ดูดซับแรงกระแทก บริเวณเปลือกกันชนหน้า
และฝากระโปรงหน้า แบบยืดหยุ่นตัวได้ เป็นต้น
อุปกรณ์ความปลอดภันยของเวอร์ชันไทยนั้น นอกจากเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 5 ตำแหน่งนั่ง
ยังมีการติดตั้ง ถุงลมนิรภัย คู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัยบนราวหลังคา รวม 6 ใบ เซ็นเซอร์ตัดการ
จ่ายน้ำมัน และสั่งปลดล็อกประตูทุกบาน ทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ (อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศ จะมี
ระบบ Lane Keeping Assist ฯลฯ มาให้ แต่บ้านเรา ยังไม่มีติดตั้งมาในเวอร์ชันไทย แต่อย่างใด)
ด้วยโครงสร้างความปลอดภัยทั้งหมด ทำให้ BMW ซีรีส์ 3 ใหม่ F30 ผ่านมาตรฐานทดสอบการชน
ระดับ 5 ดาว จาก EURONCAP โดยทำคะแนนการปกป้องผ้ขับขี่และผู้โดยสารได้สูงถึง ร้อยละ 95
การปกป้องเด็กบนเบาะนั่งนิรภัยด้านหลัง ได้ร้อยละ 84 การปกป้องคนเดินถนน ร้อยละ 78 แต่ระบบ
ตัวช่วยความปลอดภัยต่างๆ ทำคะแนนได้ 86%
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่นี่ www.euroncap.com/results/bmw/3_series/476.aspx
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
อีกประเด็นหนึ่งที่เคยทำให้หลายคน หันมาสนใจกับ 320d รุ่น E90 กันมาก นั่นคือ ความประหยัดน้ำมัน
หลังจากเราเคยทำตัวเลขได้ประหยัดถึง 16.4 กิโลเมตร/ลิตร มาคราวนี้ ด้วยขุมพลังที่ยกระดับจากเดิม
รวมทั้งเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ 8 จังหวะ จะทำให้ 320d ใหม่ F30 ประหยัดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน
เรายังคงทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย กันด้วยวิธีการดั้งเดิม นั่นคือ พา 320d คันสีแดงนี้
ไปเติมน้ำมัน Diesel Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า
BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน เหมือนเช่นเคย
ในเมื่อ รถรุ่นนี้ เป็นรถยนต์ ที่แม้จะมีคุณผู้อ่านอยากรู้เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากไม่ใช่
รถยนต์กลุ่มกระแสหลัก จำพวก รถเก๋ง ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ ไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคาไม่เกินพิกัด
1.5 ล้านบาท (จำกัดแค่กลุ่ม B- หรือ B-Segment กับ C-Segment) หรือรถกระบะทุกรุ่นทุกแบบ
ดังนั้น เราจึงเติมน้ำมันกันเต็มถังขนาด 57 ลิตร ของรถ แค่เพียงหัวจ่ายตัดก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถแต่อย่างใด
ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยาน ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10 ThLnD และน้องต๊อบ Philozophy แห่ง
The Coup Team ของเราเช่นเคย
เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถังเรียบร้อยแล้ว เราเซ็ต 0 บน Trip Meter และมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
รูปแบบต่างๆ บนหน้าจอของรถ แล้วคาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ มุ่งหน้าไปตาม
ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่ปากซอย อารีสัมพันธ์ เพื่อมุ่งหน้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะออก
มายัง โรงเรียนเรวดี แล้วไปขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6 ขับมุ่งหน้ายาวไปจนถึงปลายสุดทางด่วน ที่
ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับใต้ทางด่วน กลับมาเสียเงินอีก 55 บาท ขึ้นทางด่วนอีกรอบ ขับกันสบายๆ
ตามมาตรฐานเดิม เปิดระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control รักษาความเร็วไว้ที่ 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง เปิดแอร์ อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และเปิดไฟหน้ารถด้วย
จากนั้น เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมัน Diesel Techron
ให้เต็มออกมาจนถึงคอถัง เหมือนเช่นในช่วงเริ่มต้นทำการทดลอง เติมโดยไม่ต้องเขย่ารถอีกเช่นกัน
เอาละ มาดูตัวเลขที่ 320d ใหม่ จะทำได้กันดีกว่า เริ่มจากตัวถัง Sedan กันก่อน
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ แค่ 4.54 ลิตร!!!!!
