สารภาพว่า หลังจากที่ผมเขียนบทความนี้จนจบหมด ครบถ้วนทุกส่วน
กระบวนความแล้ว ผมใช้เวลาประมาณ 5 วัน เพื่อคิดให้ได้ว่า ผมควรจะ
ขึ้นต้นบทความนี้ว่าอย่างไร ?

นี่ยังไม่นับรวมเวลาที่ “ดอง” บทความนี้มานาน ร่วม 2 ปี พอดีๆ ดองกัน
ได้ที่จนกระทั่งรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ รถยนต์รุ่นนี้ กำลังใกล้
เปิดตัวกันอยู่รอมร่อ… แล้วนะ

นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด จนฝุ่นในบ้าน ฟุ้งตลบอบอวน เอาเครื่องดูดฝุ่น
มาจัดการแล้ว ก็ยังคิดไม่ออก…

สำหรับผมแล้ว มันคือจุดที่เขียนยากที่สุดในบทความอะไรก็ตาม เพราะ
หน้าที่ของบทนำ คือ นำคุณผู้อ่าน เข้าสู้เรื่องราวที่เรากำลังจะพูดถึง นั่น
หมายความว่า มันต้อง มีที่มาที่ไป มูลเหตุอันชวนดึงดูดใจ และกระตุ้น
ให้คุณผู้อ่าน เกิดความอยากอ่านบทความนั้นต่อไป

ท้ายที่สุด ตัดสินใจ โยนคำถามเข้าไปยัง Facebook “ส่วนตัว” ซึ่งแยก
ออกมาต่างหากจาก FanPage ของ Headlightmag โดยสิ้นเชิง เพื่อ
ลองหาสิ่งที่ผมอาจลืมนึกถึงไป….ด้วยคำถามง่ายๆ สั้นๆ ว่า…

” เมื่อนึกถึงชื่อ Corolla หรือ Altis คุณนึกถึงอะไร ? ”

ไม่ถึง 10 นาที เพื่อนพ้องน้องพี่รอบๆตัว และคุณผู้อ่านที่คุ้นเคยกันบางส่วน
ก็พากันตอบคำถามของผม มากถึง 47 ความคิดเห็น

บางคนก็นึกถึงโฆษณาเก่าของ Corolla Altis เดือนพฤษภาคม 2001 ที่มี
Brad Pitt เป็น Presenter มาพร้อมเพลง Shake-a-bon-bon ของนักร้อง
อย่าง Ricky Martin

บางคนก็นึกถึง รถยนต์ครอบครัวสามัญประจำบ้านที่ ทนทาน ทนมือทนตีน
บางทีก็เป็นรถพนักงานสำหรับไว้ขับไปรับส่งลูกที่โรงเรียน รถสำหรับนักข่าว
ไว้ใช้วิ่งไล่ตามขบวนท่านนายกรัฐมนตรี เป็น Fleet Car หรืออะไรก็ตามแต่

ทว่า 90 % พวกเขาเหล่านี้ พร้อมใจกันตอบว่า

“TAXI” !!!!

ผ่าง!

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_01

ช้าก่อน ทุกท่าน ไม่แปลกหรอก ที่หลายคนจะคิดถึง Taxi เป็นอันดับแรก
ก็แน่ละ Taxi ในประเทศไทยตอนนี้ เกินกว่าครึ่งหนึ่ง ก็เป็น Corolla Altis
นั่นแหละ

นั่นเพราะ บรรดาเถ้าแก่อู่ Taxi ตั้งแต่พ้นจากยุคสมัยของ Renault 4CV,
Toyopet Corona, Datsan Bluebird 501 เพลาลอย ฯลฯ เกิดประจักษ์
ขึ้นมาว่า ไอ้เจ้า Corolla เนี่ย มันช่างเหมาะกับการทำ Taxi มาตั้งแต่ยุค
KE-30 ปี 1975 แล้ว ซ่อมก็ง่าย อะไหล่ก็หาไม่ยาก มีเป็นเข่ง ไปตัดจาก
เซียงกงญี่ป่นมารอได้เลย ช่างคนไหนซ่อม Corolla ไม่ได้ มึงเลิกอาชีพ
ช่างไปเลยเถอะ เหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้เราเห็น Corolla ถูกทำเป็น
Taxi ในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ ปี 1975 ไม่ว่า จะเปลี่ยนโฉมกันไปกี่รุ่นแล้ว
เพียงไม่นานหลังเปิดตัว เราก็จะเห็นเถ้าแก่อู่ Taxi หรือบรรดาสหกรณ์
Taxi ต่างๆ สั่งจอง Corolla ออกมาปล่อยให้คนขับรถได้เช่าทำมาหากิน
ในราคา 12 ชั่วโมง 450 บาท ก่อนจะขยับขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 800 บาทใน
ปัจจุบันนี้

ความซวยของ Corolla ก็คือ ชนชาติไทยเรา ลึกๆแล้ว ดันมีสันดานชอบ
แบ่งพรรคพวก ชอบยกตนข่มท่าน หรือว่าง่ายๆคือ ชอบดูถูกคนอื่น ไปทั่ว
ทำให้ หลายๆคน ตั้งแง่ รังเกียจ Corolla หาว่า เป็น Taxi บางคนถึงขั้นมี
ความรู้สึกนึกคิดไปเองว่า จะไม่ซื้อรถยนต์รุ่นเดียวกับ Taxi มาใช้เด็ดขาด
ซึ่งหากเป็นทุกวันนี้ ผมว่า คนคนนั้นคงต้องหาซื้อรถยุโรปมาใช้สถานเดียว
เพราะสมัยนี้ ไม่ใช่แค่ Corolla Altis แล้ว หากแต่ยังรวม ไปถึง Toyota
Camry , Toyota Fortuner , Mitsubishi Pajero Sport, Nissan Sylphy
ฯลฯ ก็กลายสภาพมาเป็น Taxi ได้ทั้งนั้นละ! ตราบเท่าที่กฎหมายยังคง
อนุญาตให้รถยนต์ใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 2 ปี ยี่ห้อและรุ่นอะไรก็ตาม ที่ติดตั้ง
เครื่องยนต์ เกิน 1,500 ซีซี. จดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างสาธารณะได้อย่าง
ถูกต้อง

การเป็น Taxi มันไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจเลยนะ เพียงแต่ถ้าเราแยกแยะกัน
จริงจังแล้ว เหตุผลที่ทำให้คนดูถูกและตั้งแง่ กับ Taxi น่าจะมาจากการ
ประพฤติตัวแย่ๆ ของ “คนบางจำพวก ที่มายึดอาชีพขับ Taxi เพื่อก่อการ
มิจฉาชีพ ประพฤติตัวต่ำทราม หรือหาเรื่องเอาเปรียบสังคม” ซึ่งมีสัดส่วน
ไม่เยอะนัก เมื่อเทียบกับ คนดีๆ ที่ขับ Taxi เป็นอาชีพสุจริต ของเขา

ดังนั้น ถ้าคิดจะดูถูก Taxi ก็ควรจะดูถูก และด่าทอเฉพาะ “คนขับ Taxi
สันดานชาติชั่ว บางคน” ไม่ใช่ไปดูถูกเหมารวม คนขับ Taxi ทุกคน หรือ
Corolla Altis ทุกคันไป อย่างเช่นที่หลายคน ทำกันอยู่ เพราะทุกอาชีพ
ล้วนมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ทั้งนั้น และมนุษย์ทุกคน แท้จริงแล้วมีคุณค่า
เท่าเทียมกันตั้งแต่ลืมตาดูโลกทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้น จะประพฤติ
ทำตัวอย่างไร ระหว่างมีชีวิตอยู่….

เดี๋ยวๆๆๆๆ เขียนๆไปชักเลยเถิด ตกลงนี่กำลังเขียนรีวิวรถยนต์ หรือหนังสือ
แบบเรียนวิชาจริยธรรม มัธยมศึกษาตอนปลาย วะเนี่ย???

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_02

อย่างไรก็ตาม บางความเห็นที่ตามมาหลังจากนี้ ก็น่าสนใจครับ บ้างก็บอกว่า

ชาย ชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาว มากด้วยประสบการณ์ ที่เป็นมิตรเเละพร้อมดูแล
ครอบครัวอย่างอบอุ่น และมีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่ากระชุ่มกระชวย”
(คุณปัช ชัตเตอร์ กระทิงทอง)

นึก ถึงญาติวัยกลางคนคนนึงที่เห็นกันมานาน แต่เขาก็หล่อขึ้น หนุ่มขึ้นทุกปี
เป็นคนที่ไว้ใจได้ สุขภาพดีและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเหมือนกับคนวัยเดียวกันครับ”
(คุณ Nueng Watcharapol Vanichanun)

รถ ที่ทุกอย่างดูกลางๆ ไม่ได้ดีไม่ได้แย่มาก เครื่องโอเค ช่วงล่างๆเฉยๆ ดีไซน์งั้นๆ
ออพชั่นน้อย แต่จับมามองหลายมุมๆแล้วก็กลายเป็นรถที่น่าสนใจ”
(คุณ Nutpakun Sangthong)

อึด ทน ทึก แบบ ฉบับพ่อบ้านใจกล้า หรือ แม่บ้านจ่ายตลาด แต่แฝงไว้ด้วย
ความคุ้มค่าตามแบบฉบับ อิอิ”
(Martin Lee)

นึกถึงผู้ชายทำงานแอดมินออฟฟิศคนนึง มีประสบการณ์ล้นเหลือ ทำงานได้ดี
ทุกๆเรื่อง
อาจไม่ได้ทำอะไรได้ทุกอย่างสุดโต่ง แต่ ก้อหลักแหลมพอในส่วนงาน
ที่เจ้านายชอบใจ
แต่ติดตรงที่มันมีเยอะจนผู้หญิงที่จะเครซี่ในบุคลิกผู้ชายโหลๆ
แบบนี้ แต่ก็เป็นที่ต้องการ
ของผู้คนรอบตัวในสังคม”

(คุณ Boyfoto Sathienpong)

เหมือนผัดกะเพราไก่+ไข่ดาวครับ ไม่รู้จะกินอะไรผัดกะเพราก็แล้วกัน”
(คุณ NonHae NCab)

คิดว่าเป็นรถสามัญประจำบ้านครับ ถ้า คิดไม่ออกว่าจะซื้อรถอะไรดี Altis นี้แหละ
ที่โผล่มาในหัวบ่อยมากถึงมากที่สุด เพราะเป็นรถที่มีคะแนนโดยรวมครอบคลุม
ทุกด้านที่สุดคันหนึ่ง เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้น”
(คุณ Boyd Fann)

สิ่งที่หลายๆคน คิด มันสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ Corolla Altis ยังคง
เป็นรถยนต์ที่ไว้ใจได้ สำหรับคนที่ ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี ซื้อ Altis ก่อนแล้วกัน มัน
อุ่นใจดี อย่างน้อย ก็ทนถึก ซ่อมไม่ยาก ศูนย์บริการก็เกลื่อนประเทศ

แต่ประเด็นที่น่าสนใจหนะ อยู่ตรงความเห็นนี้ครับ…

รถที่ ดีทุกอย่าง แต่ไม่โดดเด่นสักอย่าง (คุณ Akkvit Knot)

เหรอ?….แน่ใจนะ?

ถ้าคุณคิดเช่นนั้นละก็ ขอบอกเลยว่า คนของ Toyota เขาใช้ความพยายามกับการ
เปลี่ยนโฉมใหม่ Generation ที่ 11 ของ Corolla Altis อย่างมาก ในการยกระดับ
ให้เหนือชั้นกว่า Corolla แบบเดิมๆที่เราทุกคนคุ้นเคยกันมา

ผลลัพธ์ของความพยายาม เป็นอย่างไร รายละเอียดต่างๆ รอให้คุณอ่านข้างลางนี้ครับ

เลื่อนเมาส์ หรือเลื่อนนิ้วของคุณ ลงไปดูได้เลย!

Toyota_Corolla_timeline_History

(ภาพจาก www.toyota-global.com)

นับตั้งแต่ การออกสู่ตลาดครั้งแรกในโลกที่ญี่ปุ่น เมื่อ 5 พฤศจิกายน 1966
จนถึงวันนี้ เป็นเวลาครบรอบ 50 ปีที่ Toyota Corolla อันมีความหมายว่า
“ช่อมงกุฎขนาดเล็กแห่งเกียรติยศ” นี้ ได้เข้าไปนั่งในใจของลูกค้ามากมาย
ในฐานะยานพาหนะสำหรับครอบครัว ที่มีรูปลักษณ์กลมกลืนไปกับยุคสมัย
ห้องโดยสารที่ให้ความสบายสมราคา สมรรถนะและความประหยัดที่อยู่ใน
เกณฑ์ดี ความทนทานไว้ใจได้ การซ่อมบำรุงรักษาที่ง่าย ไม่ยากจนเกินไป
แถมยังเป็นรถยนต์รุ่นครูสำหรับช่างซ่อมรถยนต์มือใหม่ นี่แหละคือนิยามที่
ทำให้ Corolla ยังคงครองตำแหน่ง รถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุด ตลอดกาล ของ
Toyota ทั้งในตลาดเมืองไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก ด้วยยอดผลิต
และจำหน่าย มากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก เกินกว่า 50 ล้านคัน กลายเป็น
รถยนต์รุ่นสำคัญที่สุด ซึ่งผลักดันให้ Toyota กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและของโลก

เฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียว นับตั้งแต่ Toyota Motor Thailand สั่ง
นำเข้า Corolla KE-10 สำเร็จรูปทั้งคันจากโรงงานที่ญี่ปุ่น มาขายในบ้านเรา
ในช่วงปลายปี 1966 และเริ่มนำรุ่น KE-20 มาประกอบขาย ณ โรงงานสำโรง
เมื่อปี 1972 จนถึงวันนี้ ประชากรของ Corolla ในเมืองไทย ปาเข้าไปเกินกว่า
750,000 คัน แล้ว!

อย่างไรก็ตาม Generation ที่ 8 รุ่นปี 1995 เป็นต้นมา เมื่อ Toyota ได้สำรวจพบ
ว่าลูกค้าในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก มีรสนิยม และความต้องการพื้นฐานที่แตกต่างกัน
Toyota จึงตัดสินใจ พัฒนา Corolla ให้แตกต่างกันรวม 3 เวอร์ชัน หลักๆ ได้แก่
Japan & Global Version , European Version และ US Version

แนวทางนี้ ถูกสานต่อใน Generaion ที่ 9 E-120 (NCV : New Century Value)
เดือนสิงหาคม 2000 (เวอร์ชันไทยคือ Altis รุ่น Brad Pitt ZZE-122 เปิดตัวเมื่อ
เดือนพฤษภาคม 2001) ต่อเนื่องมาถึง Generation ที่ 10 E-150 ปี 2006 – 2007
(เวอร์ชันไทยคือ Altis รุ่น Orlando Bloom 2007 – 2014) โดยทั้ง 2 รุ่นแยกออก
เป็น Japan Version , European version และ Global & US Version

ล่วงเลยมาถึง Generation ที่ 11 ของ Corolla ใหม่ แม้ยังคงถูกสร้างขึ้นเพื่อเอาใจ
ลูกค้าตามรสนิยมที่ต่างกันมากถึง 3 Version ตามเดิม ทว่า มีการปรับทัพครั้งใหญ่
เพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงไปของตลาดแต่ละภูมิภาค

โดยJapan Version จะถูกแยกออกไปเป็นเอกเทศ ถึงจะใช้ชื่อ Corolla แต่ก็แทบ
ไม่ได้เกี่ยวข้องกันในแง่ของโครงสร้างวิศวกรรมเท่าใดนัก

ขณะเดียวกัน US Version กับ European Version แม้จะถูกจับรวบกันพัฒนา
บนพื้นฐานโครงสร้างตัวถังร่วมกัน แต่มีการปรับปรุงหน้าตาให้แตกต่างกันไป
และคราวนี้ Global Version จะเปลี่ยนมาใช้หน้าตาของ European Version
เป็นการทดแทน จากเดิมที่ใช้หน้าตาของรุ่น US Version มาตั้งแต่ปี 2001

2013_Toyota_Corolla_E160_JPN

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ Toyota เลือกเปิดตัว Corolla ใหม่ เหมือนเช่นเคย แต่
ในการเปลี่ยนโฉมครั้งนี้ พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา ด้วยการ
ลดขนาดตัวถังลงจากเดิม เปลี่ยนมาใช้พื้นตัวถัง B Platform เป็นพื้นตัวรถ
แทนที่จะใช้พื้นตัวถัง New MC Platform เหมือน Corolla ในตลาดบ้านเรา
ด้วยเหตุผลที่จำเป็นต้อง รักษาขนาดตัวถังไว้ให้กว้างไม่เกิน 1,700 มิลลิเมตร
เพื่อให้ยังคงอยู่ในกลุ่มพิกัดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก 5 Number ตามกฎหมายการ
จัดเก็บภาษีล้อเลื่อนในญี่ปุ่น ราคารถ และค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ (Cost
of Ownership) จะได้ถูกลง ดึงดูดลูกค้ากลุ่ม “สูงวัย แต่งบไม่มาก” ให้ยังคง
เลือกซื้อ Corolla มาใช้งานกันต่อไป ใช้รหัสรุ่น E-160 Series

Generation ที่ 11 ของ Corolla ในญี่ปุ่น ยังคงมีให้เลือก 2 ตัวถัง คือ Sedan
สวมชื่อรุ่นย่อย (Sub-name) ว่า Axio ต่อเนื่องจากรุ่นก่อน ส่วนตัวถัง 5 ประตู
Station Wagon ก็ยังคงใช้ชื่อ Sub-name ว่า Fielder เอาใจลูกค้าวัยรุ่นที่
ชอบพาเพื่อนไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด หรือลูกค้าสูงวัย ที่ไม่อยากได้ Corolla
ในแบบ Sedan เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ 11 พฤษภาคม 2012

