ครั้งสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาสทดลองขับ MINI รุ่นใหม่ นั่นก็ต้องย้อน
นาฬิกากลับไปยัง เดือนกันยายน 2014 ในวันที่ผมต้องเดินทางไปยัง
ประเทศอังกฤษ เพื่อทดลองขับ MINI 5 ประตู รุ่นใหม่ เป็นการบินไป
ยังเมืองผู้ดี ครั้งที่ 2 ในปีนั้น ทิ้งห่างจากครั้งแรก เพียงแค่เดือนเดียว!
ช่วงนั้น แทบจะจำแผนผัง Terminal 2 ของสนามบิน Heathrow ได้
แม่นยำเลยแหละ! ก็เล่นไปอังกฤษ ติดกัน 2 ทริป ในเวลาห่างกันแค่
3 สัปดาห์ อย่างนั้น
เวลาผ่านไป เดือนพฤศจิกายน 2016 “พี่ไหม” Senior PR หรือฝ่าย
ประชาสัมพันธ์ ของ BMW Thailand โทรมาหาในบ่ายวันหนึ่ง เพื่อ
ชวนให้ไปลองขับ MINI Countryman รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเพิ่งเผยโฉม
เมื่อ 25 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา
มันก็ดีอยู่หรอกครับที่ พี่ไหม โทรมาชวน แต่สิ่งที่ผมกังวลหนะ มีอยู่
เรื่องหนึ่ง ซึ่งถือ่า สำคัญพอดูเลยละ…
นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทย เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2010 จนถึงวันที่
รถคันนี้ กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ปลายอายุตลาด ใกล้จะตกรุ่นเต็มแก่
ผมยังไม่เคยได้ลองขับ MINI Countryman รุ่น R60 นี้เลยแม้แต่
ครั้งเดียว!
เจ้าหมอนี่ รอดจากเงื้อมือฉันมาได้ยังไงตั้ง 6 ปี เนี่ย?
มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถ้าผมจะต้องบินไปขับ Countryman รุ่นใหม่ โดยที่
ไม่เคยมีประสบการณ์กับ “เจ้าหนุ่มชนบท” รุ่นปัจจุบัน มาก่อนเลย นั่น
เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า ไม่แฟร์เท่าไหร่กับทั้งตัวเอง คุณผู้อ่าน และ BMW
Thailand เพราะจะให้เขียนวิจารณ์รถยนต์รุ่นใหม่ โดยไม่เปรียบเทียบ
ความเปลี่ยนแปลงจากรถรุ่นเดิม ตัวบทความมันคงจะออกมาแปลกๆ
ไม่สมบูรณ์ และก็คงจะมีเสียงตำหนิติฉินนินทาตามมาให้เคล็ดขัดยอก
ชอกช้ำใจ ยิ่งกว่าเอาตูดไปขูดหินแน่ๆ
ย่างเข้าปี 2017 มาได้ ไม่กี่วัน ผมก็โทรหา “พี่ไหม” อีกครั้งว่า พอจะมี
MINI Countryman เหลือให้ยืมสักคันหรือไม่ เหตุผลที่ต้องถามกัน
เพราะว่า ตามปกติแล้ว ช่วงผ่านพ้นปีใหม่มาได้ไม่กี่วัน บริษัทที่ดูแล
รถยนต์ทดสอบ รถประจำตำแหน่งผู้บริหาร หรือรถยนต์สำหรับใช้งาน
ในกิจกรรมของฝ่ายการตลาด (ซึ่ง BMW จ้างบริษัท Outsource มา
รับหน้าที่ดูแลฝูงรถเหล่านี้อีกทีหนึ่ง) จะตัดรถที่หมดอายุตลาด และ
รถประจำตำแหน่งผู้บริหาร ที่แล่นมาจนเกิน 10,000 กิโลเมตร ออก
จาก Fleet ส่งไปปรับสภาพ เก็บสี เก็บรอย และซ่อมแซมให้เรียบร้อย
ก่อนจะส่งต่อไปขาย ในฐานะ รถมือสอบใช้แล้วสภาพดี ต่อไป
โชคยังเป็นของผม “เจ้าหนุ่มชนบท” ที่เหลือยู่เพียงคันเดียว คันสุดท้าย
ในฝูง อยู่ในสภาพพร้อมส่งมอบให้ผม ยืมมาทดลองขับ และทำบทความ
รีวิว สั้นๆ ให้คุณๆได้อ่านกันพอดี
ดังนั้น ผมจึงอยากพาคุณมาทำความรู้จักกับ “เจ้าหนุ่มชนบท” รุ่นปัจจุบัน
ที่กำลังใกล้จะตกรุ่น ก่อนที่จะบินไปทดลองสัมผัส “เจ้าหนุ่มชนบท” รุ่น
ใหม่ล่าสุด ไกลถึง London และ Oxfordshire ในสัปดาห์หน้า
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากละครับ ถ้าพร้อมแล้ว เราก็คงต้องเริ่มกันด้วย
จุดกำเนดความเป็นมาของ Countryman สักเล็กน้อย ตามธรรมเนียม
ดั้งเดิมชอง Full Review By J!MMY
อย่างที่ทราบกันดีว่า Mini ช่วงปี 1993 อยู่ในฐานะ รถยนต์รุ่นหนึ่งของ
Rover และถูก BMW Group ซื้อกิจการเข้าไปอยู่ในเครือของตน เมื่อ
1 กุมภาพันธ์ 1994 พร้อมกับพี่น้องร่วมกลุ่มกิจการรถยนต์ของ British
Aerospace อย่าง Rover และ Land Rover
ต่อมา เมื่อพวกเขา แยกขายกิจการของ Land Rover ให้กับ Ford ในปี
1999 พร้อมกับแยกขาย Rover ให้นักลงทุน Phoenix Group (ก่อนที่
กลุ่ม SAIC จะคว้าไปชุบเลี้ยงต่อในปี 2004 กลายเป็น Roewe กับ MG
ในปัจจุบัน) BMW ก็เก็บ Mini ไว้ครอบครองสมใจปอง และเริ่มสร้าง
แบรนด์ MINI ในยุคใหม่ ให้เป็นแบรนด์เอกเทศของตนเอง รวมทั้ง
ปล่อยรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมา จนกลายเป็นยานยนต์ขนาดเล็ก ขายดี
และทำกำไรให้ BMW อย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป กระแสความนิยมรถยนต์ Crossover
SUV ก็คืบคลานเข้ามา ถ้า MINI จะต้องรักษายอดขาย และผลกำไร
ให้ได้ในระยะยาว พวกเขาจำเป็นต้องสร้าง SUV ขึ้นมา สักรุ่น เพื่อ
เอาใจลูกค้าวัยรุ่น และวัยเริ่มสร้างครอบครัว แต่ยังมีรสนิยมวิไลไม่มี
ใครมาเหมือน ตามแนวทางเดิมของ MINI
ความเคลื่อนไหวในการพัฒนา SUV ของพวกเขา เริ่มถูกเปิดเผยให้
สาธารณชนได้รับรู้ ผ่านทาง การเปิดผ้าคลุม รถยนต์ต้นแบบรุ่นใหม่
MINI Crossover Concept ในงาน Paris Auto Salon เมื่อวันที่ 1
ตุลาคม 2008 จุดเด่นของตัวรถ หาใช่อยู่แค่เพียงการออกแบบ แต่
ยังแบ่งตัวรถ ออกเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งขวานั้น คือร่างทรงของ เวอร์ชัน
ขายจริง สำหรับ Countryman ส่วนฝั่งซ้ายนั้น ถูกนำมาปรับปรุงต่อ
จนกลายเป็น Crossover Coupe 2 ประตูรุ่น Paceman ที่ตามออกมา
ในภายหลัง
เมื่การพัฒนาเสร็จสิ้นลง MINI ก็พร้อมเผยภาพแรกอย่างเป็นทางการ
ของ Countryman เมื่อ 20 มกราคม 2010 เริ่มเผยข้อมูลทางเทคนิค
ทั้งหมด เมื่อ 12 กรกฎาคม 2010 และเริ่มออกจำหน่ายจริงในอังกฤษ
เป็นแห่งแรก เมื่อ 18 กันยายน 2010
สำหรับประเทศไทย Countryman มาถึงบ้านเราในเวลาไม่นานนัก
เปิดตัวตามหลังวันออกจำหน่ายจริงในยุโรปและอังกฤษแค่ 2 เดือน
เท่านั้น BMW Thailand เปิดตัว MINI Countyman ในบ้านเราเป็น
ครั้งแรก เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2010 และนำไปจัดแสดงและเปิดจอง
ในงาน Motor Expo 2010
จากนั้น ในตลาดโลก MINI เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Cooper SD ให้กับทุก
รุ่นตัวถัง รวมทั้ง Countryman Cooper SD พร้อมเครื่องยนต์ใหม่
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี Common-Rail Turbo
143 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 305 นิวตัน-เมตร
(31.07 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,700 รอบ/นาที เมื่อวันที่
2 กุมภาพันธ์ 2011 จากนั้นจึงมีการปรับปรุงรายละเอียดเล็กๆน้อย
เป็นรุ่นปี 2012 เมื่อ 1 มีนาคม 2012
7 กันยายน 2012 : MINI John Cooper Works Countryman
ตัวแรงสุดในรุ่น เผยโฉมออกมา แรงด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร พ่วง Turbocharger / Intercooler
218 แรงม้า (HP) แรงบิด 280 นิวตัน-เมตร (28.53 กก.-ม.) ที่
สามารถเพิ่มเป็น 300 นิวตัน-เมตร (30.57 กก.-ม.) ได้ใน Mode
Overboost มีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และรุ่นเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะ Steptronic เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
แบบ ALL4
29 มกราคม 2013 MINI ประกาศ เพิ่มรุ่นย่อยที่ใช้ระบบขับเคลื่อน
4 ล้อ ALL4 ทั้งใน Countryman และ Paceman รวม 8 รุ่น รวมทั้ง
John Cooper Works Countryman ด้วย ทั้งหมดนี้ เริ่มขายจริง
เมื่อ 12 มีนาคม 2013 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ MINI Countryman
คันที่ 250,000 คลอดจากสายการผลิตจากโรงงาน Magna Steyr
Fahrzeugtechnik ในเมือง Graz ประเทศ Austria แสดงให้เห็น
ถึงความสำเร็จอย่างถล่มทะลายของ MINI ในการเปิดตลาดใหม่
ให้กับแบรนด์ของตนเอง จนลูกค้าให้การต้อนรับอย่างดีเยี่ยมทั่ว
ทุกตลาดในโลกที่ถูกส่งเข้าไปขาย
3 มิถุนายน 2013 MINI ประกาศเพิ่มรุ่นย่อยที่ใช้ระบบขับเคลื่อน
4 ล้อ ALL4 ให้กับ Countryman และ Paceman รุ่นละ 4 รุ่นย่อย