ดังนั้นอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จึงออกมาอยู่ที่ 20.66 กิโลเมตร/ลิตร
แม่เจ้าโว้ยยยยย!!!! ผมบ้าไปแล้วครับคุณผู้อ่าน!!!!!
ส่วนตัวถัง Touring Wagon นั้น แม้จะด้อยกว่านิดหน่อย แต่ก็ประหยัดได้ระห่ำ พอๆกัน!
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.0 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ แค่ 5.09 ลิตร!!!!!
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย อยู่ที่ 18.27 กิโลเมตร/ลิตร
ก็ยังประหยัดพอกันกับ ECO Car ประกอบในปรเทศ เครื่อง 1.2 ลิตรอนู่ดี!!!!!
รถเก๋ง ระดับ Premium หนึ่งในเจ้าตลาด และหนึ่ในใจนักขับทั่วโลก จะมาเป็นหนึ่งในการทดลอง
หาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย แซงหน้ารถคันอื่นๆเขา ที่ว่าแน่ๆ ในด้านประหยัดน้ำมัน ไม่เว้น
แม้แต่ ECO Car 1.2 ลิตร กับรถยนต์ Hybrid ก็ยังทำตัวเลขความประหยัดได้ ไม่ดีเท่ากับ 320d เลย
คำถามต่อมาก็คือ แล้วในการใช้งานชีวิตจริงละ น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ไกลแค่ไหน คำตอบอยู่ข้างล่างนี้ครับ
บอกกันก่อนว่า ระยะทางทั้งหมด 594.4 กิโลเมตรนี้ มีทั้งการขับขี่ปกติ เจอรถติด ทำความเร็วสูงสุด
ทำอัตราเร่ง วิ่งบนทางด่วนตอนกลางคืน และตอนเย็นๆ คลานไปตามสภาพการจราจรทุกรูปแบบ
เรียกว่า ขับในเมือง และชานเมืองเป็นหลักว่างั้นเถอะ ดูเข็มน้ำมันฝั่งซ้ายสุดนะครับ ยังเหลือให้
แล่นต่อได้อีก ผมว่าน่าจะราวๆ 100 กิโลเมตร ดังนั้น น้ำมัน 1 ถัง สามารถพาคุณเดินทางได้ขั้นต่ำ
700 กิโลเมตร แน่ๆ
ถ้าสัปดาห์หนึ่ง เติมน้ำมันครั้งเดียว 1 ถัง น้ำมัน Diesel ลิตรละ 30 บาท เติมครั้งนึง ไม่น่าจะเกิน
2,000 บาท เอาแค่หัวจ่ายตัดพอนะครับ เดือนนึง เติมน้ำมันน่าจะไม่เกิน 4 ครั้ง ค่าน้ำมันราวๆ
8,000 บาท / เดือน
หูยยย นี่มันประหยัดพอกันกับ ECO Car แล้วเถอะ!
********** สรุป **********
ขอแค่ยกช็อกอัพ 320d E90 Last Minorchange มาใส่ ก็กระชากใจวัยรุ่นกลับคืนมาทันที!
