มากคน ต่างใจ มากมาย ต่างกัน
ต่างคิด ต่างกัน ต่างฝัน ต่างไป

มากคน ต่างความ บ้างตาม กันไป
หลายคน หลายใจ คิดไม่ เหมือนกัน

ฉันคงไม่เหมือนใคร หวังว่าคงเข้าใจ

ผู้คนมันมากมาย ก่ายกอง มากมาย ก่ายกอง
ผู้คนมากมาย ก่ายกอง ชีวิตมากมาย ก่ายกอง
ความคิดมากมาย…ก่ายกอง

ผู้คน มากมาย วุ่นวาย วกวน
หลายสิ่ง สับสน  ต้องทน กันไป

ฉันคงไม่เหมือนใคร  หวังว่าคงเข้าใจ
ผู้คนมันมากมายก่ายกอง  มากมายก่ายกอง
ผู้คนมากมายก่ายกอง  ชีวิตมากมายก่ายกอง
ความคิดมากมาย…ก่ายกอง

เพลง : มากมายก่ายกอง (ปี 2002)
Artist : ภูมิจิต (Poomjit)
Album : Found and Lost (2013)

—————————————————————————-

ผมรู้จักเพลงนี้เป็นครั้งแรก พร้อมๆกับ การรู้จักกับ “พุฒิยศ ผลชีวิน” นักร้องนำ
คนแต่งเพลง และหัวหน้าวงภูมิจิต ในยามบ่ายวันหนึ่ง ที่ร้านกาแฟเล็กๆ เมื่อ
เดือนมีนาคม 2002 จาการนัดพบปะกันของกลุ่มสมาชิก Webboard คลื่นวิทยุ
Fat radio 104.5 MHz. ในเวลานั้น

ครั้งแรกที่เพลงนี้ลอยเข้าหู ผมชอบทันที ทั้งที่ปกติแล้ว ไม่ใช่คนฟังเพลงแนว
Brit Pop Rock เอาเสียเลย แต่ด้วยเนื้อเพลงที่ฟังง่าย เข้าใจง่าย ติดหู แต่
โคตรลึกซึ่ง ทำให้ผมกลายเป็นแฟนคลับเจ้าพุฒิ และวงของเขา มาจนถึงวันนี้

เชื่อไหมว่า ตอนที่เพลงนี้ ยังเป็นแค่ซิงเกิลแรก ของวงน้องเขาในปี 2002 ซึ่ง
ทำออกมาเป็น CD Single 5 Track 1 ในนั้น มีเวอร์ชันที่ผม ไปร้องเพลงนี้ให้
เจ้าพุฒิด้วย ยังจำได้เลยว่า ตอนนั้น ทำงานกันแบบ Bedroom Studio จริงๆ
คือบันทึกเสียงในห้องนอน หอพักนักศึกษา ย่าน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บางเขน ช่วงบ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อนอบอ้าวมากๆ…

และน่าแปลกคือ ท้ั้งๆที่ผมเคยทำงานเพลงกับวง Monotone Group แต่เพลง
ที่ผมทำกับพวกเขา ไม่เคยถูกเปิดออกอากาศทางวิทยุ ทว่า เพลงนี้ของเจ้าพุฒิ
เวอร์ชันที่ผมร้องไว้ กลับมี D.J. คนหนึ่ง ของ Fat Radio 104.5 MHz. เปิดมัน
ออกอากาศ…บังเอิญวันนั้น ผมเปิดคลื่นทิ้งไว้พอดี เลยได้ฟังเสียงตัวเองทาง
วิทยุครั้งแรก…ในชีวิต นั่นคือ ปี 2002….

“แม่ง…เสียงโคตรเป็นเป็ดเลยหวะกรู!”

วันที่ เพลงนี้ ลอยกลับเข้ามาวนเวียนอยู้ในหัวผมอีกครั้ง ในระหว่างที่เขียนถึง
ผลผลิตใหม่ล่าสุดของ Nissan สำหรับตลาดบ้านเรา…

เจ้ารถเล็ก ที่เต็มไปด้วยเรื่องราว “มากมายก่ายกอง” พอๆกับขนาดตัวของมัน!

2017_03_Nissan_Note_01

ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับ Nissan Note รุ่นปัจจุบัน ตัวเป็นๆ ต้องย้อนกลับไป
ในวันที่ผมเดินทางไปเยี่ยมชมงาน Nismo Festival ซึ่งเป็นงานรวมญาติกลุ่ม
คนรักความแรงของรถยนต์และรถแข่งของ Nissan จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เมื่อ
30 พฤศจิกายน 2014 ก่อนจะได้ทดลองขับ บรรดาตัวแรงจากตระกูล Nismo
ทั้ง Nissan GT-R Nismo 600 แรงม้า (PS) , Nissan Fairlady Z Nismo ,
Nissan Juke Nismo S , น้องเล็ก Nissan March Nismo และแน่นอนครับ
“Nissan Note Nismo S” ตัวแรงสุดของตระกูล รถเล็ก V-Platform ที่แปะ
แบรนด์ Nismo ไว้บนตัวรถ

พบกันครั้งแรก ก็เจอของดี เข้าให้แล้ว ผมชื่นชอบ Note Nismo S มากๆ
จนตอนนั้น ถึงขั้นเปรยๆ กับคุณชนกนันท์ เตชะภัทราพร (คุณตาเล็ก) PR
ของ Nissan ที่ร่วมเดินทางไปด้วยในตอนนั้นว่า “อยากได้” แต่ก็ต้องยอม
ทำใจเสียดาย ว่ามันไม่มีโอกาสมาโลกแล่นในเมืองไทย เพราะ March
ถูกนำเข้ามาประกอบขายบ้านเรา ภายใต้ข้อกำหนด ECO Car Phase 1
ของทาง BOI ต้องผลิตรถรุ่นนั้นๆ ออกมาตามสเป็กที่ยื่นข้อกำหนดไว้
เราจึงไม่ได้มีโอกาสเห็นตัวแรง อย่าง March Nismo

ใครอยากรู้ว่าผมคิดเห็นอย่างไร ลองคลิกเข้าไปอ่านดูได้ในบทความรีวิว
Exclusive First Impression ของทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวได้ โดย คลิกที่นี่!

แต่…เดี๋ยวก่อนสิ ในตอนนั้น Note ยังไม่มีแผนจะถูกนำเข้ามาประกอบขาย
ในเมืองไทยเลยนี่นา ตอนนั้น ทุกสิ่ง ยังลอยเป็นวิมานในอากาศ อะไรๆมันก็
เป็นไปได้ทั้งนั้น Note อาจจะมา หรือไม่มาเมืองไทยก็ได้ หรือถ้ามันจะต้อง
มาผลิตขายจริง มันก็อาจจะถูกจับวางเครื่องยนต์ HR15DE หรือ HR16DE
จากพี่น้องร่วมตระกูล ก็ได้ หรืออาจจะถูกจับวางขุมพลัง HR12DDR แบบ
Supercharge 98 แรงม้า (PS) ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ผมก็ฟ้นเฟื่องฟุ้งจนฟั่นเฟือนไปเรื่อยแหละ…แล้วจู่ๆ ผมก็ได้ยินเรื่องที่ผม
เคยคิดเอาไว้เล่นๆ ว่ามันจะกลายเป็นความจริง ในอีก 1 ปีถัดมา

2015 เป็นปีที่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใน Nissan ปีนั้น พี่ตาเล็ก ได้
ลาออก มี PR คนใหม่ เข้ามา คือ “ป้าจู” พิมพร ศิริวรรณ (จาก Honda ยุค
ก่อนปี 2000) ตามด้วย พี่ซู สุรีย์ทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี อดีตผู้บริหาร
ใหญ่ค่าย Mazda ที่ตัดใจลาออกมาจากค่ายเดิมอันแสนรัก เพื่อรับตำแหน่ง
ใหม่ “รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด” ของ Nissan ในบ้านเรา
เมื่อ เดือนสิงหาคม 2015

และปีนั้น การตัดสินใจบางอย่าง ก็ได้เกิดขึ้น…

ใครคนหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่ทั้ง 2 คนที่ผมเอ่ยชื่อในย่อหน้าข้างต้นอย่างแน่นอน)
เคยบอกกับผมว่า Nissan คิดจะนำ Note เข้ามาประกอบขายในเมืองไทย
ระหว่างเดินเล่นอยู่ในงาน Tokyo Motor Show 2015 ตอนนั้นได้แต่ลุ้นว่า
Note ควรจะวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เพื่อเปิดตลาดในฐานะของรถยนต์นั่ง
B-Segment Hatchback ซึ่ง Nissan ยังไม่มีผู้เล่นในกลุ่มนี้มานานมาก
เกินกว่า 20 ปี แล้ว และมันควรเป็นไปตามนี้…

ทว่า ในปี 2016 เมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้น ผมถึงขั้น เซ็งเป็ด และตามด้วย ปลง

2017_03_Nissan_Note_02

ตอนแรกที่ผมคิดไว้คือ Note รุ่นที่ 2 เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ตามวงจร
อายุการทำตลาดของรถยนต์รุ่นหนึ่ง ก็ถึงเวลาจะเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในปี
2016 ได้แล้ว ผมจึงหวังใจว่า Note ที่ควรจะถูกส่งเข้ามาประกอบขายในไทย
น่าจะเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน หรือ Note Full Modelchange

แต่ที่ไหนได้ พวกผู้บริหารฝรั่งและญี่ปุ่น ที่ สำนักงานใหญ่ Yokohama กลับ
มองว่า Note ยังทำกำไรได้ไม่มากเท่าที่ควร จึงตัดสินใจยืดอายุตลาด Note
ออกไปอีก อย่างน้อยๆ ก็ 2-3 ปี ขึ้นไป กลายเป็นว่า Nissan นำรถรุ่นเดิมมา
ปรับโฉม Minorchange แล้วเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์รุ่น Hybrid e-Power
มาติดตั้งให้เฉพาะตลาดญี่ปุ่น ก่อนจะเปิดตัวออกขายอีกครั้งในช่วงปลายปี
2016

ดังนั้น เมื่อ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” เสร็จสิ้นแล้ว Note ที่จะถูกส่งมาประกอบ
ขายในเมืองไทย มันจะเป็นรุ่นใดไปไม่ได้ นอกจาก เจ้า Note Minorchange
แน่ๆเป็นแช่แป้ง!

ทำไมกรูไม่ซื้อหวยฟะ?

แต่สิ่งที่บ้ายิ่งกว่า ก็คือ “อย่าเพิ่งดีใจไปนะ J!MMY เพราะ Note ใหม่จะยังคง
ใช้เครื่องยนต์และเกียร์ลูกเดิม จาก March และ Almera!”

โอ้ยยยย ไอ้ชิบหายยยย!!! จบกัน! เวรละ! อืดแน่ๆ แบบนี้

ผมแทบหมดความตื่นเต้นกับการมาถึงของ Note ในตลาดบ้านเราไปเลย หมด
และไร้ซึ่งความกระตือรือล้นที่จะยุ่งเกี่ยวกับรถคันนี้ เนื่องด้วยเพราะเดาได้เลย
ว่า ยังไงๆ มันก็คงเป็นได้แค่ Almera เปลี่ยนเปลือกตัวถังให้โตขึ้น หนักขึ้น แต่
เร่งไม่ขึ้นแหงๆ ก็โหงวเฮ้งรถ มันออกมาชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ขนาดนี้ ถ้าคุณ
ยังวางเครื่องยนต์เดิมจาก March และ Almera ก็จงอย่าหวังว่าอัตราเร่งจะแรง
เท่าๆกับ Nissan GT-R อย่างที่ใครบางคนกำลังนั่งมโน ไปตามประสาคนซึ่ง
ไม่เข้าใจในเรื่องพื้นฐานของรถยนต์เลยหวะ!

ผมก็เลย “ปล่อยยย” ให้บรรดา สื่อมวลชนสายรถยนต์ ทั้งหลาย ลองขับกันให้
หนำใจ เอาให้เต็มที่ เขียนบทความ ถ่ายคลิป Youtube กับ Facebook Live
กันให้หนำใจไปเลย ไม่รีบไม่ร้อน ให้คนอื่น สื่ออื่น หัวอื่น เขาได้ภาคภูมิใจ
กับการนำเสนอข้อมูลเป็นรายแรกก่อนใครกันเสียบ้าง

ก็ดีนะ เพราะเว็บเราก็ปล่อยบทความรีวิวรถยนต์ รายแรกในเมืองไทย ไปเยอะ
มากตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา อยู่แล้วนี่ แค่เฉพาะ Nissan ก็มีทั้ง Teana J32
ในวันเปิดเว็บ 26 กุมภาพันธ์ 2009 , Nissan March เมื่อ 13 มีนาคม 2010
(รีวิวแรกในโลกเชียวนะเออ!) , Nissan Sylphy B17  (2012) Nissan Pulsar
(2013) , Nissan Teana L33 (2013) , Nissan X-Trail ไปขับถึง Fukuoka
(2014) Nissan Navara (2015)

นั่งนับไปนับมา โห เว็บเรานี่ ทำรีวิวรถ Nissan ก่อนชาวบ้านเขาเยอะมาก
แทบทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2009 เลยนะเนี่ย เพียงแต่ว่า มีแค่ Pulsar , X-Trail
และ Navara เท่านั้น ที่เราได้รับโอกาสจาก Nissan ไปร่วมทริป เหมือน
สื่ออื่นๆ นอกนั้น Nissan ไม่ได้ช่วยเหลือเราเลย เราต้องใช้ความพยายาม
ของเว็บเราเองล้วนๆ บวกกับได้รับความช่วยเหลือ จากคุณ Pocky แห่ง
Nissan Krungthai ที่เปิดทางให้เราได้ทำรีวิว First Impression ก่อน

ดังนั้น ให้คนอื่นเขาดี๊ด๊าดีใจกันบ้าง แบบนี้ละดีแล้ว!

ปาเข้าไปเดือนมีนาคม หลังเปิดตัว PR ของ Nissan เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า
J!MMY มันยังไม่ได้ลองขับเลยนี่หว่า เลยติดต่อมาว่า จะส่งรถให้ทำรีวิว
กันเสียที

พอได้ลองสัมผัสจริง ใช่ครับ มันก็อืดจริง เร่งไม่ขึ้น เหมือนที่ผมคิดไว้นั่นละ
แต่…สิ่งที่ผมพบเจอเพิ่มเติม ก็คือ Note มันอาจจะแย่แค่ เรื่อง Powertrain
ทว่า ในด้านอื่นๆของมัน…เฮ้ย เซ็ตมาดี ทำมาดีใช้ได้เลยนะ!

อยากรู้แล้วใช่ไหม ว่า Note มันมีข้อดีตรงไหนบ้างและข้อไหนที่ควรปรับปรุง?

ใจเย็นๆคร้าบ ตามธรรมเนียม เราก็ต้องย้อนอดีตเพื่อเกริ่นกันถึงที่มาที่ไปใน
การถือกำเนิดของ B-Segment Sub-Compact Hatchback รุ่นนี้กันเล็กน้อย

ย้อนไปไม่ไกลครับ แค่ราวๆ 12 ปีมานี้เอง!

2004_03_Nissan_Tone_Concept_EDIT2

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 2000 ความร้อนแรงของ Honda Fit / Jazz รุ่นแรก
ที่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2001 จุดชนวนทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเกือบ
ทุกค่าย ต่างคัดสินใจพัฒนารถยนต์ B-Segment Sub-Compact Hatchback
รูปทรงแบบ Minivan ออกมาขายแข่งกับ Honda ด้วย

Nissan ก็เป็นอีกค่ายหนึ่ง ที่กระโจนเข้าร่วมทำศึกในครั้งนี้ หลังจากประสบ
ปัญหาเกือบล้มละลาย จน Carlos Ghosn จากกลุ่ม Renault ฝรั่งเศส เข้ามา
ฟื้นฟูกิจการจนกลายเป็น Renault-Nissan Alliance ในปี 1999 และทำกำไร
ได้ภายใน 2-3 ปี

Nissan ใช้เวลาในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ราวๆ 3 ปีเศษๆ บนพื้นตัวถังร่วมกับ
Renault Modus Sub-Compact หลังคาสูง ที่ขายดีในยุโรป จากนั้นอีกไม่นาน
สาธารณชนทั่วโลกจึงได้รับรู้ว่า พวกเขา เอาจริงกับตลาดรถยนต์ B-Segment
Minivan Hatchback ผ่านการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ Nissan TONE Concept
เป็นครั้งแรกในงาน Paris Motor Show เมื่อ 1 ตุลาคม 2004 แสดงให้เห็นถึง
แนวคิดที่จะสร้างรถยนต์ขนาดเล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยภายในอเนกประสงค์ ซึ่ง
ในตอนแรก ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่เหมือนกันว่า Nissan กำลังคิดจะทำ
Honda Fit / Jazz ในเวอร์ชันของตนเอง เพื่อหวังบุกตลากญี่ปุ่นและยุโรป
เป็นหลัก

2005_01_Nissan_Note

หลังจากนั้นไม่นาน Nissan ก็เปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริงของรถยนต์ต้นแบบ
คันดังกล่าวออกขายในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก โดยเปลี่ยนชื่อจาก Tone เป็น Note
รหัสรุ่น E11 เมื่อ 19 มกราคม 2005 และได้รับความนิยมอย่างสูงมากในตลาด
แดนปลาดิบ

Note รุ่นแรก มีตัวถังยาว 4,020 มิลลิเมตร กว้าง 1,690 มิลลิเมตร สูง 1,535
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร เวอร์ชันญี่ปุ่น มีเฉพาะเครื่องยนต์
HR15DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78 x 78.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ EGI (ECCS)
109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม.ที่ 4,400
รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ส่วน
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ e-4WD จะเชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
E-ATx

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS ส่วน
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบหน้าดิสก์เบรกมีรูระบาความร้อน ด้านหลังดรัมเบรก
เสริมตัว่วยทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบ
เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Break Assist ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน ฯลฯ

ส่วนเวอร์ชันยุโรป เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show 2005
เมื่อ 18 กันยายน 2005 แต่กว่าจะพร้อมจำหน่ายจริง ต้องรอข้ามปีจนถึง
งาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2006 แต่ สหราชอาณาจักร
คือประเทศแรกในยุโรป ที่ เปิดตัว Note ในวันที่ 1 มีนาคม 2006

Note รุ่นแรก เวอร์ชันยุโรป มีการตกแต่งภายนอกและภายในบางรายการ
ที่จะแตกต่างปจากเวอร์ชันญี่ปุ่น เช่น การเสริมคิวกันกระแทกที่ด้านข้าง
ของประตูทั้ง 4 บาน และคิ้วสีดำขนาดใหญ่ที่เปลือกกันชนหน้า – หลัง กับ
ชุดมาตรวัดพื้นสีขาวและชุดเครื่องเสียง ที่เหมาะกับการทำตลาดในยุโรป