ทั้ง 2 ตัวถัง มีขนาดเท่ากัน ความยาว 4,400 – 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,695
มิลลิเมตร สูง 1,460 – 1,510 มิลลิเมตร ตามแต่ละรุ่นย่อย ระยะฐานล้อ 2,600
มิลลิเมตร เท่ากับว่า ตัวถังสั้นลงจากเดิม 50 – 60 มิลลิเมตร ลดขนาดตัวถังลง
จากกลุ่ม C-Segment Compact ลงมาเป็น B-Segment Sub-Compact เพื่อ
ย้อนกลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิมของตระกูล Corolla ในสายตาคนญี่ปุ่น นั่นคือ
การเป็นรถยนต์คันเล็กของบ้าน สำหรับโดยสาร 4 คน ทำตลาดแทนรุ่น Belta
(หรือ Vios Generation 2 ในบ้านเรา) ที่หมดอายุตลาดไปแล้ว

ช่วงเปิดตัว ตระกูล E-160 จะมีขุมพลังรวม 3 แบบ โดยแต่ละตัวถังทั้งรุ่น Axio
และ Fielder จะมีให้เลือก รุ่นละเลือก 2 แบบ ดังนี้

– 1NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,339 ซีซี Dual VVT-i กำลังสูงสุด
69 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 9.4 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที
เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับล้อหน้า (FWD) มีเฉพาะตัวถัง Sedan Axio

– 1NZ-FE จาก Vios บ้านเรา บล็อก 4 สูบ DOHC 1,496 ซีซี VVT-i แบ่งเป็น
3 ระดับความแรง รุ่นเกียร์ธรรมดา FWD 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 14.1 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที รุ่นเกียร์ธรรมดา 4WD 103 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด  13.5 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที และรุ่น
เกียร์ CVT FWD 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 13.9 กก.-ม.ที่
4,800 รอบ/นาที วางมาให้ทั้ง Axio และ Fielder

– 2ZR-FAE บล็อก 4 สูบ DOHC วาล์ว 1,797 ซีซี Dual VVT-i VALVEMATIC
140 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิด 17.5 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
มีเฉพาะ เกียร์ CVT ขับล้อหน้า (FWD) และวางเฉพาะตัวถัง Wagon Fielder

6 สิงหาคม 2013 เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Toyota Corolla Hybrid ทั้ง Axio และ Fielder
ภายนอก ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้า เพิ่มแถบสีฟ้าในกระจังหน้า และบั้นท้าย ภายในห้อง
โดยสาร เปลี่ยนมาตรวัดเป็นโทนสีฟ้า พร้อมจอ TFT 4.2 นิ้ว แสดงข้อมูลตัวรถต่างๆ
(MID : Multi Information Display)

ด้านขุมพลัง ยกเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดียวกันกับ Toyota Aqua/Prius C
มาใช้ทั้งดุ้น ประกอบด้วยขุมพลัง 1NZ-FXE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี
จุดระเบิดแบบ (Atkinson Cycle) 74 แรงม้า (PS) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
11.3 กก.-ม.ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 61 แรงม้า (PS) แรงบิด
17.2 กก.-ม. ทั้งหมดให้กำลังรวม 100 แรงม้า (PS) เก็บพลังงานไฟฟ้าลงในแบตเตอรี่
Nickel-Metal Hydride ติดตั้งใต้เบาะหลังเพื่อให้พื้นที่ใช้สอยด้านท้ายรถ เหมือนรุ่น
ปกติ ประหยัดสูงสุด 33 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐานรัฐบาลญี่ปุ่น JC08 รวมทั้งมีการ
ปรับปรุงช่วงล่างและโช๊คอัพ ให้รองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง อีกด้วย

จากนั้น 30 มีนาคม 2015 มีการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ เปลี่ยนชิ้นส่วน
ด้านหน้า จนดูคล้าย Vios รุ่นปัจจุบันในบ้านเรา เปลี่ยนไฟท้ายใหม่ ปรับช่องแอร์
ด้านข้างแผงหน้าปัดทั้ง 2 ฝั่ง ให้เป็นแบบ Sport เปลี่ยนวัสดุบุแผงประตูด้านข้าง
เพิ่มไฟ LED ที่ช่องใส่แก้วน้ำ สำหรับรุ่นย่อย WxB และ Aerotourer จะแตกต่าง
จากรุ่นปกติ ด้วยช่องดักลมบริเวณกันชนหน้าลาย 3 มิติ ติดตั้งไฟ LED พร้อม
เสริมกาบล่างรอบคัน และเพิ่ม แพคเกจความปลอดภัย Toyota Safety Sense C
ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ และเรดาห์ ทำงานร่วมกับระบบ Pre-collision System
(PCS) ป้องกันการปะทะกับวัตถุด้านหน้า ระบบ Lane Departure Alert (LDA)
และระบบ Automatic High Beam (AHB)

ไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่การเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด 2NR-FKE บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,496 ซีซี. พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-iE (Variable Valve Timing-
intelligent by Electric motor) ระบบ Cooled-EGR ระบบ Idling Start/Stop
และการปรับปรุงด้านต่างๆ เพื่อลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ 109 แรงม้า (PS)
ที่ 6,000 รอบ/นาที (เท่า 1NZ-FE เดิม) แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม.ที่ 4,400
รอบ/นาที มีเฉพาะ เกียร์ CVT และขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนรุ่น เกียร์ธรรมดาจะยัง
ใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE ต่อไปตามเดิม (!!??)

ช่วงแรกที่เปิดตัว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า Toyota ถอยหลังลงคลอง และไม่มี
พัฒนาการจากรุ่นก่อนหน้านั้นเลย ยอดขายในญี่ปุ่นเอง ก็ได้แค่ประคับประคอง
ให้อยู่ในกลุ่ม Top 10 ไปได้ แต่คงยากที่จะกลับขึ้นไปเป็น No.1 เหมือนในอดีต
แต่ Toyota ก็ยังไม่ละความพยายาม ทะยอยส่งรุ่นพิเศษ กระตุ้นตลาดมากมาย
เอาใจลูกค้าในสารพัดรูปแบบ แต่ดูเหมือนว่า รุ่นที่ขายดีสุดจะเป็น Fielder 1.5
ลิตร เกียร์ CVT

(บอกกล่าวไว้เล็กน้อย ในฐานะที่ผมเคยมีโอกาสลองขับ Corolla Fielder รุ่นนี้
ในช่วงสั้นๆที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ยืนยันว่า ดีแล้วที่ทั้ง Axio และ Fielder ไม่ถูกส่งมา
ประกอบขายในเมืองไทยครับ เพราะตัวถังแคบพอกับ Vios บ้านเรา เข้าไปนั่ง
แล้วอึดอัดกว่ามาก วัสดุในห้องโดยสาร ดีเฉพาะแค่แผงหน้าปัดเท่านั้น ที่เหลือ
อัตราเร่ง และการตอบสนอง ก็พอๆกันกับ Vios บ้านเรานั่นแหละ พวงมาลัยเบา
พอๆกัน เบรกตอบสนองเหมือนๆกัน แต่ต่างกันที่ อัดออพชันตัวช่วยด้านความ
ปลอดภัยมาให้พอประมาณ)

2013_Toyota_Corolla_Furia_Concept_01

ส่วน Corolla Generation 11 ทั้งเวอร์ชันอเมริกาเหนือ และเวอร์ชันตลาดโลก
ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง New MC Platform อันเป็นพื้นตัวถังสำหรับรถยนต์
ขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาดเล็กและกลาง ขึ้นไป รวมทั้ง Crossover SUV รุ่นต่างๆ
อีกด้วย

Generation ที่ 11 ของ Corolla US Version “E170 Series” เผยโฉมครั้งแรก
ในฐานะรถยนต์ต้นแบบ Toyota Corolla Furia Concept ณ งาน NAIAS
(North American International Motor Show) 2013 หรือ Detroit Auto
Show เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2013

Corolla Furia Concept มีตัวถังยาว 4,620 มิลลิเมตร กว้าง 1,805 มิลลิเมตร
สูง 1,425 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิด
“Iconic Dynamism”  เน้นการใช้เส้นสายที่เรียบง่าย แต่นำมาตัดกันเพื่อสร้าง
บุคลิกที่โฉบเฉี่ยว สะดุดตา โดนใจกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมากขึ้น ด้านหน้าและหลัง
สั้นลง แต่ขยายห้องโดยสารให้ยาวขึ้น ตามระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ตกแต่ง
ภายนอกด้วยสีส้ม ตัดกับชายล่างสีเทาดำ ไฟหน้าและไฟท้าย เป็นแบบ LED
สวมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว เพื่อให้ดูร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น

ปฏิกิริยาผู้คนทั่วโลก ต่างตื่นตาตื่นใจไปกับความสดใหม่ สะท้อนให้เห็นได้ว่า
Corolla ที่ทกคนคุ้นเคยกันมาช้านาน จะเริ่มเปลี่ยนไป มีบุคลิกที่วัยรุ่นมากขึ้น
กว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม Toyota ยืนยันว่า จะยังคงแยก Corolla ทำตลาด ใน 2 Version
ต่อไป ด้วยเหตุผลด้านรสนิยมของลูกค้าในตลาดอเมริกาเหนือ และตลาดโลก
ไม่เหมือนกัน ตลาดอเมริกาเหนือ ต้องการรถยนต์บ้านๆ ไม่ได้แคร์วัสดุที่ใช้ใน
การประกอบมากนัก แต่ต้องอัดออพชันมาเยอะพอที่จะทำให้หนุ่มสาววัยรุ่น ซึ่ง
เพิ่งเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ยอมจ่ายเงินเป็นเจ้าของได้ ขณะเดียวกันลูกค้าที่ ซื้อ
Corolla ในตลาดโลก อยากได้ความหรูหรา ออพชันร่วมสมัย และความทนทาน
ไว้ใจได้ ดังนั้น Corolla Generation 11 จึงมีหน้าตาให้เลือกต่างกันอย่างที่เห็น
ข้างล่างนี้

2013_2014_Toyota_Corolla_USA_01

6 เดือนหลังเผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ Toyota Corolla ใหม่ เวอร์ชันจำหน่ายจริง
สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อ 6 มิถุนายน 2013

Corolla US Version มีตัวถังยาว 4,639 มิลลิเมตร กว้าง 1,776 มิลลิเมตร สูง
1,455 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ถูกออกแบบให้มีชุดไฟหน้า
เปลือกกันชนหน้า ชุดไฟท้าย และเปลือกกันชนหลัง แตกต่างจากเวอร์ชัน
ตลาดโลก และญี่ปุ่น

วางขุมพลัง 2 แบบ แต่เป็นพิกัดเดียวกัน นั่นคือ 2ZR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,798 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0:1
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-I 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 173 นิวตัน-เมตร (17.64 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที และแบบ 2ZR-FAE
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี เหมือน 2ZR-FE ทุกประการ แต่เปลี่ยนมาใช้
ระบบแปรผันวาล์ว VALVEMATIC แรงเพิ่มขึ้นเป็น 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,100
รอบ/นาที แรงบิด 17.38 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ทุกรุ่น ขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVTi-S (i = Intelligent , S=Shift) ล็อก
อัตราทดได้ 7 ตำแหน่ง

Corolla US Version ถูกนำไปขึ้นสายการผลิต ณ โรงงาน Toyota 2 แห่ง ทั้งที่
Toyota Motor Manufacturing, Mississippi, Inc. (TMMMS) เมือง Erlanger
มลรัฐ Kentucky และ Toyota Motor Manufacturing Canada, Inc. (TMMC)
เมือง Cambridge รัฐ Ontario ประเทศ Canada โดยใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ ประมาณ
25% จากญี่ปุ่น เพื่อทำตลาดเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือทั้งหมด และบางประเทศ
ในแถบอเมริกาใต้

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_03

ส่วนเวอร์ชันตลาดโลก หรือ Global Version ซึ่งมีหน้าตาแบบเดียวกับ
บ้านเรา ถูกเผยโฉมทันที ตามติด US Version เมื่อ 6 มิถุนายน 2013
โดยจะมีชุดไฟหน้า กาบข้างเหนือซุ้มล้อคู่หน้า ฝากระโปรงหน้า ไฟท้าย
ฝากระโปรงท้าย แผงทับทิมด้านหลัง ติดช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ซึ่งถูก
ออกแบบขึ้นใหม่ ให้สอดรับกับรสนิยมของลูกค้า ทั้งในยุโรป เอเซีย และ
โอเซียเนีย โดยยังคงบุคลิก Sport เอาไว้ แต่เพิ่มแถบโครเมียมให้ดูหรู
ขึ้นนิดๆ

เวอร์ชันไทย ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 14 มกราคม 2014 โดยยังคงใช้ชื่อว่า
Corolla Altis เหมือนรุ่นก่อนหน้านั้น ช่วงแรก มีให้เลือกทั้งรุ่น 1.6 ลิตร
พ่วงเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ กับรุ่น 1.8 ลิตร ที่เติม
แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ พ่วงเกียร์อัตโนมัติ CVT โดยยกเครื่องยนต์เดิม
มาจากรุ่นก่อน

อีก 1 เดือนถัดมา Toyota ก็มาแปลก กระตุ้นตลาด ด้วยการส่งเวอร์ชัน
สปอร์ตตกแต่งพิเศษ ในชื่อ Toyota Corolla Altis ESport ออกสู่ตลาด
เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2014 หวังจับตลาดคนหนุ่มสาว และปรับภาพลักษณ์
ของ Corolla Altis จากเดิมที่เคยเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งของบรรดา
มนุษย์องค์กร ให้กลายเป็นพาหนะคู่คิดวัยรุ่นที่อยากใช้ชีวิตให้โดดเด่น
จากคนอื่น โดยตัว E มาจาก Excellent Extreme Exciting สื่อสารถึง
ความยอดเยี่ยม ความเป็นที่สุด มาผนวกกับคำว่า Sporty ที่จับย่อสั้นๆ
เป็น SPORT เพื่อบ่งบอกถึงสมรรถนะในการขับขี่

20 เมษายน 2014 ในตลาดจีน แม้ว่า FAW Toyota จะได้สิทธิ์ผลิต
และทำตลาด Corolla Sedan ไปแล้ว แต่d็ยังให้สิทธิ์ GAC Toyota
นำ Corolla Sedan ไปปรับโฉมด้านหน้าและด้านหลังให้โค้งมนและ
สปอร์ตขึ้น เปิดตัเฉพาะในตลาดเมืองจีน ด้วยชื่อ Toyota Levin
รายละเอียด คลิกอ่านได้ที่นี่ Click Here!

18 มีนาคม 2015 เพื่อเป็นการประกาศความพร้อมในการนำทีมแข่ง
Toyota Team Thailand ส่ง Corolla Altis ที่ผลิตจากบ้านเรา ไป
เข้าร่วมการแข่งขัน ADAC 24 ชั่วโมง เพื่อพิสูจน์ความทนทรหดของ
ทั้งรถและทีมแข่ง Toyota จึงเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ “Toyota Corolla Altis
Nurburgring Edition” รายละเอียด คลิกอ่านได้ที่นี่ Click Here!

22 มิถุนายน 2015 ทีมการตลาดของ Toyota บ้านเรา ยังคงเดินหน้า
สานต่อแคมเปญสื่อสารการตลาด ด้วยการนำ Adam Levine ศิลปิน
ชื่อดัง หนึ่งในสมาชิกวง Maroon 5 เจ้าของเพลงฮิตทั่วโลกมากมาย
มาเป็น Presenter ในภาพยนตร์โฆษณา ที่ถ่ายทำในสหรัฐอเมริกา
เพื่อออกอากาศเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น!

ล่าสุด 22 มกราคม 2016 มีการปรับอุปกรณ์ และเปลี่ยนเครื่องยนต์
ใหม่ เฉพาะรุ่น 1.6 ลิตร ให้เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ ทั้งรุ่่น
ปกติ กับรุ่นติดก๊าซ CNG เพิ่มระบบ VSC + TRC ให้ครบทุกรุ่นย่อย
และปรับอุปกรณ์ใหม่ให้กับ รุ่น 1.8 ESport Nurburgring Edition
รายละเอียดการปรับปรุงครั้งหลังสุด คลิกอ่านได้ที่นี่ Click Here!