การได้รางวัล Best Drive 2012 ไปครอบครอง นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันให้ทุกท่านได้ทราบว่า
เว็บไซต์ของเรา คิดเห็นเกี่ยวกับกับ 3 Series ใหม่ อย่างไร
อย่างที่ Commander CHENG ของเรา เคยกล่าวไว้ ตามแนวคิดของการทำ BestDrive เรา
มองหารถยนต์ ที่สามารถตอบโจทย์รอบด้านได้ดีที่สุด มีความโดดเด่นเหนือรถคันอื่นๆใน
กลุ่มตลาดเดียวกันกับรถคันนั้น อย่างชัดเจน และมีราคาที่สมเหตุผลกับสิ่งที่จ่ายไป ดังนั้น
ถ้า 320d ได้อันดับ 1 เราคิดว่าก็เป็นสิ่งที่รถยนต์รุ่นนี้ สมควรได้รับแล้วด้วยประการทั้งปวง
แน่นอนละ คุณงามความดีของ 3 Series รุ่นนี้ อัดแน่นมาเต็มคันรถ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่ง
ที่ยังคงสร้างความเร้าใจได้อย่างดีเช่นเดิม แม้ว่าจะออกตัวช้ากว่าเดิมไป 0.5 วินาที จากผล
ของคันเร่ง ใน Mode Comfort กับ ECO PRO แถมพกด้วยความประหยัดน้ำมันที่ทำให้
คนอย่างผม บ้าคลั่ง กรีดร้องลั่น หน้าหัวจ่ายปั้มน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน มาแล้ว
ที่ระดับ 20.68 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่น Sedan / Saloon และ 18.27 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่น
Touring ซึ่งฝ่ายหลังนี่ก็ถือว่าได้ครองสถิติ รถยนต์ Station Wagon ที่ประหยัดน้ำมัน
ที่สุดและแรงที่สุดในเว็บ Headlightmag ของเราไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเช่นกัน
หรือถ้าจะถามถึงความสนุกสนานในการขับขี่ 320d ใหม่ ก็ยังคงมีให้คุณ เหมือนเดิม
พอกันกับรุ่นเดิมนั่นละ อาจจะไม่ได้เฉียบคมและมั่นใจในการเข้าโค้ง หรือช่วงที่
ต้องใช้ความเร็วสูงมากๆ แต่ภาพรวม ก็ถือว่า เพียงพอ และมีดีรอบด้าน เมื่อเทียบกับ
ค่าตัว 2,890,000 บาท
BMW ยังคงรักษาบรรลังก์ เจ้าแห่ง รถยนต์ Premium – Compact Sedan และ Wagon
เอาไว้ได้เช่นเคย แต่ บอกตรงๆว่า สิ่งที่ทำให้เราตั้งข้อกังขาถึงอนาคตว่า BMW จะยังคง
ครองตำแหน่งนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ก็คงจะหนีไม่พ้นประเด็นของการเซ็ตช่วงล่าง
ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า รถยนต์ BMW ในยุคอนาคตหลังจากนี้ไป ว่าจะยังคงเน้นความสนุก
ในการขับขี่ มี Feelling แบบดิบกำลังดี ในรถยนต์รุ่นขายดีที่สุดของตนต่อไปหรือเปล่า?