เครื่องยนต์ มีให้เลือก 3 แบบ เป็นเบนซิน 2 รุ่น และ Diesel 1 รุ่น ดังนี้

–  CR14DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,386 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
73.0 x 82.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.8:1 หัวฉีด EGI ECCS 88 แรงม้า (PS)
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 137 นิวตันเมตร (14.0 กก.-ม.) ที่ 3,200
รอบ/นาที มีเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหน้า พ่วงเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

– HR16DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.2 : 1 หัวฉีด EGI ECCS 110 แรงม้า (PS)
ที่  6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 153 นิวตันเมตร (15.5 กก.-ม.) ที่ 4,400
รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ

– K9K 764 / 832 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,461 ซีซี กระบอกสูบ x
ช่วงชัก 76 x 80.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดผ่าน
รางแรงดันสูง dCi (diesel Common-rail injection) พ่วงระบบอัดอากาศ
Turbocharger 88 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200
นิวตันเมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า พ่วง
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ จาก RENAULT มาให้เลือกด้วย

2005_10_Nissan_Note_Adidas_Concept

จากนั้น ในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2005 Nissan จับมือกับ
ผู้ผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬาชื่อดังจากเยอรมนี อย่าง Adidas ทำรถยนต์
ต้นแบบ เวอร์ชันพิเศษออกมา ในชื่อ Nissan Note Adidas Concept เพื่อ
หวังจะหาแนวทางการทำตลาดร่วมกันในลักษณะ Collaboration Partner
แต่น่าเสียดายว่า หลังจากงานดังกล่าว ก็ไม่มีการสานต่อโครงการนี้จากทั้ง
Nissan และ Adidas อีก ทำให้รถต้นแบบคันนี้ ไม่อาจนำมาผลิตขายได้จริง

การปรับปรุงอุปกรณ์มีขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง เริ่มจาก 21 ธันวาคม 2005 เพิ่ม
รุ่นย่อยใหม่ 15S V Package และ 15S FOUR V Package รวมทั้งเพิ่ม
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เบาะผ้าและผ้าบุแผงประตูลายใหม่ ทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่น
15RX) เพิ่มพนักวางแขนสำหรับคนขับเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครบทุกรุ่น
(ยกเว้นรุ่นล่าง 15S, 15S FOUR) เพิ่ม Trim ประดับสีเงิน ที่ชุดมาตรวัด
สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า และคันเกียร์ (เฉพาะ รุ่น  15S V package,
15S FOUR V package, 15E, 15E FOUR) เพิ่มวงแหวนสีเงิน ประดับที่
สวิตช์เครื่องปรับอากาศสีดำ (เฉพาะ 15RX) สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า
เปลี่ยนเป็นสีดำ (เฉพาะ 15RX) เพิ่มภายในสี salsa green interior เป็น
Option ใหม่ให้เลือก (เฉพาะ 15S V package, 15S FOUR V package,
15E, 15E FOUR) เพิ่มระบบนำทาง Simple DVD navigation system
ให้เลือกเป็น option, เพิ่ม 2 สีตัวถัง (sherry silver, bright kappa) กับ
ชุดไฟหน้า brilliant type halogen (เฉพาะรุ่น 15S V package, 15S
FOUR V package, 15E, 15E FOUR)

2010_Nissan_Note_Lineup

เว้นว่างมาจนถึง 8 มกราคม 2008 Note รุ่นปรับโฉม Minorchange จึง
พร้อมออกสู่ตลาด เปลี่ยนชุดไฟหน้า ฝากระโปรงหน้า และเปลือกกันชน
ด้านหน้าใหม่ แถมยังเปลี่ยนกระจังหน้าลายใหม่ ประดับแถบโครเมียม
โดยเลือกได้ตามรุ่นย่อย ทั้งสีเดียวกับตัวถัง หรือสี Gun Metallic และ
เพิ่มสีตัวถังใหม่ 3 สี ได้แก่Titanium Pearl Metallic Blue Turquoise,
Titanium Metallic Frosty Green กับ Pearl Metallic Amethyst Gray
ส่วนภายในห้องโดยสาร ก็ปรับการตกแต่งใหม่ เพิ่มรุ่น Plus Navi HDD
ซึ่งจะติดตั้งชุดเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม อ่านแผนที่
จากฮาร์ดดิสก์ขนาด 30GB พร้อมจอมอนิเตอร์สี 7 นิ้ว รองรับ TV , VICS
Music Stocker รวมทั้งกระจกสีเขียว แบบกันรังสี UV ฯลฯ ตั้งเป้ายอด
ขายในญี่ปุ่น เดือนละ 4,000 คัน ราคา 1,354,500 – 1,865,850 เยน

นอกจากนี้ Autech Japan ยังเพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ Note Rider ตกแต่งใน
สไตล์ American VIP Sports สีขาว เพิ่มชุด AeroPart รอบคัน ช่วงล่าง
Euro Suspension ล้ออัลลอยปัดเงา 15 นิ้ว พร้อมยาง 175/60R15 81H
พวงมาลัยหุ้มหนัง ท่อไอเสียแบบพิเศษจาก Fujitsubo ชุดเครื่องเสียง 4
ลำโพง

รวมทั้งเพิ่มรุ่น Note Rider Performance Spec ที่จะถูกอัพเกรดสมรรถนะ
เครื่องยนต์ให้แรงขึ้นอีก 7 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 0.8 กก.-ม.เพิ่ม
เหล็กค้ำช็อกอัพคู่หน้า เปลี่ยนช่วงล่างแบบ Exclusive tuned Suspension
พร้อมช็อกอัพแบบ Performance Damper จาก YAMAHA (ผู้ผลิตเปียโน
และมอเตอร์ไซค์นี่แหละ อ่านไม่ผิดหรอก) เปลี่ยนยางเป็น Bridgestone
Potenza RE-01R 185/55R15 81V ท่อไอเสียแบบสปอร์ตจาก Fujitsubo
แป้นคันเร่ง/เบรกและแป้นคลัตช์อะลูมีเนียม รวมทั้งพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า
ปรับน้ำหนักตามความเร็วของรถ

7 ตุลาคม 2008 เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Brownie Interior ตกแต่งภายในและ
ภายนอก ด้วยสีน้ำตาลเข้ม นอกจากนี้ ยังเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 16X และรุ่น
16RZ มาพร้อมขุมพลัง HR16DE จากเวอร์ชันยุโรป และเกียร์ธรรมดา
5 จังหวะ

16 ธันวาคม 2009 เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Note AeroStyle ตกแต่งพิเศษด้วย
กระจังหน้าแบบโครเมียม ไฟหน้า Halogen แบบ Multi Reflector ชุด
ตกแต่งสเกิร์ตรอบคัน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง Sculp Plate
ที่ธรณีประตูทั้ง 4 ตำแหน่ง มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ 1.5 X AeroStyle
และ 1.5 RS AeroStyle เกียร์ CVT ทั้งคู่ มี 4 รุ่นย่อย

6 มกราคม 2010 เพิ่มทางเลือก Note Rider + Navi HDD ติดตั้งระบบ
นำทางผ่านดาวเทียม อ่านแผนที่จากแผ่น DVD ให้รุ่น Rider เปิดตัวใน
งาน Tokyo Auto Salon 2010

22 เมษายน 2010 เพิ่มทางเลือก รุ่น 1.5RS AeroStyle + Navi HDD
ติดตั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม อ่านแผนที่จากแผ่น DVD ให้เฉพาะ
รุ่น 1.5 RS Aero Style เป็นอีกรุ่นย่อยใหม่

30 พฤศจิกายน 2010 ปรับอุปกรณ์กันอีกครั้ง เพิ่มสวิตช์ ECO Drive เพื่อ
ช่วยหน่วงการทำงานของลิ้นเร่งไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ เพิ่มความ
ประหยัดน้ำมันขณะขับขี่ทางไกล รวมทั้งปรับอุปกรณ์ในรุ่นตกแต่งพิเศษ
ทั้ง AeroStyle Series , Rider Series และ รุ่นสำหรับผู้ทุพลภาพ Life
Care Vehicle Series อีกนิดๆหน่อย

30 มิถุนายน 2011 เพิ่มเครื่องปรับอากาศแบบมีระบบฟอกอากาศด้วย
ปะจุไฟฟ้า PlasmaCluster ให้กับรุ่นย่อยใหม่ 15X SV + Plasma กับ
15X FOUR SV + Plasma

5 ตุลาคม 2011 เพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ Note Rider Black Line นำเอารุ่น
Rider ปกติ มาพ่นสีดำ รอบคัน เปลี่ยนกระจังหน้าลายโครเมียมเป็น
แบบรมดำ นอกนั้น อุปกรณ์คล้ายๆรุ่น Rider เดิม รวมทั้งท่อไอเสีย
จาก Fujitsubo ด้วย และถือเป็นรุ่นปิดท้าย สำหรับการทำตลาดของ
Note รุ่นแรก ในญี่ปุ่น

นับตั้งแต่เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป เมื่อปี 2005 จนสิ้นสุดอายุ
การทำตลาด Nissan ผลิต Note รุ่นแรกออกขายทั่วโลกมากถึงระดับ
940,000 คัน!! (ตัวเลขเมื่อ 16 กรกฎาคม 2012) เฉพาะในยุโรป ตั้งแต่
ปี 2006 – 2013 Note ทำยอดขายไปได้ถึง 394,018 คัน

นับว่า ไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจตลาด
ยุโรปเป็นหลัก แต่ต้องทำตลาดในหลายๆประเทศด้วย

2012_Nissan_Note_Design_Sketch

ความสำเร็จของ Note รุ่นแรกในตลาดญี่ปุ่น และยุโรป ทำให้ผู้บริหารของ
Nissan ตัดสินใจเดินหน้า เปิดไฟเขียว เริ่มโครงการพัฒนา Note รุ่นที่ 2
ภายใต้รหัสโครงการ J02C หรือ X02C ตามออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น

เพียงแต่ว่า ด้วยแนวคิดในการพยายามลดต้นทุนระดับโลก Nissan จึงได้
พัฒนาพื้นตัวถังแบบใหม่ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ในชื่อว่า V-Platform
ซึ่งเน้นหนักไปที่การพัฒนาให้รถยนต์ B-Segment ของพวกเขา สามารถ
ต่อสู้กับคู่แข่งในระดับโลกได้ ด้วยต้นทุนที่ถูก จาการแชร์ชิ้นส่วนอะไหล่
ร่วมกัน ในรถยนต์ 3-4 รุ่นหลัก จนทำให้ตั้งราคาเหมาะสมกับความคิดของ
ผู้บริโภค ได้ไม่ยาก แต่ยังคงพอมีกำไรอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

Nissan เริ่มปล่อยรถยนต์รุ่นแรกที่สร้างขึ้นจากพื้นตัวถัง V-Platform หรือ
Nissan March / Micra K13 ออกมาเป็นครั้งแรก ที่เมืองไทย เมื่อวันที่
13 มีนาคม 2010 จากนั้น ตามด้วยเวอร์ชัน Sedan ในชื่อ Nissan Sunny/
Almera ในงาน Guangzhou Motor Show เมื่อ 20 ธันวาคม 2010 ก่อน
ส่งมาเปิดตัวในเมืองไทยด้วยชื่อ Nissan Almera เมื่อ 7 ตุลาคม 2011

คิวต่อไปของ รถยนต์จากพื้นตัวถัง V-Platform ก็คือ Note รุ่นที่ 2 นี่แหละ!

2012_Nissan_Invitation_Concept_Car

ความเคลื่อนไหวในการัฒนา Note รุ่นที่ 2 เริ่มปรากฎสู่สายตาสาธารณชน
เมื่อ Nissan เปิดผ้าคลุมรถยนต์ต้นแบบ Nissan INVITATION Concept
เป็นครั้งแรก ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2012

ด้านข้างตัวรถมีเส้นสายแบบเฉพาะตัวด้วยเส้นตวัด ‘Squash Line’ ดูมีพลัง
ด้านหน้ามีสไตล์โดดเด่น ได้รับแรงบันดาลใจจากด้านหน้าของรถตู้ Nissan
Quest สำหรับอเมริกาเหนือ และบั้นท้ายที่มีเส้นสายสไตล์ Nissan ยุคใหม่
ส่วนภายในห้องโดยสารมีความสดชื่น สามารถใช้งานได้จริงผสมกับความ
ทันสมัย สร้างความประทับใจ ด้วยคุณภาพ และความอเนกประสงค์

Mr. François Bancon รองผู้จัดการทั่วไปแผนก Product Strategies &
Product Planning (ในขณะนั้น) กล่าวว่า “ชื่อ Invitation เป็นชื่อที่สื่อถึง
รถคันนี้อย่างถ่องแท้ คุณสมบัติของรถทั้งหมดจะเป็นตัวดึงดูดใจ ไม่ว่าจะ
เป็นงานออกแบบภายนอกรถอันรัญจวนใจ, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้าง
สะดวกสบาย, การจัดสรร Pacakging ของตัวรถ อย่างชาญฉลาด ภายใต้
ขนาดตัวถังแบบ Compact นี่จึงเป็นคำเชิญชวน (invitation = เชิญชวน)
จาก Nissan สำหรับลูกค้าที่กำลังมองหา Compact Hatchback อยู่”

2012_07_Nissan_Note_JPN

เมื่อการพัฒนาเสร็จสิ้นลง Nissan จึงจัดงานเปิดตัว Note รุ่นที่ 2 เมื่อว้นที่
16 กรกฎาคม 2012 ที่ย่าน Osanbashi ใน Yokohama ประเทศญี่ปุ่น เป็น
การเปิดตัวแบบ World Premier ก่อนจะประกาศตามมาอีกครั้งเมื่อวันที่
27 สิงหาคม 2012 ว่า จะเริ่มส่ง Note ใหม่ จากโรงงาน Nissan Kyushu
ไปขึ้นโชว์รูมทั่ว ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2012 เป็นต้นไป

มิติตัวถังยาว 4,100 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,520 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ในช่วงเปิดตัว มีเครื่องยนต์ให้เลือกในเบื้องต้น เพียง
2 แบบ คือ HR12DE เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 79 แรงม้า (PS)
ที่ยกมาจาก March และ Almera มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ e-4WD
เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT กับ HR12DDR บล็อกเดียวกัน ความจุ
เท่ากันแต่เปลี่ยนมาใช้ระบบจุดระเบิด Nissan-Di และ พ่วง Supercharger
98 แรงม้า (PS) มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Xtronic
CVT เท่านั้น (รายละเอียด เลื่อนลงไปอ่านได้ใน “รายละเอียดด้านวิศวกรรม”)
รวมทั้งมีระบบ idling stop ดับและติดเครื่องนต์เองขณะจอดติดไฟแดงเพื่อ
ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอรสันสตรัต ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ส่วน
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรกคู่หน้า มีรูระบายความร้อน ด้านหลังเป็นแบบ
ดรัมเบรก เสริมด้วยตัวช่วยทั้งระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกระทันหัน ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน Break Assist และ
เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพ VDC และติดตั้งกล้องมองภาพรอบทิศทาง
Around View Monitor (AVM) มาให้เป็นครั้งแรกในรถยนต์ขนาดเล็กของ
ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย

2013_Nissan_Note_AXIS_AeroStyle

ทันทีที่เปิดตัว Note ก็ได้รับรางวัล RJC Car of the Year 2013 จากสมาคม
ผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ญี่ปุ่น เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2012 ขณะเดียวกัน ลูกค้า
ชาวญี่ปุ่นให้การตอบรับกับ Note ดีมากในช่วงแรกๆ จากนั้น การปรับทัพก็
เริ่มทะยอยตามมา ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อย Note Axis ตกแต่งสไตล์หรูหราโดย
Autech Japan บริษัทลูกของ Nissan ที่เน้นนำรถยนต์ที่ขายอยู่มาตกแต่ง
เป็นพิเศษ เมื่อ 16 มกราคม 2013

จากนั้น 1 กรกฎาคม 2013 Note AeroStyle ตกแต่งด้วยชุด AeroPart รอบ
ทั้งคัน พร้อมไฟตัดหมอกหน้า ล้ออัลลอย 15 นิ้ว สวมยาง 185/65R15 และ
พวงมาลัยแบบ 3 ก้านลายสปอร์ต พร้อมแถวสีเงิน แบบ March / Almera
ในบ้านเรา ก็ตามออกมา

24 ธันวาคม 2013 มีการปรับโฉม Minorchange ครั้งแรก ซึ่งอันที่จริงก็คือ
การปรับอุปกรณ์ เพิ่มสารพัดตัวช่วยด้านความปลอดภัยเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น
ระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน Lane Departure Warning (LDW) ระบบเบรก
เองโดยอัตโนมติ ในกรณีฉุกเฉิน Emergency Braking System เพิ่มระบบ
Around View Monitor ให้รุ่นย่อยตั้งแต่ X แะ X-DIG-S ขึ้นไป รวมทั้งรุ่น
AeroStyle ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านั้นด้วย และปรับปรุงรุ่น Medalist ให้มีชุด
อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยครบครันเช่นเดียวกัน

2014_09_Nissan_Note_Nismo_S

22 กรกฎาคม 2014 Nissan เปิดตัว Note Nismo เพิ่มเสริมทัพเปิดตลาด
ให้กับแบรนด์ Nismo ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์และชุดแต่งสมรรถนะสูงให้กับ
ทีมแข่งของ Nissan และบรรดาผู้รักความแรงทั่วไป ตัวรถเริ่มออกสูตลาด
ในวันที่ 9 ตุลาคม 2014 มีให้เลือกทั้งรุ่น Nismo ธรรมดา วางเครื่องยนต์
HR12DDR และ รุ่นแรงสุด Nismo S วางขุมพลัง HR16DE จูนพิเศษโดย
Nismo รายละเอียด และการทดลองขับ สามารถคลิกอ่าน ได้ที่บทความ
ทดลองขับจากญี่ปุ่น คลิกที่นี่ (CLICK HERE!)