รวมทั้งยังเพิ่มสารพัดอุปกรณ์สั่งติดตั้งพิเศษอีกหลายรายการ เริ่ม
จำหน่าย เดือนกรกฎาคม 2013 ก่อนจะเพิ่มสีตัวถังใหม่ Frozen
Black Metallic เมื่อ 17 ตุลาคม 2013
8 สิงหาคม 2013 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เกิดขึ้นในประเทศไทย
MINI Countryman กลายเป็น MINI รุ่นแรกที่มีการส่งชิ้นส่วน
CKD ของ MINI มาประกอบที่โรงงานในบ้านเรา ณ จังหวัดระยอง
โดย MINI Countryman CKD Made in Thailand มีให้เลือก
3 รุ่นย่อย คือ Cooper , Cooper D และ Cooper SD ราคาเริ่มต้น
อยู่ที่ 1,840,000 บาท (ในตอนนั้น)
16 เมษายน 2014 MINI Counttryman LCI หรือรุ่นปรับโฉมแบบ
Minorchange เผยโฉม ออกมาพร้อมกับการปรับปรุงรายละเอียด
การตกแต่งภายนอก ภายใน หลายจุด เพิ่มออพชันใหม่ๆ รวมทั้งการ
Upgrade ขุมพลังของรุ่น Cooper S ให้แรงขึ้น มีให้เลือกครบครัน
ถึง 11 รุ่นย่อย เริ่มออกสู่ตลาดจริง 5 กรกฎาคม 2014 และขายกัน
เรื่อยมายาวๆ จนถึงปัจจุบัน
Countryman รุ่นแรก R60 มีตัวถังยาว 4,097 มิลลิเมตร กว้าง 1,789
มิลลิเมตร ความสูง 1,561 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,596 มิลลิเมตร
ถ้าเปรียบเทียบกับ MINI 5 ประตู รุ่นปัจจุบัน F56 ซึ่งมีความยาว 3982
ถึง 4,005 มิลลิเมตร กว้าง 1,727 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อ 2,567 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า Countryman R60 รุ่นแรก ยัง
มีขนาดตัวถัง ยาวกว่ารุ่น 5 ประตู 92 มิลลิเมตร กว้างกว่า 62 มิลลิเมตร
สูงกว่าถึง 131 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 28 มิลลิเมตร
สำหรับรุ่น PARKLANE นั้น ถือเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ ที่ MINI มักจะ
ปล่อยออกมา เพื่อเป็นสัญญาณว่า ถ้าอยากจะซื้อ MINI รุ่นนั้นๆ ให้
รีบซื้อได้แล้วนะ เพราะมันใกล้จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมในอีก 1 ปี แล้วนะ
ชื่อ PARK LANE นำมาจากชื่อถนนสายหนึ่งในกรุง London ประเทศ
อังกฤษ นั่นแหละครับ
MINI เปิดตัว Countryman PARKLANE ครั้งแรกในงาน Geneva
Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2015 และเริ่มส่งขึ้นโชว์รูมในยุโรป เมื่อ
เดือนกรกฎาคม 2015
สำหรับประเทศไทย PARKLANE ถูกส่งมาขายอย่างเงียบๆ ตั้งแต่
เดือนกรกฎาคม 2016 (1 ปี ให้หลัง จาการเปิดตัวในตลาดโลก)
ในเมื่อเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ ดังนั้น Countryman PARKLANE คันนี้
จึงมีสีตัวถังพิเศษ Earl Grey Metallic ตัดกับสีหลังคา Oak Red และ
สติ๊กเกอร์ตกแต่งรอบคันสี Oak Red ซึ่งทั้งหมดนี้ จะไม่มีใน MINI
Countryman รุ่นย่อยอื่นๆ ส่วนล้ออัลลอย จะเป็นขนาด 18 นิ้ว ลาย
Turbo Fan พ่นสีรมดำ Matt Anthracite สวมด้วยยาง Pirelli รุ่น P7
Cinturato ขนาด 225/45 R18 ซึ่งให้การยึดเกาะโค้งที่ดีใช้ได้ แต่มัก
ชอบดิ้นแบบแฉลบๆ เมื่อเจอรอยต่อพื้นผิวโค้ง บนทางด่วนบ้านเรา
รีโมทกุญแจ ยังคงเป็นแบบ Smart Keyless Entry ที่มีหน้าตา ย่อส่วน
กระโจม Eskimo ลงมาอยู่ในมือของคุณ มีทั้งสวิชต์ล็อก ปลดล็อก และ
เปิดฝากระโปรงหลังได้ ท้ั้งหมดนี้ ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า อีกทั้งยังมีระบบ
Immobilizer มาให้จากโรงงาน
ถ้าต้องการเปิด – ปิดประตู ให้พกรีโมทนี้ไว้ เดินเข้าใกล้รถ แล้วกดปุ่มดำ
บนมือจับประตู เพื่อสั่งปลดล็อก หรือ ล็อกรถได้ทันที
การติดเครื่องยนต์ ใช้วิธีกดสวิตช์ Push Start ขนาดเล็กมาก ซ่อนไว้
ติดกับช่องแอร์วงกลมฝั่งขวา ของมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ยังคงมีช่อง
สำหรับเสียบพักกุญแจรถไว้ ในกรณีที่เจ้าของรถกลัวจะลืมทำหายไว้
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า ทำได้ดี เนื่องจากเบาะคู่หน้า ถูกติดตั้ง
ให้มีระยะห่างจากพื้นถนน จนถึงจุดบั้นเอว (Hip-point) เหมาะสม กระนั้น
ขอแนะนำว่า สำหรับคนตัวสูง ควรปรับเบาะนั่ง ให้กดลงจนต่ำสุด ก่อนที่จะ
หย่อนก้นลงนั่ง มิเช่นนั้น ศีรษะของคุณ อาจโขกกับเสาขอบหลังคาด้านบน
ได้อยู่ดี
ขนาดของช่องทาง – เข้า ออก อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม คนผอม ไม่มีปัญหา
แน่ๆ แต่ถ้าคุณตัวอ้วนใหญ่ เป็น Totoro อย่าง พี่ Pan Paitoonpong ของ
เว็บเรา ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามเบยดเสียด ยัดเยียดร่างเข้ามานั่งใน
ตัวรถเอาเรื่องอยู่เลยละ
แผงประตูด้านข้าง บุด้วยพลาสติกหนาๆแข็งๆ สีดำ สไตล์รถยุโรปทั้งแแผ่น
แม้จะออกแบบให้มีเส้นสีเงิน โค้งมน ตัดแบ่งพื้นที่ เหมือน MINI ตามปกติ
แต่รู้เลยว่า พวกเขาจงใจ ลดทอนความเป็น MINI ลงมานิดหน่อย เพื่อให้
กลุมลูกค้าทั่วไป เข้าถึงบุคลิกของ MINI ได้ง่ายขึ้น เฉพาะพนักวางแขน
เท่านั้น ที่จะหุ้มด้วยหนังสีดำ เสริมฟองน้ำบุนุ่มด้านใน วางแขนได้ในพอดีๆ
ขึ้นอยู่กับการปรับระยะเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ของเบาะคู่หน้า
มือจับประตู เป็นแบบครึ่งวงกลม เช่นเดียวกับ MINI ทุกรุ่น นอกจากนี้ แผง
ประตูด้านข้าง มีช่องวางของ สามารถใส่ขวดน้ำดื่ม 7 บาท ได้ถึง 2 ขวด แต่
ไม่มีตัวล็อกตำแหน่งขวดมาให้ ดังนั้น ควรปิดฝาเครื่องดื่มของคุณให้แน่น
มิเช่นนั้น ขณะรถกำลังแล่น ของเหลวในขวด อาจหกรดเต็มช่องวางของได้
ด้านล่างของแผงประตูคู่น้า มีไฟส่องสว่าง ให้รถคันที่ตามมาในยามค่ำคืน
เห็นว่าคุณกำลังเปิดประตูรถอยู่ ตามมาตรฐานของรถยุโรปทั่วๆไป
เบาะนั่งคู่หน้า ถูกออกแบบมาในสไตล์ Sport โดยนำพนักพิงหลังของ
MINI รุ่นอื่นๆ มาประยุกต์เข้ากับ เบาะรองนั่ง และพนักศ๊รษะ ที่แตกต่าง
ไปจากพี่น้องในตระกูล การปรับเลื่อนชุดเบาะ ใช้กลไกคันโยก เลื่อน
ขึ้นหน้า – ถอยหลัง ด้วยคันโยก ที่ฐานเบาะ ปรับเอน-ตั้งชัน ด้วยคันโยก
ด้านข้าง ใกล้จุดหมุนของตัวเบาะ และฐานของเข็มขัดนิรภัย เหมือนกับ
รถยนต์รุ่นใหม่ๆทั่วๆไป และมีตัวดันหลัง ปรับได้ที่มือหมุน ด้านข้างของ
พนักพิงเบาะคู่หน้า (ให้มาครบทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า) อีกทั้ง
ยังมีคันโยก ปรับระดับสูง – ต่ำ ของเบาะคนขับมาให้อีกต่างหาก
ในรถทดลองขับคันนี้ มีการตกแต่งภายใน ด้วยหนังสังเคราะห์สี ดำ ซึ่ง
ถูกใจลูกค้าชาวไทย ผู้ที่มักซุ่มซ่าม ทำอาหารและเครื่องดื่ม หกใส่เบาะ
เป็นประจำ
พนักศีรษะ ปรับระดับสูง – ต่ำได้ เพียงอย่างเดียว แอบดันศีรษะนิดๆ แต่
ด้วยการบุฟองน้ำเสริมข้างในมาค่อนข้างหนาอยู่ เลยทำให้ยังพอจะพบ
ความสบายในการพิงศีรษะอยู่ กระนั้น บางจังหวะยังแอบเมื่อย บริเวณ
กระดูกต้นคออยู่บ้างเหมือนกัน
พนักพิงหลัง มีปีกข้างที่โอบกระชับ และล็อกตัวคนขับกับผู้โดยสาร ไว้
ในขณะเข้าโค้งได้ดีเลยทีเดียว เหมือนจะอึดอัด แต่ความจริง กลับรู้สึก
ว่าสบายพอประมาณ การดันแผ่นหลัง ทำได้ดีตามปกติ ถึงจะเต็มพื้นที่
แต่ถ้าไม่พอใจ ก็ปรับมือหมุนข้างเบาะได้ตามความต้องการ ทั้ง 2 ฝั่ง
ต้องออกแรงนิดนึงถึงจะหมุนได้ แนะนำว่าควรทำตอนรถจอดอยู่นิ่งๆ
จะปลอดภัยกว่า ฟองน้ำบุด้านใน เป็นแบบแน่นหนา เกือบแข็ง แต่ยัง
หลงเหลือความนุ่มไว้นิดๆ (นิดเดียวจริงๆ)
เบาะรองนั่ง มีความยาวพอกันกับ MINI รุ่นอื่นๆ รวมทั้งรถยนต์ขนาด
เล็กทั่วๆไปในตลาด แต่ขอบเบาะ มีการออกแบบและปาดให้โค้งมน
ดังนั้น สำหรับคนตัวเล็ก แขนขาเล็ก การรองรับ จะถือว่าสบายๆพอดี
แต่สำหรับคนที่มีท่อนขาใหญ่โต อาจรู้สึกว่าขอบเบาะด้านข้างมันยัง
โล่งๆไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ฟองน้ำเสริมด้านใน ก็มาในสไตล์
แน่นหนา เกือบแข็ง แต่แอบนุ่ม เหมือนกัน
พื้นที่เหนือศีรษะ ถ้าคุณ มีสรีระร่าง สูงไม่เกิน 185 เซนติเมตร เลิกคิด
กังวลไปได้เลย พื้นที่เหลือเยอะมาก เหมาะกับมนุษย์สายพันธ์ยีราฟ
เป็นอย่างยิ่ง!
เข็มขัดนิรภัยของเบาะคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับ
อัตโนมัติ Pre-tensioner แต่ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้!
การเข้า – ออก จากพื้นที่โดยสารด้านหลัง ดูเหมือนจะทำได้ง่ายดาย ทว่า
ไม่ถึงขนาดนั้นไปเสียทั้งหมด เพราะว่า แม้จะไม่เจอปัญหาศีรษะโขกกับ
เสาโครงหลังคาด้านบน (แค่เกือบๆเฉียดๆหัว) แต่ระยะห่างจากเบาะนั่ง
จนถึงขอบธรณีประตู ยาวไปนิดนึง ทำให้ต้องขยับตัวเข้าไปนั่งในรถ และ
ต้องอาศัยความพยายามในการก้าวออกจากรถ มากพอสมควร ถ้าไปลุย
ฝุ่นโคลนมา โอกาสที่กางเกงหรือกระโปรง จะเปื้อนฝุ่นจากตัวถังรถ ยิ่ง
ง่ายขึ้นเยอะ
กระจกหน้าต่างคู่หลัง เลื่อนเปิดลงมาได้ ไม่สุดขอบแผงประตูคู่หลัง ซึ่งยัง
เป็นพลาสติกสีดำแข็งๆ ทั้งแผ่น และถูกออกแบบให้มีแนว Trim สีเงินโค้ง
มนต่อเนื่องมาจากแผงประตูคู่หน้า แต่นั่นทำให้ความอเนกประสงค์ในการ
ใช้งาน ลดลงตามไปด้วย
คันโยกเปิดประตูแบบครึ่งวงกลม ติดต่างแยกออกมาอยู่ด้านบนสุด มือจับ
ดึงปิดประตู ถูกแยกไปรวมอยู่กับ สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ขณะเดียวกัน
พนักวางแขนด้านหลัง ถูกแยกออกมาเป็นแค่ Hot Dog สีดำ หุ้มหนัง บุนุ่ม
แปะเอาไว้ ใต้ลำโพงคู่หลัง ซึ่งถูกย้ายขึ้นมาไว้ ใกล้ท่อนแขนของผู้โดยสาร
มากขึ้น เพราะต้องหลีกทางให้กับ ช่องวางของ ซึ่งพอจะวางสมุดโน้ต หรือ
ขวดน้ำดื่ม 7 บาท ได้ 1 ขวด แน่นอนว่า ยังมีไฟส่องสว่างยามค่ำคืน ติดตั้ง
แถมมาให้เพื่อความปลอดภัยเช่นเดียวกับแผงประตูคู่หน้าอีกด้วย
พื้นที่โดยสารด้านหลังรถ มีขนาดกว้างใหญ่สุดในบรรดา MINI ที่ขายกัน
มาจนถึงปี 2017 (ครองตำแหน่งนี้ไปจนกระทั่ง New Countryman ใหม่
จะเริ่มออกขายในช่วงปลายปีนี้)
เบาะนั่งแถวหลัง มีพนักพิงที่เสริมด้วยฟองน้ำแบบ แน่นยิ่งกว่าเบาะหน้า
ถ้าไม่เอานิ้วกด จะไม่รู้เลยว่า มันยังหลงเหลือวามนุ่มไว้เพียงนิดเดียวจริงๆ
รองรับพื้นที่แผ่นหลังได้เต็มแผ่น แต่สิ่งที่ช่วยให้นั่งพอจะสบายได้ นั่นคือ
ตำแหน่งพนักพิงทีสามารถปรับให้ตั้งชัน หรือเอนลงได้จนสุดขอบฝาบัง
สัมภาระด้านหลัง นั่นแหละครับ
พนักศีรษะ ถึงจะบุฟองน้ำเสริมไว้ แต่มันแข็งกว่าพนักศีรษะคู่หน้า ชัดเจน
อย่างมาก! แถมเมื่อไม่ยกขึ้นใช้งาน ขอบด้านล่างก็จะทิ่มตำต้นคอของผม
ต้องยกขึ้น 1 จังหวะ จึงจะนั่งได้สบายตามอัตภาพ
เบาะรองนั่ง สั้น และมีมุมเบาะ โค้งมน อีกแล้ว อาจจะช่วยเพิ่มความสะดวก
ในการลุกเข้า – ออก แถมมีฟองน้ำที่บุแน่น ไม่แพ้เบาะนั่งในตำแหน่งอื่นๆ
แต่มุมองศาการเงยของเบาะรองนั่ง น้อยไปนิดเดียว ถ้ายกขึ้นอีกเพียงแค่
5 มิลลิเมตร น่าจะช่วยรองรับต้นขาได้เต็มที่กว่านี้
พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับผู้โดยสารที่สูง 170 เซ็นติเมตรอย่างผู้เขียน ยัง
เหลืออีกตั้ง 4 นิ้วมือในแนวนอน ส่วนพื้นที่วางขา ขึ้นอยู่ับความกรุณาของ
ผู้ขับขี่ กระนั้นก็เถอะ ต่อให้ปรับเบาะถอยร่นลงมาอย่างไร คนนั่งด้านหลัง
ก็ยังมีพื้นที่ Leg Room เหลือเยอะ พอให้นั่งไขว่ห้างได้สบายๆ ซึ่งคุณจะ
ทำแบบนี้ กับ MINI ตัวเตี้ย รุ่นปกติ ไม่ได้!