เพราะF30 / F31 น่าจะเป็น 3 Series รุ่นแรก ที่อากง อาม่า สามารถนั่งบนเบาะหน้า
หรือเบาะหลังได้ โดยไม่มีเสียงบ่นก่นด่า ว่ากระเทือนก้นกบ ตับไต ไหปลาร้า และ
เซี่ยงจี๊ แน่ๆ แต่ยังคงความสนุกในการขับขี่เอาไว้ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่วิศวกรชาว
เยอรมันี จะแต่งสรรปันเสกร่ายเวตมนต์ดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้
แต่การเซ็ตช่วงล่างให้นุ่มในลักษณะนี้ ถือได้ว่า เป็นดาบสองคม มีทั้งคนรัก และคนเกลียด
ถ้าเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ พวกเขาจะ Happy มีความสุขกับช่วงล่างแบบนี้มากๆ เพราะคนกลุ่มนี้
อาจเกิดอยากเปลี่ยนมาใช้ BMW เพราะได้ยินกิติศัพท์เรื่องการขับขี่ที่สนุก แต่ยังติดใจความ
นุ่มสบายจากรถยนต์คันเก่า ของตนมาก่อน ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้ จะได้รับอานิสงค์จากการ
ปรับแต่งช่วงล่างในแนวนุ่มสบายแบบนี้ไป
แต่ในทางกลับกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มลูกค้า แฟนพันธุ์แท้ BMW โดยเฉพาะ Youngster
ทั้งหลาย ที่ชอบ 3 Series ในแบบดิบๆ แข็งๆ อย่างที่รุ่นเดิม เคยเป็นกันมาตลอด อาจออก
อาการ “เซ็งเป็ด” กันไปบ้าง คนกลุ่มนี้ จะมองว่า รถรุ่นใหม่ ช่วงล่างนุ่มไปและความเป็น
BMW มันลดทอนลงไปมาก (ทั้งที่จริงๆแล้ว ก็แค่ว่า ช่วงล่างมั่นนุ่มขึ้น ก็แค่นั้น)
ต่อให้บอกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า ไม่ต้องห่วง มันยังเข้าโค้งได้หนึบ แน่น เหมือนเดิม แต่แค่ว่า
นุ่มขึ้น จนอากงอาม่า ที่นั่งไปด้วย เลิกบ่นว่าแข็งอีกต่อไป พวกเขาก็จะเถียงว่า “ผมซื้อ
3 Series มาขับเอง ไม่ได้ให้อากง อาม่า มานั่งทุกวันซะหน่อยนึง”
นี่มันกลายเป็นเรื่องชวนหัวกลับตาลปัตรของโลกกลมๆใบนี้ ไปจนได้ เมื่อเรามีรถอย่าง
Mercedes-Benz C-Class Coupe ที่ให้ความสนุก แน่น หนึบ ในทุกการขับขี่
ชนิดที่เหล่า แฟนนานุแฟนของ BMW อาจเปลี่ยนใจไปกับรถคันนี้ได้
BMW ก็ทำ 3 Series ใหม่ ด้วยวิธีเติมความนุ่มสบายในการขับขี่ บนถนนในเมือง ใส่
เข้ามา จนทำให้ สาวก Mercedes-Benz พันธุ์แท้ อาจถึงขั้นแอบปันใจ ให้เลยด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม แม้ BMW จะมองว่า ลูกค้าชาวเอเซีย โดยเฉพาะคนไทย อาจไม่ได้
ต้องการความแข็งดิบจากช่วงล่างขนาดนั้น แต่ความจริงแล้ว คนไทยเรา โดยเฉพาะ
ลูกค้าที่ซื้อ 3 Series ไปใช้ คนกลุ่มนี้ ขับรถกันเร็วมากกกกก! มากเสียจนผมเชื่อว่า
ช่วงล่างที่นุ่มขนาดนี้ นุ่มเกินไปสำหรับสไตล์การขับของพวกเขา
ทางแก้? มี 2 แนวทางครับ
1. ทางแก้เบื้องต้น : เอาช่วงล่าง M Sport Package ของแท้ มาให้เป็นออพชัน สำหรับ
ลูกค้าที่อยากได้ความหนึบ สปอร์ต มั่นใจมากยิ่งกว่าช่วงล่างมาตรฐาน อาจให้ลูกค้า
จ่ายเพิ่ม ไม่เกิน 5 – 60,000 บาท จากโชว์รูม หรือไม่ก็ ทำออกมาเป็นรุ่นย่อยใหม่
320d M Sport Package พร้อมช่วงล่าง Sport จากคันละ 2,890,000 บาท ก็แพงขึ้น
เป็น 2,950,000 บาท ก็ว่ากันไป แต่มันไม่ควรเกิน 2,999,000 บาท เด็ดขาด!