พร้อมกันนั้น ในวันเดียวกัน Nissan ก็ประกาศปรับโฉม Note กันอีกรอบ
โดยเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ V-Selection + Safety ให้กับรุ่น X และ X DIG-S
เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย และปรับอุปกรณ์เล็กน้อย รวมทั้งเพิ่มรุ่นแต่ง
พิเศษ สไตล์ American VIP ในชื่อ Nissan Note Rider และเวอร์ชัน
หรู ภาค 2 อย่าง Nissan Note AXIS ซึ่งถูกจับลงขุมพลัง HR12DDR
ทั้งคู่ ออกขายพร้อมกัน เมื่อ 9 ตุลาคม 2014

2015_Nissan_Note_Japan

6 กรกฎาคม 2015 ปรับโฉม Minorchange อีกครั้ง ซึ่งก็ควรเรียกว่าการปรับ
อุปกรณ์อีกอยู่ดี เพราะคราวนี้ Nissan เพิ่มระบบเตือนเปลี่ยนเลน LDW ให้
รวมทั้งระบบ Emergency Brake System ให้เลือกเป็น Option ได้ทุกรุ่น
สามารถเลือกสั่งติดตั้งเพิ่มเติมได้ตามต้องการ

11 พฤศจิกายน 2015 เพิ่มภายในห้องโดยสารสีน้ำตาล Brown Natural
Interior และเพิ่มสีตัวถังใหม่ ทั้ง แดงสด สีมะกอก และปรับทางเลือกรุ่น
ย่อยใหม่ ให้ทุกขุมพลัง สามารถเลือกระับการตกแต่ง Medalist ได้ทุกรุ่น
ก่อนจะกระตุ้นตลาดกันอีกครั้ง ด้วยรุ่น V-Package + Safety II เมื่อวันที่
11 พฤษภาคม 2016 เป็นครั้งสุดท้าย ของรุ่นก่อนปรับโฉมใหญ่

2013_Nissan_Note_USA_Version

ไม่เพียงแค่เปิดตัวทำตลาดในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คราวนี้ Nissan วางแผนพา
Note ไปบุกตลาดทั่วโลก เพิ่มมากขึ้นจากเดิม เพื่อหวังให้ Note กลายเป็น
Global Car คันใหม่ ของตน

Nissan นำ Note ไปเปิดตัวในตลาดอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อรุ่น
Nissan VERSA Note เผยโฉมครั้งแรกบนแท่นหมุนในงาน North America
International Motor Show (NAIAS หรือ Detroit Auto Show) เมื่อวันที่
14 มกราคม 2013 โดยผลิตจากโรงงาน Nissan Mexicana SA de CV เมือง
Aguascalientes ประเทศ Mexico พร้อมส่งขึ้นโชว์รูมทั้งในสหรัฐอเมริกา ใน
แคนาดา และในตลาดละตินอเมริกา (ใช้ชื่อ Note) เหมือนตลาดอื่นๆ เมื่อช่วง
เดือนมิถุนายน 2013 ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 2014 ทำตลาดแทน Nissan Versa
Hatchback รุ่นเดิม ซึ่งเป็นการนำ Nissan TIIDA Hatchback ไปเปลี่ยนชื่อ
และทำยอดขายได้ไม่ดีเอาเสียเลย

Versa Note เวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีขนาดตัวถังเท่ากันกับเวอร์ชันญี่ปุ่น แต่
เปลียนมาใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า เป็นขุมพลังที่คนไทยคุ้นหน้าคุ้นตาดี
เพราะเคยประจำการมาแล้วใน TIIDA และ Sylphy / Pulsar นั่นคือขุมพลัง
HR16DE (รายละเอียด อ่านได้ในส่วน “รายละเอียดด้านวิศวกรรม”) จับคู่กับ
เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน ) Xtronic CVT

ส่วนรายละเอียดการตกแต่งภายในรถ จะมีทั้งเบาะสีเบจ และเบาะสีดำให้เลือก
แต่แผงหน้าปัดจะยกมาจาก Almera ทั้งดุ้น ในช่วงแรก นั่นจึงทำให้ช่องแอร์
ตรงกลางเป็นแบบสี่เหลี่ยม แตกต่างจากเวอร์ชันอื่นๆ เช่นเดียวกับพวงมาลัย
ที่ยกเอามาจาก Sylphy / Pulsar ในตลาดอื่น มาติดตั้งให้

2016_Nissan_Note_Black_Edition_UK

ส่วนเวอร์ชันยุโรป Nissan ยังคงใช้โรงงาน Sunderland ในประเทศังกฤษ
เป็นฐานการผลิต Note เวอร์ชันยุโรป โดยลงทุนเพิ่มเติมกว่า 125 ล้านปอนด์
สเตอร์ริง หรือ 199 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แถมยังได้รับงบประมาณเพิ่มเติมจาก
กองทุน U.K. government’s Regional Growth Fund ของรัฐบาลอังกฤษ
อีก 9.3 ล้านปอนด์ฯ (14.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

Nissan เปิดรับจอง Note ในยุโรป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2013 โดยมียอดจอง
มากถึง 14,000 คัน! รถคันแรก เริ่มคลอดจากสายการผลิต เมื่อ 17 กันยายน
2013 และส่งขึ้นโชว์รูมในเดือนตุลาคม 2013

ขุมพลังของเวอร์ชันยุโรป มีให้เลือกทั้งรุ่นพื้นฐาน HR12DE 1.2 ลิตร 80
แรงม้า (PS) มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ตามด้วยขุมพลัง HR12DDR
Supercharger 98 แรงม้า (PS) มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน XTronic CVT และพิเศษเฉพาะตลาดยุโรป ด้วยขุมพลัง
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร dCi Turbo By Renault 90 แรงม้า
(PS) มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น (รายละเอียดเพิ่มเติม เลื่อน
ลงไปอ่านได้ใน “รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ” ด้านล่าง)

คันที่เห็นในภาพข้างบนนี้ เป็น Nissan Note Black Edition สำหรับตลาด
อังกฤษ ซึ่งยังคงวางขายอยู่จนถึงกลางปี 2017 ในยุโรป ลูกค้าสามารถสั่ง
ซื้อ Note ที่มาพร้อมกับชุดแต่งหลากสีสรร ในชื่อ Colour Edition ได้ด้วย

ปัจจุบัน ณ วันที่บทความนี้ออก เผยแพร่ เวอร์ชันยุโรป ยังไม่มีการปรับโฉม
Minorchange และคาดว่า น่าจะมีรุ่นปรับโฉม ตามมาภายในปีนี้

ในตลาดยุโรป Note รุ่นที่ 2 ทำยอดขาย ในระดับน่าพอใจ ปีแรกที่เริ่มขาย
คือ ปลายปี 2013 แต่ถ้ารวมตัวเลขทั้งปี ทั้งรุ่นเก่าและใหม่ จะอยู่ที่ 33,087
คัน ปี 2014 พุ่งไปอยู่ที่ 65,579 คัน ก่อนจะลดลงมาในปี 2015 เหลือระดับ
46,267 คัน และ ปี 2016 อยู่ที่ 35,884 คัน

2016_Nissan_Note_Minorchange_Design_Sketch

หลังจากทำตลาดมาได้ราวๆ 4 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องมีการอัพเดทให้เกิดความ
สดใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขาย อย่างไรก็ตาม Nissan ยังคงเลือกที่จะไม่ยอม
เปลี่ยนโฉม Full Modelchange ทั้งที่ครบอายุตลาด 4 ปี หากแต่ใช้วิธีการ
ปรับโฉม Minorchange แทน

Theme การปรับโฉมในครั้งนี้ คือ Cool Tech Compact บ่งบอกถึงความ
พยายามในการยกระดับให้ Note ดูเท่ และโฉบเฉี่ยวปราดเปรียวยิ่งขึ้น
มากกว่าเดิม เท่าที่จะเป็นไปได้

คราวนี้ ทีมออกแบบ จะต้องพยายามนำ Theme การออกแบบใหม่ล่าสุดมา
ประยุกต์เข้ากับ Note ประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนรูปแบบของกระจังหน้า
ให้มาเป็นแบบ V-Motion เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Nissan รุ่นอื่น
ที่กำลังทะยอยเปิดตัวในช่วงปี 2015 – 2020 ขณะเดียวกัน จะต้องอัพเกรด
คุณภาพวัสดุ โทนสี รวมทั้งเพื่อความปราดเปรียว และโฉบเฉี่ยวของเส้นสาย
จากเดิม ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

2017_Nissan_Note

ในที่สุด Nissan ก็เปิดตัว Note Minorchange ในตลาดญี่ปุ่น สดๆร้อน เมื่อ
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2016 โดยเน้นไปที่การทำตลาดรุ่น e-Power Hybrid
ซึ่งถือเป็นการอุดช่องว่างทางการตลาดของตนเอง ที่เปิดโล่งโจ้งไว้มานาน
จนทำให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น พากันเมินหนีจากรถเล็กของ Nissan มานานแล้ว

ส่วนรุ่น Nismo และ Nismo S ก็ถูกปรับโฉมตามมาเมื่อ 8 ธันวาคม 2016
โดยคราวนี้ มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Nismo e-Power คือการนำรุ่น Hybrid
ไปตกแต่งปรับปรุงช่วงล่าง และชุดแต่งรอบคันตามสไตล์เดียวกับทั้งรุ่น
Note Nismo และ Note Nismo S ออกขายพร้อมกันรวม 3 รุ่นย่อย ส่วน
รายละเอียด คลิกอ่านได้ ที่นี่ (CLICK HERE)

ขณะเดียวกัน เวอร์ชันอเมริกาเหนือ ก็เปิดตัวในงาน Detroit Auto Show
เมื่อต้นเดือนมกราคม 2017 ที่ผ่านมา สดๆร้อน โดยเป็นเพียงแค่การปรับ
เปลี่ยนกระจังหน้า ชุดไฟหน้า ชุดเปลือกกันชนหน้า รวมทั้งแผงหน้าปัด
แบบใหม่ ยกยวง แต่รายละเอียดทางเทคนิค และอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงเป็น
เหมือนรุ่นเดิมก่อนหน้านี้

2017_03_Nissan_Note_03

สำหรับการเปิดตัวในประเทศไทย นั้นมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับบ้านเรา
จนถึงขั้นต้องขอบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ พงศาวดารอุตสาหกรรม
ยานยนต์เมืองไทย เอาไว้สักหน่อย

ขอย้ำเอาไว้ตรงนี้ อย่างหนักว่า การกล่าวถึงเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่การบันทึก
ความทรงจำเอาไว้ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเป็นอื่นไปจากนี้ อย่าตีความผิดๆ!

ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2016 Nissan Motor Thailand มีปัญหารุมเร้า
จากการที่ ดีลเลอร์หน้าใหม่รายหนึ่ง (ชื่อ ส.เสือ) สั่งรถใหม่จากโรงงานมา
(ด้วยการกู้เงินไปซื้อรถใหม่เหล่านี้) แล้วหมุนเงินไม่ทัน จนต้องหาเงินด้วย
วิธี เอารถใหม่เหล่านี้ ไปทำเรื่องกู้เงินซ้ำซ้อนที่สถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่ง
หรือเรียกว่า การทำ Double Finance จนเกิดปัญหา ต้องปิดตัว และทิ้งหนี้
เอาไว้ก้อนใหญ่ กับรถใหม่อีกจำนวนหลายร้อยคัน

อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ชาวญี่ปุ่นคนล่าสุด พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว
แต่สำนักงานใหญ่ที่ Yokohama ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา จนทำให้เขา
ต้องลาออกไปพร้อมกับผู้บริหาร Nissan Leasing คนล่าสุด ด้วย

Mr. Antoine Barthes ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ
Nissan ในกรุง Budapest ประเทศ Hungary ซึ่งบินมารับตำแหน่งกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ แทนคนเก่า เมื่อ 28 ตุลาคม 2016 จึงเข้ามาสะสางปัญหาต่างๆ
รวมทั้งเรื่องยอดขายของบริษัทที่ไม่เติบโต แถมยังจะลดลงอย่างต่อเนื่องเสีย
ด้วยซ้ำ

หนึ่งในประเด็นที่เขาครุ่นคิดก็คือ ทำอย่างไร ให้ยอดขาย Nissan ก่อนปิดปี
งบประมาณ (Fisical Year) ในวันที่ 31 มีนาคม 2017 นี้ มีตัวเลขการเติบโต
ที่สวยงามอร่ามหรูให้บรรดา ผู้บริหาร ณ สำนักงานใหญ่ที่ Yokohama ได้
เห็นผลงาน

ขณะนั้น Nissan มีกำหนดเตรียมเปิดตัว Note ในบ้านเรา เดือนมีนาคม 2017
ทว่า อองตวน ผู้มาใหม่ เห็นวี่แววแล้วว่า ขืนรอให้ Note ไปเปิดตัวในช่วงนั้น
คงไม่ทันการณ์ เลยตัดสินใจ เร่งการเปิดตัวให้เร็วขึ้นเป็น 17 มกราคม 2017
ซึ่ง…เร็วกว่ากำหนดการเดิมถึง 2 เดือน!!

แทบทุกคนใน Nissan ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเจ้า Note น้อยคันนี้ ตั้งแต่ระดับ
บน จนถึงระดับล่าง ถึงขั้นกรีดร้อง “พร้อมกัน” และ “ดังลั่นระงมไปทั่ว” ว่า

“ห๊าาาาาาาาา จะบ้าเหรออออออออ!!! แค่นี้ก็ทำงานกันจะไม่ทันอยู่แล้ว
นี่ยัง
จะเร่งเปิดตัวก่อนผลิตขายจริงตั้ง 2 เดือน แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหน
ไปเตรียมงานให้ทัน
หืมมมม พ่อคู้นนน?”

2017_03_Nissan_Note_04

ในเมื่อ นายใหม่ ยังคงยืนกรานว่า “ฉันจะเอาตามเนี้ย! พวกยูต้องทำให้ได้!”
การเร่งเตรียมงานก็เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก ในช่วงตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน
เป็นต้นมา ฝ่ายโรงงาน และฝ่ายวางแผนการผลิต ยังคงทำงานต่อไปตาม
กำหนดการเดิม คือ เตรียมการผลิต และปล่อยรถส่งไปตามโชว์รูมภายใน
วันที่ 17 มีนาคม 2017 (ที่ผ่านมา)

ขณะเดียวกัน ทีมงานการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ แทบต้อง เอา
งานทั้งหมดที่วางแผนไว้ว่าจะทำในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม รวบมาทำ
ให้เสร็จ ตั้งแต่จบงาน Motor Expo ต้นเดือนธันวาคม 2016 ต่อเนื่องถึง
กลางเดือน มกราคม 2017 กันเลย แถมยังต้องเตรียมแผน สร้างกระแสให้
Note น้อยอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวอีก ถึง 2 เดือนเต็มๆ เพิ่มเข้ามา
ด้วยอีกต่างหาก!

Note คันน้อยๆ ทั้ง 11 คัน ถูกจัดเตรียมโดยทีมวิศวกร และทีม R&D เพื่อให้
ทันการจัดแสดงในงานเปิดตัวที่ “เมืองไทย Life House” ชั้น 8 ศูนย์การค้า
Central World ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2017

เมื่องานเปิดตัวได้ผ่านพ้นไปด้วยดี Nissan ก็เริ่มส่ง Note น้อยๆ 10 กว่าคันนี้
ไปเปิดตัวตามโชว์รูมในหัวเมืองใหญ่ หลายต่างจังหวัด เพื่อสร้างกระแสความ
สนใจให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แถมยังออกแคมเปญพิเศษ ให้ส่วนลดกับกลุ่ม
ลูกค้า Nissan เดิม 20,000 บาท กับดอกเบี้ยเงินผ่อนอัตราพิเศษ จนถึงกลาง
เดือนมีนาคม 2017 หวังกระตุ้นยอดจองให้ไหลเข้ามามากๆ

อย่างไรก็ตาม ผลจากการทำงานหนัก ของทุกๆฝ่าย ใน Nissan กลับ
ไม่ได้ส่งผลดีมากนัก ยอดจองยังคงน้อยอยู่ เนื่องจาก เหตุผลดังนี้

1. ตลาดรถยนต์ B-Segment 1.5 ลิตร และ B-Segment ECO Car 1.2
ลิตร มันฟุบและนอนหลับยาวๆ มาตั้งแต่ หลังจบสิ้นโครงการรถคันแรก
ของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว คนไทยแห่กันซื้อรถเล็กในช่วงนั้น
จนกำลังซื้อ ล่วงหน้า 3-4 ปี มากระจุกตัวรวมกันในปี 2012 จนเกลี้ยง
ไปหมดแล้ว

2. แม้รัฐบาลลุงตู่จะออกมาบอกว่าเศรษฐกิจไทย แข็งแกร่ง เติบโตขึ้น
แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงแค่ในบางภาคธุรกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงต้อง
ประสบปัญหาด้านการเงิน ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด พวกเขาจึงยังไม่
คิดจะเปลี่ยนรถคันใหม่มาตั้งแต่ช่วงปี 2013 – 2017 และมีแนวโน้มว่า
อาจจะลากยาวไปจนถึงปลายปี 2018 กลุ่มที่จำเป็นต้องซื้อ ก็จะยังคง
ซื้อรถกันต่อไป แต่กลุ่มลูกค้าประเภทฉาบฉวย ที่เกิดจากการเข้าใช้
สิทธิ์โครงการรถคันแรก ต่างก็ยังไม่คิดจะซื้อรถใหม่กันอีกนาน

3. พฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยก็คือ ในวันเปิดตัว ลูกค้าต้องเห็น
รถคันจริง ที่โชว์รูม ใกล้บ้าน หรือจาการออกบูธของดีลเลอร์ในห้าง
สรรพสินค้าต่างๆ ไม่ใช่แค่เห็นในโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต หรือโฆษณา
สิ่งพิมพ์อื่นๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นรถคันจริง จะไม่ยอมจองซื้อรถ
จนกว่าพวกเขาจะได้สัมผัสรูปคลำรถคันจริง นั่นหมายความว่า ต่อให้
คุณไม่พร้อมจะผลิตรถส่งมอบลูกค้าในวันเปิดตัว แต่คุณต้องมีรถ
ไว้จัดแสดงตามโชว์รูมต่างๆ อย่างน้อย 1 คัน และรถทดลองขับอีก
1 คัน

4. ถ้าจะเปิดตัว แต่ไม่พร้อมส่งมอบ ก็ควรเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์
งานใดสักงานก่อน เพื่อให้ลูกค้าต่างจังหวัด เดินทางมาดูรถที่งานได้
สะดวกๆ หาไม่แล้วอย่าหวังว่าคุณจะดึงเงินออกจากกระเป๋าพวกเขา
ได้เลย ลูกค้าคนไทยไม่ได้เหมือนกับลูกค้าชาวต่างชาติ ที่จะรอรถรุ่น
ใหม่ได้หลายๆเดือนเหมือนในอดีตอีกต่อไป ถ้าเขาอยากจ่ายเงิน เขา
ต้องได้รถทันที และต้องเป็นเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เท่านั้น และเท่านั้น!!

5. จากข้อ 4 ในเมื่อลูกค้าจำนวนมาก ทั่วประเทศ ยังไม่เห็นรถคันจริง
ต่อให้ จัดรถต้นแบบ 10 กว่าคัน ตระเวณไปโชว์ตัวตามดีลเลอร์ใน
ต่างจังหวัด ก็มักเป็นเวลาที่ลูกค้า ทำงานทำการทำมาหากินอยู่ จึง
มีคนมาดูรถกันไม่เยอะนัก เป็นเรื่องปกติ ต้องทำใจ เว้นเสียแต่ว่าจะ
ไป Deal เช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้า ขนาดใหญ่ตามต่างจังหวัด
เอารถไปจอดโชว์ช่วงวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์ หรือหน้าศาลากลาง
จังหวัด ก็ยังพอจะเรียกลูกค้าเข้ามาดูรถได้มากกว่านี้

การเปิดตัว Note แล้ว กระแสยังเงียบอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าตัวรถมันไม่ดี
เพราะตัวรถหนะ มันโอเคในแบบของมันอยู่
หากแต่ เป็นผลมาจาก
การเร่งเปิดตัวจนเกินไป ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะเริ่ม
ส่งมอบรถให้ลูกค้า
เลย
ต่างหาก!