นอกจากนี้ เบาะแถวหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40
อีกด้วย เพียงแต่ว่า การพับเบาะนั้น เริ่มต้นด้วย การดึงสายเชือกปลดล็อก
พนักพิงหลัง ที่ยื่นออกมา อยู่บริเวณ ด้านข้างของพนักพิงหลัง จากนั้นจึง
พับพักพิงลงมาทั้งชุด เป็นอันเสร็จพิธี หากต้องการยกนักพิงหลังกลับไป
ยังตำแหน่งเดิม ก็ทำย้อนขั้นตอนข้างต้น แค่นั้น
มือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศาสดา) ให้มาครบทั้ง 4 ตำแหน่ง เหนือช่องทาง
เข้า – ออก จากปะตูทั้ง 4 บาน
เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ลดแรงปะทะ
Pre-tensioners เช่นเดียวกัน และสำหรับผู้โดยสาร ที่ต้องนั่งกลางเบาะ
สายเข็มขัดจะถูกม้วนเก็บซ่อนไว้บริเวณเพดานหลังคา ด้านหลังรถ อีกทั้ง
ยังมี จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ครบทั้งฝั่งซ้าย
และขวา อีกด้วย
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง สามารถปลดล็อก และเปิดยกขึ้นได้
ทั้งจากสวิตช์ที่รีโมทกุญแจ และคันโยกที่ฝังซ่อนรวมเอาไว้กับสัญลักษณ์
ของ MINI ที่ฝาท้ายของรถ ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น รวมทั้งยัง
มีการบุผนังด้านหลังฝาท้าย ให้เรียบร้อย และมีมือจับเอื้อมยกฝาท้าย ปิด
ลงมา ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา และมีแผงบังสัมภาระ ทำจากวัสดุ Recycle แถม
มาให้เสร็จสรรพ
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดใหญ่ หากยังไม่พับเบาะหลังลง สามารถ
จุได้ 350ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี แต่ถ้า พับเบาะหลังลงทั้งหมด
ความจุจะเพิ่มขึ้น เป็น 450 – 1,150 ลิตร VDA ตามรูปแบบการพับเบาะ
ผนังด้านข้างฝั่งขวา มีไฟส่องสว่างมาให้ ในยามค่ำคืน ขนาดของมันก็เล็ก
จนแทบไม่อยากคาดหวังถึงความสว่างใดๆมากมายนัก
เมื่อยกพื้นห้องเก็บของ แบบพับครึ่ง และยกออกได้ทั้งแผ่น คุณจะพบแอ่ง
สำหรับใส่ข้าวของมากมายก่ายกอง ซึ่งจะมีชุดปะยางด้วยตนเอง รวมทั้ง
ชุดปฐมพยาบาล แถมมาให้จากโรงงาน แต่ไม่มียางอะไหล่ มาให้ เพราะ
BMW และ MINI ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย ใช้ยางติดรถเป็นแบบ
Run Flat Tyre (ซึ่สามารถแ่ล่นต่อได้อีก 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังยาง
เกิดปัญหาลมรั่วจนหมด) อยู่แล้ว
แผงหน้าปัด ยังคงออกแบบให้มีเอกลักษณ์ แบบ MINI รุ่นก่อนๆ ที่ยังคง
ถ่ายทอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ช่องแอร์แบบวงกลมทุกตำแหน่ง
มาตรวัดความเร็ว ขนาดใหญ่ เท่าหน้าจอ ตาชั่งน้ำหนักรถบรรทุกที่โรงสี
ยุคโบราณ ซึ่งติดตั้งจอมอนเตอร์สีเอาไว้ ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์
ย้ายไปติดตั้งด้านหลังพวงมาลัย อยู่ตรงหน้าผู้ขับขี่ไปเลย ถ้ากลัวว่าจะ
ดูเข็มความเร็วไม่รู้เรื่อง ก็ยังมีมาตรวัดแบบ Digital แสดงให้ดูไปด้วย
ในรุ่น PARKLANE นั้น จะติดตั้งอุปกรณ์ภายใน เพิ่มเข้ามาเล็กน้อย ทั้ง
แผง Trim เหนือกล่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งซ้าย พร้อมสัญลักษณ์
ประจำรุ่น , กาบบันได ส่วนแผง Trim ขนาบข้างแผงควบคุมเครื่องปรับ
อากาศ ออกแบบเป็น ลวดลายพิเศษ Parallel Line Light Tobacco
มองขึ้นไปด้านบน แผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง มีกระจกแต่งหน้า พร้อมฝาพับ
และไฟแต่งหน้า ที่ให้ความสว่างพอๆกับแสงเทียนเล่มน้อยในค่ำคืน
ข้างแรม ที่มืดมิด (คือมันไม่สว่างเลยนั่นแหละ!) มีกระจกมองหลัง กับ
แผงควบคุมสวิตช์ไฟอ่านแผนที่ ไฟส่องสว่างกลางเพดานหลังคา (ซึ่ง
มีไฟอ่านแผนที่แยกมาให้อีกชุดนึงด้วย) และไฟ Ambient Light ที่
เปลี่ยนสี และความสว่างได้ ติดตั้งอยู่ใกล้กัน
ไฟ Ambient Light จะมีติดตั้งซ่อนไว้ ที่แผงควบคุมไฟในห้องโดยสาร
บนเพดานหลังคา ระหว่างแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง มือจับเปิดประตู แผงประตู
ด้านข้าง เลือกเปลี่ยนได้ 7 เฉดสีหลัก และปรับความสว่าง ได้นิดหน่อย
จากฝั่งขวา มาทางซ้าย
สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ออกแบบให้ดูหรูหราขึ้น และใช้งานได้เหมือน
รถยนต์ทั่วๆไปมากขึ้น เป็นแบบ One-Touch เลื่อนขึ้นลงได้ด้วยการกด
หรือยกสวิตช์ขึ้นจนสุด เพียงแค่ครั้งเดียว ครบทั้ง 4 บาน!
สวิตช์กระจกมองข้าง ปรับและพับด้วยไฟฟ้า ใช้งานได้ตามปกติ ส่วนบริเวณ
แผงประตูด้านข้าง มีช่องมือจับ ที่สามารถวางของจุกจิกได้เพิมขึ้นอีกนิด
สวิตช์ติดเครื่องยนต์ พร้อมช่องเสียบรีโมทกุญแจ ถูกซ่อนเอาไว้อยู่ติดกับ
ช่องแอร์ฝั่งขวาสุดของคนขับ ตามธรมเนียมของ MINI รุ่นใหม่ๆ ทั่วๆไป
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์สหกรณ์ ยกมาจาก MINI รุ่นอื่นๆ ปรับ
ระดับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ได้มากพอประมาณ มี
วงพวงมาลัยยังคงจับกระชับมือ อวบอูม เอาใจคนชอบขับรถตามเคย
ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ติดตั้ง สวิชต์ ควบคุมเครื่องเสียง และระบบโทรศัพท์
รวมทั้งระบบ สั่งการด้วยเสียง Voice Command ส่วนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา
ติดตั้ง สวิชต์ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control
นอกจากนี้ ยังมีแป้น Paddle Shift สำหรับเปลี่ยนเกียร์มาให้ ติดตั้งบริเวณ
ด้านหลังพวงมาลัยทั้งฝั่งซ้าย และขวา
แป้นคันเร่ง (แบบ Organ Type) เบรก และแป้นพักเท้า ออกแบบและผลิต
จากอะลูมีเนียมอย่างดี เหมือนกับ MINI คันอื่นๆ
ก้านสวิตช์ฝั่งขวา เป็นธรรมเนียมของรถยุโรป ที่มักจะติดตั้งสวิตช์ สำหรับ
ระบบใบปัดน้ำฝน และที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า – หลัง อาจใช้งานได้
สับสนนิดๆ แ่เมื่อคุ้นชิน ก็จะไม่งุนงง ใช้มือขวา ยกก้านสวิตช์ขึ้น เพื่อเปิด
ใบปัดน้ำฝนให้ทำงาน หมุนหัวสวิตช์ เพื่อให้ใบปัดน้ำฝนด้านหลังทำงาน
ถ้าต้องการเลิกใช้งาน ก็กดก้านสวิตช์ลง จะฉีดน้ำล้าง ก็ให้ดึงก้านสวิตช์
เข้าหาตัว แค่นี้เอง
ก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย จะรวมชุดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟสูง และไฟใหญ่ เข้าไว้
ด้วยกัน นี่ก็อาจจะใช้งานงุนงง ในช่วงแรกๆ เหมือน MINI และ BMW
รุ่นใหม่ๆ นิดหน่อย แต่สักพักไปก็จะเคยชินไปเอง
ตำแหน่งนั่งขับ ในภาพรวม ยังคงความ กระชับ ดูแน่นหนาไปหมด แต่ยัง
แอบสะดวกสบายในการปรับให้เข้ากับสรีระของคนขับแต่ละคน ตามเดิม
เบรกมือออกแบบเป็นคันโยก ในลักษณะที่ชวนให้นึกถึง คันเร่งของบรรดา
เครื่องบินทั่วไป อยู่เหมือนกัน ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ดีไซน์เท่
แป้นคันเร่ง เบรก และแป้นพักเท้า เป็นแบบ อลูมีเนียม พร้อมแถบกันลื่น
ยกชุดมาจากรุ่น Cooper S ของ MINI รุ่นอื่นๆ
ชุดมาตรวัด ยังคงแยกออกเป็น 2 ชุด ยกมาจาก MINI R56 แบบไม่ต้อง
คิดมากให้เสียเวลา โดยชุดแรก มีหน้าตาและขนาดเท่าๆ นาฬิกาปลุกบน
หัวเตียงนอน ภายในหน้าจอจะมีมาตรวัดรอบ จอแสดงความเร็ว Digital
เป็นตัวเลข แบบ Real Time Digital (ซึ่ง ถ้ากดคันเร่งแบบเต็มตีน มันจะ
ไม่แสดงตัวเลขแบบต่อเนื่องแต่ใช้วิธีสุ่มเลือกตัวเลขให้โผล่ขึ้นมา ทุกๆ
1 วินาที แทน) ไฟบอกสถานะอุปกรณ์ เท่าที่จำเป็น ทั้งไฟเลี้ยว (และไฟ
ฉุกเฉินในตัว) รวมทั้ง ไฟสูง ไฟสัญญาณเตือน ระบบ DSC ทำงาน และ
มาตรวัด Trip Meter ซึ่งบอกถึงสถานของตัวรถ การนำรถเข้าศูนย์บริการ
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย กับ อัตราสิ้นเปลือง แบบ Real Time
ส่วนชุดมาตรวัดความเร็วหลัก ก็ยังคงติดตั้งตรงกลางแผงหน้าปัดตามเคย
มีขนาดใหญ่โต เท่า นาฬิกาแปะฝาบ้าน หรือไม่ก็ ใหญ่เท่ากับ หน้าจอของ
เครื่องชั่งน้ำหนักตามห้างสรรพสินค้าแบบโบราณ เหมือน MINI คันอื่นๆ
อยู่ดี เพียงแต่ว่า มีการติดตั้ง จอมอนิเตอร์สีขนาด 7 นิ้ว เพิ่มเข้ามาให้ด้วย
สำหรับใช้ร่วมกับระบบ i-Drive ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้กับ
MINI เวอร์ชันไทย แทบทุกรุ่นไปแล้ว
จากขวา มาทางซ้าย กล่องเก็บของ Glove Compartment ฝั่งผู้โดยสาร
ด้านซ้าย มีขนาดใหญ่ สามารถใส่กล้องถ่ายรูป DSLR-Like ได้ 1 ตัวพอดี
แต่ถ้าเอาคู่มือผู้ช้รถ และเอกสารที่เกี่ยวข้องใส่เข้าไป คาดว่าคงเต็มแน่น
จนไม่ต้องเอาอะไรใส่เข้าไปได้อีก
ไฟฉุกเฉิน ติดตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านบนสุด เหนือมาตรวัดความเร็วขนาด
ใหญ่โตเท่านาฬิกาแปะฝาบ้าน ซึ่งติดตั้งหน้าจอมอนิเตอร์สี ขนาด 7 นิ้ว
ควบคุมการทำงานของระบบ i-Drive ที่มีสวิชต์ควบคุม เป็น Joystick
ขนาดเล็ก เท่า”กระเจี๊ยวแมว” ชุดเดียวกับที่ผมเคยเจอมาแล้วตอนทำ
รีวิว MINI Coupe Cooper S รายละเอียดต่างๆ และ Menu การใช้งาน
เหมือนกันมาก แน่นอนว่า มันยังคงใช้งานยุ่งยาก ตามเคย
คุณยังคง ต้องใช้ Joystick เล็กๆ ถัดจากคันเกียร์ แถวๆเบรกมือ หมุนๆ
ไปทางซ้าย เลื่อนซ้าย เลื่อนขวา ขึ้นหรือ ลง เพื่อเลือกเมนู และกดลงไป
เพื่อยืนยันคำสั่ง (Enter) ถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูก กดปุ่มรูปบ้าน (Home)
ให้กลับมาที่หน้าจอเริ่มต้น ส่วนปุ่มฝั่งขวาจะย้อนกลับไปเมนูก่อนหน้านั้น
ชุดหน้าจอนี้ควบคุมการทำงาน ทั้งการแจ้งสถานะตัวรถ Vehicle Status
ตรวจเช็คข้อมูลของตัวรถ ว่า สถานภาพเป็นอย่างไร ใกล้ได้เวลาเข้าศูนย์ฯ
หรือยัง? อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง Journey Computer เปิดเครื่องเสียง
วิทยุ หรือติดต่อเชื่อมกับโทรศัพท์ ผ่านระบบ Bluetooth ที่มีมาให้จาก
โรงงาน (ส่วนสวิชต์ สั่งการด้วยเสียง Voice Command ใช้การไม่ได้)
ระบบ i-Drive ใน MINI คันนี้ ค่อนข้างใช้งานยากอยู่ดี แม้จะมีปุ่ม เลื่อน
ขึ้นหน้า – ถอยหลังมาให้เพิ่มความสะดวกได้อีกนิดหน่อยแล้วก็ตาม แต่
ถ้าคิดจะเปลี่ยนคลื่นวิทยุ แบบอัตโนมือด้วยตัวเองคุณต้องเข้าเมนู แล้ว
จิ้มเข้าไปหลายทอด กว่าจะเจอฟังก์ชันที่ต้องการ ต้องจอดรถแล้วเลือก
ปรับเปลี่ยนเองอยู่ดี ไม่สะดวกแถมยังไม่ User Firendly เท่าที่ควร
เครื่องเสียงเป็นแบบ เล่น CD / MP3 ได้ครั้งละ 1 แผ่น พร้อมช่องเสียบ
USB ซึ่งต้องใช้เวลาหาสักพักกว่าจะค้นพบว่า มันซ่อนไว้ใต้แผงควบคุม
วิทยุ ตรงเหนือซอกหลืบนั่นแหละ! แต่ลำโพงเป็นของ Harman/kardon
6 ชิ้น คุณภาพเสียง อยู่ในเกณฑ์ ดีสมราคา หากมิใช่นักฟังหูทองคำเปลว
ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงแต่อย่างใด (เพราะเขาเล่นทำมาให้
เป็นแบบ Built-in อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดจะเอาไปเปลี่ยนเลย)
นอกจากนี้ยังมีระบบ MINI Connect ซึ่งสามารถเชื่อมต่อ Internet ผ่าน
โทรศัพท์มือถือ iPhone 4 ได้ทั้งระบบ Data GPRS หรือ 3G สามารถใช้
Facebook, Twitter, Web news และ Web radio, ระบบ Bluetooth ให้
เชื่อมต่อ โทรศัพท์มือถือและโหลดไฟล์เพลงกับไฟล์ Video จากมือถือ
มาฟังกับเครื่องเสียงในรถก็ได้ อีกด้วย
สวิตช์เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบสหกรณ์ ยกมาจาก MINI รุ่นพี่ๆเค้ามา
ทั้งดุ้นเลย ง่ายดี ตัวเครื่องปรับอากาศแบบ อัตโนมัติ หน้าจอ Digital ซึ่ง
เย็นเร็ว ใช้การได้ แม้ในวันที่อากาศร้อนจัด มีไล่ฝ้ามาให้ และปุ่ม A/C
เปิด-ปิดการทำงานของ คอมเพรสเซอร์แอร์ ตามใจชอบ
ถัดลงไป เป็น แผงสวิชต์ แบบ ใช้นิ้วกดกระดก หรือยกขึ้นเบาๆ จากซ้าย
ไป ขวา ได้แก่ สวิชต์ เปิด – ปิด ระบบ ESP และ Traction Control กับ
สวิตช์ล็อก-ปลดล็อกประตูรถ ซึ่งยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ย้ายตามสวิตช์ชุด
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าไปด้วยกับเขาเสียที สวิตช์เปิด – ปิด Mode Sport
ซึ่งทำให้พวงมาลัยหนืดขึ้นนิดหน่อย และแค่นั้น! รวมทั้ง สวิชต์เปิดไฟ
ตัดหมอกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ทั้งหมดนี้ ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ยัง
ยากต่อการใช้งาน และไม่ User Friendly เหมือนเดิม
ถัดลงไป เป็นช่องวางของจุกจิก เช่นกุญแจบ้าน หรือ Key card นิดๆ
หน่อยๆ ไม่สามารถวางของชิ้นใหญ่ๆ ได้เลยทั้งชั้นบน และชั้นล่างสุด
รวมทั้งช่องวางแก้ว ขนาดพอให้ใส่แก้วกาแฟ Starbuck ได้ แต่ถ้าใส่
ขวดน้ำ 7 บาท มันอาจจะดิ้นหลุดไปกองอยู่ที่พื้นรถได้
เบรกมือ ออกแบบให้ดูคล้ายกับคันโยกของเครื่องบินพาณิชย์ ผมว่า
ใช้งานง่าย ดูเท่ มีสไตล์ แต่แอบสิ้นเปลืองพื้นที่ใช้สอยอยู่บ้าง
ในสมัยก่อน Countryman รุ่นแรก ถูกออกแบบให้มีรางสำหรับติดตั้ง
กล่องขนาดเล็ก สามารถเลื่อนเข้า – ออกได้ แต่ในรุ่นปรับโฉม LCI
อุปกรณ์บริเวณนี้ ถูกปรับปรุงใหม่ เพิ่มพนักวางแขนแบบยกเก็บได้
ซึ่งพอจะวางท่อนแขนช่วงข้อศอกได้อยู่ มีฝาเปิดขึ้นมา เจอช่องใส่
โทรศัพท์มือถือ เพื่อเชื่อมต่อกับระบบเครื่องเสียงในรถ
ด้านหลังพนักวางแขนและกล่องคอนโซลกลาง มีช่องวางแก้ว ของ
ผู้โดยสารด้านหลังพร้อมกล่องเขี่ยบุหรี่แบบมีฝาปิด สามารถยกถอด
ออกได้ แถมมาให้
ทัศนวิสัยด้านหน้า ชวนให้นึกถึงบรรดารถยนต์ที่มีกระจกบังลมหน้า
แบบตั้งชัน ทั้ง Nissan Cube , Honda Element หรือ Toyota FJ
Cruiser เพียงแต่ว่า กระจกหน้าของ Countryman มีระยะห่างที่
เหมาะสม ไม่ได้อยู่ไกล หรือใกล้ชิดตัวผู้ขับมาก จึงทำให้ดูโปร่ง
ข้นเล็กน้อย การมองเห็นสภาพการจราจรข้างหน้า ชัดเจนดี แถม
ในขณะขับรถตอนกลางวัน แดดยังคงส่องลงมาไม่ถึงมือ อีกด้วย
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีขนาดค่อนข้างหนามาก และแอบบดบัง
ยานพาหนะที่แล่นสวนทางมา บนทางโค้งขวา สวนกัน 2 เลน อยู่บ้างในบาง
จังหวะ
กระจกมองข้างฝั่งขวา ยกชุดมาจาก MINI รุ่นอื่นๆ แม้จะออกแบบมาเป็นทรง
วงรี แต่ยังมองเห็นยานพาหนะต่างๆ ที่แล่นตามมาทางฝั่งขวาของตัวรถได้ดี
ตามมาตรฐานที่ควรเป็น
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ถึงจะหนา แต่ก็ติดตั้งในตำแหน่งเหมาะสม
ไม่รบกวน หรือบดบังการมองเห็นยานพาหนะที่แล่นสวนทางมา ขณะตั้งท่ารอ
เลี้ยวกลับรถ มากนัก
สิ่งที่ต้องตำหนิเลยก็คือ ตำแหน่งกระจกมองข้างฝั่งซ้ายนั้น เตี้ยไป พื้นที่ราวๆ
1 ใน 5 ของกระจก ถูก ขอบหน้าต่างด้านล่าง บดบังหายไปเรียบร้อย ถ้าคุณ
ต้องถอยรถเข้าจอด แบบ Pararell Parking โดยเอาด้านซ้ายของรถ ชิดกับ
ขอบฟุตบาธ อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น แม้ว่าเสาหลังคา C-Pillar และ D-Pillar มีขนาด
ค่อนข้างหนาเตอะ แต่ด้วยพื้นี่กระจกหน้าต่าง ที่ใหญ่โตพอสมควร ทำให้
เกิดบรรยากาศโปร่ง โล่ง พอสมควร และทำให้มองเห็นขณะถอยหลังได้
สะดวกขึ้น รวมทั้งเห็นมอเตอร์ไซค์ ที่แล่นมาทางด้านข้างฝั่งซ้าย ได้ดีขึ้น
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ปัจจุบัน MINI Countryman ที่ขายในบ้านเรา ทั้งหมด เป็นรถยนต์ประกอบ
ในประเทศไทย ที่โรงงาน BMW Thailand จังหวัดระยอง มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย
3 ขุมพลัง
เริ่มจาก MINI Cooper และ Cooper High Trim วางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 77 x 85.8 มิลลิเมตร กำลังอัด
11.0 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 122 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
160 นิวตันเมตร (16.30 กก.-ม.) ที่ 4,250 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะ Steptronic
ตามด้วยรุ่น Cooper D High Trim วางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 พร้อม
ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail พ่วง Turbocharger 112 แรงม้า
(HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร (27.51 กก.-ม.) ที่ 1,750
ถึง 2,250 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Steptronic
ส่วนรุ่นที่เราลองขับ MINI Countryman Cooper SD ALL4 คันนี้ ติดตั้งขุมพลัง
Diesel ที่ถือว่าแรงสุดแล้ว ในตระกูล Countryman R60 ทั้งหมด เป็นเครื่องยนต์
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก อยูที่ 84.0 x 90.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail
พ่วง Turbocharger
กำลังสูงสุด 143 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 305 นิวตัน-เมตร
(31.07 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,700 รอบ/นาที มาเป็น Flat Torque แค่
ช่วงสั้นๆ จากตีนต้น ถึงช่วงกลาง แค่นั้น
Countryman เวอร์ชันไทย ทุกรุ่น ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน ด้วยเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังวะ พร้อมโหมด บวก-ลบ Steptronic และแป้น Paddle
Shift เปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย เป็นเกียร์ ลูกเดียวกับที่ประจำการอยู่
ใน MINI Cooper S Coupe ที่เราเคยทดลองขับกันมา
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 4.044
เกียร์ 2 2.371
เกียร์ 3 1.556
เกียร์ 4 1.159
เกียร์ 5 0.852
เกียร์ 6 0.672
เกียร์ถอยหลัง 3.193
อัตราทดเฟืองท้าย 3.683
Countryman SD PARKLANE คันนี้ ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เรียกว่า
ALL4 หลักการทำงานก็คือ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา กระจาย
แรงบิดไปยังล้อหน้า/หลัง ในอัตราส่วน 50/50 แต่จะยอมถ่ายกำลังไปสู่
ล้อหลัง 100% เฉพาะกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ เช่นล้อหน้าติดหล่ม
ตัวเลขจากโรงงาน ระบุว่า MINI Countryman Cooper SD ALL4 ทำ
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 9.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุด
193 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.5 กิโลเมตร/ลิตร
ปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ์อกไซด์ 183 กรัม / ระยะทางแล่น 1 กิโลเมตร
ฉุดลากตัวรถที่มีน้ำหนักตัว แบบ Unladen Weight ได้ 1,430 กิโลกรัม
และเมื่อรวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุดแล้ว 510 กิโลกรัม จะมีน้ำหนักตัวรวม
1,940 กิโลกรัม!!
ตัวเลขเหล่านี้ เป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน บนถนนเมืองไทย เรายังคง
ทำการทดลองจับเวลากันในตอนกลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน (ผมกับ
น้องเติ้ง Kantapong Somchana สมาชิก The Coup Team ของเรา)
และตัวเลขที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ MINI รุ่นอื่นๆ ที่เราเคยทดลองมา
มีดังนี้
ส่วนการไต่ความเร็วขึ้นไปยัง Top Speed นั้น ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง
เนื่องจาก แรงบิดสูงสุด มีถึง ไม่เกิน 3,000 รอบ/นาที หลังจากนั้นคง
ต้องทำใจสักหน่อย การไต่ขึ้นไปถึง 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ยากนัก
แต่การจะไต่จากจุดดังกล่าว ไปจนถึง 198 กิโลเมตร/ชัวโมง ที่ 3,900
รอบ/นาที (ที่เกียร์ 6) กินเวลาและระยะทางนานอยู่เหมือนกัน
ตามธรรมเนียมของเรา ก็คงต้องขอเตือนกันเอาไว้ เหมือนเช่นเคยว่า
เราจะไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลองทำความเร็วสูงสุด เพราะเป็นเรื่อง
ผิดกฎหมายจราจร เราทำให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้เพื่อ
การศึกษา สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาด้านวิศวกรรมยานยนต์ เราไม่ทำใน
สิ่งที่เสี่ยงอันตรายต่อผู้ร่วมใช้เส้นทาง เราระมัดระวังกับเรื่องนี้มากๆ
และเราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิต เพื่อลองทำตัวเลขแบบนี้เอง
ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา มันอันตราย
ถึงชีวิตคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง อีกทั้งเราจะไม่รับผิดชอบในความ
ปลอดภัยของคุณใดๆ ทั้งสิ้น!
ในการขับขี่จริง อัตราเร่งช่วงออกตัว ด้วยเกียร์ 1 อาจให้แรงดึงที่ชวนให้คุณ
ตื่นตาตื่นใจ แต่นั่นก็แค่ตอนแรก เพราะหลังจากเข้าสู่เกียร์ 2 และ 3 ไปแล้ว
ความรู้สึกต่างๆ จะค่อยๆหายไป หลงเหลือไว้แค่เพียงการไต่ความเร็วขึ้นไป
ในระดับที่เท่าๆกันกับ Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร ปี 2005 – 2006
มันเป็นเรื่องธรรมดาของเครื่องยนต์ Diesel ซึ่งมีเรี่ยวแรงดีในรอบต่ำ แต่
พอถึงรอบปลาย กำลังมักเหี่ยวแห้งหายหด ในกรณีนี้ แรงบิดสูงสุด มาถึง
เร็วพอประมาณก็จริง แต่ไปสิ้นสุดแค่เพียง 2,750 รอบ/นาที ยิ่งพอมาเจอ
กับการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4 แถมยังต้องเจอน้ำหนักตัวรถ
ที่หนักอึ้งเข้าไปถึง 1.4 ตัน (รถเปล่า) แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ถ้าตัวเลข
และการตอบสนอง จะออกมาได้เช่นนี้
ใครที่ไม่เคยขับ MINI มาก่อน แล้วเจอกับ Countryman Cooper SD
เป็นครั้งแรก อาจรู้สึกว้าว ตอนออกตัว แต่ถ้าใช้งานไปสักวัน 2 วัน ก็จะ
เริ่มเข้าใจแล้วว่า สำหรับคนทั่วไป เรี่ยวแรงที่มีหนะ เพียงพอ แต่ถ้าคุณ
เป็นคนใจร้อนมากๆแล้วละก็ คงจะอยากเรียกหารุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน
Turbo ซึ่งก็ต้องบอกว่า เสียใจด้วยครับ Countryman รุ่น Cooper S
ที่มีขุมพลัง แบบที่คุณต้องการนั้น ไม่มีจำหน่ายในเมืองไทย เว้นแต่
จะต้องเพิ่มเงินอีกมากโข ขยับขึ้นไปหารุ่นแรงแพงสะบัด JCW หรือ
John Cooper Works ไปเลย น่าจะสาแก่ใจพระเดชพระคุณท่านได้
การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ในระดับปานกลาง เพราะเพียงแค่จอด
อยู่อย่างสงบนิ่งตามลำพัง เสียงเครื่องยนต์ Diesel ก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน
พอสมควร ไม่เพียงแค่นั้น เสียงจากยางติดรถ Pirelli เอง ก็ค่อนข้างดัง
จนแทบเป็น เสียงรบกวนหลักๆ ของรถคันนี้ ขณะที่เสียงจากกระแสลม
ไหลผ่านตัวรถ จะเริ่มดังขึ้นเมื่อขับเร็วเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบ แร็คแอนดพีเนียน พร้อมเพาเวอร์
ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า Electrically supported steering (EPS) ระยะ
หมุนจากซ้ายสุดไปจนขวาสุด 2.4 รอบ (lock to lock) รัศมีวงเลี้ยว
แบบเต็มวงกลม 11.6 เมตร แบบครึ่งวงกลม 5.8 เมตร อัตราทดเฟือง
พวงมาลัย 14.1 : 1 (พอๆกับ Mazda BT-50 PRO 4×2 Hi-Rider)
ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักพวงมาลัยหนืดและหนักกว่ารถเก๋งยุคใหม่
จากญี่ปุ่น ชัดเจนก็จริง แต่ยังถือว่า เบากว่า MINI รุ่นอื่นๆ ที่ผมเคย
ผ่านมือมา อยู่ประมาณหนึ่ง แต่ถ้ากดปุ่ม Sports พวงมาลัยจะหนัก
และหนืดเพิ่มขึ้นจนแทบจะเท่าๆกับ MINI Cooper S R56 รุ่นก่อน
กันเลยทีเดียว
เนื่องจากตัวรถมาในสไตล์ Crossover SUV ทรงสูง ดังนั้น วิศวกร
ชาวอังกฤษ จึงเซ็ตพวงมาลัยมาให้ เนือยกว่า และไม่เฉียบคมมาก
เมื่อเทียบกับ MINI รุ่่นปกติ และยังพอมีระยะฟรีอยู่บ้าง
กระนั้น การตอบสนองในบางจังหวะ ก็ยังหลงเหลืออากัปกิริยาของ
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้ามาให้เห็น เช่นขาดความ Linear ขณะต้อง
รักษาทิศทางให้แล่นไปตรงๆ ขณะเจอกระแสลมปะทะด้านข้าง ยัง
มีการตอบสนองที่ไม่เป็นธรรมชาติ โผล่มาให้เจอชัดๆอยู่บ้าง ส่วน
On-Center Feeling ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าคุณหรือใคร ไม่ไปทำให้
ตัวรถเกิดอาการวอกแวกไปมา
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ Single-joint McPherson spring
strut axle with anti-dive control ด้านหลังเป็นแบบ Multilink
axle with trailing arms โครงสร้างทำจากอลูมีเนียม
ในการขับขี่ไปตามตรอกซอกซอยต่างๆด้วยความเร็วต่ำ ช่วงล่าง
จะยังคงรักษาบุคลิกของ MINI เอาไว้ได้อย่างดี คือเก็บแม่มมม
ทุกหลุมบ่อ ก้อนกรวด ปากฝาท่อ และเนินลูกระนาด ขึ้นมาให้คุณ
ได้รับรู้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีกั๊ก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะล้ออัลลอย
ขนาด 18 นิ้ว และยางแก้มเตี้ย ซีรีส์ 45 ที่ทำเอาสะเทือนเลื่อนลั่น
ไปหมด กระน้ัน ก็ยังนุ่มกว่า Cooper S R56 ที่ผมเคยลองขับ แต่
ยังแอบนุ่มกว่า Cooper S 5 ประตู F55 รุ่นปัจจุบันนิดเดียว
พอถึงช่วงเดินทางด้วยความเร็วปกติ และความเร็วสูงๆ ด้วยเหตุที่
ตัวรถค่อนข้างหนัก ทำให้การทรงตัวทำได้ดี แม้ถ้ามีกระแสลมมา
ปะทะด้านข้าง อาการวูบวาบไปตามลมก็เกิดขึ้นไม่เยอะอย่างที่คิด
พูดง่ายๆว่า ถ้าวิ่งตรงๆไปอย่างเดียว หรือใช้ความเร็วไม่เกิน ราวๆ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันก็ไม่มีะไรให้ตำหนิ
ยิ่งในทางโค้งแล้ว Countryman ยังคงสืบทอดมรดกความมั่นใจ
จากญาติผู้พี่ของมัน ได้ไม่เลว แม้ตัวรถจะเอียงเยอะไปหน่อย ใน
สไตล์ รถที่มีหลังคาสูงกว่าปกตินิดๆ แต่จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำ
บนทางโค้งขวารูปเคียว ช่วงมักกะสัน ต่อเนื่องถึงโค้งซ้ายหนักๆ
เชื่อมเข้าทางด่วนขั้นที่ 1 ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ประตูน้ำ
ผมทำความเร็วในโค้งได้ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้ง 2 โค้ง