2. ทางแก้ ในรุ่น ปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift : ช่วงล่างของ 320d E90
Minorchange รุ่นสุดท้าย ปี MY 2010 – 2011 นั้น ปรับเซ็ตช่วงล่างมาลงตัวมากๆ
นั่นคือช่วงล่างที่ประเสริฐที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาใน 3 Series มันให้ความนุ่ม
แน่น และหนึบ ในแบบที่ลงตัวมากๆ ชนิดไม่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขอะไรทั้งสิ้น
จะทำอย่างไร ที่จะเซ็ตช่วงล่างแบบมาตรฐาน ของ F30 / F31 รุ่น Minorchage
ให้ทั้งนุ่ม แน่น หนึบ และดิบกำลังดี ได้แบบนั้น นั่นคือหน้าที่ของวิศวกร BMW
ที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ หากต้องการเอาใจลูกค้าตีนหนัก กระเป๋าหนัก ชาวไทย
กันต่อไปละก็
ส่วนที่เหลือ อยากให้ลองดูเรื่องประสิทธิภาพของผ้าเบรก และการหน่วงความเร็ว
ในช่วงหลังจากที่ผู้ขับขี่เริ่มเหยียบเบรกไปแล้ว จนถึงช่วง ครึ่งทางระหว่างที่รถ
กำลังถูกหน่วงความเร็วลงมา จนถึงหยุดนิ่งสนิท ถ้ามีการแก้ไขให้ยังคงรักษา
อาการหน่วงรถลงมาอย่างต่อเนื่องกว่านี้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
ย่านความเร็วสูงมากกว่านี้ เพราะผมมองว่า ประเด็นนี้ ยังทำได้ดี แต่ยังไม่เท่า
Mercedes-Benz เขานะ
ตามด้วยการตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ในโหมด Comfort จริงอยู่ว่า ถ้าปรับมา
ใช้ Mode Sport หรือ Sport+ คันเร่งจะไวขึ้นชัดเจนก็จริง แต่จะให้ผมกดปุ่ม
Sport ตลอดเวลา แล้วปล่อยให้รอบเครื่องยนต์ไปคาอยู่ที่ระดับเกินกว่า 2,500
รอบ/นาที กันตลอดศก แบบนี้ก็ไม่ไหวครับ จะให้ขับแบบ Sport แม้จะอยู่ใน
การจราจรติดขัดกันเลยหรือยังไง? ผมเชื่อว่า ยังมีลูกค้าอีกจำนวนไม่น้อย
อยากได้การตอบสนองของคันเร่งที่ไวกว่านี้ ใน Mode Comfort แต่ยังอยาก
เห็นความประหยัดน้ำมันใน Mode Confort เช่นเดียวกัน ถ้าหาทางโปรแกรม
สมองกลเข้าไปให้ปรับพฤติกรรมของคันเร่งได้ จะดีขึ้นมาก ส่วน ECO PRO
ปล่อยไปเลยก็ได้ คันเร่งอยากจะหน่วงช้าอย่างเดิม ก็เชิญเลย เพราะนั่นคือ
ผู้ขับขี่เขาเลือกแล้วว่าอยากจะขับในรูปแบบ “น้องเนย รัก โลก”
อีกทั้งการปรับปรุงระยะฟรีของพวงมาลัยไม่ให้มากเกินไป เพราะคราวนี้ การ
ควบคุมรถ ขณะใช้ความเร็วสูงๆ เกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ไม่ได้นิ่ง
มากเท่ากับที่ E90 320d ตัวที่แล้ว เคยเป็น คราวนี้ ระยะฟรีของพวงมาลัยมัน
ไม่กระชับ และแอบเบา (เฉพาะช่วงระยะฟรี) จนทำให้การถือพวงมาลัยนิ่งๆ
ขณะทำ Top Speed นั้น ทำเอาผม เครียดขึ้นกว่ารุ่นเดิมมาก! หลังจากช่วง
ดังกล่าวขึ้นไปจนสุดเข็มวัดแล้ว บอกตรงๆว่า ความมั่นใจมันลดลงจริงๆ ครับ
แค่นั้นแหละ ที่อยากให้ปรับปรุงและแก้ไข ในรุ่นปีต่อไปจากนี้
แล้วถ้าจะต้องเลือกซื้อละ คู่แข่งตอนนี้มีอะไรบ้าง?
Mercedes-Benz C-Class ดูจะเป็นตัวเลือกที่ พร้อมจะฟัดเหวี่ยงได้สมน้ำสมเนื้อที่สุด โดย
รุ่นที่วัดกันได้ตรงจุดที่สุด คือ C220 CDI ราคา 2,490,000 บาท แต่อาจต้องดูอุปกรณ์มาตรฐาน
แต่อาจต้องทำใจกับบุคลิกการขับขี่ ที่อาจไม่สนุกเท่ากับรุ่น Coupe ซึ่งน่าประทับใจกว่ามาก!
ถ้าจะเอาอุปกรณ์ครบครัน ก็ต้องเล่นรุ่น C250 AMG Dynamic แต่ก็เป็นเครื่อยนต์ เบนซิน
ค่าตัวก็ปาเข้าไป 3,090,000 บาท
ไม่เช่นนั้น อาจต้องมองหา Volvo S60 ซึ่งได้อุปกรณ์ความปลอดภัยครบครันไม่แพ้กันเลย
ในราคาที่ถูกกว่ากันหลายแสนบาท (1,919,000 – 2,190,000 บาท) แต่อาจต้องทำใจว่า อัตราเร่ง
และความประหยัดน้ำมัน อาจทำได้ดีไม่เท่ากับ 320d
หรือไม่ ก็มองหารถเก๋งที่มีตัวถังใหญ่ขึ้นไปเป็น Skoda Superb ไปเลย ค่าตัวก็ 1,980,000 บาท
สมรรถนะ การันตีได้จากการใช้งานวิศวกรรมของกลุ่ม Volkswagen ขับสนุก แต่บุคลิกผู้ใหญ่
กระนั้น อาจต้องดูเรื่องบริการหลังการขายกันให้ดีๆ และควรแวะเวียนมาที่ Webboard ของ
Headlightmag.com เรา บ่อยๆนิดนึง เผื่อมีปัญหาจะได้แจ้งเรื่องให้เขาแก้ไขได้ทันท่วงที
แต่ถ้าจะซื้อ 3 Series ใหม่กันในตอนนี้ ควรเลือกรุ่นไหนดี?
แน่นอนครับ 320d คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด และควรจะเป็นรุ่น Sedan ประกอบในระยอง
เพราะให้อุปกรณ์ ข้าวของมาครบถ้วน แต่ค่าตัวก็พอกันกับรุ่นก่อนหน้านั้น ไม่แพงขึ้นนัก
ยังขายราคาไล่เลี่ยกับเดิมได้อยู่
ถ้าไม่ชอบและยังคงรับไม่ได้กับเสียงของเครื่องยนต์ Diesel ผมอยากจะบอกว่า ถ้าแค่เสียง
ทำให้คุณตัดสินใจไม่ซื้อ มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายแล้วละครับ เพราะ การที่คุณจะประหยัด
เงินเติมน้ำมันได้น่าจะราวๆ 30% โดนประมาณในแต่ละเดือน ได้สมรรถนะที่ดี มันคุ้มกับ
การยอมทนฟังเสียงเครื่องยนต์ ที่จะดังกว่ารุ่นเบนซินอยู่นิดหน่อย ไม่เยอะนัก และมันก็
ไม่ได้ดังสะเทือนโลกเหมือน เครื่องยนต์ 4JA1 ใน รถกระบะ Isuzu มังกรทอง เมื่อ 15 ปี
ที่แล้วมา หรอกครับ!
ดังแค่ไหน? เอาเป็นว่า ถ้าผมกลับถึงบ้านราวๆ ตี 2 และเจ้าตัวเล็กจอมซน ข้างบ้านผม
ซึ่งเข้านอนตอน หัวค่ำ ไม่ลุกขึ้นมาตื่นโยเยร้องไห้จ้า เหมือนที่แม่ทูนหัวแกชอบทำ
ช่วงกลางวัน ผมว่านั่นก็น่าจะพอให้คุณตัดสินใจได้แล้วนะครับว่า มันไม่ได้ดังไปกว่า
เครื่องยนต์เบนซินสมัยใหม่มากนักหรอก!
ถ้าจะซื้อ แล้วแต่ชอบ เพราะต่างแค่การตกแต่ง
Setting ช่วงล่าง จะเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเลือก Modern Luxury
หรือ Sport
แต่ถ้ายอมเลือกภายในสีดำ อย่างรุ่น Sport แม้จะอึดอัดทางสายตา
แต่ได้โหมด Sport + เพิ่มเข้ามาอีก 1 รายการ ช่วยให้สนุกสานขึ้น
สำหรับคนที่อยากปิด DTC และ DSC ทิ้ง
แต่ถ้าผมเลือกได้…
ขอรุ่น Sport สีแดงแปร๊ด แต่ขอภายใน ของรุ่น Modern เป็น “สีหอย Oyster” แถมอยากได้
เส้นโครเมียม จากรุ่น Luxury และถ้าได้ ชุด Aero Part รอบคัน M Sport Package พร้อม
ช่วงล่าง Sport แท้ๆ ด้วย นั่นจะยิ่ง Fin จบครบกระบวนความ
และถ้าเป็นไปได้ ขอเป็นตัวถัง Touring นะ ในราคา 2,890,000 บาท นั่นละ!
ซึ่ง BMW Thailand ก็จะด่าข้าพเจ้าว่า “ฝันไปเหอะ มึงช่างเรื่องมากอะไรเช่นนี้!”
ก็แหม อันที่จริงแล้ว ผมชอบรถยนต์ Station Wagon นี่นา แล้วรุ่น Touring คันนี้ ก็ทำเอาผม
เคลิ้บเคลิ้ม จนแทบไม่อยากคืนกุญแจ (เอาอีกแล้ว นิสัยเสียแบบนี้) มากยิ่งกว่ารุ่น Sedan ซะอีก!
แต่ผมอยากจะเห็นหน้าจังเลย ใครหน้าไหน(วะ) ที่มันเซ็ตราคาขายปลีกรุ่น Touring
ออกมาได้ แพงบ้าเลือดหูฉีก ทั้งหูคนซื้อ และหูคนขาย (เพราโดนบ่นจนหูชา) ขนาดนี้?
ต่อให้เป็นรถนำเข้า ค่าตัวรวมภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกกำไรก็ไม่ควร
เกินไปกว่า 3,500,000 บาท ถ้ายังตั้งราคาขายกันแพงขนาดนี้ ผมว่า ไม่ต้องขายหรอกครับ
สำหรับรุ่น Touring จอดเก็บเอาไว้ ดูเล่น ที่โรงงานในระยองต่อไปตามเดิมเถอะ!
นั่นคือเหตุผล ที่ทำให้ผมคงต้องทำใจ แนะนำคุณๆ อุดหนุนรุ่น Sedan ประกอบในระยอง กันต่อไป
โดย ต้องแสร้งทำเป็นว่า ไม่เคยมีรุ่น Touring สั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันแบบ CBU มาขายในบ้านเรา
เหมือนอย่างที่ผม กำลังพยายามหักห้ามใจอยู่ในตอนนี้!
————————–///————————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
คุณพิสมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
—————————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ภาพวาดกราฟฟิกทั้งหมด เป็นลิขสิทธิ์ของ BMW
สหพันธรัฐเยอรมนี ส่วน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 มีนาคม 2013
Copyright (c) 2013 Text and Pictures (All Illustration is own by BMW.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 17th,2013
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!