นี่เป็นสิ่งที่ คุณอองตวน จะต้องเรียนรู้เอาไว้ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์
แบบนี้อีกในอนาคต

จบการบันทึกพงศาวดารหน้าหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเท่านี้!

2017_03_Nissan_Note_05

Note ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,105 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง
1,535 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ถือว่า มีความยาวฐานล้อ
มากที่สุดในบรรดา รถเก๋ง B-Segment Hatchback ด้วยกัน แทบทุกรุ่น
ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง อยู่ที่ 1,480 และ 1,485 มิลลิเมตร ส่วน
ระยะห่างจากพื้นถนนถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 155 มิลลิเมตร
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 41 ลิตร น้ำหนักตัวรุ่น V 1,049 กิโลกรัม และ
รุ่น VL 1,061 กิโลกรัม

รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงไม่แตกต่างไปจาก Note รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวใน
ญี่ปุ่น มาตั้งแต่ ปี 2012 คือเป็นรถยนต์ Hatchback 5 ประตู ที่มีด้านหน้า
ของตัวรถ สั้น และลากยาวต่อเนื่องขึ้นไปถึงหลังคา ในแบบที่เรียกกันว่า
One-Motion Form ในสไตล์เดียวกับ Honda Fit Jazz

กระจังหน้าโครเมียม ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่น (รุ่นที่ไม่ใช่ e-Power)
เป๊ะๆ เปลือกกันชนหน้า-หลังสีเดียวกับตัวรถ รุ่น 1.2 V ติดตั้งโคมไฟหน้า
Projector ใช้หลอด Halogen ปรับระดับสูง – ต่ำได้ แต่รุ่น 1.2 VL จะถูก
Upgrade เป็น โคมไฟหน้า Projector แบบ LED พร้อม Signature light

เปลือกกันชนหน้า มีแถบโครเมียม ขนาบข้างช่องใส่ป้ายทะเบียนด้านหน้า
เสริมบุคลิกให้ดู Premium ขึ้นนิดๆ เฉพาะรุ่น 1.2 VL จะเพิ่มไฟตัดหมอก
คู่หน้ามาให้อย่างในภาพข้างบนนี้

กระจกมองข้าง มีกรอบนอก พ่นสีเดียวกับตัวถัง ติดตั้งไฟเลี้ยว พร้อมระบบ
ปรับและพับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า มาให้ทั้ง 2 รุ่นย่อย ส่วนมือจับประตูด้านนอก
รุ่น 1.2 VL เป็นแบบโครเมียม

2017_03_Nissan_Note_06

บั้นท้ายออกแบบให้ดูสวยงามและลงตัว มีระบบไล่ฝ้ากระจกหลังแบบตั้ง
เวลาปิดได้ พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง และใบปัดน้ำฝนด้านหลัง
แบบตั้งหน่วงเวลาได้ เฉพาะรุ่น 1.2 VL จะเพิ่มสปอยเลอร์ด้านหลัง เหนือ
ฝาประตูห้องเก็บของ มาให้ ส่วนเสาอากาศวิทยุ เป็นแบบหางหนูเล็กๆ
พับเก็บได้ อยู่บนหลังคา ตรงกลาง ค่อนมาทางด้านหลังรถ

ชุดไฟท้ายเป็นแบบ Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED ติดตั้งให้
ครบทุกรุ่นย่อย เปลือกกันชนท้าย ออกแบบให้มีแผงทับทิมสะท้อนแสง
เพื่อให้รถคันที่แล่นตามมา มองเห็นในยามค่ำคืน

ทุกรุ่น สวมล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ลายเดียวกันกับ Almera ไมมีผิดเพี้ยน
พร้อมยางขนาด Dunlop Enesave ขนาด 195/55R15 ซึ่งต้องทำใจสักนิด
เวลาสาดโค้ง เพราะมันเป็นยางที่ไม่ได้ออกแบบมาใหคุณเล่นบทโหดเลย

2017_03_Nissan_Note_Interior_01

การเปิดประตูเข้าออกจากรถ ทั้งรุ่น 1.2 V และ 1.2 VL จะใช้กุญแจรีโมท
คอนโทรล Intelligent Key ทรงเมล็ดข้าวสาร เหมือนกับที่ใช้ในรถรุ่นอื่นๆ
ของ Nissan ตั้งแต่ March ยัน 370Z แต่ Note จะมีสวิชต์ปลด และสั่งล็อก
แยกจากกัน เพียง 2 ปุ่มเท่านั้น ไม่เหมือน March ซึ่งมีปุ่มแตรร้องส่งเสียง
ขอความช่วยเหลือแถมมาให้แต่แรก และไม่มีสวิตช์เปิดฝาท้ายมาให้แบบ
รุ่น Almera

ตัวรีโมทฝังกุญแจขนาดเล็กในตัว และมีสวิชต์สีดำบนมือจับประตู สำหรับ
กดสั่งปลดหรือล็อกรถได้พร้อมกันทั้ง 4 บาน (ระบบเซ็นทรัลล็อก) นั่นเอง
ส่วนมือจับประตู ของทั้ง 2 รุ่นย่อย เป็นพลาสติกชุบโครเมียม ทั้งหมด

2017_03_Nissan_Note_Interior_02

การเข้าออก จากบานประตูคู่หน้าทำได้ดีมาก เช่นเดียวกันกับ Honda Jazz
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น ต่อให้คุณจะมีร่างสูงใหญ่
เท่าช้างน้ำตอนเพิ่งกินข้าวขาหมูไปสัก 30 กิโลกรัม แบบพี่แพน ของเว็บเรา
(150 กิโลกรัม) ก็ยังมุดเข้า – ลุกออกจากเบาะคนขับ Note ได้สบายมากๆ
แต่มีข้อแม้ว่า คุณควรปรับตำแหน่งเบาะนั่งจนต่ำสุด เพราะถ้าไม่เช่นนั้น
ก็ยังพอมีโอกาสที่ศีรษะจะไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า ได้อยู่บ้างเหมือนกัน

แผงประตูด้านข้าง เป็นพลาสติกสีดำ บุข้างด้วยผ้าแบบละเอียดเกือบสาก
โทนสีเบจ มือจับประตูแบบพลาสติกชุบโครเมียม เหมือนยกมาจาก 370Z ,
March ,Cube และ Almera  เป๊ะ!

พนักวางแขน พร้อมช่องมือจับประตู ออกแบบมาให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
วางแขนได้พอดี ถ้าปรับเบาะนั่งลงไปต่ำสุด ถัดลงไปด้านล่าง เป็นช่องวาง
ขวดน้ำขนาด 7 บาท กับสมุดโน็ต ได้อีก 1 เล่ม

2017_03_Nissan_Note_Interior_03

เบาะนั่งคู่หน้า ของ Note เวอร์ชันไทย ยกชุดมาจาก March และ Almera
ทั้งดุ้น ไม่ต้องคิดออกแบบกันใหม่ ให้มากมายและวุ่นวายด้านการจัดการ
ต้นทุน ทั้งการออกแบบและการผลิต แม้แต่คันโยกปรับพนักพิงให้เอนหลัง
ซึ่งติดตั้งอยู่ลึกมากจนใกล้กับจุดหมุนของพนักพิงหลัง ราวกับรถยุโรป และ
คันโยกปรับระดับสูงต่ำของเบาะคนขับ ก็ยังถอดยกชุดสลับสับเปลี่ยนกับทั้ง
March และ Almera ได้เลย

ดังนั้น มันจึงให้สัมผัสในการนั่งเหมือนกับเบาะนั่งคู่หน้าของ March และ
Almera ราวกับจับชุดเบาะยกขึ้นถ่ายเอกสาร Xerox กันมาเลย

ผ้าหุ้มเบาะ ของทั้ง 2 รุ่น จะเป็นสีดำ มีแถบข้างเป็นสีเบจ Tricot เนื้อผ้า
ให้สัมผัสที่ไม่สาก แต่ก็ไม่เนียนนุ่มผิวมือนัก เพดานหลังคาจะเป็นสีเบจ

พนักพิงหลังมีส่วนรองรับช่วงหัวไหล่ เอว ในระดับหนึ่ง แต่ไม่มากนัก ชุด
ฟองน้ำในตัวโครงเบาะ ค่อนข้างแน่นแต่บางมีปีกข้างเสริมขึ้นมาให้นิดนึง
เพื่อรองรับสรีระด้านข้างของคนตัวผอม เอาเข้าจริงก็รั้งร่างไว้ได้ไม่มากนัก

ส่วนเบาะรองนั่ง ยังคงนิ่มกำลังดี แต่สั้นไปหน่อย ขณะที่พนักศีรษะขนาด
ใหญ่ปรับสูง – ต่ำได้ ต้องยกขึ้น 1-2 จังหวะ จึงจะใช้งานได้ดี

อย่างไรก็ตาม ผ้าหุ้มเบาะ ของ Note จะแตกต่างจาก สองพี่น้องคู่หู เล็กน้อย
ด้วยผ้าแบบเรียบ สีดำ ซึ่งขลิบด้านข้างด้วยผ้าสีเงิน มาประดับบริเวณปีกข้าง
ของทั้งพนักพิงหลัง และเบาะรองนั่ง และแค่นั้น!

อุปกรณ์ที่ถูกเติมเต็มเข้ามาใน Note ที่ผมยินดีปรีดามากๆ คือ เข็มขัดนิรภัย
ELR 3 จุด แบบปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ เพราะอย่าหวังจะหาของแบบนี้ จาก
March กับ Almera เวอร์ชันไทยเลย เพราะเขาไม่ติดตั้งมาให้

พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนขับและผู้โดยสารคู่หน้า เมื่อปรับเบาะลงสุดแล้ว
สามารถสอดมือเข้าไปกางออกมาได้ 9 นิ้วในแนวนอน

2017_03_Nissan_Note_Interior_04

จุดเด่นของ Note อยู่ที่บานประตูคู่หลังสามารถเปิดกางออกได้ 85 องศา
หรือเกือบตั้งฉากรวมทั้งช่องประตูขนาดใหญ่ ทำให้การเข้า-ออกจากบาน
ประตูคู่หลัง สบายมากที่สุดในบรรดารถยนต์กลุ่ม B-Segment และ ECO
Car Hatchback ด้วยกัน โดยเฉพาะการกวัดขา เข้า – ออก เป็นไปด้วย
ความง่ายดายจนต้องขอชมเชย

แผงประตูคู่หลังออกแบบมาเหมือนแผงประตูคู่หน้า มีมือจับพลาสติกชุบ
โครเมียมมาให้ และบุแผงข้างสีดำ ด้วยผ้าสีเงินเหมือนกัน อีกทั้งพนักวาง
แขนบนแผงประตู ยังวางได้พอดีเป๊ะอีกต่างหาก กระจกหน้าต่างก็เลื่อน
ลงได้จนสุดขอบราง และมีช่องใส่ขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาทไว้ให้อีก ฝั่งละ
1 ตำแหน่งอีกด้วย

มือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศาสดา) มีมาให้ทั้งหมด แค่ 3 ชิ้น เหนือบานประตู
ฝั่งผู้โดยสาร ทั้งหมด

2017_03_Nissan_Note_Interior_05

เบาะหลัง มีพนักพิงหลังที่เรียบแปร้ ไม่มีโค้งเว้าใดๆให้สัมผัสกับแผ่นหลังเลย
ฟองน้ำ ออกแนวนิ่ม ไม่มีพนักวางแขนพับเก็บได้มาให้ มีมุมองศาการเอียง ที่
แทบจะใกล้เคียงกับการปรับเอนนอนอยู่รอมร่อ แต่ไม่สามารถปรับระดับความ
เอียงเพื่อล็อกตำแหน่งตามใจชอบได้

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ยอมให้พนักวางแขนแบบพับเก็บได้มาใน
รุ่น Top 1.2 VL ทั้งที่ไม่น่าจะกระเทือนต่อต้นทุนมากมายนัก อีกทั้งในตลาด
ต่างประเทศ มีออพชันนี้มาให้ลูกค้าเลือกกันอยู่แล้ว

พนักศีรษะด้านหลัง เป็นรูปตัว L คว่ำ ตามสมัยนิยม ฟองน้ำด้านในนิ่มจนแน่น
ไปนิด ขอบด้านล่างยังคงทิ้มตำต้นคอ แม้จะยกขึ้นใช้งานแล้วก็ตาม เพราะมี
ตำแหน่งล็อกเพียงคลิกเดียว

เบาะรองนั่งมีขนาดค่อนข้างสั้นเอาเรื่อง แถมมาในสไตล์เดียวกับ Sylphy และ
Pulsar คือ ขอบเบาะฝั่งใกล้บานประตู ทั้ง 2 ฝั้ง ถูกปาดออกนิดๆ และฟองน้ำ
บริเวณดังกล่าว ก็เสริมมาเบาบางมาก ช่วยไม่ได้ครับ ทีมออกแบบต้องการ
อวดว่ามีพื้นที่วางขา Legroom มากมายก่ายกอง ถึงขั้นที่คนตัวใหญ่อย่างผม
นั่งไขว่ห้างได้เหลือเฟือ เท่าๆกับ Nissan TIIDA ซึ่งก็ทำได้จริง

ผมอยากได้เบาะรองนั่งที่ยาวขึ้นอีกนิด และมีมุมเงยสูงขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้นั่ง
โดยสารทางไกลๆ ได้สบายกว่านี้

พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับคนตัวสูง 170 เซ็นติเมตรอย่างผม ยังเหลือมากถึงราวๆ
1 ฝ่ามือแนวนอนเลยละ!! ดังนั้นตัวคุณต้องสูงเกิน 190 เซ็นตืเมตรขึ้นไป หัวถึง
จะชนเพดานหลังคา

เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุดทั้ง 3 ตำแหน่ง
แถมมีช่องเสียบเก็บหัวเข็มขัดอยู่ที่ขอบชิ้นพลาสติกบุผนังแถว เสาหลังคาคู่
C-Pillar อีกด้วย!

หากเป็นรุ่น 1.2 V พนักพิงเบาะหลังจะพับลงมาได้ทั้งแผ่น แต่ไม่สามารถแบ่งพับ
แบบ 60 : 40 ได้เหมือนรุ่น 1.2 VL

2017_03_Nissan_Note_Interior_06

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดยกขึ้นด้วยระบบกลอนกลไก ค้ำยัน
ด้วยช็อกอัพไฮโดรลิก 2 ต้น ซึ่งดูแล้ตัวช็อกอัพแอบบอบบางนิดๆอยู่บ้าง

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดใหญ่ จุได้ถึง 195 – 325 ลิตร (แต่
ถ้าเป็นเวอร์ชันยุโรป ซึ่งสามารถเลื่อนเบาะแถวกลาง ขึ้นหน้า – ถอยหลัง
ได้นั้น จะเพิ่มเป็น 411 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี) ถึงแม้ว่าจะเพิ่ม
พื้นที่วางสัมภาระด้านหลัง ด้วยการพับเบาะได้แล้ว ทว่า พื้นห้องเก็บของ
กับด้านหลังของเบาะแถวหลัง ยังไม่สามารถพับแบนราบเรียบต่อเนื่องกัน
เป็นแบบ Flat Floor ได้ อยู่ดี ส่วนหนึ่งเพราะไม่มี แผง Flexiboard ที่วาง
เพิ่มขึ้นมาให้ เหมือนเวอร์ชันยุโรป

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบหลุมวางยางอะไหล่ พร้อมโฟมใส่ชุด
เครื่องมือประจำรถ ทั้งแม่แรง และประแจถอดน็อตล้อ วางพร้อมเสร็จสรรพ

2017_03_Nissan_Note_Interior_07

แผงหน้าปัด ยกชุดมาจาก Note เวอร์ชันญี่ปุ่น รุ่นเดิม แต่เพิ่มแผงประดับ
Trim ตรงกลาง เป็นแบบ Piano Black ตามสมัยนิยม แต่ไม่มีการพ่นสี
ขอบด้านข้างเป็นสีเงิน หรือสีทอง แบบเวอร์ชันญี่ปุ่น ช่องแอร์ เป็นแบบ
วงกลม ยกชุดมาจาก March และ Almera แต่สามารถปรับหมุนได้รอบ
360 องศา ทั้ง 4 ตำแหน่ง

ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปใช้ช่องแอร์แบบสี่เหลี่ยม พร้อมกับแผง
ควบคุมกลาง ของ Note เวอร์ชันอเมริกาเหนือ (Versa Note) แทน เพราะ
ช่องแอร์แบบนั้นมันลงตัวและดูดีกว่าช่องแอร์แบบวงกลมคู่กลาง มากๆ

มองขึ้นไปด้านบน จะพบแผงบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิด
ให้มาครบทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่มีไฟแต่งหน้าแถมมาด้วย ต้องพึ่งพาไฟส่อง
สว่างภายในห้องโดยสาร ทั้ง 2 จุด คือระหว่างแผงบังแดด และกลาง
เพดานหลังคา ชุดไฟที่ว่านี้ ก็ยกชุดมาจาก Almera นั่นละ! น่าเสียดาย
ที่ไม่สามารถแยกฝั่งซ้าย – ขวา ได้ แบบ March อีกทั้งแสงจากไฟทั้ง
2 จุดนี้ ยังค่อนข้างสว่างไม่พอในยามค่ำคืนอีกด้วย

2017_03_Nissan_Note_Interior_08

จากขวา มาทางซ้าย

สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า มีมาให้ครบทั้ง 4 บาน มีเฉพาะบานคนขับ ที่จะเป็นแบบ
Auto One-Touch กดขึ้น – ลง ได้จนสุดเพียงครั้งเดียว ตามธรรมเนียม มาพร้อมสวิตช์
ล็อกไม่ให้เปิดกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทั้ง 3 บานที่เหลือ และสวิตช์ของระบบล็อก
และปลดล็อกบานประตูด้วยไฟฟ้า Central Lock ส่วน มือเปิดประตู ทำจากพลาสติก
ชุบโครเมียม ยกมาจาก FairladyZ (370Z) , และ Cube เหมือนรุ่นก่อน

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านคนขับ เป็นสถานที่สิงสถิตของสารพัดสวิตช์ระบบต่างๆ มีทั้ง
สวิตช์เปิด – ปิด ระบบดับและติดเครื่องยนต์เองอัตโนมัติขณะรถติด Auto-Start Stop
สวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า สวิตช์เปิด – ปิดระบบช่วยเตือนก่อนเกิด
การชนด้านหน้ารถ Intelligent Forward Collision Warning แถวถัดลงมาเป็นสวิตช์
เปิด – ปิด ระบบควบคุมเสถียรภาพ Vehicle Dynamic Control สวิตช์ปรับระดับชุด
ไฟหน้า และสวิตช์ เปิด-ปิด ระบบ เตือนเมื่อรถออกนอกเลนถนน Lane Departure
Warning  ถัดลงไปเป็น คันโยกสำหรับดึงฝากระโปรงหน้า และฝาถังน้ำมัน ติดตั้ง
ไว้ใต้แผงสวิตช์

ใต้คอพวงมาลัย มีช่องวางของแนวยาวขนาดพอเหมาะ ไว้ซ่อนสิ่งของขนาดเล็ก
ไว้ใช้งานในยามจำเป็น แต่ใหญ่ไม่พอจะวางปืนพกนะครับ บอกไว้ก่อน และถ้า
ไม่จำเป็นจริงๆ อย่าวางของไว้ตรงนั้นเลย เพราะถ้าหล่นลงมาระหว่างขับรถแล้ว
สิ่งของนั้น ดันไปขัดอยู่ใต้แป้นเบรก หรือคันเร่ง อาจก่ออันตรายเกิดขึ้นได้

ก้านสวิตช์ฝั่งขวา ควบคุมชุดไฟหน้า ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกตามปกติ
แต่ไม่มีระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (ไฟหน้า Auto) มาให้ ส่วนก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย
ยังคงควบคุมใบปัดน้ำฝนพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังรถ
ตามเดิม แต่ สามารถตั้งเวลาหน่วงได้

พวงมาลัยยกชุดมาจาก Note เวอร์ชันญี่ปุ่น มีขนาดใหญ่ขึ้น อ้วนขึ้น กระชับมือ
ของผู้ชายมากขึ้น หน้าตาคล้ายกับพวงมาลัยของรถสปอร์ต Nissan GT-R 2017
แป้นแตรพร้อมถุงลมนิรภัยอยู่ตรงกลาง เป็นทรงวงกลมกึ่งหยดน้ำ ประดับด้วย
แถบอะลูมีเนียม ที่ก้านพวงมาลัยทั้ง 3 ตำแหน่ง ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ รวมทั้ง
บริเวณก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย มีสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียงและโทรศัพท์มาให้

2017_03_Nissan_Note_Interior_09

ชุดมาตรวัดเป็นแบบ Fine Vision Meter 2 วงกลม เรืองแสงสีขาว ซึ่งก็ยกชุด
มาจาก Almera ทั้งดุ้นอีกเช่นเคย แต่กลับไม่ประดับกรอบวงกลมด้วย Trim
พลาสติกชุบโครเมียม อย่างที่มีมาให้ใน Almera รุ่น Top

ตัวเลขยังคงใช้ Font แบบ Open Font ในการแสดงผล ให้อ่านง่าย แม้จะใช้
ความเร็วสูงอยู่ ตรงกลางเป็นจอแสดงข้อมูล Multi Informtion Display ซึ่ง
แจ้งข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย มาตรวัดระยะทางรวม Odo Meter และ Trip
Meter A กับ B มาตรวัดน้ำมัน มาตรวัดอุณหภูมิระบบหล่อเย็น  นาฬิกา และ
ไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ฯลฯ

สามารถปรับความสว่างได้จากก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย หรือจะเปลี่ยนเมนูบนจอ ก็
ให้กดก้านสวิตช์ฝั่งขวา รูปสี่เหลี่ยมซ้อน ในภาพ

น่าเสียดายที่ลูกค้าชาวไทย ไม่ได้สัมผัสกับชุดมาตรวัดแบบ 3 วงกลมซ้อน
พร้อมจอแสดงข้อมูลแบบกราฟิฟิคสวยงาม จากเวอร์ชันญี่ปุ่น

2017_03_Nissan_Note_Interior_10

จากซ้าย มาทั้งขวา ช่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มีให้
เลือกใช้ได้ถึง 2 ตำแหน่ง ทั้งด้านบนื สำหรับวางข้าวของจุกจิกทั่วไป ซึ่งมี
ขนาดเล็ก และช่องด้านล่าง Glove Compartment ที่ใหญ่ และลึกมากกก
จนแทบจะซ่อนซากศพบรรดาแมวเหมียวปากหมา ที่มันพากันร้องเมี๊ยวๆๆๆ
หง่าวๆ แว๊ววววๆๆๆๆๆ แงร๊ววววว!!!!!! จ้องจะฟัดกันบนหลังคาโรงรถบ้านผม
ยามวิกาล ตี 5 ในตอนนี้

สวิตช์ไฟฉุกเฉิน ติดตั้งตรงกลางระหว่างช่องแอร์คู่กลาง เป็นตำแหน่งที่ง่าย
ต่อการกดปุ่มใช้งาน ในกรณีฉุกเฉิน

ชุดเครื่องเสียง ในรุ่น 1.2 V เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเคื่องเล่น CD/MP3
ขนาด 2 DIN หน้าจอสี 5 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ AUX และ USB ลำโพง
4 ตำแหน่ง คล้ายๆกับ จะพบได้ใน Nissan Sylphy / Pulsar 1.6 ลิตร กับ
Navara รุ่นกลางๆ เสียงเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ

แต่สำหรับรุ่น 1.2 VL อยากรู้มากเลย ใครอุตริเอาวิทยุ KENWOOD รุ่นที่
หน้าตาเหมือนเครื่องเสียงแถวบ้านหม้อ มาติดให้เนี่ย? เป็นวิทยุ AM/FM
พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 มีหน้าจอ LED สี แบบ Touch Screen 7 นิ้ว
(ซึ่งเราควรเรียกมันว่า หน้าจอ “จิก Screen” มากกว่า ต้องจิกนิ้วลงไป จึง
จะใช้งานได้ดี มีช่องเชื่อมต่อ USB AV-in กับ HDMI รองรับระบบเชื่อม
โทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Bluetooth ลำโพง 4 ตำแหน่ง พร้อมรีโมท

คุณภาพเสียง ต่อให้คุณนำ CD ระดับ High-Quality แค่ไหนมาฟังก็ตาม
คุณก็จะได้รับอรรถรส ในแบบเดียวกับ เสียงจากเครื่องเล่นเทป Cassette!
นี่ขนาดว่า ปรับ Equalizer ได้เยอะแล้วนะ แต่ช่วยไม่ได้ครับ ดอกลำโพง
มันเล็กและบี้แบนขนาดนั้น อย่าไปหวังคุณภาพเสียงที่ดีเด่กับเขาเลย แค่
พอฟังข่าว ฟังวิทยุ เสียบมือถือ ฟังเพลง โทรศัพท์ได้ ก็บุญโขแล้ว!

เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ (แอร์ Auto) พร้อมหน้าจอ Digital เป็นแบบ
Chacoal Donut หน้าตาเห็นได้ชัดเลยว่า ยกชุดมาจาก Cube , Almera และ
March รุ่นปัจจุบันนั่นแหละ ยังคงเย็นเร็วใช้ได้ เมื่อเทียบกับสภาพอากาศร้อน
ในบ้านเรา

ถัดลงไปเป็นช่องใส่ของจุกจิก และช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พอให้วางแก้ว
กาแฟ Starbuck ได้ แต่ถ้าวางขวดน้ำ 7 บาทแล้ว อาจดิ้นไปมาและหล่นลงไป
อยู่บนพื้นรถได้

2017_03_Nissan_Note_Interior_11

ฐานรองคันเกียร์ ปรับปรุงใหม่จาก Almera และ March ซึ่งเดิมที เป็นสีดำ
มาคราวนี้ เมื่อมาอยู่ใน Note ใหม่ ก็ต้องพ่นสีเงิน ให้ดูดีขึ้นนิดๆ แตกต่าง
จากพี่น้องร่วมตระกูลหน่อยๆ

ด้านข้างลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ไม่มีพนักวางแขนมาให้ ซึ่งน่าจะ
ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ได้แล้ว มีเพียงถาดวางของอเนกประสงค์
ซึ่งมีขนาดใหญ่พอให้วางก้องถ่ายรูป หรือกล่อง CD เพลง ได้ราวๆ 10 กล่อง
มีช่องใส่ปากกา หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างลำตัว ข้างเบรกมือแบบปกติ
ส่วนช่องวงกลมที่เห็นปิดรูไว้นั้น ในญี่ปุ่น เป็นช่องติดตั้งสวิตช์ EV สำหรับ
Note e-Power Hybrid บ้านเราพอไม่มีขาย ก็เลยอุดปิดช่องนี้ไว้ซะ

2017_03_Nissan_Note_Visibility_1

ทัศนวิสัยด้านหน้า มาในสไตล์เดียวกับ Honda Jazz คือเป็นเรื่องธรรมดา
ของรถยนต์ที่มีเสาหลังคาคู่หน้า ยื่นล้ำไปทางด้านหน้าของตัวรถ มันอาจ
บดบังตำแหน่งการมองด้านข้าง ระหว่างที่คุณมองไปบนถนน หางตาคุณ
อาจรู้สึกแปลกๆ บางคนอาจไม่คุ้นชินกับการมีเสาค้ำหลังคา 2 ต้น มาตั้ง
ขวางหูขวางตา แถมยังมองไม่เห็นฝากระโปรงหน้าอีก ไม่แปลกครับ นี่มัน
เป็นสไตล์ของรถยนต์ที่มี Design กึ่ง Minivan แบบนี้นั่นแหละ

2017_03_Nissan_Note_Visibility_2

มองไปทางขวา เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวา ยังคงมีการบดบังยานพาหนะ และ
จักรยานยนต์ ที่แล่นสวนทางกันบนทางโค้งขวา ของถนนแบบสวนกันสองเลน
ช่องกระจกสามเหลี่ยม โอเปร่า เมื่อมองจากมุมนี้ จะเห็นว่า พื้นที่กระจกที่เรา
มองเห็นได้ น้อยกว่า Honda Jazz รุ่นล่าสุดอยู่เหมือนกัน

กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่กำลังเหมาะสม แต่กรอบกระจกด้านนอก
ก็ถูก พลาสติกด้านใน เบียดบังพื้นที่กรอบฝั่งขวา ไปบ้างพอสมควร

2017_03_Nissan_Note_Visibility_3

หันมาทางซ้าย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย มีขนาดกระจกโอเปรา
สามเหลี่ยม เล็กกว่า Honda Jazz รุ่นล่าสุด ชัดเจน แต่ช่วยไม่ได้ครับ ต้อง
มีขนาดเล็ก เพื่อสร้างความสมดุลย์ลงตัวในด้านรุปลักษณ์ของตัวรถ ทำให้
ยังแอบมีการบดบัง รถที่แล่นสวนทางมา ขณะเลี้ยวกลับรถใต้ทางรถไฟฟ้า
BTS ได้พอสมควร เหมือนกับ Jazz

กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ยังมีขนาดเหมาะสมกับตัวรถ และการมองเห็นของ
คนขับ แต่ถ้าปรับให้เห็นตัวถังรถด้านข้างน้อยๆ ขอบด้านในของเปลือกที่
ครอบกระจกมองข้าง จะยังคงเบียดบังพื้นที่ริมซ้ายของกระจกเข้ามานิดๆ
อยู่ดี ประเด็นนี้ เหมือนกับ Jazz เช่นกัน

2017_03_Nissan_Note_Visibility_4

ทัศนวิสัยจากด้านหลังรถ ค่อนข้างโปร่ง อันที่จริง ขนาดของกระจกบังลม
ด้านหลัง และกระจกหน้าต่างของบานประตูคู่หลัง ก็โปร่งพอกันกับ Jazz
แต่ การออกแบบให้กระจกโอเปร่า สามเหลี่ยม คู่หลัง มีขนาดใหญ่โตขึ้น
มากกว่า Jazz ก็ช่วยเพิ่มการมองเห็น และเพิ่มความโปร่งของภายในรถ
อีกเล็กน้อย ช่วยให้การกะระยะเวลาเปลี่ยนเลนเข้าช่องทางคู่ขนานดีขึ้น

2017_03_Nissan_Note_Safety_Feature

อย่างไรก็ตาม การทองเห็นจากสายตามนุษย์ อาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้คุณ
รอดพ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด ดังนั้น Nissan จึงติดตั้งสารพัดอุปกรณ์ด้าน
ความปลอดภัย มาให้กับ Note ใหม่ เฉพาะรุ่น 1.2 VL เต็มพิกัด หลายรายการ
ถือเป็นครั้งแรกในการนำระบบนั้นๆ มาติดตั้งให้กับรถยนต์พิกัด ECO Car ใน
ประเทศไทย มีทั้งหมด 5 รายการ ดังนี้

กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา Around View Monitor (AVM)
มีกล่องติดตั้ง 4 จุด ทั้งด้านหน้ารถ ใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง และท้ายรถ
เพื่อถ้ายทอดสัญญาณภาพ มาแสดงยังกระจกมองหลัง ในการใช้งานจริง
ภาพมีขนาดเล็ก ต้องเพ่งมองมากเหมือนกัน และต้องอาศัยความเคยชิน
ไปสักระยะ จึงจะรู้สึกว่าสะดวกในการมองเห็น

ระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลรอบคัน Moving Object Detection (MOD)

ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning (FCW)
หากรถพุ่งเข้าใกล้รถคันข้างหน้ามากเกินไป ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่
ไว้ให้เบรกห่างๆไว้หน่อยจะดีกว่า

ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ Intelligent Emergency Braking ทั้งยาน
พาหนะ และ บุคคล Pedestrian (FEB/PFEB) ในกรณีที่มีใครสักคน กำลัง
เดินข้ามถนน หรือขี่จักรยานตัดหน้าคุณในรยะกระชั้นชิด เซ็นเซอร์ ที่กระจก
บังลมหน้าจะทำงาน ส่งสัญยาณให้ระบบเบรกทำงานทันทีโดยอัตโนมัติ เพื่อ
ช่วยหยุดรถในยามฉุกเฉิน ทันที

ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW)
จะร้องเตือนเมื่อรถกำลังไหลออกนอกเลนถนน ถ้ารำคาญเสียงเตือน สามารถ
ปิดระบบนี้ทิ้งได้ ที่สวิตช์ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านคนขับ เช่นเดียวกัน

2017_03_Nissan_Note_Engine_01_HR12DDR

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และ การทดลองขับ **********

ในตลาดทั่วโลก Note จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ทั้งหมดมากถึง 5 แบบ โดยแต่ละ
ประเทศ ก็จะได้ใช้ขุมพลังที่แตกต่างกัน จำแนกคร่าวๆได้ ดังนี้

Japan Domestic Market Version
HR12DE , HR12DDR , HR12DE e-Power HYBRID ,
HR16DE Nismo Tune

North America Version (Uniteds States of America & Canada)
HR16DE

European Version
HR12DE , HR12DDR , K9K Diesel Turbo (from Renault)

Thai Version
HR12DE

เราจะเริ่มจากขุมพลังรหัสพื้นฐาน HR12DE เวอร์ชันญี่ปุ่นจะมีตัวเลขพละกำลัง
เหมือนกับ March และ Almera ในบ้านเรา ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทด
แปรผัน Xtronic CVT จาก Jatco เหมือน March และ Almera ในบ้านเรา วาง
ในรุ่น S , X , Medalist X ขับเคลื่อนล้อหน้า กับรุ่น X Four และ Medalist X
Four ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ e-4WD (มีมอเตอร์ช่วยรับและกระจายแรงบิดที่
ล้อคู่หลัง) เอาใจตลาดโซน Hokkaido ที่หนาวและหิมะตกกันเกือบตลอดทั้งปี

ส่วนเวอร์ชันยุโรป HR12DE จะถูกปรับจูนให้แรงขึ้นอีกนิด เป็น 80 แรงม้า (PS)
ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 110 นิวตันเมตร (11.2 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที
มีเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ลูกเดียวกับ March
และ Almera

ตามด้วยเครื่องยนต์รหัส HR12DDR บล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 ยก
มาจาก HR12DE นั่นละ แต่เปลี่ยนมาใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดแบบตรง
เข้าสู่ห้องเผาไหม้ Nissan Di (Direct Injection) ปรับปรุงไส้ในอีกนิดหน่อย
รวมทั้ง เพิ่มระบบอัดอากาศ Supercharger กำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 98 แรงม้า (PS)
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 142 นิวตันเมตร (14.5 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที
มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น วางในรุ่นย่อย
X DIG-S , Medalist กับ Note Nismo รุ่นมาตรฐาน

ส่วนเวอร์ชันยุโรป HR12DDR จะมีแรงม้าเท่าเวอร์ชันญี่ปุ่นเป๊ะ แต่แรงบิดสูงสุด
จะเพิ่มขึ้นนิดนึง เป็น 147 นิวตันเมตร (14.97 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที มีทั้ง
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติอัตราทดแปรผัน XTronic CVT มาให้เลือก

2016_Nissan_Note_Diesel_1500_DCi_Engine

นอกจากนี้ ลูกค้าชาวยุโรป จะได้ใช้เครื่องยนต์พิเศษ เอาใจตลาดที่ชื่นชอบ
ขุมพลัง Diesel โดยเฉพาะ ด้วยเครื่องยนต์จาก พันธมิตรอย่าง RENAULT
รหัส  K9K 770/892 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,461 ซีซี เสื้อสูบผลิต
จากเหล็กหล่อ ฝาสูบอะลูมีเนียม กระบอกสูบ x ช่วงชัก 76 x 80.5 มิลลิเมตร
กำลังอัด 15.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดแรงดันสูงพร้อมระบบ dCi (diesel
Common-rail injection)
จาก Delphi พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger
จาก Borg-Warner  90 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200
นิวตันเมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที
เชื่อมเฉพาะระบบขับเคลื่อน
ล้อหน้า ด้วย เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น

2017_03_Nissan_Note_Engine_02_e_Power_JDM

สำหรับตลาดญี่ปุ่น เพิ่งมีขุมพลัง HYBRID e-Power เข้ามาประจำการสดๆร้อนๆ
เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา โดยวางให้กับรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด e-Power S ,
e-Power X , e-Power Medalist , e-Power Nismo

เครื่องยนต์พื้นฐานยกเอาขุมพลังจาก March,Almera และ Note เดิมมาทั้งยวง
นั่นคือ HR12DE เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร แต่ถูกปรับปรุงให้มีระบบจุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle
ปรับกำลังอัดเป็น 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (PS) ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำลงเป็น
5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ลดเหลือ 103 นิวตันมเตร (10.5 กก.-ม.) ที่รอบ
ตั้งแต่ 3,500 – 5,200 รอบ/นาที

พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบไร้แปรงถ่าน พร้อมระบบส่งกำลังแบบ e-CVT ในตัว รุ่น
EM57
กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ใช้แบ็ตเตอรี Lithium – ion ในการเก็บกำลังไฟ
ติดตั้งไว้ใต้เบาะคนขับและเบาะผู้โดยสารด้านหน้า

เมื่อรวมกำลังในระบบทั้งหมด จากการคำนวนจะแรงขึ้นเป็น 109 แรงม้า (PS) ที่ รอบ
เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกัน ตั้งแต่ 3,008 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
254 นิวตันเมตร (25.9 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 0 – 3,008 รอบ/นาที (ตัวเลขทั้งหมดนี้ ขอ
ยืนยันว่า เขียนถูกแล้ว นั่งลอกจาก Brochure ของ Note e-Power เวอร์ชันญี่ปุ่น เลย)

2017_03_Nissan_Note_Engine_02_HR16DE

ส่วนรุ่น Nismo-S และ Versa Note เวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะวางเครื่องยนต์
HR16DE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,597 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.2 : 1 หัวฉีด Multi-Point ควบคุม ด้วย
กล่องอีเล็กโทรนิคส์ ECCS 32 Bit ระบบขับวาล์ว ใช้โซ่ตอนเดียว มีระบบ
แปรผัน วาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control) เหมือนกับ
TIIDA ที่เคยวางขายในเมืองไทย

เวอร์ชันพื้นฐานติดตั้งใน Versa Note สำหรับชาวอเมริกันและแคนาดา มีกำลัง
สูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.76 กก.-ม. ที่
4,400 รอบ/นาที เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic
CVT เพียงทางเลือกเดียว

แต่สำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่น ที่ยอมทุ่มจ่ายเงินให้กับรุ่นแรงสุด Nismo S คุณจะ
ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากการปรับจูนโปรแกรมในกล่อง ECU เป็นพิเศษ จาก
Nismo จนแรงขึ้นเป็น 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
16.6 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า พ่วงเข้ากับ
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น

2017_03_Nissan_Note_Engine_03_Thai_EDIT

แต่สำหรับ ตลาดเมืองไทย Note จะได้ใช้ขุมพลังของ Note รุ่นพื้นฐานเหมือนใน
เวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นขุมพลังบล็อกเดียวกันกับที่ชาวไทยคุ้นเคยมาแล้ว เพราะ
ประจำการอยู่ใน Nissan March และ Almera เวอร์ชันไทย มาตั้งแต่ปี 2010 ถึง
2011

นั่นคือ เครื่องยนต์ HR12DE หรือรหัส XH5 ตามการเรียกของ พันธมิตรดั้งเดิม
อย่าง Renault ฝรั่งเศส เป็นเครื่องยนต์บล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 หัวฉีด
Multi-Point ควบคุม ด้วยกล่องอีเล็กโทรนิคส์ ECCS 32 Bit ระบบขับวาล์ว ใช้
โซ่ตอนเดียว เรียงลำดับการจุดระเบิด 1 – 2 – 3 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC
(Vontinuously Valve-Timing Control)

พละกำลังสูงสุดยังคงเท่าเดิม 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
10.8 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ออกมาในระดับ
ต่ำ ประมาณ 120 กรัม / กิโลเมตร พร้อมระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์ อัตโนมัติ
เมื่อรถหยุดวิ่ง idling stop รองรับน้ำมันสูงสุด E20

แน่นอน มันคือเครื่องยนต์เดียวกับกับ March และ Almera ดังนั้น รายละเอียด
งานวิศวกรรม และการปรับปรุงเครื่องยนต์จากตระกูล HR บล็อก 4 สูบเดิม รวมทั้ง
เรื่องอะไหล่ ในระยะยาว จึงสบายใจได้หายห่วงเพราะแทบไม่ต่างอะไรจากขุมพลัง
ของ March และ Almera เลย

2017_03_Nissan_Note_Engine_04_CVT

ด้านระบบส่งกำลัง Note เวอร์ชันไทย มีให้เลือกเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
และน่าเสียดายว่าไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา มาให้เลือกเลย

Note เวอร์ชันไทย จะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Xtronic CVT
รุ่น RE0F11A จาก Jatco ถือเป็นเกียร์ CVT ลูกแรกในโลก ที่ติดตั้งชุด Sub
Planetary Gear มาให้ ในพูเลย์ขับเคลื่อน เท่านั้น

ย้ำกันอีกทีว่า นี่คือเกียร์ CVT ลูกเดียวกับใน March และ Almera รวมทั้ง
คู่แข่งต่างสังกัด อย่าง Mitsubishi Mirage กับ Attrage และ Suzuki Ciaz
กับ Swift ด้วย

อัตราทดเกียร์ ขับเคลื่อน (เกียร์ D) อยู่ที่    4.006 – 0.550
เกียร์ R  หรือเกียร์ถอยหลัง อยู่ที่                 3.546
อัตราทดเฟืองท้าย                                       4.067

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างจาก March และ Almera ที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา
นั่นคือ มีการปรับปรุงโปรแกรมของกล่องสมองกลเกียร์ โดยเพิ่ม โปรแกรม
D-Step Logic หรือโปรแกรมสั่งให้เกียร์ ลากรอบไปจนสุดถึงขีด Red-Line
แล้ว ให้ตัดลงมาเหลือ 5,000 – 5,200 รอบ/นาที ก่อนจะไล่รอบกลับขึ้นไป
ใหม่ เพื่อให้เกียร์ลูกนี้ตอบสนองคล้ายเกียร์อัตโนมัติ ทั่วๆไปมากขึ้น

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองด้วยวิธีจับเวลากันในช่วง
กลางดึก เหมือนเช่นเคย อุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 28 – 29 องศาเซลเซียส โดยยัง
ยึดมาตรฐานดั้งเดิมของ Headlightmag.com คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ผลลัพธ์
ที่ได้ เมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทเดียวกันที่เราเคยทำการทดลองไว้ มีดังนี

Note_Chart_01
note_004

ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องกันต่อเลยละครับ ถ้ามองในด้านสมรรถนะแล้ว ตัวเลข
ที่ Note ทำได้นั้น มันห่วยกว่าใครเพื่อนเขาหมด กลายเป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม
ECO Car ที่มีตัวเลขอัตราเร่ง “อืดอาดที่สุด”

ช่วยไม่ได้ครับ ผมเคยบอกไปแล้วว่า ตลาดกลุ่ม B-Segment 1.5 ลิตร ยังไงๆ
Nissan ก็ควรจะมีรถสักคัน ที่เหมาะแก่การอุดช่องว่างทางการตลาดอย่างยิ่ง
แต่สุดท้าย ฝรั่งอั้งม้อ และญี่ปุ่นยุ่นปี่ ที่สำนักงานใหญ่ Yokohama ไม่เข้าใจ
และไม่ยอมฟังเสียงคนไทยเลย พยายามจะยัดเยียด Note เข้ามาอยู่ในพิกัด
ECO Car 1.2 ลิตร ให้เหมือนญี่ปุ่น เพียงเพราะคิดไปว่า เครื่องยนต์แค่นี้น่าจะ
เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ตลาดอื่นๆทั่วโลก เขาก็ใช้ Note ที่วางขุมพลัง
ตระกูลนี้ พิกัดเดียวกันนี้ ยังไม่เห็นจะมีลูกค้าที่ไหนบ่นว่าอืดเลย

ผมจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าคุณเอาเครื่องยนต์ HR12DDR Supercharge มา
วางลงในรถคันนี้ เพราะอย่างน้อย ตัวเลข 98 แรงม้า (PS) มันก็ยังพอรับได้
ไม่ขี้เหร่ขนาดนี้แน่ๆ แต่ก็อ้างว่า ทดสอบด้านมลพิษหนะผ่าน แต่ตัวเลข
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมืองมันแย่กว่า HR12DE มาก เลยไม่รู้ว่าจะ
แนะนำอะไรกันแล้ว

ที่บ้าสุดคือ พอเปิดตัวออกมา คนไทยเห็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ก็เข้าใจว่า
มันเป็น ECO Car แต่ ใครบางคนใน Nissan ดูท่าจะไม่ยอมรับง่าย ถึงขั้น
ให้คนโทรศัพท์ แจ้งกับสื่อมวลชนต่างๆ ที่เพิ่งลงข่าวงานเปิดตัว Note ไป
ว่า “โปรดอย่าเรียกรถคันนี้ว่า ECO Car ให้เรียกว่าเป็น B-Segment”

เอ๋า! จะบ้าเรอะ! ถ้าไม่อยากให้เรียก ECO Car แล้วยูจะวางเครื่องยนต์
1.2 ลิตร จาก March และ Almera มาทำไมละ? ถ้าไม่อยากให้คนไทย
เรียกมันว่า ECO Car ก็จับมันวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ตนเองก็ยังไม่มี
ตัวเลือกในตลาด ไปเสียเลยสิ! เพราะคนไทย ไม่รู้หรอกว่า รถคันนี้หนะ
ที่ถูกแล้ว มีตัวถังในพิกัด B-Segment เท่า Honda Jazz นั่นแหละ แต่
แค่วางเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ของ ECO Car เพราะฉะนั้น ลูกค้าจึงพากัน
จัดหมวดหมู่ให้ Note ไปแล้วว่า นี่คือ ECO Car!

โอยยยย ฟังแล้วปวดตับ!!

2017_03_Nissan_Note_Engine_05_Top_Speed

ส่วนการไต่ความเร็วจนถึง Top Speed นั้น มันก็ไม่ต่างจาก March และ
Almera หรอกครับ คุณต้องสะสมความเร็วรวมทั้งบุญบารมีตลอดทั้งชีวิต
รวมทั้งระยะทางยาวมากๆๆๆๆๆๆ แถมอาจต้องมีเนินช่วยส่ง เพื่อจะให้เข็ม
ความเร็ว ขึ้นไปแตะระดับ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5,800 รอบ/นาที ซึ่ง
เป็นความเร็วที่สูงสุดแล้ว ลากไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะโดยปกติ มันจะขึ้น
ไปแตะอยู่แค่ระดับ 165 – 168 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น

ย้ำกันอีกทีว่า เราไม่แนะนำให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดเองเด็ดขาด
เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอันตรายต่อชีวิตของคุณผู้อ่าน และ
เพื่อนร่วมทางอีกด้วย เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับใช้
เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ กับรถเล็กๆ บ้านๆ แบบนี้

ในการขับขี่จริง แทบไม่ต้องคิดมากครับ ถ้าคุณเป็นพ่อบ้านตีนหนัก มอง
ข้าม Note ไปได้เลย อัตราเร่งนี่ จัดอยู่ในเกณฑ์อืดเชียวละ ถ้าคุณขับรถ
แบบเหยียบคันเร่งเรื่อยๆ ไต่ขึ้นไปช้าๆ ไม่รีบร้อน คณจะใช้ชีวิตอยูกับเจ้า
Note ได้อย่างสบายอุรา เพาะอันที่จริง ในการขับขีลัดเลาะไปตามตรอก
ซอกซอย หรือถนนสายเก่าที่เราคุ้นเคยกันในเขตกรุงเทพมหานคร ต้อง
บอกเลยว่า มันไม่เลวร้าย มันไปได้ ถ้าคุณจะเร่งแซง Taxi ที่แอบขอจอด
แปะอยู่ริมถนนฝั่งซ้าย เพื่อต่อรองราคากับผู้โดยสาร (ทั้งที่ Taxi ก็เป็นรุ่น
มี Meter แล้วนะ!?) ก็แค่เหยียบคันเร่งลงไป ครึ่งเดียวจากระยะเหยียบ
ทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะพาคุณพ้นจากบรรดาผู้เฒ่า Taxi ที่จอดรอฟ้าฝน
จะดลบันดาลโชคชะตาให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 (แต่ไม่คิดจะรับส่งผู้โดยสาร)
เหล่านั้น ได้สบายๆ อยู่

แต่ถ้าชีวิตของคุณ เร่งรีบในทุกเสี้ยววินาที เพื่อจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
บนถนน เป็นประเภทที่ชอบไล่มุด ไล่จี้ตูด ขับปาดหน้าคนอื่น เป็นอาจิณ
สิ่งที่อยู่ในหัว มีแต่คำว่า “กูไปก่อน กูไปก่อน กูไปก่อน กูต้องไปก๊อนนนน”
ราวกับจะรีบไปแย่งชิงถ้วยรางวัลท่านผู้ว่าฯ แล้วละก็ หากชีวิตจำเป็นต้อง
มาพานประสบพบกุญแจของ Note จอดทิ้งไว้เพียงคันเดียว ขอแนะนำ
ว่า เหยียบคันเร่งจมมิด จนจะทะลุพื้นสถานเดียว ถึงจะยังพอเรียกแรงบิด
ออกมาใช้งานให้คุณได้ “บ้าง”

ยิ่งช่วงเร่งแซง ขอแนะนำเลยว่า ถ้ารีบร้อนขนาดนั้น แต่ดันต้องมาเจอ Note
ขอให้เหยียบให้จมมิดไม่ต้องคิดมาก และทุกครั้งที่จะแซง กรุณา กะระยะ
เผื่อโอกาสไปจ๊ะเอ๋ เมื่อเจอรถสวนทางมาบนถนนแบบสวนกันสองเลนด้วย

ส่วน Mode Sport ที่คันเกียร์ นั้น มันเป็นแค่การเร่งรอบเครื่องยนต์มารอไว้
เพื่อให้ผู้ขับขี่ เข้าใจว่าแรงขึ้น ทั้งที่จริงๆแล้ว มันก็แรงเท่าเดิมนั่นแหละ
กลายเป็นว่า คันเร่ง ทำหน้าที่เหมือน เครื่องเร่งความดังเสียงเครื่องยนต์
มากกว่าจะทำให้รถมันพุ่งไปข้างหน้า!

พูดกันตามตรง ว่า Almera เร่งได้แค่ไหน Note จะไปได้แค่นั้น แถมจะอืด
กว่ากันอีกนิดนึงเสียด้วยซ้ำ!

เหตุผลที่ อัตราเร่งของ Note เป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรในกอไผ่ครับ

1. เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ลูกเดียวกันกับ March และ Almera แต่ต้องมาวาง
ลงในตัวถังที่หนัก 1,061 กิโลกรัม หนักกว่า Almera 29 กิโลกรัม แต่หนัก
มากกว่า March ถึง 93 กิโลกรัม! น้ำหนักตัวที่มากขึ้น มีผลต่ออัตราเร่ง
อย่างช่วยไม่ได้ เป็นปกติของรถยนต์ ครับ

2. ตัวรถเอง ก็สัมผัสได้เลยว่า แน่นหนาขึ้นกว่า Almera และ March มาก
ไม่ใช่รถที่ เบาๆ และดูเหมือนจะกลวงๆ เหมือนทั้ง 2 รุ่นที่เอ่ยนามมา

3. การเซ็ตให้เกียร์ ตัดลากรอบที่ 6,000 รอบ/นาที ลงไปอยู่ที่ 5,500 รอบ
ก่อนจะไล่ขึ้นมาใหม่ มันไม่ได้ช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้นเลย แถมยังเป็นการไล่
รอบเครื่องยนต์ ในช่วงพ้นจากย่านแรงบิดสูงสุดไปแล้ว ดังนั้น ไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์อันใดขึ้นมา

4. ตลาดต่างประเทศ มีเครื่องยนต์ ที่แรงกว่านี้ แต่ไม่เอามา เพราะ Nissan
อยากจะเอา Note มาขอรับสิทธิพิเศษทางภาษี ECO Car เพื่อที่จะทำราคา
ให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 7 แสนบาท นั่นเอง หากเอาเครื่องยนต์ที่แรงกว่านี้มา
นั่นอาจทำให้ Note ต้องมีค่าตัวสูงไปอีกราวๆ 100,000 บาท โดยประมาณ

ข้อด้อยของ Note รุ่นนี้อีกประการสำคัญคือ การสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์
ที่รอดเข้ามาถึงห้องโดยสาร เรายังคงเห็นอาการกระพรือ ให้พบเจอในช่วง
ที่คลัชต์คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงาน บางทีเครื่องก็สั่น
สะเทือน เหมือนกับ Almera และ March เปี๊ยบ!

อีกทั้งตอนเร่งเครื่องเต็มตีน อาการเย่อ จากเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
ก็โผล่มาปรากฎให้เห็น เช่นเดียวกับ March Almera หรือคู่แข่งที่ใช้เกียร์
Jatco ลูกเดียวกันอย่าง Mirage Attrage Swift และ Ciaz ไม่มีผิด!

กระนั้น การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด เสียงจากกระจก
บังลมหน้า หรือกระจกมองข้าง แทบไม่มีให้ได้ยินเลยในช่วงความเร็วระดับ
130 กิโลเมตร/ชั้วโมง ยกเว้นยางขอบหน้าต่าง แถวๆ มุมกระจกด้านนอก ที่
บานประตูคู่หน้า ซึ่งยังพอมีเสียงลม เล็ดรอดเข้ามาให้ได้ยินที่ความเร็วระดับ
110 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป และแค่นั้น! ถือเป็น ECO Car ที่มีการเก็บเสียง
รบกวนดีเป็นอันดับต้นๆของตลาด

2017_03_Nissan_Note_Engine_06_JIMMY_Drive

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ข้วย
ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering) ยกจาก March
และ Almera ทั้งดุ้น รัศมีวงเลี้ยว เท่ากับ Almera คือ 5.2 เมตร แต่ถูกเซ็ต
ปรับแต่งใหม่จนดีกว่า March กับ Almera ราวกับหนังคนละเรื่อง!

เพราะพวงมาลัยของ March กับ Almera มันโคตรจะไร้ชีวืตชีวา ราวกับคัน
บังคับหางเสือ ของเรือข้ามฝากแม่น้ำเจ้าพระยา หมุนไปแค่ไหน ก็ค้างแม่ง
ตรงนั้นเลย อีกทั้งยังคืนตัวช้ามากกกกก และบางจังหวะก็ไม่คืนเลยด้วย

แต่พวงมาลัยของ Note มันดีขึ้นผิดหูผิดตาจนน่าประทับใจ ทั้งน้ำหนักใน
ย่านความเร็วต่ำ ที่แม้จะเบาแต่ก็เบากำลังดี ไม่เบาโหวงจนไร้น้ำหนัก พอมี
แรงขืนที่มือนิดๆ ในระดับเหมาะสมกับรูปแบบของตัวรถ ที่สำคัญคือเมื่อคุณ
หมุนเลี้ยวไปแค่ไหน พวงมาลัยก็จะคืนกลับมาตั้งตรงให้คุณอยู่ดี มันอาจจะ
ไม่ไว เท่าพวงมาลัยของ Swift แต่การคืนกลับ ทำได้ดีกว่า Swift นิดๆ

ไม่เพียงแค่นั้น ในย่านความเร็วสูง On Center Feeling ของพวงมาลัย ยัง
หน่วงมือนิดๆกำลังดีอีกต่างหาก ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมรถขึ้น
อีกเยอะ

เป็นการเซ็ตพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ที่พยายามให้มีบุคลิกใกล้เคียงกับ
พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮโดรลิก มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเอากลุ่ม
ลูกค้าเป้าหมายเป็นโจทย์หลักได้อย่างน่าชื่นชม

แม้ผมจะต้องรอนานถึง 7 ปี นับจากวันเปิดตัว March กว่า Nissan จะเซ็ต
พวงมาลัย ECO Car ของเขาให้ดีขนาดนี้ แต่การรอคอย มันก็คุ้มค่าเลยละ!

2017_03_Nissan_Note_Engine_07_Suspension

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังเป็นแบบ
ทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลง มาให้ครบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แม้
จะมีหน้าตาที่เหมือนกันกับ ช่วงล่างของ Almera และ March ไม่มีผิด
ก็จริงอยู่

ทว่า การย้ายตำแหน่งล้อทั้ง 4 ให้ใกล้มุมรถมากสุดเท่าที่เป็นไปได้ รวมทั้ง
การขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น ส่งผลให้การตอบสนองของช่วงล่าง ต่างไปจาก
Almera และ March อย่างชัดเจน

กล่าวคือ ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างจะกระชับขึ้น ตึงตังนิดๆ แต่ยังพอสัมผัส
ได้ว่ามีการยุบตัวในจังหวะแรกของช็อกอัพ ค่อนข้างเยอะ เพื่อซับแรงสะเทือน
ให้ได้มากสุด จนคล้ายกับบุคลิกของช่วงล่างของรถยนต์ขนาดเล็กจากญี่ปุ่น
ที่ส่งไปขายในยุโรป

พอถึงช่วงความเร็วสูง ตั้งแต่ 60 กิโลเมตร/ชั้วโมงขึ้นไป จนถึง Top Speed
หากไม่มีกระแสลมมาปะทะด้านข้าง บอกเลยว่า Note พุ่งไปข้างหน้า นิ่งกว่า
Almera กับ March ชัดเจน เหมาะกับการขับทางไกล แบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
แต่ใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ

สำหรับความเร็วในการเข้าโค้งบนทางด่วนในตอนกลางคืนนั้น จากโค้งขวา
รูปเคียวเหนือย่านมักกะสัน ต่อเนื่องถึงโค้งซ้ายเชื่อมเข้ากับทางด่วนขั้นที่ 1
(ฝั่งตรงข้าม โรงแรม Eastin) ผมพา Note เข้าโค้งได้ ที่ความเร็วระดับแถวๆ
95 กิโลเมตร/ชั้วโมง ยาง Dunlop Enesave ก็เริ่มออกอากาศไถลด้านข้าง
พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามมา ราวกับอยากจะบอกผมว่า “ไม่ไหวแล้วลูกพี่”
แต่ตัวรถนั้น รู้เลยว่ายังไปต่อจากนี้ได้อีกนิดหน่อย

ส่วนโค้งขวา – ซ้าย – ขวา เชื่อมทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นสู่ทางยก
ระดับบูรพาวิถี ผมพา Note เข้าไปที่ความเร็ว 100 , 110 และ 115 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ด้วยข้อจำกัดจากยางติดรถ หากเปลี่ยนยางให้ดีขึ้น ก็อาจใช้ความเร็ว
ในโค้งทั้ง 5 จุดนี้ ดีกว่านี่ได้

เมื่อประสานการทำงานเข้าด้วยกัน ระหว่างพวงมาลัยและช่วงล่างแล้ว ทำให้
Note มีการบังคับควบคุมในภาพรวม พุ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆของกลุ่มไป
โดยปริยาย อย่างไม่น่าเชื่อ คือ ดีขึ้นกว่า Swift นิดนึง แต่ถ้าคุณรักรถขับสนุก
ยังไงๆ ก็คงต้องยอม Mazda 2 เขาไปแต่โดยดีตามคาดละครับ

ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็นแบบ ดิสก์เบรก มีรูระบายความร้อน ส่วนด้านหลัง
เป็นแบบ ดรัมเบรก พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking
System) มาพร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force
Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรก ในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist มาให้
ตามมาตรฐานของรถยนต์นั่ง สมัยนี้

แป้นเบรก ถูกเซ็ตมาให้ตอบสนองได้อย่างต่อเนื่อง Linear กว่า Almera กับ
March นิดนึง อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เหยียบเบรกลงไปในระยะ 30% แรก ปุ๊บ
แทบไม่รู้สึกถึงการหน่วงความเร็วของรถใดๆทั้งสิ้น ต้องเหยียบเพิ่มลงไปอีก
พอสมควร ถึงจะรับรู้การหน่วงรถลงมา พูดกันตามตรงก็คือ ผมไม่ค่อยมั่นใจ
ในการหน่วงความเร็วรถคันนี้ลงมาจากย่านความเร็วสูงเท่าใดนัก เมื่อเทียบ
กับบรรดา ECO Car คันอื่นๆ

ยิ่งในจังหวะที่ขับช้าๆ อยู่ในเมืองแล้วคุณอาจต้องเผื่อระยะการเบรกเอาไว้อีก
สักหน่อย เพราะเมื่อเหยียบแป้นเบรกลงไปแล้ว รถจะมีอาการไหลไปข้างหน้า
เพิ่มขึ้นอีกนิดก่อนจะค่อยๆ ชะลอลงมาจนหยุดนิ่ง

ผมอยากเห็นการหน่วงความเร็วในจังหวะการเหยียบเบรก ที่ระดับ 20% จาก
ระยะเบรก หรือไม่ ก็ต้องมีการชะลอรถลงมามากกว่านี้ ไม่ใช่พอเหยียบเบรก
แค่ 30 % แล้วแทบไม่พบการสนองตอบใดๆ แถมพอเพิ่มแรงเหยียบลงไป
ยังแอบมีอาการไหลแถมมาให้อีกแหนะ

ระยะเบรกนะครับ ไม่ใช่โปรโมชัน MidNight Sales ตามห้าง จะได้ต้องแจก
ต้องแถมกันแบบนี้!

2017_03_Nissan_Note_Engine_08_Body_Structure

โครงสร้างตัวถังของ Note ยังคงถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวทางการกระจายแรง
ปะทะ ไปทั่วทั้งคันของ Nissan เรียกว่า Zone Body Concept โดยโครงสร้าง
ตั้งแต่เฟรมด้านหน้า รวมทั้งช่องติดตั้งหม้อน้ำ ยาวต่อเนื่องมาจนถึงเฟรมพื้น
ใต้ท้องรถ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ยาวขึ้นไปถึงเสายึดหลังคาด้านบน และ
เฟรมช่องประตูคู่หน้า ไปจนถึงพื้นด้านหลัง ใกล้กับถังน้ำมัน จะถูกปั้มขึ้นรูป
ด้วยเหล็ก High Tensile Steel ที่ทนแรงอัดได้ถึงระดับ 590 เมกกะปาสคาล
นอกจากนี้ ยังมีแผ่นเหล็ก High Tensile ที่ทนรับแรงอัด 440 เมกกะปาสคาล
เสริมเข้าไปในเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar อีกฝั่งละ 1 แผ่น เพื่อช่วยรองรับและ
กระจายแรงปะทะจากการชนด้านข้าง ส่งขึ้นไปยังโครงสร้างหลังคาด้านบน กับ
เฟรมพื้นรถด้านล่าง

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย แน่นอนว่า ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กลายเป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน มาให้ใน Note ทั้ง 2 รุ่นย่อย เช่นเดียวกับ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ
ELR 3 จุด ปรับระดับสูง – ต่ำได้ (ขนาด City กับ Vios ยังไม่มีมาให้นะ!) มี
ระบบลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensinoer & Load Limiter
พร้อมสัญญาณไฟเตือนให้คาดเข็มขัด ส่วนเข็มขัดนิรภัยบนเบาะแถวหลัง
เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ที่นั่ง เช่นเดียวกัน รวมทั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับ
เด็กทารก ISOFIX ให้มาครบ เช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นใหม่ ระดับ B-Segment
ขึ้นไป

2017_03_Nissan_Note_Fuel_Consumption_1

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

จริงอยู่ว่า Note ใช้เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเดียวกับ March และ Almera
จึงพอเดาได้ว่า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในยามเดินทางไกล ยังไงๆ ก็
น่าจะปวนเปี้ยนแถวๆ 17 กิโลเมตร/ลิตร ขึ้นไป แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า น้ำหนัก
ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อตัวเลขมากน้อยแค่ไหน?

เราจึงยังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิม ด้วยการพาเจ้า Note น้อย ไป
เติม น้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน
ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

เนื่องจากเป็นรถยนต์พิกัด ไม่เกิน 2,000 ซีซี. ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และยัง
เป็นรถยนต์ที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ ซึ่งซีเรียสกับตัวเลขความ
ประหยัดน้ำมัน มากกว่าลูกค้ารถยนต์ประเภทอื่นๆ เราจึงเติมน้ำมันด้วยวิธี เขย่า
ตัวรถ เพื่ออัดกรอกน้ำมันลงไปให้เต็มถังมากสุดลดปริมาณฟองอากาศในถังให้
น้อยที่สุด ลดความเพี้ยนในการทดลองให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยาน ยังคงเป็นน้องเติ้ง กันตพงษ์ สมชนะ สมาชิก กลุ่ม
The Coup Team ของเรา เหมือนเช่นเคย รวมทั้งคุณผู้อ่าน Napat Channual
น้อง Moo Cnoe และ ตาโจ๊ก V10ThLnD ที่มาช่วยกันขย่มรถ

สารภาพว่า หลังๆนี่ ผมเขย่าเองคนเดียวไม่ไหวแล้วครับ สังขารเริ่มไม่ไหวแล้ว
เคยเขย่ารถจนถึงขั้นเกือบหน้ามืดคาปั้มน้ำมันมาแล้วก็มี เลยต้องหาคนมาช่วย
ออกกำลังกายยามดึกแบบนี้อยู่เรื่อยๆ

2017_03_Nissan_Note_Fuel_Consumption_2

เมื่อเติมน้ำมัน เต็มความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร (ไม่รวมท่อทางเดินน้ำมัน) แล้ว
เราก็คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ ออกรถ บนถนนพหลโยธิน เพื่อไปเลี้ยว
กลับรถหน้าปากซอยอารีสัมพันธ์ ตรงมาอีกเล็กน้อย เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์
ลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 6 ก่อนจะ
เลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน จ่ายเงินผ่านด่านประชาชื่น แล้วขับตรงยาวๆ ไปจนถึง
ปลายสุดด่านบางปะอิน จากนั้นเลี้ยวกลับ ย้อนมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม

ตลอดเส้นทาง ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตาม
มาตรฐานเดิม ที่เรายึดถือกันมาช้านาน แน่นอนว่า การรักษาความเร็วของ Note
ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยรอบเครื่องยนต์ต้องอยู่ในช่วง
อัตราทดเกียร์ของมัน นั้น เป็นเรื่องยากพอๆกับการเลี้ยงบุตรหลานที่ร้องงอแง
ลุกขึ้นมาขอกินนมตอนตี 3 คุณต้องเลี้ยงคันเร่งดีๆมากๆ ยอมเหยียบขึ้นไปให้
เกินกว่า 2,500 รอบ/นาที เพื่อดึงรถห้ไต่ขึ้นไปถึงความเร็วที่ต้องการ ก่อนจะ
พยายามรักษาคันเร่งเอาไว้ในตำแหน่งที่ทำให้รอบเครื่องยนต์ อยู่ที่ 1,900 –
2,000 รอบ/นาที นั่นละ

มันเป็นสิ่งที่ผมเคยเจอมาแล้วในตอนทดลองอัตราสิ้นเปลืองของ March กับ
Almera เพียงแต่ว่า อาการเหล่านี้ มันหวนกลับคืนมาให้ได้พบเจอกันอีกครั้ง
เมื่อล่วงเข้าสู่ปี 2017 เนี่ยนะ?

2017_03_Nissan_Note_Fuel_Consumption_3

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้ว เลี้ยวเข้าสถานีบริการน้ำมัน
Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มอีกครั้ง

พอหัวจ่ายตัด เราก็เริ่มเขย่ารถ เหมือนเช่นในช่วงเริ่มต้นทำการทดลอง เพื่อ
อัดกรอกน้ำมันลงไปแทนที่อากาศในถัง ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องปริมาณน้ำมันที่เติมเข้าไป น้อยกว่าที่ควรเป็น ซึ่งอาจ
มีผลให้การทดลองผิดเพี้ยนไปไกลกว่าคาดคิด

2017_03_Nissan_Note_Fuel_Consumption_4

ผลการทดลองที่ได้ แทบไม่แตกต่างจาก March กับ Almera เท่าใดเลย

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter A 95.4 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 Techron เติมกลับ 5.41 ลิตร
หารออกมาแล้ว ด้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.63 กิโลเมตร/ลิตร

Note_Chart_02

สรุปตัวเลขแล้ว พบว่า Note ก็ยังคงประหยัดน้ำมันในระดับเดียวกันกับพี่น้อง
ร่วมตระกูล ทั้ง March และ Almera นั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันเลย ถือว่ายัง
เกาะกลุ่ม รถยนต์ประหยัดน้ำมัน อันดับต้นๆของกลุ่ม ECO Car รวมทั้งบรรดา
รถยนต์ที่ Headlightmag เราทดลองกันมาตลอด 8 ปี ตามความคาดหมาย

ส่วนการใช้งานจริงนั้น เข็มน้ำมันจะลงเร็วกว่าปกติ ต่อเมื่อคุณกระทืบคันเร่ง
บ่อยและถี่ยิบกว่ากระทืบแป้นเบรก นั่นแหละครับ ยิ่งขับเร็ว เข็มน้ำมันก็ยิ่งจะ
ลดลงเร็ว แต่ไม่ถึงกับลดฮวบฮาบเป็นพวก ผีตีนโตสูบน้ำมันแต่อย่างใด

2017_03_Nissan_Note_07

********** สรุป **********
Almera เปลี่ยนกระดอง เด่นที่ความอเนกประสงค์ ความประหยัด
และการขับขี่ ด้อยที่อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ เหมาะกับสตรีในเมือง

ผมเข้าใจดีว่า การนำรถยนต์สักรุ่นเข้ามาประกอบขาย หรือนำเข้ามาทั้งคัน
เพื่อมาจำหน่ายให้ผู้บริโภคชาวไทยนั้น มันมีปัจจัย และความเสี่ยงหลาย
ประการ สำหรับบางบริษัท บางครั้ง มันอาจแค่กระเทือนงบประมาณแค่เศษ
เสี้ยวปลายเล็บขบ แต่สำหรับบางค่าย มันหมายถึงการเดิมพันความอยู่รอด
ของพวกเขาเลยทีเดียว

แน่นอนละว่า ทุกค่าย ต่างก็หวังอยากให้สื่อมวลชน ช่วยเขียนถึงรถยนต์
ของพวกเขาในแง่ดีสักหน่อย เพื่อที่เจ้านายเห็นแล้วจะได้สบายใจ ตัวรถ
จะได้ขายดี พนักงานก็จะมีเงินเดือนเพิ่มบวกโบนัส และค่าล่วงเวลาเพิ่ม
กระแสเงินจะได้หมุนเวียนทั้งในบริษัท และในระบบเศรษฐกิจประเทศ
ของเรา

แต่…เดี๋ยวก่อน…ถ้าคุณทำรถมาดีจริง ในแทบทุกด้าน ทุกคนก็พร้อมจะ
ชื่นชมยินดีไปกับคุณ แต่ถ้าคราวซวยมาเยือน คุณจำเป็นต้องผลักดัน
รถที่ ไม่สมบูรณ์แบบ มาตั้งแต่แรก ขาดๆเกินๆ ในหลายประเด็น แต่ก็
ต้องทำ เพรามันคือหน้าที่ของคุณ นั่นก็คงน่าอึดอัดใจพิลึก

แน่ละ ความจริงที่น่าปวดกบาลที่สุดคือ หลายครั้ง การที่ใครสักคนสักค่าย
คิดจะนำรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาขายคนไทยสักรุ่น มันต้องผ่านช่วงเวลาอัน
ยาวนานในการเตรียมงาน แถมยังเต็มไปด้วยสารพัดดราม่าบ้าบอคอแตก
“มากมายก่ายกอง” ทั้งจากชาวต่างชาติ ที่เล่นการเมืองภายในองค์กรกัน
มากเกินไป หรือไม่ ดราม่าบางเรื่อง ก็บังเกิดมาจากคนไทยกันเองนี่แหละ

ไม่ผิดครับ แต่ละคน ก็มีภาระหน้าที่ พ่อแม่ลูกเมียที่ต้องส่งเสีย ต้องเลี้ยงดู
บ้านก็ต้องผ่อน รถก็ต้องผ่อน ไหนจะค่าเล่าเรียนลูก ฯลฯ อีกมากมาย ใคร
ไม่มีภาระ ก็สบายหน่อย แต่พวกหนี้เยอะ ภาระเยอะ ก็จะคาดหวังตำแหน่ง
หน้าที่การงานในอนาคต พอไม่ได้ดังใจ ก็เริ่มก่อดราม่า เล่นการเมืองกัน
จนเละตุ้มเป๊ะไปทั้งองค์กรก็มีมาแล้ว (และกำลังเป็นอยู่ในหลายบริษัท)

บางที ดราม่าในองค์กรบางแห่ง มันก็ส่งผลต่อสินค้าที่พวกเขานำมาขาย
และ Nissan เองก็เป็นบริษัทหนึ่งที่มักเจอเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อยๆ มาตลอด
การเตะถ่วงเล่นเกมกันระหว่าง ฝรั่ง กับญี่ปุ่น บางทีก็ลามมาถึงคนไทยที่
ต้องทำงานกับคนเหล่านี้ด้วย หลายยุคหลายสมัยมาแล้ว ที่รถยนต์ของ
Nissan สู้คู้แข่งเขาไม่ได้ บางทีอาจไม่ใช่เพราะทีมการตลาดไม่เก่ง เช่น
คำที่หลายๆคน ชอบนั่งผรุสวาท ด่าทอกันในสังคมโซเชียล หรอก บางที
ปัญหามันอยู่ที่ Attitude ของผู้คนในองค์กร ภาพรวม และความพยายาม
เพื่อส่วนรวม ที่ยังน้อยเกินไป มองแต่ประโยชน์ตนเองกันเป็นใหญ่

สุดท้าย เมื่อรถยนต์รุ่นใหม่ออกมา ลูกค้าก็ต้องมาเจอกับสิ่งที่ไม่เข้าท่า
ขาดๆเกินๆ โดยไม่จำเป็น เช่น รถบางคัน มันควรจะแรงกว่านี้ ออพชัน
บางอย่าง ควรใส่มาให้ เล็กๆน้อยๆแค่นี้ ทำไมไม่ใส่มา ต้องมานั่งคำนึง
ถึงการบริหารจัดการต้นทุนกันมาก จนคุณค่าของตัวรถแทบไม่เหลือ
เพียงพอจะไปสู้ใครเขาได้ สุดท้าย ก็โดนเจ้าตลาดตีหัวแตกตายห่า
คาตลาด เหมือนเช่นเคย