 

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_04

Corolla Altis ใหม่ มีตัวถังยาว 4,620 มิลลิเมตร กว้าง 1,775 มิลลิเมตร
สูง 1460 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อ
คู่หน้า/หลัง (Front & Rear Thread) อยู่ที่ 1,519 / 1,522  มิลลิเมตร
ระยะห่างจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ที่
130 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า รุ่น 1.6 ลิตร 1,265 กิโลกรัม รุ่น 1.8 ลิตร
1,275 กิโลกรัม

เมื่อเปรียบเทียบกับ Corolla Altis รุ่นก่อน ซึ่งมีความยาว 4,540 มิลลิเมตร
กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,465 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร
จะพบว่ารุ่นใหม่ ยาวขึ้น 80 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 15 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง
5 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวขึ้นถึง 100 มิลลิเมตร

แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งคันอื่นละ? Corolla Altis จะมีขนาดตัวถังดังนี้

ความยาว : เป็นอันดับ 3 ในตลาด เป็นรองแค่ MG 6 (4,653 มิลลิเมตร) และ
Honda Civic FC (4,630 มิลลิเมตร)

ความกว้าง : เป็นอันดับ 6 ในตลาด เป็นรองทั้งกับ MG 6 ( 1,827 มิลลิเมตร)
Ford Focus (1,823 มิลลิเมตร) Honda Civic FC (1,798 มิลลิเมตร) Mazda
3 (1,795 มิลลิเมตร) Chevrolet Cruze (1,790 มิลลิเมตร) แต่ดันเท่ากันกับ
Hyundai Elantra รุ่นเดิมพอดี (1,775 มิลลิเมตร)

ความสูง : เป็นอันดับ 3 ในตลาด เป็นรอง Nissan Sylphy (1,495 มิลลิเมตร)
Mitsubishi Lancer EX (1,490 มิลลิเมตร) Ford Focus (1,484 มิลลิเมตร)
Chevrolet Cruze (1,475 มิลลิเมตร) และ MG 6 (1,467 มิลลิเมตร)

ระยะฐานล้อ : เป็นอันดับ 2 ในตลาด เป็นรองแค่ MG 6 (2,705 มิลลิเมตร )
และครองตำแหน่งร่วมกับ Honda Civic FC , Mazda 3 , Nissan Sylphy
และ Hyundai Elantra (2,700 มิลลิเมตร เท่ากันทั้ง 5 รุ่น)

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_05

Shinichi Yasui : Chief Engineer หลักในการพัฒนา Corolla ใหม่ เล่าว่า
“ทีมงานของเรา ตั้งใจจะต่อยอดความสำเร็จของ Corolla โดยยังคงยึดถือ
และไม่ละทิ้งแนวคิดการพัฒนา Corolla รุ่นแรก ปี 1966 จากหัวหน้าวิศวกร
Tatsuo Hasegawa (Chief Engineer ของ Corolla รุ่นแรก KE-10) ว่าจะ
ต้องเป็นรถยนต์ที่มอบความสุขและสิ่งดี ๆ ให้แก่ผู้คนทั่วโลก”

งานออกแบบทั้งภายในและภายนอกได้รับแรงบัลดาลใจจากแนวคิดแบบ
WAKU DOKI ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลความได้ว่า จังหวะการเต้นของหัวใจ
เมื่อเกิดความรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน นั่นคือ การสร้างความพึงพอใจเหนือ
ความคาดหมายของลูกค้า ด้วยเส้นสายที่แตกต่างไปจาก Corolla ทุกรุ่น
ในอดีตทั้งหมด

หากมองจากภายนอกนั้น การแยกความแตกต่างระหว่างแต่ละรุ่นย่อย โดย
ไม่ได้ดูรหัสรุ่น ที่ฝากระโปรงหลัง อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้า
ช่างสังเกตสักหน่อย จะพบว่า อุปกรณ์ในรุ่น 1.8 ลิตร ที่ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามา
จากรุ่น 1.6 ลิตร มีดังนี้

– ไฟหน้าแบบ Projector LED พร้อมไฟ Daytime Running Light (LED)
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า สวิตช์เปิด – ปิด ฝังที่ก้านสวิตช์ฝั่งขวาของคอพวงมาลัย
– กระจกบังลมหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย Top Shade กันเสียงรบกวน (Acoustic
Glass)

ส่วนอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ตั้งแต่รุ่น 1.6 E คือ คิ้วขอบกระจกหน้าต่างโครเมียม
ขณะที่ มือจับประตู สีเดียวกับตัวรถ พร้อมโครเมียม มีมาให้ตั้งแต่ 1.6 G ขึ่นไป

รุ่นพื้นฐาน 1.6 J 6MT จะให้คิ้วรอบหน้าต่างจะเป็นสีดำ (รุ่นอื่นเป็นคิ้วโครเมียม
ทั้งหมด) ไม่มีแผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรงหน้าเหมือนรุ่นอื่นเขา และสวม
ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/65R15 ขณะที่รุ่นอื่นๆ ตั้งแต่
1.6 E CNG ขึ้นไป จนถึง 1.8 V Navi จะใช้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว สวมเข้ากับยาง
ขนาด 205/55R16

ส่วนรุ่น 1.8 ESport นั้น ภายนอก จะเพิ่มสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง
ท่อไอเสีย แบบสปอร์ตและสปอยเลอร์หลัง ไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์
พร้อม ไฟส่องสว่าง LED Day Time Running Lights และไฟท้าย LED
Surface illumination และล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลายพิเศษ

ท้ายสุด รุ่น 1.8 ESport Nurburgring Edition จะเปลี่ยนงานออกแบบชุด
เปลือกกันชนหน้า พร้อมสเกิร์ตหน้า สปอยเลอร์หลัง และเปลือกกันชนหลัง
ให้ต่างจาก ESport ปกติ มีสติ๊กเกอร์ แปะไว้ ข้างซุ้มล้อคู่หน้า เป็นลายสนาม
Nurburgring พร้อม กระจังหน้า สี Piano Black และล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลาย
ใหม่ พิเศษเฉพาะรุ่น

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_01

กุญแจในรุ่น 1.8G / 1.8V Navi จะเป็นรีโมทคอนโทรล Smart Entry
พร้อม Immobilizer หน้าตาของมัน ก็เหมือนกับการนำรีโมทกุญแจจาก
Altis 2.0V / 2.0V Navi รุ่นก่อน มาเปลี่ยนตำแหน่งปุ่มกดและสีของ
กุญแจ และแค่นั้น! การติดเครื่องยนต์ ต้องเหยียบเบรก ก่อนกดปุ่ม Push
Start เหมือนเดิม (เพราะมีระบบ Safety ถ้าไม่เหยียบเบรก จะสั่งทำงาน
ได้แค่อุปกรณ์ไฟฟ้า ภายในรถ หรือ ACC ตามปกติ)

ในขณะที่กุญแจตั้งแต่รุ่น 1.8 ESport ลงไป จะเป็นกุญแจรีโมทที่ถูก
ออกแบบใหม่ เป็นแบบพับเก็บได้ มีระบบ Immobilizer และ TDS
(Theft Deterrent System) ส่งสัญญาณเสียงเตือนภัย เมื่อมีการ
บุกรุกมาให้ ครบแทบทุกรุ่น ทั้ง 1.8 และ 1.6 ลิตร

(ก่อนหน้านี้ รุ่น MY 2014 – 2016 รุ่น 1.6J และ 1.6J CNG จะไม่มี
ระบบ Immobilizer และ TDS มาให้ แต่ในรุ่นปรับทัพ MY 2016
ตอนนี้จะเหลือเพียงแค่รุ่น 1.6 J 6MT เพียงรุ่นเดียวที่ไม่มีระบบ
Immobilizer และ TDS)

บนกุญแจรีโมท มีปุ่มสั่งล็อคและปลดล็อคมาให้ แต่คราวนี้ Toyota
ใจป้ำ ใส่ปุ่มปลดล็อคฝากะโปรงด้านหลังมาให้ด้วย กระนั้น การติด
เครื่องยนต์ ก็ยังคงต้องใช้วิธีดั้งเดิม นั่นคือเสียบกุญแจเข้ารูบริเวณ
คอพวงมาลัยฝั่งขวาแล้วบิดไปทางขวา เพื่อสตาร์ตติดเครื่องยนต์
ตามปกติ

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_02

การเข้า – ออกจาก บานประตูคู่หน้า ยังคงทำได้ดีไม่มีปัญหา ตราบใดที่
คุณ ยังไม่ลืม ปรับเบาะคนขับ ลงไปในตำแหน่งที่ ไม่ทำให้หัวของคุณ
ไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar  สำหรับผมแล้ว การปรับเบาะนั่ง
คนขับ ลงไปจนต่ำสุด หรือยกตัวขึ้นอีกไม่เกิน 4 Step จะไม่ทำให้เกิด
ปัญหาดังกล่าวแน่นอน

มือจับประตูด้านในแบบ โครเมียม พร้อมลายเมทัลลิคที่ด้ามจับประตู
ด้านหน้าและด้านหลัง ยกเว้น 1.6 J 6MT ที่จะเป็นแบบเรซิน ส่วนรุ่น
1.8 ESport จะเป็น สีเงิน Metallic และ 1.8 ESport Nurburgring
Edition จะเป็น Trim สีดำ Piano Black พร้อมแถบสีแดง

แผงประตูคู่หน้า ออกแบบให้มีช่องใส่เอกสาร และขวดน้ำดื่ม ขนาด 7 บาท
อย่างเป็นสัดส่วน มีขนาดใหญ่ ใช้งานได้จริง ตำแหน่งวางแขน บนแผง
ประตูด้านข้าง และฝากล่องเก็บของด้านข้างลำตัวคนขับ ถูกปรับปรุงใหม่
หลังจากที่รุ่นก่อน โดนผมด่าเปิงไปอย่างหนักหน่วง อย่าว่าแต่จะวางแขน
กันเลย ขนาดวางข้อมือ ยังวางไม่สบาย ไม่ได้เรื่อง

แต่สำหรับ Altis ใหม่ คราวนี้ สามารถวางแขนได้สบายพอดีๆ แต่อาจเตี้ยไป
สักนิด ถ้าคิดวางข้อศอกไปด้วย กระนั้น ถือว่า มีการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น
แม้งานออกแบบจะแข็งมื่อมะลื่อ ราวกับต้องเอาใจกลุ่มลูกค้าในแถบประเทศ
หลังม่านเหล็ก อย่างรัสเซีย ก็ตาม แต่มือจับสีเงิน ก็ยังพอจะช่วยให้ดูดีได้บ้าง

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_03

เมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งบนเบาะคู่หน้า ผมพบว่า เบาะนั่งฝั่งคนขับของรุ่น
1.8 V Navi และ 1.8 G ปรับตำแหน่งเอน และตำแหน่งเบาะสูง – ต่ำ
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แถมยังมีสวิชต์ปรับตำแหน่งดันหลัง สูง – ต่ำ และ ดัน
มาก-ดันน้อย มาให้อีกต่างหาก! กระนั้น ไม่มีสวิตช์จำตำแหน่งเบาะ
Memory Seat มาให้

ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ของทุกรุ่น รวมทั้งเบาะคนขับของรุ่น
อื่นๆ นอกเหนือจากทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว ยังต้องปรับตำแหน่งด้วยชุดคันโยก
ตามเคย โดยจะมีก้านโยกปรับระดับสูง – ต่ำของเบาะคนขับมาให้ แทบจะ
ทุกรุ่น ไม่เว้นแม้แต่รุ่น 1.8 ESport ที่ไม่มีเบาะไฟฟ้ามาให้

พนักพิงเบาะนั่งคู่หน้า ของทุกรุ่น ออกแบบมาใหม่ทั้งหมด นั่งแล้วสัมผัส
ได้ว่า พนักพิงโค้งเว้า โอบกระชับแผ่นหลัง ให้ได้ละเอียดมากที่สุดเท่าที่
เป็นไปได้ ไม่เว้นแม้แต่บริเวณหัวไหล่ ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังรองรับน้อยไป
นิดนึง กระนั้น ยังถือว่าอยู่ในระดับยอมรับได้ หากเทียบกับความเห่ยเฟย
ของเบาะนั่งใน Altis รุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด

เมื่อลองขึ้นไปนั่งเป็นครั้งแรก อาจสัมผัสว่า เบาะนั่งมันช่างโอบร่างคุณ
ดีจังเลย แต่เมื่อนั่งไปนานๆ เกินกว่า 1 ชั่วโมง อาจจะเริ่มคิดว่า อยากได้
ตัวดันหลังมาช่วยเสริมอีกสักนิดนึง ก็คงดี หากคุณขับรุ่น 1.8 V Navi
และ 1.8 G ก็สามารถปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้าได้เลย แต่ในรุ่นอื่นๆ จงทำใจ
แล้วหาหมอนเล็กๆบางๆ ตามร้าน Gift Shop มาหนุนหลังก่อนแล้วกัน

ส่วนพนักพิงเบาะคู่หน้า ของ รุ่น 1.8 ESport นั้น เป็นแบบ Bucket
Seat ซึ่งถูกออกแบบให้มีปีกเบาะ ยื่นออกมาเพิ่มมากขึ้น ให้ช่วยรองรับ
สรีระของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า ให้ตรึงอยู่กับเบาะ ในขณะเข้าโค้ง
ได้ดีขึ้นกว่าพนักพิงเบาะคู่หน้า ของรุ่นอื่นๆ เล็กน้อย…แค่นั้น!

เพราะนอกนั้น การรองรับแผ่นหลังในส่วนอื่นๆ ก็เหมือนกันกับเบาะนั่ง
คู่หน้า ของ Altis ใหม่ รุ่นย่อยอื่นๆ ไม่มีผิดเพี้ยนเลยนั่นแหละ สรุปว่า
ต่างกันแค่ มีปีกข้างของเบาะที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปกติ นิดหน่อย เท่านั้น
สัมผัสจากการนั่ง เหมือนกันเปี๊ยบ!

เบาะรองนั่ง ของทุกรุ่น ออกแบบมาให้มีขนาดเหมือนกัน แม้จะยังสั้นอยู่
แต่ก็ไม่ได้สั้นมาก เมื่อเทียบกับ คู่แฝดร่วม Platform อย่าง Corolla
Axio เวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งแอบสั้นกว่านี้อีกนิดนึงด้วยซ้ำ ถ้าคุณปรับเบาะ
ลงต่ำสุด จะพบว่า ส่วนที่รองรับก้นจะจมลงไป แต่ส่วนที่รองรับต้นขา จะ
เงยขึ้น ลักษณะคล้ายกับเบาะนั่งของ Chevrolet Cruze หรือ Ford
Focus แต่ยังพอจะอยู่ในตำแหน่งที่ยอมรับได้มากกว่า

พื้นที่เหนือศีรษะ โปร่งใช้ได้ ตำแหน่งเสาหลังคาที่โค้งอย่างเหมาะสม ช่วย
ลดปัญหา แผงบังแดด ใกล้สายตาเกินไป จึงไม่ทำให้อึดอัดขณะมองไปบน
สภาพการจราจรข้างหน้า

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_04

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง ทำได้สบายขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากขนาด
ของบานประตูคู่หลัง ยาวขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กระนั้น ถ้าจะเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง คุณอาจต้องก้มหัวลงเพิ่มขึ้นจากปกติ
สักหน่อย มิเช่นนั้น ศีรษะของคุณ อาจไปกระแทกกับ กรอบด้านบนของ
ช่องทางเข้า – ออก ได้ง่ายๆ

ถ้าจะลุกออกมาจากรถ บานประตูอาจจะเปิดกางออกไม่ได้กว้างนัก แต่ด้วย
ความยาวบานประตูคู่หลังที่มากกว่ารุ่นก่อน ช่วยให้การลุกออกจากรถ ยัง
เป็นไปอย่างเรียบร้อย และง่ายดายอยู่

กระจกหน้าต่างคู่หลัง เลื่อนขึ้น – ลง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า สามารถเลื่อนลงมาได้
จนสุดขอบหน้าต่างด้านล่าง ขณะเดียวกัน การวางแขนบนแผงประตูนั้น เมื่อ
เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิม กระนั้น ข้อศอก ก็ยังไม่สามารถ
วางลงไปบนพื้นที่วางแขนได้เต็มที่ ยังดีที่มีปีกพนักพิงเบาะหลัง ยื่นออกมา
รองรับบริเวณข้อศอก จึงทำให้การวางแขนยังอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้

แผงประตูคู่หลัง มีช่องใส่แก้วน้ำมาให้ เพียงพอสำหรับขวดน้ำขนาด 7 บาท

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_05

เบาะหลังของทุกรุ่น ออกแบบมา ให้มีฟองน้ำเสริมโครงเบาะข้างใน แบบนุ่ม
แต่ค่อนข้างแน่น เมื่อใช้งานจริง ราวกับจะเน้นการรักษาทรงของเบาะเอาไว้
ให้นาน ท่ามกลางสภาพการใช้งานของลูกค้าชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่
ซื้อ Altis ใหม่ ไปเป็น Taxi โครงสร้างเบาะหลังจะต้องแน่น เพื่อให้เสียรูป
ช้าลง หลังจากใช้งานไปนานๆ

พนักพิงหลัง หากลองนั่งครั้งแรก อาจเข้าใจว่าแข็ง แต่จริงๆแล้ว แอบนุ่ม
อยู่บ้าง เบาะรองนั่ง มีความยาวกำลังดี ยาวอย่างเหมาะสมกันเสียที ฟองน้ำ
ที่เสริมซ่อนอยู่ข้างใน นุ่มและแน่นในระดับกำลังดี ทำให้ผมนั่งได้เต็มก้น
ยาวจนถึงข้อพับหัวเข่า ได้อย่างสบาย กว่ารุ่นเดิมชัดเจนมาก พนักศีรษะ
แบบถอดยกออกได้ทั้ง 3 ตำแหน่ง เสริมฟองน้ำไว้หนา จึงสัมผัสได้ถึง
ความแน่น มากกว่าความนุ่ม มาในสไตล์รถยุโรปกันชัดๆ

เฉพาะรุ่น 1.8 V Navi MY2016 เท่านั้น ที่จะเพิ่มความแตกต่างด้วย
พนักพิงเบาะหลังแบบปรับเอนได้เล็กน้อย

รุ่น 1.8 V Navi คันสีขาวมุก และ 1.8 G เป็นเพียง 2 รุ่นย่อยเท่านั้น ที่
จะมีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง มีฝาปิด
สีเงิน Metallic มาให้  พนักวางแขนนี้ แม้วางแขนได้ แต่ถ้าวางข้อศอก
ลงไปเต็มๆ ยังไม่ดีนัก เพราะตำแหน่งวางแขน เตี้ยไป นิดนึง

กระนั้น ทุกรุ่น มีเข็มขัดนิรภัย ELR -3 จุด มาให้ ครบทุกตำแหน่งนั่ง
แถมยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ ที่ใต้
พนักพิงหลัง รวมทั้งมีมือจับยึดเหนี่ยวจิใจ (ศาสดา)  มาให้เหนือช่อง
ประตู ผู้โดยสาร คู่หลัง และด้านหน้าฝั่งซ้าย รวม 3 ตำแหน่ง อีกด้วย

พื้นที่วางขา คือจุดขายสำคัญของ Altis ใหม่ การขยายระยะฐานล้อให้
ยาวขึ้นเป็น 2,700 มิลลิเมตร นั้น เห็นได้ชัดเจนว่า Toyota น่าจะศึกษา
จากความต้องการของผู้บริโภค และดูแนวโน้มของคู่แข่งอย่าง Honda
Civic FD รุ่นปี 2005 – 2012 มาประยุกต์ใช้ นั่นทำให้พื้นที่วางขาของ
Corolla Altis ใหม่ ยาวขึ้น กว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน วางขาได้สบายมาก
ระดับที่ว่า ผมสามารถนั่งไขว่ห้างได้ ทั้งที่ตัวผมก็อ้วนขนาดนี้

แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือ พื้นที่เหนือศีรษะนั้น บอกได้เลยว่า การเลื่อน
ระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น แต่จำเป็นต้องออกแบบแนวหลังคาให้เทลาดลง
ในลักษณะนี้ ย่อมทำให้พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับใครก็ตามที่มีส่วนสูง
170 เซ็นติเมตรขึ้นไป ลดลงจากรุ่นเดิม เพราะผมเอง นั่งแบบเต็มก้น
แม้ว่าหัวไม่ชน แต่เส้นผมก็เฉี่ยวไปเฉียดเพดานหลังคา Recycle กันแล้ว