และนั่นก็ใกล้แตะ Limit ของรถมากๆแล้ว
ส่วนทางโค้งขวา – ซ้าย – ขวายาว ขึ้นทางยกระดับบูรพาวีถี จาก
ทางด่วนขาออกไปทางบางนา ช่วงสุขุมวิท 62 ความเร็วบนชุด
มาตรวัด ขึ้นที่ 100 – 110 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าคิดว่านี่คือ
รถที่มีหลังคาสูง ถูกสร้างจาก DNA ของ MINI และต้องเข้าโค้ง
ให้ได้ดีใกล้เคียงกับญาติผู้พี่ของมัน แค่นี้ก็ดีเหลือหลายแล้วครับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมแอบกังวลคือ ยางติดรถ Pirelli ชุดนี้ มักจะ
มีอาการลื่นแฉลบเมื่อเจอกับรอยต่อทางด่วนในกรุงเทพมหานคร
เป็นประจำ มันแฉลบจนรถดิ้นและเสียอาการขณะเข้าโค้ง จนชวน
ให้เกิดความรำคาญ ต้องตั้งใจควบคุมรถมากกว่าปกติ อาจเพราะ
ยางชุดนี้ ผ่านศึกมามากแล้วจนค่อนข้างแข็ง ทั้งที่รถเพิ่งแล่นไป
แค่ 4,000 กิโลเมตร เท่านั้น แต่สภาพช่วงล่าง และยาง มันโทรม
ราวกับว่า ผ่านมือชายมานับไม่ถ้วน จนแอบคิดว่า ไมล์เลจแท้จริง
มันควรอยู่ที่ 20,000 กิโลเมตร หรือเปล่าหว่า?
ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน มี
เส้นผ่าศูนย์กลาง 307 มิลลิเมตร หนา 24 มิลลิเมตร ส่วนคู่หลังเป็น
จานเบรกปกติ เส้นผ่าศูนย์กลาง 280 มิลลิเมตร หนา 10 มิลลิเมตร
มากับตัวช่วยมากมาย ดังนี้
– ระบบ ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem)
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution)
– ระบบควบคุมแรงเบรคขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brak Control)
– ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
– ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรคในภาวะฉุกเฉิน BA (Brake Assistance)
– ระบบป้องกันการลื่นไถล DTC (Dynamic Traction Control)
– ระบบควบคุมเฟืองท้าย EDLC (Electronic Differential Lock Control)
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HA (Hill Assist)
แป้นเบรกมีระยะเหยียบ สั้น เซ็ตมาให้ Linear ได้ดี แต่ด้วยสภาพรถที่
ค่อนข้างโทรมฝังใน ทำให้แป้นเบรกตอบสนองได้ ไม่หนักแน่นเท่ากับ
รถที่เพิ่งออกจากโชว์รูมวันแรก กระนั้น ไม่ต้องกังวล การหน่วงรถลงมา
จากย่านความเร็วสูง ยังคงทำได้ดีตามมาตรฐานของ MINI ยุคใหม่ๆ
ตัวรถยังนิ่ง และต่อให้เบรกกระทันหันติดๆกัน 3-4 ครั้ง เบรกก็ยังไม่มี
อาการ Fade ให้เห็นเลย
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอด 16 ปีที่ผมทำการทดลองรถยนต์ โดยไม่อาจ
ละเว้นการทดลองหาความประหยัดน้ำมันของรถยนต์คันนั้นๆได้เลย แน่นอน
ครับว่า MINI Countryman คันนี้ ก็ไม่อาจหลีกหนีการทดลองนี้ได้เช่นกัน
เราจึงยังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานเดิม คือการนำรถทั้ง 2 คัน ไปเติม
น้ำมัน Diesel Techron Power D ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน
ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน
เนื่องจาก MINI Countryman คันนี้ ที่มีค่าตัวแพงกว่า 1.5 ล้านบาท และ ผู้ที่
ซื้อรถยนต์รุ่นนี้ ให้ความสำคัญกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่มากนัก เราจึงใช้
วิธีการ เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่เขย่ารถ
หลังจากเติมน้ำมันเข้าไปจนเต็มถังขนาด 47 ลิตร เราก็เริ่มต้นการทดลองขับ
คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศ อุณหภูมิปานกลาง
พัดลมเบอร์ 2 อุณหภูมิ 22 องศาเซลเศียส (รถยุโรป เปิด 25 องศาเซลเศียส
ไม่ได้ครับ เพราะอากาศภายนอกรถ กับภายในรถจะใกล้เคียงกันเกินไป จน
ไม่รู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศทำงานเลย ไม่เหมือนรถญี่ปุ่น ที่เย็นแบบหลอกๆ
เปิด 25 องศา แต่ความจริง อยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส)
เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกแถวๆปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนน
พระราม 6 จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง
ปลายสุดทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน เส้นเดิม อีกรอบ
รักษาความเร็ว ตามมาตรฐานเดิม คือใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดเครื่องปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน
เรารักษาความเร็ว ด้วยการเปิดระบ Cruise Control ซึ่งรักษาความเร็วได้ดีมาก
แม้ว่าตัวรถจะต้องเจอทางขึ้นเนินลาดชันก็ตาม ผมยังคงยืนยันว่า ระบบ Cruise
Control ของ MINI ใช้ง่ายกว่าของ BMW เองเสียอีก แต่ต้องทำความเข้าใจดีๆ
ถ้าต้องการใช้งานระบบนี้ ให้กดสวิชต์ I/0 บน พวงมาลัยฝั่งขวา 1 ครั้ง เป็นการ
เปิดระบบ จะมีไฟสัญลักษณ์ สีเขียว สว่างขึ้นมา บนหน้าจอใหญ่เท่าตาชั่ง เมื่อ
เดินคันเร่ง ไต่ความเร็วขึ้นมาถึงระดับที่ต้องการแล้ว กดปุ่ม + 1 ครั้ง เพื่อล็อก
ความเร็ว จากนี้ ถ้าจะเพิ่มความเร็วทีละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้กด + เพิ่ม แต่ถ้า
ต้องการลดความเร็วครั้งละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็กดปุ่ม – แต่ถ้าต้องการยกเลิก
การทำงาน ให้เหยียบแป้นเบรก หรือกดปุ่ม I/0 (ซึ่งก็คือ Power นั่นละ) 1 ครั้ง
ถ้าต้องการให้ระบบ พารถให้พุ่งกลับขึ้นไปอยุ่ในความเร็วเดิมล่าสุดที่ล็อกไว้ ให้
กดปุ่ม RES 1 ครั้ง แต่ถ้าต้องการปิดระบบไปเลยขณะที่ใช้ความเร็วซึ่งตั้งไว้อยู่
“ต้องกดปุ่ม I/0 2 ครั้ง จนกว่า ไฟสัญลักษณ์ ของระบบ สีเขียว จะดับลงไปจาก
หน้าจอมาตรวัดความเร็ว ขนาดยักษ์ กลางแผงหน้าปัด”
เราย้อนกลับมาลงทางด่วนที่อนุเาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน
อีกครั้ง ไปเลี้ยวกลับที่หน้าโชว์รูม เบน์ราชครู ตรงสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์
แล้วเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พงษ์สวัสดิ์บริการ ไปที่ตู้เดิม
เติมน้ำมัน Diesel Techron Power D ที่หัวจ่ายเดิม แค่หัวจ่ายตัดพอเช่นเดิม
มาดูตัวเลขที่ Countryman Cooper SD ALL4 Parklane ทำได้กัน
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.1 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.37 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 14.61 กิโลเมตร/ลิตร
ตัวเลขก็ไม่เลวนะ เป็นไปตามคาด เพราะนอกจากน้ำหนักตัว 1.4 ตัน
ซึ่งมีผลต่อตัวเลขความประหยัดแล้ว รูปทรงตัวถังที่ต้านลม แถมมี
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พ่วงมาถ่วงน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย ล้วนมีส่วนให้
รถคันนี้ ทำตัวเลขออกมาได้ในระดับที่ต้องเรียกว่า ดีถมถืดแล้วละ
ส่วนคำถามที่ว่า น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ไกลแค่ไหน ผมพิสูจน์ไปแล้ว
โดยใช้มาตรฐานดั้งเดิม คือเติมน้ำมัน เต็มถัง ขับใช้งานในชีวิตปกติ