2017_03_Nissan_Note_08

Note ก็เป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ที่ประสบชะตากรรมจากเรื่องบ้าๆพวกนี้เช่นกัน
อันที่จริงแล้ว Note เป็นรถยนต์ที่ไม่เคยมีแผนมาประกอบขายในบ้านเราเลย
แต่จู่ๆ ในปี 2015 ไม่รู้ฟ้าฝนกลใด ดลบันดาลใจให้ชาวฝรั่งเศสกับญี่ปุ่น ถึง
พร้อมใจกันเคาะว่า จะส่ง Note มาขายเมืองไทย

คงเป็นเพียงแค่เห็นยอดขาย March ค่อยๆลดลง ตามปกติของวงจรอายุตลาด
แล้วเกิดอาการทนไม่ได้ ก็อยากจะปล่อย March มันเป็นไปตามยถากรรม แล้ว
เลือกหาทหารคนใหม่ มาปั้น เพื่อสร้างยอดขายไปบูชาทีมผู้บริหารที่สำนักงาน
ใหญ่ ใน Yokohama เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว กับสารพัดรุ่นของ Nissan
ทั้ง TIIDA (หรือในอนาคต ก็คงเป็น Teana ที่อาจจะล้มหายตายไปจากตลาด
บ้านเรา)

โชคยังดี ที่หลายๆคน ใน Nissan ยังคงมีจิตสำนึกของการเป็นลูกจ้างที่ดี พยาม
หาทางต่อสู้ งัดข้อ และใช้กลวิธีมากมาย เพื่อให้คนไทย ได้ใช้รถยนต์ที่ดีพอแก่
การจ่ายเงินซึ่งเก็บรอมมาค่อนชีวิต ได้เป็นเจ้าของกัน ดังนั้นเราจึง ได้เห็นการ
ติดตั้งสารพัดอุปกรณ์ตัวช่วยมากมาย ประโคมมาให้แทบทั้งคัน

ทำให้นึกถึงการต่อสู้ของคนเก่าแก่ที่ดูแล Nissan ในสมัย สยามกลการ ยุคของ
คุณหญิง พรทิพย์ ณรงค์เดช ซึ่งได้มือดีจาก Toyota อย่าง อ.ศิริชัย สายพัฒนา
บุกไปเจรจาถึงญี่ปุ่น เพื่อหาทางงัดเอา Option ล้ำยุค มาใส่ให้กับรถยนต์รุ่นดัง
อย่าง Nissan Cefiro A31 มาเปิดตัวอย่างกระหึ่มในบ้านเรา เมื่อเดือนมีนาคม
1990 ขึ้นมาในหัวเลยทีเดียว

ตัวรถเองก็ถูกเซ็ตมาได้โอเคมาก โดยเฉพาะ โครงสร้างตัวถังที่แน่นหนากว่า
พี่น้องร่วมตระกูล V-Platform เซ็ตพวงมาลัยมาดีเยี่ยม และช่วงล่างที่เริ่ดมาก
เกินความคาดหมาย ห้องโดยสารที่โอ่โถง ยาวกว่า Honda Jazz และนั่งได้
สบายระดับ ไขว่ห้างได้ราวๆ 3 ห้างพารากอน คนตัวเล็กๆ ยังลงไปนอน ณ
พื้นที่วางขาเบาะแถวหลังได้สบายมากๆ แถมยังเต็มไปด้วยความอเนกประสงค์
นานับประการ และออพชันด้านความปลอดภัยที่อัดแน่นเข้ามาให้ในรุ่น 1.2 VL
ชนิดที่ว่า คู่แข่งยังต้องค้อนขวับ แล้วตั้งคำถามว่า ใส่เข้ามาได้เยอะขนาดนี้
ต้องทำอย่างไรบ้าง?

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่หนีไม่พ้นคือ แทนที่ Nissan จะอุดช่องวางทางการ
ตลาด ด้วยการนำเครื่องยนต์ HR15DE หรือ HR16DE มาวางให้กับ Note
เพื่อทำตลาดในกลุ่ม B-Segment แต่กลับหาทางพยายามสอดแทรกรถคันนี้
เข้าไปในกลุ่ม ECO Car เพื่อหวังทำราคาถูกเป็นหลัก ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงการ
นำเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.2 ลิตร ที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากนักเมื่อเทียบกับน้ำหนัก
ของตัวรถ มาวางลงไป จนต้องยอมแลกกับสมรรถนะอืดอาด แม้ว่าจะยอมรับ
กับตัวเลขอัตราสิ้นปลืองเชื้อเพลิง ที่ยังคงรักษามาตรฐาน 17 กิโลเมตร/ลิตร
กลางๆ ได้ดีอยู่ก็ตาม เมื่อรวมกับการเซ็ตระบบเบรกที่ควรปรับปรุงให้มั่นใจ
ได้ดีกว่านี้ ก็เท่ากับว่า ความจริงแล้ว Note มีแค่ 2 จุดหลักที่ต้องปรับปรุงให้
ดีขึ้นเพื่อฟาดฟันกับคู่แข่งได้ แค่นี้เลยจริงๆ

2017_03_Nissan_Note_09

คู่แข่งในตลาดกลุ่มเดียวกัน มีใครบ้าง?

Honda Jazz
เราคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ Note กับ Honda Jazz ได้ เพียงแต่
ต้องระลึกประเด็นสำคัญไว้ให้จงหนัก นั่นคือ Note ใช้เครื่องยนต์แค่ 1.2 ลิตร
ขณะที่ Jazz วางขุมพลัง 1.5 ลิตร ซึ่งให้อัตราเร่งที่แรงกว่า Note แต่อาจจะ
ประหยัดน้ำมันด้อยกว่ากันราวๆ 1 – 2 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น และถึงแม้ว่า
พื้นที่ห้องโดยสารของ Note จะยาวกว่า แต่ เบาะนั่งแถวหลังของ Jazz นั้น
สามารถพับได้อเนกประสงค์กว่า และแบนราบไปกับพื้นรถได้ดีกว่า กระนั้น
ทั้งคู่ ก็สามารถแบกจักรยานใส่ในท้ายรถได้เหมือนๆกัน มันขึ้นอยู่กับว่าคุณ
จะชอบรูปทรงของรถคันไหนมากกว่ากัน ไว้ใจศูนย์บริการของ Honda หรือ
Nissan มากกว่ากัน เท่านั้นเลย

Honda Brio
เรายังจะเทียบเจ้า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าติดล้อ คันกระเปี๊ยก กับ Note
กันจริงๆเหรอ? ไม่สิ อันที่จริง ต้องบอกว่า Brio ยังมีขายอยู่ในบ้านเรา
งั้นเหรอ?

Mazda 2 รุ่น Hatchback 1.3 เบนซิน Skyactiv-G
ยังไงๆ จุดเด่นของ Mazda ที่ใครต่อใครโค่นเขาไม่ลง ก็คือ การเซ็ตรถโดย
เน้นเอาใจคนขับเป็นหลัก ดังนั้น การเลี้ยว การเร่ง การเบรก จึงมีบุคลิกที่
เป็นธรรมชาติกว่า เบา คล่องแคล่วกว่า เอื้อต่อการสร้างความสนุกในการ
ขับขี่มากกว่า กระนั้น Note เอง ก็ไม่ได้แย่ แถมยังมีการตอบสนองของ
พวงมาลัย และช่วงล่าง ที่เซ็ตมาได้มั่นคงและมั่นใจในย่านความเร็วสูง
มากกว่า Mazda อยู่นิดนึง ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ Note เอาชนะ Mazda 2 ได้
ขาดลอย อยู่ที่ ขนาดของห้องโดยสาร และความสบายขณะนั่งเบาะหลัง
รวมทั้งความอเนกประสงค์จากพื้นที่ใช้สอย ซึ่ง Mazda ไม่มีวันให้คุณได้
ด้านบริการหลังการขาย Mazda กับ Nissan อยู่ในเกณฑ์พอกัน ถ้าเจอ
ศูนย์บริการไหนดี ก็ดีไป เจอศูนย์เฮงซวย ก็ป่วยหัวใจ

Mitsubishi Mirage
สิ่งที่ทำให้ Mirage ยังคงต่อกรกับ Note ได้ เห็นจะมีอยู่แค่เพียงเรื่อง
อุปกรณ์ความปลอดภัย ประเภทระบบเบรกอัตโนมัติ เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง
และที่พิเศษกว่าชาวบ้านคือ ระบบไม่ยอมออกรถให้ ถ้าเซ็นเซอร์ตรวจ
พบว่า ข้างหน้า ระยะ ไม่เกิน 4 เมตร มีกำแพงขวางอยู่! ป้องกันปัญหา
การเหยียบคันเร่งผิด แล้วพุ่งชนร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่มักเกิดประจำใน
ญี่ปุ่น (และเมืองไทย) รวมทั้งการนำเหล็ก Ultra High Tensile ที่ทน
แรงอัดได้ถึง 980 เมกกะปาสคาล มาใช้กับโครงสร้างตัวถัง แม้เพียง
น้อยนิดก็ตาม รวมทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัดสุดๆ ในกลุ่ม
(ใช่สิ! ตอนฉันเทสต์ เขย่ารถแทบตายห่า รากเลือด เริ่มเทสต์ 3 ทุ่มครึ่ง
เสร็จตอน ตี 4 ครึ่ง!) นอกนั้นแล้ว ตัวรถแทบไม่มีอะไรสู้ Note ได้เลย
ด้านศูนย์บริการ หากคุณอยู่ต่างจังหวัด โอกาสเจอศูนย์ Mitsubshi
ที่ดี มีเยอะพอๆกับการหาปลาในอ่างเก็บน้ำตามเขื่อนใหญ่ๆ แต่ถ้าคุณ
พักอาศัยในกรุงเทพ การหาศูนย์ Mitsubishi ดีๆ จะยากเท่าการงมหา
เข็มเย็บผ้าในมหาสมุทร!

Nissan March
ผลผลิตจาก V Platform เหมือนกัน พูดตรงๆก็คือ March เหลือสิ่งที่
เหนือกว่า Note แค่เรื่องความคล่องตัวในการแทรกตัว มุดลัดเลาะใน
สภาพการจราจรที่ติดขัด หรือการหาที่จอด รวมทั้งอัตราเร่งที่ดีกว่า
Note แค่เศษเสี้ยววินาที นอกนั้นแล้ว March รุ่นนี้ แพ้ Note ในแทบ
ทุกประเด็น

Suzuki Swift
ถ้าคุณคิดจะเก็บตังค์รอรุ่นใหม่ อาจต้องรอไปถึงเดือนมีนาคม 2018
คุณจะเจอกับตัวรถที่มีขนาดพอๆกับรุ่นเดิม แถม Packaging ก็ยังจะ
เหมือนรุ่นเดิมด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่อยากจะรอ หรือทำใจยอมรับหน้าตา
ของรุ่นใหม่ไม่ได้ Swift RX-II ก็ให้ข้าวของมาครบเท่าที่ Suzuki
จะยอมให้คุณได้ แถมสมรรถนะในด้านเครื่องยนต์ ก็ยังดีกว่า Note
ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยและช่วงล่างของ Swift จะเน้น
ขับสนุก แต่ Note ให้ความมั่ใจในย่านความเร็วสูงได้ดีกว่า อีกทั้ง
ศูนย์บริการของ Nissan ก็ยังน่าไว้ใจกว่าของ Suzuki ในภาพรวม

Toyota Yaris
ตอนแรกเรามองว่า Note น่าจะเอาชนะ Yaris ได้ แต่เมื่อลองขับจริง
ยังไงๆ Note ก็จะแพ้ Yaris ในเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ แต่จะแซง
Yaris ได้ ในด้านความประหยัดน้ำมัน พื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถงกว่า
และการเซ็ตพวงมาลัยกับช่วงล่างซึ่งให้ความมั่นใจได้ดีกว่า กระนั้น
ศูนย์บริการ Toyota มีให้คุณเลืกเยอะที่สุดในประเทศไทย ถ้าศูนย์ฯ
แห่งไห ทำผลงานชนิดที่คุณจะไม่มองห้าอีกเลยตลอดชาตินี้ ก็ยังมี
ศูนย์ฯอื่นๆ รอต้อนรับคุณอีกทั่วประเทศ และแน่นอน คุณภาพในการ
บริการหลังการขายของ Toyota ยังคงดีเลิศประเสริฐศรีกว่า Nissan

แล้วถ้าตัดสินใจแน่นอนว่า ยังคงหลงรักหลงไหลใน Note รุ่นย่อยใด
คือทางเลือกที่คุ้มค่ามากสุด?

Note เวอร์ชันไทย มีให้เลือกแค่ 2 รุ่นย่อย ดังนี้

1.2 V CVT  568,000 บาท
1.2 VL CVT  640,000 บาท

ถ้าไม่ใช่คนที่ติดยึดกับออพชันไฮเทคสุดล้ำ ต้องการแค่พื้นที่ใช้สอย
อเนกประสงค์ รุ่น 1.2 V ตัวถื้นฐาน ก็พอจะตอบโจทย์ได้อยู่ แต่ถ้าคุณ
มองถึงการลงทุนระยะยาว โอกาสที่ราคาขายต่อของรุ่น 1.2 VL ซึ่งมี
Option มาให้เพียบพร้อม น่าจะสูงกว่าอยู่นิดหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าคุณ
ใช้รถแล้วดูแรักษาดีแค่ไหน และการเพิ่มเงินอีก 72,000 บาท เมื่อ
ลองตีราคาเป็นค่าผ่อนรถในแต่ละเดือนแล้ว คุณคิดว่าจะเจียดค่ากิน
ค่าใช้จ่าย มาผ่อนส่งเพิ่มไหวหรือเปล่า

อยากดูรายละเอียด ความแตกต่าง คลิกเข้าไปดูได้ที่กระทู้ “เจาะสเป็ก”
โดยน้อง Moo Cnoe แห่ง The Coup Team ของเรา ทำไว้แล้ว คลิกที่นี่

2017_03_Nissan_Note_10

ท้ายนี้ ขอฝากข้อความถึง ทุกๆคน ที่ Nissan หน่อย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
นั่นแหละครับ

ทั้งหมดที่คุณอ่านไป อาจรู้สึกแสบสันต์ สะใจ หมั่นไส้ หรือเกลียดขี้หน้าผมไปเลย
ไม่ว่าคุณจะคิดเห็นอย่างไรหลังจากได้อ่านบทความชิ้นนี้ จบลง ผมแค่อยากจะบอก
ว่า ผมเขียนขึ้นจากความรู้สึกในฐานะของ “แฟน Nissan ตัวยงคนหนึ่ง”

ถ้าคุณรู้จักผมดีพอ ติดตามอ่านงานเขียนของผมมาตลอด คุณจะรู้ว่า ผมชอบและรัก
ใน Nissan มากขนาดไหน กล้าพูดได้เลยว่า ลองมาประชันความรู้กัน ผมอาจจะเก่ง
สู้อีกหลายๆคนไม่ได้ แต่ก็น่าจะไม่ด้อยไปกว่าใครเขาแน่ๆ

แต่..สำหรับผมแล้ว ยิ่งรักมาก ก็ยิ่งต้องตำหนิติติงกันมากๆ ผมไม่ใช่พวกรักลูกแล้ว
ต้องคอยโอ๋คอยประคบประหงมตลอดเวลา ทำเช่นนั้น เด็กมันก็ไม่ยอมโตกันพอดี
ทุกคนที่ผมรัก มักโดนผมด่ามาแล้วทั้งสิ้น ผมรู้สึกแย่นะ เวลาต้องตำหนิใครแรงๆ
มันไม่สนุกหรอก ผมก็นึกถึงใจของคนที่โดนผมด่าด้วยเสมอละ ถ้าเป็นคนที่ผม
รัก ผมจะแคร์มากๆ

Nissan ก็เช่นกัน ยิ่งรักมาก ยิ่งมองเห็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงมาก ก็จะยิ่งด่ามาก แต่
เป็นการด่า เพื่อชี้จุดให้นำไปปรับปรุง เพื่อให้ท้ายที่สุด ผลประโยชน์ก็จะตกแก่
ทุกคนที่ทำงานบนชั้น 15 ตึกนันทวัน และที่โรงงาน ณ บางนา-ตราด กม.21-22
รวมทั้งลูกค้าของคุณทุกๆคน

ถ้าคุณคิดว่า ทุกสิ่งที่ผมเขียนวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ มันจี้ใจดำ
ทิ่มแทงเสียจนเจ็บปวด แสดงให้เห็นว่า คุณแม่งไม่รู้ค่าความหวังดีของผมเลยวะ!
โคตรอยากจะร้องไห้! (อันที่จริง ตอนเขียนนี่ น้ำตาก็ซึมๆนะ เกือบไหลละ แต่ยั้งไว้)

น่าเสียใจที่ รถดีๆ บริษัทดีๆ อย่าง Nissan จะต้องถูกบริหารงาน โดยไอ้พวกที่ชอบ
เล่นการเมือง ประจบสอพลอ ไปวันๆ หรือทำงานไม่เป็น ดีแต่โบ้ยงานให้เพื่อนฝูง
และลูกน้องไปวันๆ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ นั่นแหละ

ผมเคยได้คุยกับชาวญี่ปุ่นและฝรั่งของ Nissan หลายคน บางคนน่ารักมาก บางคน
Nice บางคนนี่ แทบอยากเอาตัวไปยืนให้ห่างไกล ใช่ครับ มันเป็นธรรมดาโลกแหละ
ทุกองค์กร ก็มีเรื่องบ้าๆ แบบนี้เหมือนกันหมด

แต่ถามหน่อยเถอะ บริษัทของคุณ เคยวิกฤติกันจนถึงขั้นต้องให้ Renault เข้ามา
ช่วยอุ้มชูกิจการ เมื่อปี 1999 กันแล้ว ถ้ายังทำกันแบบนี้ ไม่เข็ดเหรอครับที่จะต้อง
เจอวิกฤติในวันข้างหน้า?

Nissan เคยยิ่งใหญ่มากในช่วงทศวรรษ 1960 แต่เพราะการไม่ฟังคนนอก ไม่ฟัง
แม้แต่เสียงของพนักงานตัวเล็กๆในองค์กรเลย นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ Nissan
ต้องโดน Toyota แซงขึ้นมาเป็นการถาวรเหมือนทุกวันนี้

ถึงเวลาหรือยัง ที่ทุกคนในองค์กรเลิกทำพฤติกรรมแย่ๆแบบเดิมๆกันเสียที แล้วมา
ช่วยกันทำให้ Nissan กลัมาเจริญรุ่งเรืองกว่านี้ ในสายตาของลูกค้าทั่วโลก และ
ชาวไทย เสียทีเถอะ

ผมยังมีความหวังอยู่ ผมยังรอดูอยู่
ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเปิดใจรับฟังในสิ่งที่ผมพูดหรือไม่ ก็เท่านั้น

———————————///———————————-

 

2017_03_Nissan_Note_11

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆอย่างดียิ่ง

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ภาพถ่ายรถยนต์จากต่างประเทศ ภาพวาด หรือ ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค
Illustration เป็นของ Nissan Motor Co.Ltd.

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
27 มีนาคม 2017

Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission
is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 27th,2017

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!