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_06

เฉพาะรุ่น 1.8 V Navi จะมีม่านบังแดด จากกระจกบังลมหลัง สำหรับ
ผู้โดยสารด้านหลังมาให้เป็นพิเศษ แต่ยังเป็นแบบม่านยกขึ้นด้วยมือ
เกี่ยวคล้องเอาไว้กับตะขอบนเพดานหลังคา

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_07

ฝากระโปรงหลัง ของทุกรุ่น สามารถสั่งปลดล็อกเพื่อยกเปิดขึ้นได้จากทั้ง
คันโยกเล็กๆ ใต้เบาะรองนั่งฝั่งคนขับด้านขวา และสวิตช์บนรีโมทกุญแจใน
ทุกแบบ

ด้านหลังฝากระโปรง มีการบุวัสดุซับเสียงมาให้ ทั้งเพื่อความเรียบร้อยและ
สวยงาม รวมทั้ง ลดเสียงรบกวนจากด้านหลังที่จะส่งเข้าห้องโดยสารอีกด้วย
ผมออกจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบว่า มีการติดตั้ง แผงซับเสียงมาให้แบบนี้
ทั้งที่ปกติแล้ว อย่าหวังว่าจะเห็นอุปกรณ์ชิ้นนี้ ติดตั้งมาให้ในรถยนต์นั่งของ
Toyota รุ่นประกอบในประเทศกันได้ง่ายๆเลย

ช่องทางเข้าห้องเก็บสัมภาระมีขนาดใหญ่โตกว่ารุ่นเดิมชัดเจน สะดวกต่อการ
ขนถ่ายข้าวของ มากยิ่งขึ้น

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_08

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีขนาดใหญ่โต มีความจุ 470 ลิตร ตามมาตรฐาน
VDA ของเยอรมนี นอกจากจะจุกระเป๋าเดินทางหรือถุงกอล์ฟขนาดใหญ่
ได้สบายๆแล้ว คนตัวใหญ่ระดับผู้เขียน ยังสามารถลงไปนอนได้ และลุก
ออกมาได้อย่างไม่อึดอัดใดๆทั้งสิ้น ผนังด้านข้าง มีวัสดุขึ้นรูป บุไว้เพื่อ
ความเรียบร้อยและสวยงาม รวมทั้งช่วยซับเสียงที่จะเล็ดรอดเข้าไปยัง
ห้องโดยสารอีกด้วย

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ในแบบต่างๆกัน หากเป็น
รุ่น 1.6 ลิตร ก็จะได้ยางอะไหล่แบบ มาตรฐาน หน้าแคบ แต่ถ้าหากเป็นรุ่น
Esport จะได้ยางอะไหล่พร้อมล้ออัลลอยเพิ่มมาเลยจากโรงงาน ด้านข้าง
เป็นซองเครื่องมือประจำรถ รวมทั้งแม่แรงสำหรับยกรถเพื่อถอดเปลี่ยนล้อ
ในยามฉุกเฉิน

ชักสงสัยว่า ลูกค้าที่รู้เรื่องนี้ เค้าจะน้อยใจกันไหมหนอ?

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_09

ภายในห้องโดยสาร รุ่น 1.8 V และ G รวมทั้ง ESport จะเป็นสีดำ ส่วน
รุ่น 1.8 E และ 1.6 G , 1.6 E จะเป็นสีเบจ ส่วน 1.6 J 6MT จะเป็นสีเทา

ถึงแม้จะยังคงความโปร่งสบาย เท่าที่ขนาดของตัวรถจะเอื้ออำนวย แต่
แผงหน้าปัด คือสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจมากสุดในสายตาของผม

ทำไมหนะหรือ? ก็เพราะว่างาานออกแบบในภาพรวม มันชวนให้ย้อน
นึกกลับไปถึงหน้าปัดของ Corolla KE-30 รุ่นปี 1974 ไงละ! มันดูเชย
เฉิ่มไปหมดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน แถมในการขับขี่
ใช้งานจริง พบว่าแผงหน้าปัดฝั่งซ้าย อยู่ใกล้กับผู้โดยสารฝั่งซ้าย มาก
จนก่อความอึดอัด รำคาญใจได้

การแก้ปัญหา ก็ไม่ยาก ออกแบบแผงหน้าปัดใหม่ แล้วเน้นให้ มีการ
สโลปลงมาจากขอบล่างของกระจกบังลมหน้า น่าจะช่วยลดความ
อึดอัดของผู้โดยสารฝั่งซ้าย ไปได้พอสมควร แต่สงสัยว่าเราคงต้อง
รอกันจนถึงรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ในปี 2018 – 2019 เพราะจากข้อมูลที่
หลุดออกมา รุ่นปรับโฉม Minorchange จะยังคงใช้แผงหน้าปัดเดิม
แบบที่เห็นกันอยู่นี่ละครับ แต่ปรับรายละเอียดแค่นิดหน่อยเท่านั้น!

พูดแบบไม่ต้องเกรงใจกันเลยว่า ถ้าออกแบบแผงหน้าปัดให้สวยขึ้น
กว่านี้ไม่ได้ ก็ไปยกเอาแผงหน้าปัดของ Corolla Altis รุ่น MY 2007
ถึง 2013 มาติดตั้งให้แทน ยังจะดีเสียกว่า!

มองขึ้นไปด้านบนเพดาน มีแผงบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้าและฝา
เลื่อนปิด – เปิด มาให้ครบทุกรุ่น แต่รุ่น 1.8 V Navi , 1.8 G และ 1.6 G
จะมีไฟส่งอสว่างมาให้ ซึ่งต้องเลื่อนสวิตช์ เปิด – ปิดเอาเอง ใครที่ลืม
เปิดไฟแต่งหน้าทิ้งไว้ บอกได้เลยว่า มีโอกาส จะทำให้แผงบังแดดร้อน
ขึ้นมาได้ อันที่จริง น่าจะทำแบบ สวิตช์ไฟบ้าน คือ พอพับแผงบังแดด
เก็บแล้ว มันจะไปสัมผัสสวิตช์ไฟเพื่อปิดเองได้ทันที จะดีกว่า

กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน รุ่น 1.6 ลิตร จนถึง 1.8 ESport
จะเป็นแบบธรรมดา แต่ในรุ่น 1.8 V Navi จะเป็นแบบอัตโนมัติ กระนั้น
รุ่นที่จะได้ของดีสุด กลับเป็น 1.8 G รองท็อป เพราะนอกจากจะเป็นแบบ
ตัดแสงอัตโนมัติแล้ว หากคุณเข้าเกียร์ถอยหลัง ยังจะแสดงภาพจากกล้อง
มองหลัง เพื่อความสะดวกขณะถอยเข้าจอดด้วย ยกชุดมาจาก Lexus RX
กันเลยทีเดียว!! กล้องมองหลัง จะมีมาให้แค่ 2 รุ่น คือ 1.8 V Navi และ
1.8 G เท่านั้น

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_10

จากขวา ไปซ้าย ทุกรุ่นติดตั้ง กระจกหน้าต่าง เลื่อนขึ้น – ลง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า
ครบทั้ง 4 บาน เฉพาะฝั่งคนขับ มีระบบ Jam-Protection ดีดกลับอัตโนมัติเมื่อ
เจอสิ่งกีดขวาง และระบบ One-Touch กดเลื่อนลง หรือยกสวิตช์เลื่อนหน้าต่าง
ขึ้นเพียงแค่คลิกเดียว

ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ด้านขวามือ มีสวิตช์ปรับตำแหน่งกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า
มาให้ทุกรุ่น แต่รุ่น 1.6 J 6MT คุณยังคงต้องพับกระจกมองข้างด้วยมือคุณเอง
ขณะที่รุ่น 1.6 E CNG , 1.6 G , 1.8 E กับ 1.8 ESport จะเพิ่มสวิตช์พับกระจก
มองข้างด้วยไฟฟ้ามาให้ ส่วน 1.8 G ,1.8 ESport Nurburgring Edition กับ
1.8 V Navi จะเพิ่มระบบ พับกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อล็อกรถมาให้อีกด้วย

ถัดลงไป เป็นช่องใส่ฟิวส์ พร้อมฝาปิด คันโยกเปิดฝากระโปรงหน้า ส่วนก้าน
ดึงเปิดฝากระโปรงหลัง และฝาถังน้ำมัน ติดตั้งอยู่ที่พื้นรถ ในตำแหน่งมาตรฐาน
ใกล้กับฐานเบาะคนขับ ฝั่งขวา

การติดเครื่องยนต์ มีเพียงรุ่น 1.8 G และ 1.8 V Navi เท่านั้น ที่ใช้สวิตช์กดปุ่ม
Push Start นอกนั้น รุ่นอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ ESport ทั้ง 2 รุ่น ยังคงต้องใช้วิธี
เสียบกุญแจ บิดหมุนติดเครื่องยนต์ ที่คอพวงมาลัยด้านขวา กันตามเดิม!!

ก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา รวมตำแหน่งของไฟหน้า ไฟตัดหมอกทั้ง
ด้านหน้า และหลัง กับไฟเลี้ยว ไฟสูง ไฟกระพริบ ไว้ด้วยกันทั้งหมดเหมือน
Toyota รุ่นอื่นๆ มีระบบเตือนลืมปิดไฟหน้าด้วยเสียง ในรุ่น 1.6 J 6MT ส่วน
นอกนั้น รุ่นอื่นๆ เตือนด้วย ระบบอัตโนมัติ แสงบนมาตรวัด และเฉพาะรุ่น
1.8 V Navi จะมีระบบเปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ (ไฟหน้า Auto) แถมมาให้

ก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ยังคงเป็นศูนย์รวมการควบคุมใบปัดน้ำฝน
ที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า เกือบทุกรุ่นย่อย รวมทั้ง ESport ทั้ง 2 รุ่น เป็น
แบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้ แต่รุ่น 1.8 V Navi จะเพิ่มระบบปัดน้ำฝนให้
เป็นแบบ อัตโนมัติ พร้อม Rain Sensor ส่วนรุ่น 1.6 J 6MT ปรับหน่วงเวลา
ใดๆไม่ได้เลยทั้งสิ้น

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับ สูง – ต่ำ และใกล้ – ห่าง (Telescopic)
ได้รวม 4 ทิศทาง จับกระชับมือ แต่หุ้มด้วยวัสดุต่างกัน รุ่นที่หุ้มด้วยยูรีเธน
มี 3 รุ่น คือ 1.6 J 6MT , 1.6 E CNG & 1.8 E ส่วนรุ่น 1.6 G , 1.8 G , 1.8 V
Navi, 1.8 Esport และ 1.8 ESport Nurburgring Edition จะหุ้มด้วยหนัง
ซึ่งก็ให้สัมผัสที่ สากมือราวกับหุ้มด้วยยูรีเธน นั่นแหละ!

สวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง ฝั่งซ้าย มีมาให้ครบทุกรุ่น ยกเว้น 1.6 J 6MT
แต่ในรุ่น 1.8 G, 1.8 ESport Nurburgring Edtion และ 1.8 V Navi จะ
เพิ่มสวิตช์ควบคุมหน้าจอ MID (Multi Information Display) บนชุด
มาตรวัด เพิ่มมาให้ นอกจากนี้ เฉพาะรุ่น 1.8 V Navi จะเพิมสวิตช์รับสาย
โทรศัพท์ให้เป็นพิเศษเพียงรุ่นเดียว (1.8 V Navi ในภาพชุดนี้ ถ่ายทำเมื่อ
กลางปี 2014 จึงไม่มีภาพของสวิตช์รับสายโทรศัพท์ให้เห็น)

ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ติดตั้งไว้ที่ใต้ก้านพวงมาลัยฝั่ง
ขวา อันเป็นตำแหน่งดั้งเดิมที่พบได้ใน Toyota แทบทุกรุ่น มีมาให้เฉพาะ
รุ่น 1.8 G และ 1.8 V Navi เท่านั้น

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_11

ชุดมาตรวัดของ Altis ใหม่ จะมี 2 แบบ คือ แบบ Optitron ในรุ่น 1.8G และ
1.8V Navi เรืองแสงสีฟ้า ที่ออกแบบให้ดูดี และมีไฟเรืองแสง ส่องสว่าง
สวยและดูเข้ากับรถมากกว่ารุ่นที่แล้วพอสมควร

มีจอ MID (Multi Information Display) แสดงข้อมูล ทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ขณะขับขี่แบบ Real time อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ระยะทางที่น้ำมันในถัง
เหลือพอให้รถยนต์แล่นต่อไปได้ โดยประมาณ ความเร็วเฉลี่ย ระยะเวลาในการ
ขับขี่ Trip Meter A และ B มาตรวัดแสดงการขับขี่ประหยัดน้ำมัน วัดอุณหภูมิ
นอกรถ แบบ Digital และสัญลักษณ์ ECO สีเขียว ที่จะติดขึ้นเมื่อคุณกำลังขับรถ
ได้ประหยัดน้ำมันตามที่คอมพิวเตอร์คิดไว้

(ซึ่งผมก็งงอยู่เหมือนกันในบางที ว่าขนาด ขับตั้ง 130 – 140 ไฟ ECO ยังสว่าง
ขึ้นมาให้ ฉงนเล่น ทั้งที่รู้อยุ่ว่า เขาวัดจากน้ำหนักเท้าที่เราเหยียบลงไปบน
คันเร่ง และการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ)

แม้ว่าจะมีการเรียงตัวเลขในแบบโค้งตามขอบวงกลม เหมือนคู่แข่งจากยุโรป
และสหรัฐฯ อย่าง Chevrolet Cruze แต่กลับสามารถอ่านข้อมูลในขณะขับขี่
ด้วยความเร็วเดินทาง ได้กำลังดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลือกใช้ Font ตัวเลข
ที่เป็นมาตรฐานของ Toyota

ถือเป็นชุดมาตรวัดเรืองแสงสีฟ้า ที่ดีที่สุด ชุดหนึ่ง นั่นอาจเป็นเพราะตำแหน่ง
ของแต่ละชิ้นส่วนบนมาตรวัด ชวนให้เรานึกถึง ชุดมาตรวัดของรถยนต์จาก
กลุ่ม Volkswagen Group / Audi / Skoda / Seat ก็เป็นไปได้

ส่วนในรุ่นตั้งแต่ 1.8 ESport ลงมาจะเป็นมาตรวัด 3 วงกลม คล้ายพี่น้องร่วมตระกูล
ทั้ง Vios กับ Vigo การเรืองแสงแบบธรรมดา ใช้โทนสีฟ้าเข้ม แบบเดียวกับมาตรวัด
แบบ Optitron ตรงกลางมีจอ MID มาให้เหมือนกัน แต่การแสดงผลก็จะเป็นแบบ
เรียบง่าย โดยมีข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลงมาให้ แถมยังมีมาตรวัดอุณหภูมิ
ภายนอกแบบ Digital มาให้อีกด้วย ส่วนไฟ ECO สีเขียวก็ยังมีมาให้เหมือนรุ่นอื่นๆ

สิ่งที่รถยนต์ทุกคันในสมัยนี้ ไม่ค่อยมี แต่ควรจะมี และโชคดีที่มันมีใน Altis ใหม่
นั่นคือมาตรวัดอุณหภูมิระบบหล่อเย็น หากเป็นรุ่นมาตรวัดธรรมดา จะแสดงผลเป็น
แบบดิจิตอลอยู่ในจอ MID แต่ถ้าเป็นมาตรวัดแบบ Optitron จะเป็นแบบเข็มตามเดิม
กระนั้น รุ่น 1.6 CNG เปรียบเสมือนลูกเมียน้อย เพราะไม่มีมาให้ เนื่องจากต้องใช้
พื้นที่เดียวกัน ติดตั้งมาตรวัดปริมาณก๊าซ CNG ในระบบ เป็นการทดแทน

แต่ชุดมาตรวัดในรุ่น 1.8 ESport และ 1.6 G ลงไป การออกแบบให้ตัวเลขมาตรวัด
เป็นแบบโค้งตามขอบวงกลม กลับ เกิดปัญหาการอ่านข้อมูลในขณะขับขี่ค่อนข้างมาก
และต้องเหลือบสายตาลงมาอ่านกันอย่างจริงจัง

สาเหตุก็เพราะการเลือกใช้ Font ตัวเลขที่ทำได้ไม่ดีเท่ากับรุ่น 1.8 G กับ V Navi
แถมยังจัดระยะห่างของตัวเลขน้อยเกินไป ถ้าขับขี่ในความเร็วสูง ก็ต้องละสายตาจาก
ถนนมาอ่านตัวเลขนานกว่าปกติอยู่ดี ซึ่งในแง่ของความปลอดภัยบนท้องถนนแล้ว
มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าปรับปรุงได้จะดีมาก อย่างน้อย เปลี่ยนไปใช้ Font ตัวเลข
แบบเดียวับรุ่นมาตรวัด Optitron ก็ยังช่วยบรรเทาปัญหานี้ลงได้

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Interior_12

กล่องเก็บของ Glove Compartment บริเวณฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มีขนาดใหญ่
ใช้งานได้จริง ใส่สมุดคู่มือรับประกัน เอกสารกรมธรรม์ประกันภัย และคู่มือ
ผู้ใช้รถ แล้ว ยังมีพื้นที่เหลือีกราวๆ ครึ่งหนึ่ง สำหรับวางข้าวของอื่นๆ ได้

เครื่องปรับอากาศตั้งแต่รุ่น 1.8ESport ขึ้นไป เป็นหน้าจอแบบดิจิตอลที่ส่องสว่าง
เป็นสีฟ้าที่เข้าชุดกับมาตรวัดและวิทยุของรถ และยังไม่ใช่แบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา
แต่อย่างใด และพิเศษเฉพาะ 1.8 V Navi MY 2016 ขึ้นไป จะเพิ่มระบบกรอง
อากาศในห้องโดยสาร Nanoe มาให้ด้วย

ส่วนในรุ่นรองลงมา เครื่องปรับอากาศจะเป็นแบบมือหมุนทรงเดิมกับรุ่นเก่า แต่
ออกแบบชุดสวิตช์ใหม่ทั้งหมด แม้ให้ดูสวยงามในยามค่ำคืน แต่ในตอนกลางวัน
มันจะดูเชยเอามากๆ

กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์แอร์แบบไหน สิ่งที่ คุณจะได้รับ คือความเย็นฉ่ำจน
หนาวสั่น ตามสไตล์เครื่องปรับอากาศจาก DENSO ผู้ผลิตในเครือของ Toyota
1 ใน 2 DEN ที่ คน Toyota รู้กันดีว่า ถ้าไม่จำเป็น อย่าไปเถียงกับเขาเลย เพราะ
ต้องทำงานด้วยกันแบบ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า (คือ DENSO และ เอเจนซ๊โฆษณา
DENTSU นั่นเอง)

นาฬิกา Digital ถูกติดตั้งไว้กึ่งกลางระหว่างช่องแอร์ แม้จะดูเหมือนนาฬิการาคาถูกๆ
ทั่วๆไป แต่ยังดีที่มีการเปลี่ยนสีหลอดไฟข้างใน ให้เป็นสีฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับ
แสงของแผงหน้าปัดทั้งชุด ขณะเดียวกัน สวิตช์ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light ถูกย้าย
มาไว้ในตำแหน่งด้านข้างฝั่งขวา ของชุดเครื่องเสียง ใกล้มือคนขับมากขึ้น แต่
อาจต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อยในการจดจำตำแหน่งดังกล่าว เมื่อต้องใช้งานจริง
ในยามฉุกเฉิน

ช่องวางของใต้แผงสวิตช์เครื่องปรับอากาศ สามารถวางโทรศัพท์ ได้จริง ดีกว่า
ใน Vios ชัดเจน มีช่องเสียบชาร์จไฟ 12V มาให้ และในรุ่น 1.8 V Navi จะมี
ช่องเสียบ USB AUX เพิ่มเติมให้ เพราะในรุ่นอื่นๆ ทั้ง 2 ช่องดังกล่าว ถูกรวม
ไว้อยู่กับเครื่องรับวิทยุอยู่แล้ว

แผงควบคุมชุดเครื่องเสียง ในรุ่น 1.8 V Navi , 1.8 G และ 1.6 G จะตกแต่งด้วย
Trim ลาย Cyber Carbon สีน้ำตาล ขณะที่รุ่น 1.8 E , 1.6 E CNG กับ 1.6 J 6MT
จะใช้ Trim สีดำ ส่วนรุ่น 1.8 ESport ปกติ ใช้ Trim ลาย Cyber Carbon สีดำ
และ 1.8 ESport Nurburgring Edition จะเป็นรุ่นเดียวทีใช้ Trim สีดำ แบบ
Piano Black

ชุดเครื่องเสียง แบบมาตรฐานของเกือบทุกรุ่นย่อย เป็นวิทยุ AM/FM ขนาด
2 DIN พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 / WMA 1 แผ่น ความแตกต่างมีเพียงแค่
รุ่น 1.6 J 6MT , 1.6 E CNG และ 1.8 E จะได้ลำโพงแค่ 4 ชิ้น นอกนั้น ในรุ่น
1.6 G กับ 1.8 G และ 1.8 ESport จะได้ลำโพง 6 ชิ้น คุณภาพเสียง ยังอยู่ใน
เกณฑ์ยอมรับฟังได้ ในแบบพื้นฐาน ไม่ได้โดดเด่นมากนัก และผมมองว่า
คุภาพเสียงของ วิทยุติดรถยนต์ใน Hilux REVO ดีกว่าในภาพรวม

ส่วนรุ่น 1.8 V Navi จะอัพเกรดมาเป็น วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น DVD /
CD / MP3 / WMA 1 แผ่น พร้อมจอมอนิเตอร์แบบ Touch Screen ขนาดเล็ก
เพียง 6.1 นิ้ว ซึ่งติดตั้งค่อนข้างลึกลงไปจากแผงควบคุมนิดหน่อย ใช้งานยาก
หน้าจอไม่ไวพอ แถมยังเป็นแบบ “จิก Screen” คือต้องเอานิ้วจิ้มจิกๆ ถึงจะ
ยอมทำงานให้ มีลำโพง 6 ชิ้น คุณภาพเสียง ปานกลาง พอฟังได้ ไม่ถึงขั้น
ดีเด่นนัก แต่รองรับระบบนำทาง GPS Navigation System ผ่านระบบสื่อสาร
Smart G Book พร้อมกล้องมองภาพด้านหลังรถ ขณะเข้าเกียร์ถอยหลัง

แต่รุ่น 1.8 ESport Nurburgring Edition จะได้ชุดเครื่องเสียงที่ดีกว่าใครเพื่อน
เป็น วิทยุ AM/FM/ พร้อมเครื่องเล่น DVD/CD/MP3/WMA 1 แผ่น มีช่องเสียบ
เชื่อมต่อ USB , HDMI และ SD-Card พร้อม ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS
Navigation System ระบบรองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth และระบบ
Smart G Book พร้อมกล้องมองภาพขณะเข้าเกียร์ถอยหลัง มาให้จนครบครัน
เหมือนคู่แข่งเขาเสียที ไม่ต้องมาถามถึงคุณภาพการฟังเพลงนะครับ เพราะผม
ยังไม่ได้แตะเครื่องเสียงพร้อมจอมอนิเตอร์ 7 นิ้วแบบ Touch Screen ตัวนี้เลย
แม้จะเปิดตัวมานานแล้วก็ตาม

2014_Toyota_Corolla_Altis_Interior_16

บริเวณข้างลำตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า ของทุกรุ่น จะติดตั้งช่องวางแก้ว
แบบไม่มีฝาปิด ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม ให้ความรู้สึกว่าหรูหราขึ้นมานิดหน่อย
ถ้ามองลงไปดีๆ จะเห็น พลาสติกแบบก้าน 3 แฉก เป็นฐานรองแก้ว ยกขึ้นมา
ถอดล้างทำความสะอาดได้ เพราะไม่ได้ยึดติดกับฐานของช่องวางแก้ว

เบรกมือยังคงเป็นแบบคันโยกกลไก เชื่อมต่อกับจานเบรกด้านหลัง ตามมาตรฐาน
ซึ่งดีแล้วที่ไม่ต้องใช้ระบบไฟฟ้า หรือ แป้นเหยียบที่พื้น ให้วุ่นวาย ถ้าอยากจะ
เล่นพิเรนทร์ๆ Drift แบบดึงเบรกมือ ก็ทำได้ง่ายดาย

กล่องเก็บของ พร้อมฝาปิดแบบวางแขนได้ในตัว มีขนาดใหญ่ พอจะวางกล่อง
CD พร้อมกันได้ราวๆ 8 – 10 กล่อง หรือวางกล้องถ่ายรูป แบบ DSLR (แต่ต้อง
ถอด Lens ออก) ได้สบายๆ

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Visibility_1

ทัศนวิสัยด้านหน้า ถึงแม้ว่า ด้านบนของแผงหน้าปัด จะดูโค้งมนขึ้นมา
พอสมควร แต่ด้วยตำแหน่งติดตั้งที่อยู่ในรดับเหมาะสม จึงไม่รบกวน
หรือบดบังการมองสภาพการจราจรด้านหน้ารถมากนัก เว้นแต่ว่าคุณจะ
ปรับเบาะนั่งลงปในตำแหน่งต่ำสุด จะแทบไม่เห็นฝากระโปรงหน้าเลย

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีขนาดกำลังดี แต่อาจมีการบดบังยานพาหนะ
ที่แล่นสวนเลน มาจากทางโค้งขวาได้บ้าง นิดหน่อย กระจกมองข้างออกแบบให้
มีลักษณะคล้ายรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ ดังนั้น พื้นที่ฝั่งนอกจะบีบแคบลงมา ยิ่งถ้าปรับ
ให้เห็นตัวถังรถด้านข้างน้อยๆแล้ว กรอบพลาสติกด้านใน จะแอบเบียดบังพื้นที่
การมองเห็นเข้ามานิดนึง ตามภาพ

มองไปทางซ้าย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย อยู่ในตำแหน่งที่บดบัง
รถที่จะแล่นสวนทางมา ขณะที่คุณกำลังจะเลี้ยวกลับรถ เต็มๆ พอกันกับ
Camry รุ่นปี 2006 – 2012 นั่นละครับ กระจกมองข้างเองก็เช่นเดียวกัน
การออกแบบให้บีบเข้ามาในลักษณะนี้ แม้จะช่วยในด้านอากาศพลศาสตร์
แต่ก็น่าเสียดายที่การมองเห็น จะลดทอนลงไปบ้าง ยิ่งปรับตำแหน่งให้เห็น
ตัวถังด้านข้างน้อยๆ ก็จะมีสภาพเหมือนกระจกมองข้างฝั่งขวา คือกรอบนอก
ด้านใน จะเบียดพื้นที่บานกระจกฝั่งซ้ายเข้ามานิดนึงเช่นเดียวกัน

ทัศนวิสัยด้านหลัง แม้ว่าจะมีเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ค่อนข้างหนา แต่การ
ออกแบบให้กระจกบังลมหลัง มีขนาดที่เหมาะสมขึ้น อีกทั้ง กระจกหน้าต่าง
ของบานประตูคู่หลังเอง ก็ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ยิ่งช่วยเพิ่มการมองเห็น
บรรดา รถยนต์ หรือจักรยานยนต์ ที่แล่นมาจากด้านหลังได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_01_1800

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ Corolla Altis ใหม่ อยู่ที่การปรับทัพ
ขุมพลังของเวอร์ชันไทย ให้เหมาะสมกับการทำตลาดในบ้านเรา มากขึ้นกว่าเดิม
โดยต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ

1. การปลดเครื่องยนต์ รหัส 3ZR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,987 ซีซี พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i และท่อร่วมไอดีแบบ ACIS 145 แรงม้า (PS) ที่
6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 187 นิวตันเมตร (19.07 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที
ออกจากการทำตลาดในบ้านเรา ไปอย่างถาวร!

เหตุผลหนะหรือ? เพราะ Toyota มองว่า ยอดขายรถยนต์นั่งกลุ่ม C-Segment ที่วาง
ขุมพลัง 2,000 ซีซี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Mazda 3 ครองแชมป์ไปเป็นส่วนใหญ่
แม้แต่ Honda Civic 2.0 คู่รักคู่แค้นของ Toyota ก็ยังทำยอดขายได้แค่ตามมาต้อยๆ
กระปริบกระปรอย ส่วน Altis 2.0 รุ่นเดิมนั้น เข็นอย่างไรก็เข็นไม่ขึ้น เพราะ
ลูกค้ามองไม่เห็นความแตกต่าง ว่า ทำไมต้องจ่ายเงินเพิ่มเกินกว่า 1 ล้านบาท
เพื่อ Altis ที่วางเครื่องยนต์ เท่ากันกับ Camry 2.0 ลิตร

ในประเด็นนี้ Mazda เคยเถียง และยืนยันกับผมว่า “ไม่จริง ที่คู่แข่งขายไม่ดี
ก็เพราะว่า พวกเขาไม่จริงจังในการทำตลาดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มากกว่า”

ดังนั้น ตอนนี้ Corolla Altis ใหม่ จึงเหลือทางเลือกเครื่องยนต์แค่เพียง 2 ขนาด
คือ พิกัด 1,800 ซีซี และ 1,600 ซีซี เท่านั้น

2. ไหนๆก็ไหนๆ ขืนยังลากเครื่องยนต์เก่า ทำตลาดกันต่อไป แม้จะยังทำได้ แต่
บทเรียนจาก การออก Vios ใหม่ โดยไม่มีการปรับปรุงเครื่องยนต์เลย ก็เป็นหนึ่ง
ในหลายๆเหตุผลที่ทำให้ ยอดขาย Vios รุ่นล่าสุด ไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้า
จะทำตัวแบบเดิม คงโดนลูกค้าก่นด่ากว่านี้แน่ๆ Toyota จึงตัดสินใจ ปรับปรุง
เครื่องยนต์ของ Corolla Altis ใหม่ ให้แรงขึ้น และประหยัดน้ำมันขึ้น แม้ว่า
จะเป็นแค่การปรับไส้ใน ของเครื่องยนต์เดิม ยังไม่ใช่การเปลี่ยนเครื่องยนต์
ใหม่ทั้งลูก ก็ตาม

โดยรุ่น 1,800 ซีซี วางเครื่องยนต์รหัส 2ZR-FBE บล็อค 4 สูบเรียง DOHC
16 วาล์ว 1,798 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร กำลังอัด
10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันระยะยกของวาล์ว
ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย Dual VVT-i กับท่อทางเดินไอดีแบบ ACIS (Acoustic
Control Induction
System) ซึ่งจะปรับทางเดินท่อไอดีให้เหมาะสมกับการ
ทำงานของรอบเครื่องยนต์ เพื่อสร้างกำลังและแรงบิด ให้ได้ประสิทธิภาพ
สูงสุด ตั้งแต่ รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ จนถึงรอบเครื่องยนต์สูงๆ

กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-
เมตร
(18.05 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี เดิมที่ใช้รหัส 2ZR-FE บล็อก 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี  Dual VVT-I และระบบ ACIS 140 แรงม้า (PS)
ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร (17.64 กก.-ม.) ที่ 4,000
รอบ/นาที จะเห็นว่าเครื่องยนต์ 2ZR-FBE เวอร์ชันใหม่นี้ สร้างแรงม้าและ
แรงบิดได้มากกว่าเครื่องยนต์เดิมเล็กน้อย

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_03_1600

ขณะที่รุ่น 1,600 ซีซี รุ่น MY 2014 – 2015 ยังคงใช้เครื่องยนต์รหัส 1ZR-FE
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 78.5
มิลลิเมตร กำลังอัด 10.2 : 1 หัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันระยะยกวาล์ว ทั้ง
ฝั่งไอดีและไอเสีย Dual VVT-i เหมือนรุ่นเดิม ก่อนหน้านี้ ไม่มีผิดเพี้ยน

กำลังสูงสุดจึงยังเท่าเดิม คือ 122 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 154
นิวตัน-เมตร (15.69 กก.-ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที

แต่ในรุ่น MY 2016 Toyota แอบไปซุ่มปรับปรุงขุมพลัง 1ZR-FE ให้สามารถ
เติมน้ำมันแก้สโซฮอลล์ E85 ได้ ดังนั้น เท่ากับว่า เครื่องยนต์เดิมจึงถูกโละ
ทิ้งไป แล้วแทนที่้ด้วย ขุมพลังรหัส 1ZR-FBE สเป็กหลักๆ เหมือนกันก็จริง
แต่พละกำลังจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็น 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นนิดนึง เป็น 15.99 (หรือ ตามโบรชัวร์ระบุว่า 16.0) กก.-ม.
ที่ 5,200 รอบ/นาที

ส่วนในรุ่น 1.6 CNG ที่สามารถเติมก๊าซธรรมชาติอัด ได้นั้น แม้ในรุ่นเดิม จะ
เคยวางขุมพลังเก่าอย่าง 3ZZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1
หัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i (ที่เฉพาะหัวแคมชาฟต์ฝั่งวาล์ว
ไอดี ต่างจาก Dual VVT-i ที่เพิ่มชุดเยื้ององศาหัวแคมชาฟต์ฝั่งวาล์วไอเสีย)
109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตร (14.79
กก.ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที

แต่ใน Altis ใหม่ รุ่น 1.6 CNG หากเป็น MY 2014 – 2015 ก็จะเปลี่ยนมาใช้
เครื่องยนต์ 1ZR-FE บล็อค เดียวกันกับรุ่น 1,600 ซีซี แบบมาตรฐานเสียที
หลังจากทนใช้เครื่องยนต์เก่ามาพักใหญ่ เพราะต้องรอให้วิศวกรญี่ปุ่น พัฒนา
ขุมพลัง 1ZR-FE ให้ใช้ก๊าซCNG ได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน จนกระทั่งล่าสุด
รุ่น MY 2016 จึงเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ 1ZR-FBE เหมือนพี่ๆน้องๆเขา

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_04_CVT

ทั้ง 2 ขุมพลัง จะยืนหยัดกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และส่งกำลังผ่านเกียร์
อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Super CVT-i พร้อม Mode + / – Sequential
Mode ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ (กรณีนี้ คือ ตำแหน่งการล็อก
พูเลย์ในเรือนเกียร์) ได้ 7 ตำแหน่ง จากคันเกียร์

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

เกียร์  D…………………..2.480 – 0.396
เกียร์ถอยหลัง…………..2.604 – 1.680
เฟืองท้าย………………..5.356

แน่นอนว่า ทุกรุ่น มีปุ่ม Shift Lock มาให้ สำหรับการปลดเกียร์ว่าง หลังจาก
จอดรถในบริเวณที่ จำเป็นต้องจอดขวางชาวบ้านเขา แต่เฉพาะรุ่น 1.8V Navi
กับ 1.8 S จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ติดตั้งบริเวณด้านหลังพวงมาลัย
เพิ่มมาให้เป็นพิเศษ

ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดา Toyota ยังคงใจป้ำ ติดตั้งเกียร์ธรรมดา แบบ 6 จังหวะ ให้
ต่อเนื่องจาก Altis รุ่นปรับโฉม ปี 2010 โดยมีอัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………….3.538
เกียร์ 2……………………….1.913
เกียร์ 3……………………….1.310
เกียร์ 4……………………….0.971
เกียร์ 5……………………….0.818
เกียร์ 6……………………….0.700
เกียร์ถอยหลัง………………3.333
อัตราทดเฟืองท้าย……….4.214

สมรรถนะจะเป็นอย่างไร เรายังคงทำการทดลองโดยใช้วิธีดั้งเดิม นั่นคือ การ
ทดลองจับเวลา หาอัตราเร่ง กันในตอนกลางคืน เปิดไฟหน้า เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
แต่คงต้องขอเน้นย้ำว่า ในรุ่น 1.8 ลิตร ตัวเลขยังสามารถอ้างอิงกับรุ่นปัจจุบันได้
เพราะจนถึงวันที่ต้นฉบับนี้เผยแพร่ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ใดๆเลย
ส่วนรุ่น 1.6 ลิตร คงต้องขอให้ใช้ข้อมูลนี้เพื่อใช้เทียบเคียงกับขุมพลัง 1ZR-FBE
กันไปพลางๆก่อน เพราะเรายังไม่สามารถหารถทดลองขับ ที่ใช้ขุมพลังใหม่ได้

ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัด C-Segment Compact Sedan
ด้วยกันทั้งหมด มีดังนี้…

altis_table1 altis_table2

ตัวเลขออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ในแต่ละรุ่นปีที่ผ่านไป Corolla Altis ก็มี
พัฒนาการที่ดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ต้องอื่นไกลครับ ดูตัวเลขอัตราเร่งเทียบกับรุ่น
เดิม (150 Series Minorchange พร้อมเกียร์ CVT) ก็แล้วกัน

รุ่น 1.8 V Navi พร้อมล้อ 16 นิ้ว ทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้เร็ว
เท่ากับรุ่น 2.0 V Navi รุ่นปี 2010 – 2013 อย่างแทบไม่น่าเชื่อ (1.8 V ทำได้
9,57 วินาที 2.0 V เดิม ทำได้ 9,56 วินาที) ยิ่งถ้าเป็นชวงเร่งแซง 80 – 120
กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้ว 1.8 V รุ่นใหม่ ทำได้ไวกว่า 2.0 V เดิม ถึง 0.7 วินาที

ต่อให้รุ่น 1.8 ลิตร มาแบกภาระด้วยล้อ 17 นิ้ว พร้อม Aero Part รอบคัน แบบ
รุ่น ESport (0-100 ได้ 10.05 วินาที 80-120 ใน 7.47 วินาที) ก็ยังทำตัวเลข
อัตราเร่ง ได้ดีกว่า รุ่นเดิม Grade 1.8 G ล้อ 16 นิ้ว (0-100 ได้ 10.28 วินาที
80-120 ใน 7.96 วินาที)

ส่วนรุ่น 1.6 ลิตร เดิม พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พอเปลี่ยนมาใช้เกียร์
CVT อัตราเร่งก็เร็วขึ้น ราวๆ 0.5 – 0.7 วินาที ดังนั้น ใครที่บอกว่า CVT อืด
แสดงว่า ยังไม่เคยลองขับ รถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT รุ่นใหม่ๆ แน่ๆ

แต่หากเทียบกันระหว่างรุ่น 1.8 ลิตร ล้อ 16 นิ้ว กับ 1.8 ลิตร ESport ล้อ
17 นิ้ว แล้ว แน่นอนว่า ล้อ 17 นิ้ว จะมีผลต่อการ ออกตัวที่อืดกว่ากันถึง
0.5 วินาที ซึ่งในการขับขี่จริง คุณจะไม่รู้สึกหรอกครับ ว่ามันอืดกว่า ต้อง
จับเวลาด้วยนาฬิกานี่แหละ ถึงจะเห็นความแตกต่าง

แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งละ? ไม่ต้องห่วงครับ สำหรับรุ่น 1.6 ลิตรนั้น
ถึงจะเป็นเครื่องยนต์รุ่นที่เราทดลองขับ ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน
แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ มันก็แรงจนแซงชาวบ้าน นำโด่งขึ้นมาเป็นจ่าฝูง
ในกลุ่ม 1.6 ลิตร ไม่มีระบบ Turbo แล้วละ

แต่ในรุ่น 1.8 ลิตร ไม่เพียงแค่จะครองจ่าฝูงแชมป์ความแรง ในกลุ่มพิกัด
1.8 ลิตรด้วยกันเองแล้ว ตัวเลขที่ออกมา ยังแทบใกล้เคียงกับ Ford Focus
2.0 GDI พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch Power Shift (หาย) อีกต่างหาก!

เครื่องนต์ 1.8 ลิตร บล็อกนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ!

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_05_Top_Speed

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น การไต่ขึ้นไป ในช่วง ก่อน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
ไม่นานเท่าไหร่ เร็วพอใช้ได้ แต่พอหลังจากนั้น อาจต้องลากกันยาวนานกัน
พอประมาณ แต่ทั้งรุ่น 1.8 และ 1.6 ลิตร ก็มีความเร็วสูงสุด ในระดับเท่าๆกัน
อย่างที่เห็นในรูปข้างบนนี้

ขอย้ำกันเหมือนเช่นเคยนะครับ เราไม่สนับสนุน ให้ใครก็ตามมาทดลองทำ
ความเร็วสูงสุด เช่นที่เราทำให้คุณผู้อ่านดูนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร
เราทำให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้ เพื่อการศึกษา เนื่องจากรถยนต์
ระดับนี้ คุณผู้อ่านจำนวนไม่น้อย อยากรู้ตัวเลขสูงสุด ว่าทำได้อย่างที่ผู้ผลิต
เขาเคลมไว้หรือไม่ เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้เส้นทาง
ผู้ร่วมทดลองขับ และตัวผมเอง เป็นสำคัญ เราระมัดระวังกับเรื่องนี้อย่างมาก
เพราะ เราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอง ดังนั้น
อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด หากถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเอง
และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความปลอดภัยของคุณ ในทุกกรณี!

2014_Toyota_Corolla_Altis_Jimmy_Drive

ในการขับขี่จริง ยังไงๆ รุ่น 1.8 ลิตร ล้อ 16 นิ้ว ก็ยังคงออกตัวได้ไวสุด
และแรงสุด ตามด้วย 1.8 ลิตร ESport ล้อ 17 นิ้ว ปิดท้ายด้วย 1.6 ลิตร
ตามมาต้อยๆ แต่ในความเป็นจริง เมื่อต้องลากขึ้นสู่ความเร็วสูงต่อเนื่อง
เป็นเวลานานๆ ความเร็วช่วงปลายของทั้ง 3 คันนี้ กลับแทบไม่ต่างกัน

บุคลิกการออกตัวของทั้ง 1.8 ลิตร และ 1.6 ลิตร จะคล้ายๆกัน คือ ทันทีที่
คุณกระทืบคันเร่งลงไป รถจะค่อยๆ ออกตัวช้าๆ เหมือนยังกั๊กเรี่ยวแรงไว้
หน่อยๆ เมื่อถึงจังหวะที่เครื่องยนต์กับเกียร์คุยกันรู้เรื่องในอีกเสี้ยววินาที
ถัดมา (หรือช่วงที่เข็มความเร็ว ขึ้นไปแตะแถว 40 – 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
พละกำลังก็เริ่มหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง เร้าอารมณ์ได้ดีสมตัว โดยเฉพาะ
รุ่น 1.6 ลิตร ซึ่งจนถึงวันนี้ ก็ยังคงเป็นขุมพลัง 1.6 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศ
ที่แรงสุดในกลุ่ม โดยที่ยังไม่มีใครมาโค่นได้

ส่วนรุ่น 1.8 ลิตร สัมผัสได้เลยว่า ถ้าคุณต้องการอัตราเร่งเมื่อไหร่ คุณแค่
เหยียบคันเร่งลงไปไม่จำเป็นต้องจมมิด แค่เพียงครึ่งเดียว เกียร์จะปรับ
ตำแหน่งพูเลย์ ดีดรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปรอที่แถวๆ 3,500 รอบ/นาที ใน
เสี้ยววินาที ราวกับยอมพลีกายถวายหัว ดึงเรี่ยวแรงจากเครื่องยนต์ เพื่อ
พาคุณพุ่งทะยานขึ้นไปข้างหน้าอย่างทันอกทันใจในทันที

การเรียกอัตราเร่งซึ่งทำได้ไว และแรงใช้การได้แบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
Toyota ปรับปรุงโปรแกรมในกล่องสมองกลของเกียร์ CVT ลูกนี้ เพื่อให้
ตอบสนอง ได้ใกล้เคียงกับเกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้

จริงอยู่ว่า Altis 1.8 CVT โฉม Minorchange รุ่นที่แล้ว ก็มีนิสัยของเกียร์
แบบเดียวกันนี้ ทว่าคราวนี้ ผมกลับเห็นความแตกต่างชัดขึ้น

โดยปกติ เกียร์ CVT ทั่วๆไป เมื่คุณเหยียบคันเร่งจมมิดเต็มตีนจนแทบจะ
ทะลุพื้นรถ เครื่องยนต์จะครางเป็นเสียง Monotone ยาวววว ต่อเนื่อง จน
หลายคนเกิดความสงสาร ว่าเครื่องมันจะพังหรือเปล่า (จริงๆแล้ว ไม่พัง
ทันทีง่ายๆหรอกครับ) หลายคนเกลียดเสียงแบบนี้ เพราะมันไม่เร้าใจ
ไม่สนุก ไม่มีเสียงตอนตัดเปลี่ยนเกียร์ ในขณะลากรอบเครื่องยนต์กันเลย

แต่ใน Altis ใหม่ ทั้ง 1.6 และ 1.8 ลิตร ถ้าคุณเหยียบเต็มตีน เกียร์จะลาก
รอบเครื่องยนต์ให้แตะถึงระดับ 6,000 – 6,100 รอบ/นาที อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะลดรอบเครื่องยนต์ลงมาเหลือ 5,300 ถึง 5,500 รอบ/นาที เพื่อ
เค้นแรงบิด และลากรอบเครื่องยนต์กลับขึ้นไปยังระดับ 6,200 รอบ ก่อน
จะลดลงมาอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ!

การทำเช่นนี้ มันช่วยให้เกิดข้อดี ทั้ง 2 อย่าง ทั้งการ ถนอมเกียร์ ไม่ต้อง
รับภาระในช่วงเกิน 6,000 รอบ/นาที นานจนเกินไป อีกทั้งยังเพิ่มบุคลิก
การตัดเปลี่ยนเกียร์เพื่อลากรอบ อันเป็นสิ่งที่นักขับหลายคนซึ่งยังคุ้นชิน
กับเกียร์อัตโนมติ แบบเดิม ถวิลหาจากเกียร์ CVT กันอยู่

สรุปว่า เกียร์ CVT ลูกนี้ จะมีนิสัยลากรอบ และตัดเปลี่ยนจังหวะเกียร์ขึ้นให้
คล้ายกับเกียร์อัตโนมัติ ทั่วไปเลยนั่นเอง!! แถมยังทำเช่นนี้ได้ ทั้งที่ยังใส่
คันเกียร์ ไว้ที่ตำแหน่ง D ไม่ต้องผลักไปเกียร์ S แบบ Vios CVT ใหม่ทั้งสิ้น

พี่แพน Pan Paitoonpong ของเว็บเรา ถึงขั้นบอกว่า “นี่คือเกียร์ CVT ที่
ลูกค้า Lancer EX คงอยากได้”!!

การเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น หากยังใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ยังถือว่าเงียบพอใช้ได้ แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวถนนด้วย
เพราะเสียงจากยางดังเข้ามาในรถพอสมควรเหมือนกันถ้าเป็นพื้นปูนซีเมนต์

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_08_Suspension_Brake

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
แบบไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering) รัศมีวงเลี้ยว 5.4 เมตร

การตอบสนองของพวงมาลัย ถูกปรับปรุงจากรุ่นเดิม ชนิดสังเกตได้ชัดเจน
เพราะในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ในเมือง พวงมาลัยจะเบามาก หมุนง่าย
คล่องมือ เบาแรง และมีแรงต้านที่มือน้อยมาก สะดวกสำหรับการพาตัวรถ
ลัดเลาะไปตามการจราจรอันจลาจลได้ดีอยู่ แต่สังเกตได้ว่า การทดเฟือง
พวงมาลัยนั้น จะค่อนข้างเนือยและยานคางไปหน่อย เพราะถ้าต้องเลี้ยว
90 องศา โดยหมุนพวงมาลัย ให้ครบ 1 รอบวง ตัวรถจะบานออกมากกว่า
Mazda 3 , Honda Civic ใหม่ และคู่แข่งคันอื่นๆ อย่างชัดเจนมากๆ

ใครที่สงสัยว่า แล้วรุ่นนี้ พวงมาลัย หมุนจนสุดแล้ว คืนกลับหรือเปล่า ยืนยัน
ว่า คืนตัวกลับนะครับ Vios กับ Yaris บางคันอาจไม่คืนกลับ แต่ Corolla
Altis ทั้ง 3 คันที่ผมลองนี้ คืนกลับแน่ๆ ลองหลายรอบทั้งซ้ายสุด – ขวาสุด

ส่วนในช่วงความเร็วสูง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมแล้ว พวงมาลัย นิ่งขึ้นอย่างชัดเจน
On Center Feeling ดีขึ้น ชนิดที่ว่า ผมสามารถปล่อยมือจากวงพวงมาลัยได้
ในช่วงความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่รถยังคงแล่นพุ่งไปข้างหน้าตรงๆ
น้ำหนักหนืดขึ้นนิดหน่อย ไม่เยอะนัก และยังถือว่า เป็นพวงมาลัยที่ยังพอมี
ระยะฟรีแบบ Robocop ให้เห็นอยู่ กระนั้น การ ตอบสนองเริ่มเป็นธรรมชาติ
ดีขึ้นกว่าพวงมาลัยของรถรุ่นเดิมอย่างมาก จนตอนนี้ เหลือแค่การเพิ่มความ
หนืด ในช่วงความเร็ว หลังจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปให้มากกว่านี้อีก
สักนิด แค่นั้น

ภาพรวม ถือว่าเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ที่เซ็ตมาได้ลงตัวที่สุดเท่าที่มี
ใน Corolla ทุกรุ่นที่เคยประกอบขายในบ้านเราเป็นต้นมา แต่ถ้าจะไม่คิดจะ
แก้ไขอะไรไปจากนี้ โดยยึดหลักว่า ต้องเซ็ตพวงมาลัย เพื่อจะเอาใจลูกค้า
ส่วนใหญ่ของประเทศไทย ผมค่อนข้างพอใจแล้วกับบุคลิกพวงมาลัยแบบนี้
แต่ถ้าทำได้ อยากขอเพิ่มความหนืดในช่วงความเร็วสูงให้มากกว่านี้อีกนิด
ก็พอแล้ว

ระบบกันสะเทือนยังคงใช้รูปแบบเดิมๆ ด้านหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต
ด้านหลัง เป็นแบบคานบิด ทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและ
ด้านหลัง

ในช่วงความเร็วต่ำ หากเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนๆ ถือว่า Corolla Altis ใหม่
มีบุคลิกช่วงล่าง ที่มาในสไตล์ นุ่ม แต่กระชับ ขับผ่านเนินสะดุด ลูกระนาด
และฝาท่อต่างๆ ได้กำลังดี  ไม่ได้นุ่มจนนิ่มสบาย แต่ก็ไม่ได้ตึงตังขึงขัง
แบบ Honda Civic รุ่นเก่าๆ หรือ Mazda 3 รุ่นก่อนปี 2014 ถ้าเทียบกับ
คู่แข่งแล้ว Sylphy จะซับแรงสะเทือนได้นุ่มกว่า Corolla Altis นิดหน่อย

ถ้าเหวี่ยงเข้าโค้งแรงๆ ละก็ ช่วงล่างด้านหน้าจะเกาะจิกอยู่กับพื้นถนนใน
ระดับหนึ่ง จนถึงจุดที่ยางติดรถเริ่มรับมือไม่ไหว และก่อให้เกิดอาการ
หน้าดื้อ (Understeer) ตามมาในแบบอ่อนๆ ทำให้ผู้โดยสารบนเบาะหลัง
อาจเกิดความหวาดเสียวว่า บั้นท้ายมันใกล้จะหลุดออกจากโค้งแล้ว ทั้งที่
จริงๆแล้ว ยังเอาอยู่

ด้านการทรงตัวในย่านความเร็วสูงนั้น นิ่งพอใช้ได้หากเป็นพื้นราบ ไม่มี
กระแสลมมาปะทะด้านข้าง ช่วงล่างของ Corlla Altis ใหม่ เซ็ตมาให้
เน้นการเดินทางไกลๆยาวๆ ได้ นุ่มแต่กระชับ ตามสมควร ดีกว่ารุ่นเดิม

ส่วนรุ่น 1.8 ESport นั้น จะติดตั้งช็อกอัพและสปริง ที่จะมีความแข็งเพิ่ม
จากรุ่นปกติ ราวๆ 8% ที่ด้านหน้า และ 5% ที่ด้านหลัง รวมทั้งเปลี่ยนล้อ
อัลลอย เป็นแบบ 17 นิ้ว พร้อมยางติดรถ Michelin Pilot Sport 3 ขนาด
215/45 R17 นั้น จากการขับขี่ใช้งานจริง แม้พบว่า ช่วงล่างแข็งขึ้นกว่า
รุ่นมาตรฐาน อยู่นิดนึง แต่กลับไม่ส่งผลกระทบ และไม่ได้ลดทอนความ
นุ่มนวลขณะแล่นผ่านพื้นผิวขรุขระของถนนในตัวเมืองมากนัก

ตรงกันข้าม ผมมองว่า ช่วงล่างของรุ่น 1.8 ESport นั้น ปรับเซ็ตมาได้เหมาะ
กับนิสัยการขับขี่ของคนไทย มากที่สุดแล้ว เพราะให้ทั้งความมั่นใจในขณะที่
เข้าโค้ง ให้การทรงตัวที่นิ่งขึ้นในย่านความเร็วสูง และซับแรงสั่นสะเทือนได้
กำลังดี ไม่ตึงตังมากอย่างที่คิด และช่วยลดอาการดีดดิ้นของบั้นท้ายรถอัน
ไม่พึงประสงค์ ลงได้นิดนึง

ยิ่งบนทางด่วน ช่วงทางโค้งขวารูปเคียว เหนือย่านมักกะสัน ผมสามารถพา
Altis 1.8 ESport ซัดเข้าไปเต็มๆ ได้ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
พอดีๆ ก่อนจะพาไปเข้าโค้งซ้าย ฝั่งตรงข้าม โรงแรมเมอเคียว เชื่อมต่อกับ
ทางด่วนขั้นที่ 1 ด้วยความเร็ว ระดับ 95 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่าง
สบายๆ ทั้งที่ในโค้งเดียวกัน และด้วยความเร็ว 95 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เท่ากัน รุ่นช่วงล่างมาตรฐาน ทั้ง 1.8 V Navi และ 1.6 G จะออกอาการ
ชัดเจนว่าถึงจะเข้าโค้งผ่านมาได้ แต่ยางติดรถ Yokohama db (Decibel)
ก็ส่งเสียงร้องดังระงมลั่นถนนเลยว่า “เบาๆหน่อยพี่ ผมจะไม่ไหวอยู่แล้วว”
ดังจนอาการ “หน้าดื้อ” เกิดขึ้นตามมาชัดเจนประมาณ

อย่างรก็ตาม Corolla Altis ใหม่ ก็มีจุดด้อยที่คุณควรระมัดระวังไว้ คือ ถ้า
ต้องหักหลบสิ่งกีดขวางกระทันหัน ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงระดับ 100 –
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขอแนะนำว่า ให้เลี้ยวพวงมาลัยเพียงนิดเดียว อย่า
หักเลี้ยวเต็มแรง เพราะเมื่อคุณหมุนพวงมาลัยคืนกลับมาตั้งตรง บั้นท้าย
ของรถ จะเกิดการเหวี่ยงออกด้านนอก และมีอาการดีดดิ้นเกิดขึ่้น ถ้าคุณ
ตั้งสติไม่ดี โอกาสที่รถจะมีอาการท้ายปัดและเสียการทรงตัวจะตามมา
เป็นไปได้สูง ต่อให้มีระบบ VSC ช่วยเหลือก็ตาม

อาการนี้ เป็นธรรมชาติ ของตัวรถ ที่มีความยาวฐานล้อ (Wheelbase)
มากเกินไป เมื่อเทียบกับสัดส่วนความกว้างของตัวรถ แถมยังมีน้ำหนัก
ค่อนข้างเบา อากัปกิริยาที่เกิดเกิดขึ้นนี้ เป็นเหมือนกับ Honda Civic
FD รุ่นปี 2005 – 2012 ขณะเปลี่ยนเลนกระทันหัน ด้วยความเร็ว 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่ากันและเหมือนกันเป๊ะ ไม่ผิดเพี้ยน!