พบว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นไปได้ 381 กิโลเมตร โดยยังเหลือน้ำมันใน
ถังอยู่อีก 3 ขีด ฉะนั้น เป็นไปได้ว่า น้ำมัน 1 ถัง อาจทำให้ เจ้าหนุ่ม
ชนบทคันนี้ เดินทางไกล ประมาณ 500 กิโลเมตร
********** ปัญหาประจำรุ่น **********
สิ่งที่เราพบเจอในระหว่างการทดสอบ มีเพียงแค่ว่า คิ้วขอบไฟหน้าฝั่งขวา
จู่ๆ ก็ไม่อยากจะร่วมทนอยู่กับตัวรถเสียดื้อๆ มันเลยจะขอแยกทางระหว่าง
ที่ผมกำลังไต่ความเร็วขึ้นไปที่ระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนต้องเปิดไฟ
ฉุกเฉิน ค่อยๆชะลอรถเข้าข้างทาง
พอรถจอดสนิทปุ๊บ มันก็ร่วงเผละลงไปบนพื้นทางด่วนเลยนั่นแหละ! เป็น
เรื่องฮาของผมกับเจ้าเติ้งในคืนนั้นไปเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่เรื่องน่าซีเรียสครับ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ เป็นปกติกับรถยนต์ทุกยี่ห้อ
ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะซวยที่เจอ แค่นั้นจริงๆ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า มันจะเกิด
เมื่อใด ดังนั้น ตั้งสติ ยอมรับ และหาทางแก้ไขไปดีกว่า
********** สรุป **********
หนุ่มน้อยร่างใหญ่ ที่สมบูรณ์พอประมาณ ในช่วงเวลาของมัน
แต่ก็ยังมีหลายสิ่งให้เราคาดหวังถึงการปรับปรุงที่จะเกิดขึ้น
ในรถรุ่นใหม่
ใครที่เคยมีลูกหลาน คงอดไม่ได้ที่จะเฝ้าดูพัฒนาการของเด็กน้อย
วัยเยาว์ ตั้งแต่วันที่พวกเขานอนอยู่ในตู้อบที่โรงพยาบาล หลังคลอด
ออกจากท้องแม่สักราวๆ 1-2 ชั่วโมง จนถึงวันที่พวกเขาเริ่มหัดคลาน
หัดเดิน แล้วก็วิ่งพ่านไปทั่วบ้าน
มันเป็นช่วงเวลาที่สวยงาม อาจจะวุ่นวาย และเหนื่อยอ่อนสักหน่อย
แต่ด้วยความรักของคนเป็นพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอา ก็พอจะช่วยกัน
ประคับประคองให้เด็กน้อย ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นมาได้
MINI Countryman ก็เช่นเดียวกัน นับจากวันแรกที่ผมเห็นภาพ
เวอร์ชันต้นแบบ ในงาน Paris Auto Salon เมื่อเดือนตุลาคม 2008
จนกระทั่งวันนี้ เจ้าหนุ่มน้อยชนบท ค่อยๆเติบโตขึ้น จากการฟูมฟัก
ด้วยรักและเอ็นดูของบรรดาฝรั่งมังค่า ใน BMW Group ทั้งที่เมือง
Munich และในโรงงานที่ Oxfordshire กลายเป็นหนุ่มน้อยร่างโข่ง
ตัวโตที่สุด ในกลุ่ม น้องเล็กของตระกูลรถยนต์แห่งแคว้น Bavarian
มันได้รับความนิยมไปทั่วโลก จากคุณงามความดีของตน ณ ช่วงเวลา
ที่มันยังอยู่ในอายุตลาด จริงอยูว่า หลายคน อาจรู้สึกไม่ดี ถึงการเร่ง
ขยายสายพันธ์ของ MINI จนหลุดไปจากกรอบดั้งเดิมที่ผู้คนคุ้นชิน
ทว่า นี่มันก็เป็นวิถีแห่งโลกที่จำต้องเดินหน้ากันต่อไป เพราะหาไม่
MINI เอง ก็จะเข้าสู่จุดสิ้นสุด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่า BMW และ
บรรดาแฟนนานุแฟนของ MINI ทั่วโลก ก็คงไม่อยากให้เกิด
คุณลักษณ์ และคุณสมบัติของ เจ้าหนุ่มชนบทรุ่นแรก ก็สะท้อนให้
เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ผ่านทาง
การออกแบบบางอย่าง ที่ยอมลดทอนความสุดโต่งซึ่งเคยมีมา ลง
โอนอ่อนผ่อนตามให้กับความต้องการของผู้คนที่ไม่เคยสัมผัสกับ
MINI มาก่อน เรียกร้องเชื้อเชิญให้เดินเข้ามาทดลอง จนติดใจและ
จับจองเป็นเจ้าของ ก่อนจะเริ่มถลำรักจนลงลึกไปถึงก้นบึ้งในจิตใต้
สำนึกว่านี่หละ คือรถยนต์ที่คนอย่างพวกเขา อยากได้อย่างแท้จริง
ยอดขายกว่า 400,000 คัน คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี ว่า BMW
เลือกเดินมาถูกทาง ท่ามกลางสภาพความปั่นป่วนของตลาดรถยนต์
ทั่วโลกที่เกิดขึ้นมาตลอดชวง 8 ปีมานี้
กระนั้ Countryrman รุ่นแรก ก็ยังมีหลายจุดที่สามารถปรับปรุงต่อไป
ได้อีกมากมาย เช่น ตำแหน่งกระจกมองข้างทีเตี้ยไป จนเกิดปัญหา
การบดบังทัศนวิสัย ยางติดรถที่พร้อมจะลื่นจนเกิดอาการแฉลบ เมื่อ
ต้องเข้าโค้งบนทางด่วนในกรุงเทพมหานคร บรรยากาศภายในห้อง
โดยสาร ที่ชวนให้อึดอัดทางสายตาเอาเรื่อง พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า
ที่ตอบสนองได้ ด้อยกว่า MINI ตามปกติ แถมยังมีฟีลลิงที่ชวนให้
รู้สึกได้ถึงความเป็น “ไฟฟ้าจ๋า” โผล่มาให้เห็น ระบบหน้าจอยังคง
แอบยากโคตรๆ ระบบกันสะเทือน ที่เซ็ตมาแล้วไม่ค่อยจะกันแรง
สะเทือนจากพื้นผิวถนนเท่าใดเลย คุณภาพของชิ้นส่วนในการผลิต
และประกอบ ฯลฯ อีกหลายประการ
ภาพรวมแล้ว Countryman เป็นเวอร์ชัน SUV ที่ถูกสร้างขึ้นบนโจทย์
ในการพยายามรักษา ความสนุกในการขับขี่ MINI แบบที่หลายๆคน
ชื่นชอบเอาไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมกลับรู้สึกไม่สนุก ในการขับรถคันนี้
เอาเสียเลย บุคลิกของตัวรถ ที่แสดงออกทางงานดีไซน์อย่างชัดเจน
กลับ “ก้ำๆกึ่งๆ” เมื่อได้ลองขับขี่ใช้งานจริง 5 วันเต็มๆ จะดิบไปเลย
ก็ยังไม่ใช่ จะเน้นสบาย ก็ไปได้ไม่สุด มัน “ครึ่งๆกลางๆ” ไปหมด
เอาเถอะ ครั้งแรกที่พวกเขาทำ SUV ได้ขนาดนี้ ก็ดีถมถืดแล้วละ
เหมือนเด็กเพิ่งเริ่มโต ไง คุณจะไปคาดหวังให้เด็กอนุบาล เล่น
เปียโน เพลง Canon in d เลย ก็คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ
ณ วันนี้ วันที่ต้นฉบับของบทความนี้ ถูกเขียนขึ้นจนเสร็จ BMW Group
ได้ปล่อยภาพถ่ายของ MINI Countryman รุ่นต่อไปออกมาแล้ว เมื่อ
25 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา
จุดเด่นที่สำคัญอันโดดเด้งของ Countryman รุ่นใหม่ก็คือ ขนาดตัวถัง
ซึ่งใหญ่โตโอ่โถงกว่าเดิมมาก จนสามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็น MINI
ที่มีขนาดใหญ่โตมากสุดในประวัติศาสตร์ 50 กว่าปี ของพวกเขาเลยละ
จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้ว่า ฝรั่งมังค่า ที่ Munich และ Oxfordshire ได้
นำพา เจ้าหนุ่มชนบทของเรา เติบโต และก้าวเดินต่อไปในทิศทางใด
มันจะยังคงไว้ซึ่งบุคลิกอันคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง เป็นมิตรกับผู้คน
แต่ยังคงดำรงตนเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความเชื่อของตนเอง ที่ยอมโอนอ่อน
ผ่อนตามความต้องการของผู้คนรอบข้าง (อันได้แก่ลูกค้าทั่วโลก) ได้
มากน้อยเพียงใด
ขุมพลังเดิมที่ผมเคยสัมผัสมาแล้ว ใน MINI 5 ประตู เมื่อถูกนำมาวาง
ลงใน Countryman ใหม่ จะมีสมรรถนะด้อยลงไปตามขนาดน้ำหนัก
และความลู่ลมของตัวรถมากน้อยแค่ไหน การปรับแต่งตัวรถออกมา
จะยังคงทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบ MINI ยุคใหม่ เปิดใจยอมรักได้อย่าง
หมดจิต เหมือนเช่นเคยที่เคยทำได้ในวันแรกที่ เราทุกคนได้เห็นตัว
เป็นๆของเจ้าหนุ่มชนบท เมื่อปี 2010 หรือเปล่า?
นั่นเป็นเรื่องที่ เราจะมาพิสูจน์ให้เห็นกัน ในระดับ “เบื้องต้น”
สัปดาห์หน้า ที่กำลังจะมาถึง…
——————————–///———————————
ขอขอบคุณ / Spacial Thanks
คุณ พิศมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
20 มกราคม 2017
Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 20 th,2017
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!