และถ้าเจอคอสะพาน ขอแนะนำให้เบรกไว้ก่อนสักหน่อย เพราะถ้าเป็น
สะพานที่เป็นทางโค้งไปด้วยในตัว เช่น ทางด่วนอุดรรัถยา ช่วงขาเข้า
เมืองจากด่านบางปะอิน เมื่อพ้นด่านแรกมาได้ 1.5 กิโลเมตร คุณจะเจอ
สะพานข้ามถนนสายรองเป็นทางโค้งขวา

สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าคุณใช้ความเร็วสูงมาแต่ไกล แล้วลืมชะลอรถ นั่นคือ เมื่อ
รถ Jump ขึ้นคอสะพาน บั้นท้ายจะมีอาการดีดดิ้น สะบัด จนต้องอาศัย
สมาธิในการควบคุมรถให้กลับมานิ่ง และแล่นได้ตรงเส้นทาง กลับมาอยู่
ในเลนถนนดังเดิม

ช่วยไม่ได้ครับ ในเมื่อ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกร้องให้มีพื้นที่วางขา เพิ่มขึ้น
วิศวกรบริษัทรถยนต์ แทบทุกค่าย เขาก็ต้องเลือกว่าจะทำตามใจลูกค้า หรือ
พยายามดื้อดึงแข็งขืนคัดค้าน ด้วยเหตุผลด้านวิศวกรรมยานยนต์ มาถกเถียง

ทว่า Toyota กับ Honda เลือกที่จะทำตามใจลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้น บุคลิก
ของรถ ในขณะหักหลบสิ่งกีดขวางกระทันหันแบบนี้ จึงเป็นผลที่ตามมา
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ระบบห้ามล้อ “ทุกรุ่น ตั้งแต่ถูกสุด ยันแพงสุด” เป็นแบบ ดิสก์เบรก 4 ล้อ ครบ
ซะที คู่หน้ามีรูระบายความร้อน นอกจากนี้ ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนัก
บรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distributor) ระบบเพิ่มแรงดัน
น้ำมันเบรก Brake Assist มาให้ (ยกเว้นรุ่น 1.6 J ทั้งรุ่นมาตรฐาน และรุ่นเติม
ก๊าซธรรมชาติอัด 1.6 CNG)

ส่วนระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC (Vehicle Stability Control) ที่จะตัดการ
ทำงานของเครื่องยนต์ และส่งแรงเบรก ไปยังล้อที่ลื่นไถลหรือหมุนฟรี มากกว่า
ล้ออื่น ขณะเข้าโค้ง หรืออยู่บนทางลื่น กับระบบ TRC Traction Control ช่วย
ควบคุมอาการหมุนฟรีขณะออกตัว บนพื้นลื่น ในรุ่น MY 2014 -2015 จะติดตั้ง
ให้เฉพาะรุ่น 1.8V Navi เพียงรุ่นเดียว อย่างไรก็ตาม ในรุ่น MY 2016 Toyota
คงทนเสียงรบเร้าจากลูกค้า และการท้าทายจากคู่แข่งไม่ไหว ตัดสินใจกัดฟัน
ติดตั้ง VSC และ TRC มาให้ครบทุกรุ่น ตั้งแต่ 1.6 J เกียร์ธรรมดา เลยทีเดียว!

ผมยัคงขอยืนยันความคิดเห็นเดิมเมื่อครั้งที่ทำบทความ First Impression
เมื่อต้นปี 2014 นะครับ หลังจากลองขับมาทั้ง 3 คันแล้ว มันไม่ต่างกันเลย

การตอบสนองของแป้นเบรก ถือว่า ยังทำได้ไม่ดีเท่าควร แป้นเบรกค่อนข้างลึก
ต้องเหยียบลงไปประมาณ 30 % ของระยะเหยียบทั้งหมด เบรกจึงจะเริ่มทำงาน
หากเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปเป็น 40% เบรกก็จะหน่วงลงมาเพิ่มขึ้นอีกแค่นิดเดียว
ต้องเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปบนแป้นเบรกมากขึ้น หรือเหยียบตั้งแต่ 50% ขึ้นไป
ระบบเบรก จึงจะหน่วงรถลงมาอย่างหนักแน่นมากขึ้น ตามต้องการ เรียกได้ว่า
ยังไม่ Linear ยังหาความต่อเนื่องจากการเหยียบได้ไม่ดีเท่าที่ควร

นิสัยของแป้นเบรกแบบนี้ พบได้ใน Camry 2.5 ลิตร รุ่นปัจจุบัน นั่นทำให้ผม
ต้องกะระยะห่างเผื่อการเบรกหรือชะลอ ให้ทิ้งห่างจากรถคันข้างหน้าเพิ่มขึ้น
จากปกติอีกนิดหน่อย และอาจต้องเหยียบเบรกจนเกือบสุด รถจึงจะหน่วง
ลงมาให้อย่างที่ควรจะเป็น ถือว่ายังต้องปรับปรุงระบบเบรกให้ตอบสนองได้
ดีกว่านี้ ไวกว่านี้ หน่วงรถได้เร็วกว่านี้ แต่นุ่มนวลแบบปัจจุบันนี้ดีแล้ว

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Engine_09_Body_Structure

ด้านความปลอดภัย Toyota ติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้แค่ 2 ใบ คู่หน้า
ทั้งที่ปัจุบันนี้ คู่แข่งเขาเสริมถุงลมนิรภัยมาให้กัน 4 – 6 ใบ หมดแล้ว
เราคงได้แต่รอรุ่น Minorchange ที่คาดว่าจะมีปริมาณถุงลมนิรภัย
เพิ่มมาให้มากกว่านี้

เข็มขัดนิรภัยของทุกรุ่น เป็นแบบ ELR 3 จุด ทุกตำแหน่ง เฉพาะคูหน้า
จะมาพร้อมกลไกดึงกลับและผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ Auto Pull-Back &
Tension reducer ช่วยรั้งร่างกายผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้แนบกับเบาะ
เมื่อเกิดการชน และลดการบาดเจ็บจากการรัดดึงของเข็มขัดนิรภัย

เบาะนั่งคู่หน้า มีพนักศีรษะแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening)
ช่วยลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอเมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง

ทั้งหมดนี้ ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ที่ออกแบบมาให้เพิ่ม
ประสิทธิภาพการดูดซับแรงกระแทกจากการชน และส่งกระจายแรงปะทะ
ไปทั่วทั้งคันรถได้ดียิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Fuel_Consumption_01

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เมื่อเรารู้ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์แล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนคงอยากรู้
นั่นคือการเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT จะทำให้ Corolla
Altis ใหม่ ประหยัดน้ำมัน ดีขึ้นกว่าเดิมมากน้อยแค่ไหน?

เราจึงทำการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม โดย พา Corolla Altis ทั้ง 2 คันนี้ ไป
เติมน้ำมัน Techron เบนซิน 95 ณ สถานีบริการน้ำมัน Caltex พงษ์สวัสดิ์บริการ
ริมถนนพหลโยธิน สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์

ในเมื่อ Corolla Altis เป็นรถยนต์นั่งพิกัด ไม่เกิน 2,000 ซีซี ประกอบในไทย
และค่าตัวต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งคุณผู้อ่าน ซีเรียสกับตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงมากๆ ดังนั้น เราจึงเติมน้ำมันแบบเขย่ารถ จนกระทั่งน้ำมัน เอ่อขึ้นมา
ถึงปากคอถัง อย่างที่เห็น ใช้เวลาขย่มยาวนานมากกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย

ผู้ร่วมทดลอง คราวนี้ คือคุณ Pao Dominic สมาชิกกลุ่ม The Coup Team
ของเรา

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Fuel_Consumption_02

หลังจากเติมน้ำมันเข้าไปจนเต็มถังขนาด 55 ลิตร  (ไม่รวมคอถัง อีกพอสมควร)
เราก็เริ่มต้นการทดลองขับ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศ
ที่ระดับพัดลมแอร์ เบอร์ 1 อุณหภูมิปานกลาง

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกแถวๆปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนน
พระราม 6 จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง
ปลายสุดทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน เส้นเดิม อีกรอบ
รักษาความเร็ว ตามมาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดเครื่อง
ปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Fuel_Consumption_03

เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อ
เติมน้ำมัน Techron เบนซิ 95 ณ หัวจ่ายเดิม

และเพื่อให้เหมือนกันกับการเติมครั้งแรก เรา ก็ต้องมาช่วยกันเขย่า โขยก ขย่มรถ
กันอีกจนกระทั่ง น้ำมันเต็มล้นเอ่อแน่นขึ้นมาถึงปากคอถังเช่นนี้ ตามมาตรฐานเดิม

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Fuel_Consumption_04_1800

มาดูตัวเลขที่รุ่น 1.8 ลิตร ทำออกมา กันก่อน…

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 92.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.72 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.22 กิโลเมตร/ลิตร 

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_Fuel_Consumption_05_1600

ส่วนรุ่น 1.6 ลิตร ขุมพลังเดิมนั้น…

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 92.3 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.71 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.16 กิโลเมตร/ลิตร 

altis_table3 altis_table2

กลายเป็นว่า ตัวเลขออกมา ประหยัดน้มันไม่หนีกันเลย ต่างกันแค่เพียง
0.6 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น และรุ่น 1.8 ลิตร ทำตัวเลขได้ดีกว่า แต่นั่น
มาจากระยะทางที่ล้อหมุน แอบมากกว่ารุ่น 1.6 ลิตร นิดๆ แถมการเติม
น้ำมันกลับเข้าไป ยังต่างกันเพียงแค่ 0.02 ลิตร ดังนั้น จึงถือว่า Altis
ทั้ง 1.6 และ 1.8 ลิตร ประหยัดน้ำมันในระดับ “พอๆกัน”

 

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_06

********** สรุป **********
ดีขึ้นจนแนะนำให้อุดหนุนได้ แต่ยังไม่ดีเด่นเด้งถึงขีดสุด

ในอดีต เรามักจะรู้จัก Toyota Corolla ในฐานะ Default Choice หรือแปล
ได้คร่าวๆ ว่า “ทางเลือกพื้นฐาน หรือมาตรฐาน” ของคนที่คิดจะซื้อรถยนต์
ในพิกัด C-Segment 1.6 – 2.0 ลิตร สักคัน เรารู้ดีว่า จุดเด่นของ Corolla
ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา คือ มีรูปลักษณ์และการออกแบบที่เอาใจ
ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลก มีสมรรถนะที่ไว้ใจได้ ใช้งานทนทานทนมือทนตีน
ค่าบำรุงรักษา (Cost of ownership) ถูก และมีราคาขายปลีกที่ไม่แพง
จนเกินไขว่คว้า รวมทั้งยังมีราคาในตลาดรถมือสอง สูง แต่ง่ายเมื่อคุณคิด
จะปล่อยขายต่อ

แน่นอนว่า ในอีกด้านหนึ่ง Corolla ก็เป็นรถยนต์ที่ ไม่ได้มีอะไรเด่นมากนัก
ในสายตาของคนเล่นรถ สมรรถนะของมัน อยู่ในรดับ “กลางๆ” ไปเสียแทบ
ทุกส่วนของตัวรถ อัตราเร่ง ก็พอไปวัดไปวาได้ ช่วงล่างกับพวงมาลัย เซ็ต
ไม่ถึงกับดีนัก ออกจะนิ่มๆย้วยๆยานๆ เป็นนมยายทองประศรี เสียด้วยซ้ำ
บางที มันก็ตกเป็นเครื่องมือสำหรับ ให้มนุษย์เงินเดือนบางคน เขาเอาไว้
วัดศักดิ์ศรีและข่มเหงกันเองในบริษัท หรือองค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่
(ผมเคยได้ยินมาว่า บางบริษัทเนี่ย แค่ระดับผู้จัดการฝ่าย บางแผนกยัง
งัดข้อกันแทบเป็นแทบตาย เมื่อได้รู้ว่า ตัวเองจะได้รถประจำตำแหน่งเป็น
Corolla Altis 1.6 G แทนที่จะเป็น 1.8 E….!!!)

ยิ่งสำหรับเด็กรุ่นใหม่ด้วยแล้ว มันยังคงมีภาพของรถบ้านๆ Parent’s car
(รถของคุณพ่อคุณแม่) เมื่อใครสักคนในกลุ่ม นำ Corolla ไปแต่งซิ่งหรือ
วางเครื่อง เพื่อเข้าก๊วน เพื่อนฝูงก็มักแอบแซวว่า “เอารถพ่อมาซิ่งเหรอ?”

คนของ Toyota เองก็รู้เรื่องนี้ดี เพราะพวกเขาก็มองแล้วว่า กลุ่มลูกค้าเดิม
ของ Corolla ค่อยๆล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่สามารถพา Corolla
เข้าไปนั่งในหัวใจของวัยรุ่นยุคใหม่ได้ อีกไม่นาน ชื่อ Corolla ก็จะเหลือแค่
ความทรงจำ และนั่นสุ่มเสี่ยงต่อนาคตของผู้ผลิตอันดับ 1 รายนี้แน่ๆ เพราะ
ยอดขายกว่า 20-30% ทั่วโลก มาจากรถยนต์ยอดนิยมรุ่นนี้

ความพยายามในการพลิกโฉม Corolla ให้เป็น “Corolla ที่ไม่ใช่ Corolla
ในแบบเดิมที่โลกเคยรู้จัก” เกิดขึ้นมาตั้งแต่รุ่นปี 2001 แล้ว กระนั้น เราต้อง
รอจนเวลาผ่านไป 15 ปี Corolla ในแบบที่ “ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมต้องการ”
ก็เดินทางมาถึง

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_07

วันนี้ Corolla Altis ใหม่ ถูกปรับปรุงขึ้นมาให้มีสมรรถนะในภาพรวม ดีพอที่จะ
ทำให้ผม สามารถแนะนำคุณผู้อ่าน คุณผู้ชม คุณผู้ฟัง ได้อย่างไม่กระดากปาก
กันเสียทีว่า ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ตัวรถเอง มันก็ดีพอให้คุณอุดหนุนได้อย่างไม่
คะเขิน

ถ้าให้พูดกันถึงข้อดีเด่นของ Corolla Altis ใหม่นี้ ผมนึกถึง งานออกแบบตัวถัง
ภายนอกที่ดูเฉียบคม ร่วมสมัย และยังไม่ดูเก่าไปตามกาลเวลา อย่างน้อยๆ ก็
อีกสัก 5 ปีข้างหน้า อัตราเร่ง ที่ยังแซงหน้าชาวบ้านเขาอยู่ หากเปรียบเทียบ
ในพิกัดเดียวกัน ทั้ง 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร แบบไม่มีระบบอัดอากาศทั้งคู่
(แน่ละ ขืนเอาระบบ อัดอากาศ พวก Turbo เข้ามาร่วมวงด้วย Corolla Altis
ก็คงจะเหนื่อยหอบกว่านี้แหงๆ) อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในการขับขี่ทางไกล
อาจทำได้แค่ไล่เลี่ยกับมาตรฐานของรถยนต์พิกัดเดียวกัน ในวันนี้ แต่ถ้าขับขี่
ในเมือง มันก็กินน้ำมันไม่เยอะเท่าไหร่นัก ยังพอมี 11 กิโลเมตร/ลิตร ให้เห็น
ได้อยู่ ถ้าตั้งใจจริงๆ

รวมไปถึง พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า และช่วงล่างที่ถูกปรับปรุงให้มีพัฒนาการ
ที่ดีขึ้นในสายตาของคนที่ขับรถมาเยอะอย่างผม แต่ถ้าคุณเคยผ่านมือมาแค่
Corolla เจเนอเรชันเก่าๆ แล้วมาเจอ Corolla Altis รุ่นนี้ คุณคงจะดีใจยิ่งกว่า
ได้โชคทองจากซองมาม่า เพราะมันเป็นพัฒนาการที่เรียกได้ว่า “ก้าวกระโดด”
ไปอีกขั้นเลยละ

แต่ถ้าให้นึกถึงข้อที่ควรปรับปรุง ยังมีเรื่อง Body Control โดยเฉพาะด้านหลังรถ
ซึ่งยังสุ่มเสี่ยงต่ออาการดีดดิ้นที่บั้นท้ายรถ ทั้งตอนเปลี่ยนเลนกระทันหัน (อาการ
เหวี่ยงออกในแนวระนาบ) และอาการจัมพ์คอสะพานแล้ว สะบัด (ผสมกันระหว่าง
การขึ้นลงของช็อกอัพ ขณะเจอไปพร้อมๆกับแรงเหวี่ยงแนวระนาบ) รวมทั้ง การ
เซ็ตระบบเบรก ที่ต้อง Linear กว่านี้ การตอบสนองของแป้นเบรก ต้องแม่นยำขึ้น
มากกว่านี้ และที่สำคัญมากสุดคือ ใครก็ได้ ในทีมออกแบบของ Toyota ดีไซน์
แผงหน้าปัด และภายในห้องโดยสาร ให้มันดูหรูหรา นั่งสบาย และมีเส้นสาย
เข้ากับงานออกแบบภายนอกของตัวรถกว่านี้ซะทีเถอะ!

ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือก รถยนต์ Sedan กลุ่ม C-Segment 1.6 – 2.0 ลิตร
รุ่นไหนดีละก็…

เมื่อครั้งทำบทความ Full Review Corolla Altis MY 2010 ผมเคยเปรียบเทียบ
คู่แข่งในตลาดให้อ่านกันแบบสรุปสั้นๆ ได้ใจความไปแล้ว กระนั้น เมื่อเวลา
ผ่านไปถึง 6 ปี ไม่ใช่แค่ Toyota ที่ปรับปรุงรถยนต์ของตนเองให้ดีขึ้น หากแต่
คู่แข่งทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนโฉมกันไปทั้งหมดแล้วเช่นกัน ฉะนั้นการ
อัพเดทเปรียบเทียบอีกครั้งให้เห็นภาพแบบสรุปสั้นๆ เรียงตามลำดับตัวอักษร
ที่นำหน้ายี่ห้อรถ ก็น่าจะช่วยให้คุณผู้อ่าน มองเห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

Chevrolet Cruze
หัวเดียวกระเทียบลีบในบรรดาสายพันธ์รถเก๋งค่ายโบวไทในบ้านเราตอนนี้
(เพราะเหลือผลิตอยู่แค่รุ่นเดียวแล้วในตอนนี้) แม้ว่าจุดเด่นที่เคยมีอย่างเรื่อง
ช่วงล่าง และการขับขี่ จะยังพอฟัดเหวี่ยงกับชาวบ้านเขาไหว แต่ปัญหาแสน
กวนใจ กลับอยู่ที่ความไม่เชื่อมั่นของลูกค้า ต่อคุณภาพของตัวรถ โดยเฉพาะ
เรื่องของเกียร์อัตโนมัติ ที่แม้จะแก้ไขกันเรียบร้อยแล้วก็ตาม ด้านศูนย์บริการ
ตอนนี้ ก็ยังพอเห็นความพยายามในการปรับปรุงอยู่ แต่ยังไม่ดีนักเมื่อเทียบ
กับค่ายอื่นๆเขา เน้นจับเปลี่ยนเป็นหลัก มากกว่าจะซ่อม

Ford Focus
เพิ่งออกรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 EcoBoost Turbo มาหมาดๆ ตัวรถหนะ ขับดีสุด
ในกลุ่ม เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch Power Shift (หาย) ถูกถอดยกทิ้งไปแล้ว
เปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบปกติแทนเสียที ช่วยให้น่ารักน่าชัง
ขึ้นอีกพะเรอเกวียน แต่คุณงามความดีของตัวรถที่มีทั้งหมด ถูกบั่นทอนให้
สูญสลายไป เพราะความน่าหวั่นใจในการซ่อมบำรุงของศูนย์บริการ Ford
ที่ขึ้นชื่อลือชาในสารพัดด้าน(ลบ)

Honda Civic
คู่รักคู่แค้นตลอดกาล เพิ่งแซงหน้า Corolla Altis ขึ้นไปครองบรรลังก์รถยนต์
C-Segment Compact Class ที่ขายดีที่สุดในบ้านเรา การเปลี่ยนโฉมครั้งล่าสุด
พัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถังของ Accord ถือเป็นพัฒนาการก้าวกระโดด การขับขี่
ที่ดีขึ้นผิดหูผิดตา และความแรงเร้าใจจากขุมพลัง 1.5 ลิตร Turbo 173 แรงม้า
(PS) พ่วงเกียร์ CVT เป็นจุดขายสำคัญที่ดึงลูกค้าเข้าโชว์รูม ก่อนที่ลูกค้ากลุ่ม
ใหญ่ๆ จะเปลี่ยนใจหันไปเล่นแค่รุ่น 1.8 ลิตร ก็พอ ห้องโดยสารใหญ่ ยาว
และนั่งสบายสุดในกลุ่ม อาจต้องแลกมากับความเสี่ยงที่จะเจอปัญหา จาก
การประกอบ (Defect) เช่น เซ็นเซอร์พัดลมหม้อน้ำ ที่อาจไม่ทำงานดื้อๆ
จนเครื่องตัวร้อน Overheated ไปหลายราย และหน้าจอมาตรวัด TFT ดับ
ไปดื้อๆไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

Hyundai Elantra
ของดีที่น่าเสียดายว่า ไม่ค่อยมีคนสนใจ จุดเด่นอยู่ที่พวงมาลัยปรับได้ถึง
3 ระดับความหนืดหนัก และช่วงล่างที่ทำได้ดี ไม่แพ้รถญี่ปุ่นหลายรุ่น แต่
คงเพราะความกังวลเรื่องศูนย์บริการ ที่มีไม่เยอะเท่าค่ายอื่น ทำให้หลายคน
ตัดตัวเลือกนี้ออกไปตั้งแต่แรก

Mazda 3 Skyactiv
ขายกันมานาน ครองใจหนุ่มสาวอินดี้ วัยทำงาน เด่นที่การบังคับควบคุม
คล่องแคล่วและมั่นใจได้ดีเป็นอันดับต้นๆในกลุ่ม ประหยัดน้ำมันขึ้นกว่า
รุ่นเก่าๆ แต่แรงกว่ากันเห็นๆ กระนั้น เครื่องยนต์ยังไวต่อความสะอาดของ
น้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งยังมีปัญหา ไฟ Check engine ขึ้น เมื่อเติม E85 ด้วย
ด้านศูนย์บริการ ถึงจะเยอะขึ้นมาก เป็นร้อยกว่าแห่งทั่วประเทศแล้ว แต่ก็ยัง
ต้องพัฒนาคุณภาพการบริการ และ การซ่อมบำรุงกันอีกสักหน่อย

MG 6
ร่างใหญ่สุดในกลุ่ม อุ้ยอ้ายและแดกน้ำมันที่สุดในกลุ่ม แต่ช่วงล่างก็เริ่ด
เป็นอันดับต้นๆในกลุ่ม (ถ้าไม่นับว่า เข้าโค้งแล้ว หน้าดื้อไปหน่อย แถม
ตัวรถยังหนักอึ้งจนขาดความคล่องแคล่วไปหน่อย) อัดตัวช่วยการทรงตัว
มาให้แน่นเอียด แต่เกียร์อัตโนมัติ คลัตช์คู่ ที่ถูกปรับปรุงใหม่ ยังดีไม่พอ
เมื่อเทียบกับชาวบ้านชาวช่องเขา ด้านศูนย์บริการ ยังไม่แพร่หลาย และ
ยังพอมี Feedback ด้านลบให้ได้ยินมาบ้างแล้ว

Nissan Sylphy
มาแนวเรียบหรู ตามกำลังทรัพย์ คุ้มราคา และน่าจะถูกจับมาเปรียบมวย
กับ Altis ในเวลานี้เป็นที่สุด ห้องโดยสาร กว้าง ยาว นั่งสบายตัว แต่ยัง
ไม่สบายหัวกบาล เพราะพนักศีรษะ ดันกบาลเหลือเกิน จุดเด่นอยู่ที่รุ่น
Turbo ในราคา 999,000 บาท ที่ชวนให้ละสายตาจาก Altis 1.8 ESport
ได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่ต้องทำใจว่า แม้รุ่น 1.6 กับ 1.8 ลิตร ปกติ จะ
เด่นเด้งในเรื่องประหยัดน้ำมันเมื่อขับทางไกล แต่ร่น Turbo นั้น เอา
น้ำมันมาประเคนเท่าไหร่ ก็คงไม่พอ แดกเอาเรื่อง! ส่วนศูนย์บริการ
อยู่ในระดับปานกลาง เจอศูนย์ฯดี ก็โชคดีไป เจอศูนย์ฯจัญไร ก็ทำใจ
ร้องเรียนแล้วเปลี่ยนไปเข้าศูนย์ฯอื่นเอาแล้วกัน

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_08

คราวนี้ ถ้าหากใจของคุณยังคงยืนยันว่า “ต้องเป็น Corolla Altis เท่านั้น”
จะด้วยเหตุผลเพราะชอบตัวรถจริงๆ หรือครอบครัวยืนกรานชี้หน้าด่าทอเลย
ว่า “ถ้าไม่ใช่ Toyota มึงไม่ต้องซื้อเข้ามาบ้านเชียวนะ ไอ้ลูกเวร!” (ซึ่งก็มี
อยู่จริงๆนะครอบครัวแบบนี้) หรือ “ทางบริษัทเขาให้เลือกรถประจำตำแหน่ง
ได้แค่ Altis เท่านั้นอะค่ะ!” คุณควรเลือกรุ่นย่อยไหนดี?

มานั่งกางใบราคาและแค็ตตาล็อกดูกันดีกว่า ณ วันนี้ Corolla Altis มีให้คุณ
เลือกซื้อ มากถึง 8 รุ่นย่อย ดังนี้

1.6 J 6MT……………………………………………779,000 บาท
1.6 G CVT…………………………………………..844,000 บาท
1.8 E CVT…………………………………………..849,000 บาท
1.8 ESport CVT…………………………………..939,000 บาท
1.6 E CVT CNG…………………………………..954,000 บาท
1.8 Esport CVT Nurburgring Edition…….989,000 บาท
1.8 G CVT…………………………………………..999,000 บาท
1.8 V CVT Navi…………………………………1,079,000 บาท

ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ถ้าคุณจะเลือกไม่ถูก เพราะขนาดผมเอง นั่งเขียน
บทความนี้ไป ยังนั่ง งงกับการจัดวางรุ่นย่อย และอุปกรณ์ของ Corolla Altis
รุ่นนี้อย่างมาก

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าเรียงคามราคา ณ วันนี้เรายังหาเหตุผลอะไรที่จะต้อง
ซื้อ รุ่น 1.6 E CVT CNG ราคา 954,000 บาท กันอยู่อีก ทั้งที่ รุ่น 1.8 ESport
ธรรมดาๆ ก็มีค่าตัวถูกกว่าเห็นๆ (939,000 บาท) ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับ
1.6 G CVT (844,000 บาท) กับ 1.8 E CVT (849,000 บาท) แม้ว่า 1.8 E จะ
แพงกว่าแค่ 5,000 บาท เท่านั้น แต่การตกแต่งกลับด้อยลงจาก 1.6 G ไปบ้าง
เพราะดูเหมือนว่า 2 รุ่นนี้จะถูกทำออกมาเอาใจกลุ่มตลาด Fleet ที่เช่าซื้อไป
ทำเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งมากกว่าจะเน้นขายลูกค้าบ้านๆทั่วไป

กลับกลายเป็นว่า การติดตั้ง VSC + TRC มาให้ครบทุกรุ่นย่อย ทำให้รุ่นที่ดู
คุ้มค่ามากสุด คือ 1.6 J 6MT (779,000 บาท) สำหรับนำไปทำ Taxi หรือให้
ผู้สูงอายุ ซึ่งตั้งแง่รังเกียจเกียร์อัตโนมัติ ตามประสาคนหัวโบราณได้ใช้กัน
อันที่จริง นี่เป็นรุ่นที่ทำให้ผมผมยังดีใจว่า Toyota ยังคงรักษาเกียร์ธรรมดา
เอาไว้ ไม่ให้สูญพันธ์จากตลาดรถเก๋งในประเทศไทย ถ้ามีโอกาส อยากจะ
ลองขับสักครั้งหนึ่งจริงๆ

สำหรับใครที่อยากได้เกียร์อัตโนมัติ รุ่น 1.6 G CVT ยังเป็นรุ่นมาตรฐาน
ของ Corolla Altis ที่ทำยอดขายได้เรื่อยๆเอาใจลูกค้าทั่วไป ที่ยืนกรานว่า
ต้องเป็น Toyota เท่านั้น ได้ครบถ้วนในทุกสิ่งอย่าง ประหยัดน้ำมันใน
ระดับมาตตรฐานของรถยนต์พิกัด C-Segment สมัยนี้เขาควรเป็นกัน

แต่ถ้าพิจารณากันดีๆ 1.8 E CVT เป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า 1.6 G
ด้วยอุปกรณ์ที่เทียบเท่ากับรุ่น 1.6 G แถมมีค่าตัวแพงกว่า แค่ 5,000 บาท
แต่คุณต้องรับได้ การตกแต่งที่ด้อยลงตาม Grade การตกแต่ง ระหว่าง G
กับ E เช่น พวงมาลัยและหัวเกียร์แบบ ยูรีเธน แทนที่จะเป็นเมทัลลิก
หุ้มหนังอย่าง รุ่นอื่นๆเขา กับจำนวนลำโพงที่ลดจาก 6 เหลือ 4 ชิ้น

อีกรุ่นที่ดูคุ้มค่าเอาเรื่อง คือ 1.8 ESport แบบธรรมดา ซึ่งให้อุปกรณ์ตกแต่ง
มาครบจากโรงงาน เพียงพอแล้ว เว้นเสียแต่คุณจะอยากได้ความสปอร์ต
เพิ่มเติม รุ่น 1.8 ESport Nurburing Edition ก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่าไม่เลว
เพราะชุดอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามา ทั้ง Aeropart รอบคันที่ถูกออกแบบใหม่ให้
เป็นพิเศษ แตกต่างจาก ESport ธรรมดา สปอยเลอร์หลัง ไฟเบรกดวงที่ 3
แบบ LED ดีไซน์ใหม่ สติ๊กเกอร์บริเวณข้างตัวรถ Nurburgring Edition
เครื่องเสียง AM / FM / DVD / CD / MP3 / MP4 / WMA หน้าจอสัมผัส
Touch Screen 7 นิ้ว / ช่องต่อ USB / HDMI / SD-Card และรองรับระบบ
Smart G-BOOK กับพรมปูพื้นดีไซน์พิเศษ ก็ดูคุ้มกับเงินที่จะต้องจ่ายเพิ่ม
ในแต่ละเดือน ไม่ต่างกันมากนัก

ส่วนรุ่นย่อยอื่นๆ นอกนั้น…ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าอุดหนุนเลย

————————————

ผมเชื่อว่า วันที่คุณกำลังอ่านบทความรีวิวนี้อยู่ บางคนคงได้เห็นภาพถ่ายของ
Corolla Altis Minorchange ที่เพิ่งออกสู่ตลาดในบางประเทศเช่น เยอรมนี
กันไปบ้างแล้ว ผมได้แต่เพียงยืนยันว่า หน้าตาของรุ่น Minorchange สำหรับ
เวอร์ชันไทย จะโค้งมนขึ้น ดูลงตัวขึ้น แบบเดียวกับที่คุณเห็นนั่นละครับ

รายละเอียดต่างๆ อาจยังดูไกลเกินกว่าที่จะพูดถึงในช่วงนี้ เพราะมีแนวโน้มว่า
จากเดิมที่มีกระแสข่าวว่า จะเปิดตัวช่วงปลายปี 2016 นี้ อาจถูกเลือ่นออกไป
ไกลกว่านั้นสักหน่อย ประมาณต้นปี 2017 อันเป็นช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ใน
บ้านเรา จะเริ่มกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ถ้าไม่มีสถานการณ์ต่างประเทศเข้ามา
แทรกซ้อนไปเสียก่อน

เปิดเผยกันถึงขนาดนี้ ทางเลือกก็อยู่ที่คุณผู้อ่านละครับว่า มีเหตุให้ต้องรีบซื้อ
รีบใช้รถโดยเร่งด่วนหรือเปล่า? ถ้าไม่รีบ ก็รอกันต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจำเป็นต้อง
ซื้อรถยนต์พิกัด C-Segment ในช่วงเวลานี้ การเก็บ Corolla Altis ใหม่ไว้เป็น
หนึ่งในตัวเลือก ไม่ใช่เรื่องที่กระอักกระอ่วนใจเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

เพียงแต่ ผมคาดหวังไว้ว่า ในรุ่นปรับโฉม Minorchange ทาง Toyota เองก็
ต้องปรับปรุงตัวรถให้ดีขึ้นกว่านี้อีก และปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มสารพัด Option
ให้ทันเท่าเทียมกับคู่แข่งในตลาดโลก หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ใกล้เคียง
กับ Corolla Sedan เวอร์ชันต่างประเทศ บ้างก็ยังดี

แน่ละ บางประเทศ Corolla Sedan มีระบบช่วยถอยหลังเข้าจอดอัตโนมัติมาให้
กันแล้วด้วยซ้ำ บางแห่ง มีระบบ Package ความปลอดภัย Safety Sense C แถม
มาด้วยซ้ำ พอกลับมามองแค็ตตาล็อกในบ้านเรา ผมถึงขั้นต้องถอนหายใจกัน
เฮือกใหญ่เลยละ

ผมอยากเห็นวันนั้นครับ วันที่ผมสามารถพูดได้เต็มปาก แนะนำคุณผู้อ่าน หรือ
คุณผู้ฟังที่อยากให้ช่วยเลือกรถ ออกอากาศในรายการวิทยุ หรือในเว็บไซต์เรา
ว่า Corolla Altis เป็นตัวเลือกที่ดีสุดรุ่นหนึ่งในตลาด แทนที่จะเป็นแค่เพียง
Default Choice หรือทางเลือกของคนที่ไม่รู้ว่าจะเลือกรถอะไรมาใช้งานดี
อย่างที่เคยเป็นมา มันควรมีจุดเด่นบางสิ่ง ให้เราถวิลหาบ้าง

ดังนั้น ถ้าทีมวิศวกร Toyota ยังคงพยายามปรับปรุงตัวรถกันจนเริ่มมีบุคลิก
การขับขี่ที่ดีขึ้นได้มากขนาดนี้ และปรับปรุงในส่วนที่ยังเป็นจุดด้อย เติมเต็ม
สิ่งที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์กว่านี้

จากวันนี้ ถึงวันนั้น มันคงอีกไม่ไกลแล้วละ!

—————————///—————————

2014_06_Toyota_Corolla_Altis_10

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์  
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ในประเทศ ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถายรถยนต์ในต่างประเทศ เป็นของ
Toyota Motor Corporation และ Toyota Motor U.S.A.

(ภาพกราฟฟิค เป็นของ Toyota Motor Thailand)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
25 กรกฎาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole 
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 25th,2016

 แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE