ปี 2015 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ส่งสัญญาณให้รู้ทั่วกันแล้วว่า นับต่อจากนี้ไปเครื่องยนต์เบนซิน – ดีเซล กำลังถอยหลังเข้าสู่โหมด “วัตถุโบราณ” อันเกิดผลจากวิกฤต Dieselgate การโกงค่ามลพิษที่ตบตาเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกโดยมี Volkswagen Group เป็นผู้รับผิดทั้งหมด
ยิ่งมีการปรับปรุงเครื่องยนต์เบนซิน – ดีเซล ให้มีค่าไอเสียสะอาดมากเท่าไร ต้นทุนในการพัฒนาก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคิดจะปรับปรุงเครื่องดีเซลให้มีค่าไอเสียสะอาดที่แท้จริง ก็เชื่อเลยว่ามันจะมีราคาที่สูงจนคนทั่วไปซื้อกันไม่ได้อย่างแน่นอน
วิธีที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์โลกยังเดินหน้าต่อไป ก็คือการหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทำให้มีค่ามลพิษน้อยลงซึ่งก็หนีไม่พ้นพลังงานไฟฟ้า
ปัญหาคือ ยิ่งเมื่อรู้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล กำลังจะเป็นภัยร้ายต่ออุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศนี้เป็นเจ้าตลาดรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ก็ยิ่งทำให้พวกเราได้เห็นการรวมพลังสามัคคีของผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างถึงที่สุด และที่สำคัญค่ายรถยนต์เยอรมันก็เริ่มรับไม่ได้ที่ต้องให้ Tesla แบรนด์น้องใหม่จากประเทศมหาอำนาจที่เพิ่งเกิดมาเพียงไม่กี่ปีเข้ามาเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ทั้งที่หลายค่ายรถยนต์เยอรมันก่อตั้งมาเป็น 100 ปีแล้วด้วยซ้ำ
ดังนั้น งาน Frankfurt Motorshow 2017 ประจำปีนี้ เราจึงได้เห็นพลังของผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันที่รวมตัวกันเพื่อเอาตัวรอด และ ร่วมกันพลิกบทบาทอุตสาหกรรมยานยนต์โลก จนทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอื่นโดนกลบรัศมีอย่างช่วยไม่ได้ และยังมีผู้ผลิตรถยนต์ต่างสัญชาติถึง 9 ราย พากันยกเลิกการจัดแสดงในงานประจำปีนี้ เพราะหลาย ๆ ค่ายก็คิดอยากจะจัดงาน Event เปิดตัวแยกต่างหากเสียเอง ได้แก่ (อ่านรายละเอียดของบทวิเคราะห์ของเหตุผลการยกเลิกการจัดงานของผู้ผลิตรถยนต์ 9 รายได้ที่นี่ )
- Alfa Romeo
- DS
- Fiat
- Infiniti
- Jeep
- Mitsubishi
- Nissan
- Peugeot
- Volvo
น่าแปลกใจ ถึงแม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจะถอนตัวออกจากงานนี้ถึง 9 ราย แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในงานลดน้อยลงไป เพราะว่าผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันเจ้าถิ่นแทบทุกเจ้า (ยกเว้น Opel ที่เก็บเนื้อเก็บตัวหลังจาก PSA Group ซื้อธุรกิจไปแล้ว) ล้วนส่งรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ ที่บ่งบอกถึงอนาคตอันใกล้นี้กันอย่างหนักหน่วง ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นในวันนี้ก็น่าจะเกิดจากการศึกษาและพัฒนามาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งโดนไฟลนก้นในตอนนี้
ในงานปีนี้ถือเป็นปีพิเศษที่พี่ J!MMY ได้รับเกียรติจาก Mercedes-Benz Thailand ให้เข้าร่วมชมงาน Frankfurt Motorshow 2017 งานจัดแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดลำดับต้นๆ ของโลก และ นั่นทำให้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์สัมผัสกับรถยนต์รุ่นใหม่ และ รถยนต์ต้นแบบที่น่าสนใจอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
เรามารับชมบรรยากาศภายในงานกันเลย
Audi
ที่สุดแห่งทางเลือกใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้า EV ระบบขับขี่อัตโนมัติสมบูรณ์แบบ
ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า EV ระดับพรีเมี่ยม จึงทำให้ Volkswagen Group ต้องรีดเค้นและพลิกแพลงประสิทธิภาพในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า Audi ให้สามารถนำเหนือคู่แข่งทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ มากกว่าที่จะต้องตามกระแสตลาดในแบบที่ Mercedes-Benz เจ้าใหญ่แห่งวงการรถหรูของโลกกำลังทำอยู่ในตอนนี้
Audi Aicon Concept – รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้นแบบขนาด 2+2 ที่นั่ง รูปทรง Saloon ที่มีวิวัฒนาการการออกแบบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบของรถยนต์ Sedan แบบเดิม ๆ เพราะไม่ต้องเผื่อเนื้อที่ให้ระบบกลไกเหมือนรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล
แนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่อะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะดีไซน์เนอร์รถยนต์ทั่วโลกต่างก็รู้ดีกันว่า รถยนต์ไฟฟ้า EV นี่แหล่ะที่จะมาปลดแอ็กการออกแบบ Layout แบบเดิม ๆ ให้หมดไป เพียงแต่ใครจะกล้าทำออกมาก่อน? โชคร้ายที่ Audi ไม่ได้เป็นผู้นำในการปฏิวัติการออกแบบรูปทรงรถยนต์ไฟฟ้า EV เลย ปล่อยให้ Jaguar i-Pace แย่งซีนต่อหน้าต่อตาโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ
Audi ก็เป็น 1 ในค่ายรถยนต์พรีเมี่ยมระดับเจ้าตลาดที่เริ่มเสียเหลี่ยมในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ให้แก่ค่ายรถหรูเจ้ารองๆ ลงมา เพราะก็รู้กันอยู่ว่า Audi เป็นบริษัทในเครือ Volkswagen Group ที่มีโครงสร้างการบริหารงานที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าสุดๆ กว่าจะขยับอะไรแต่ละทีก็ไม่ได้ไวแบบสายฟ้าแล่บเท่าไรนัก
ถึงแม้ Jaguar i-Pace อาจดูได้เปรียบกว่า Audi เพราะมันเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีการปฏิวัติงานออกแบบ” ลำดับต้น ๆ ของโลก ด้วยขนาดตัวรถที่สั้นกุด แต่มีขนาดภายในห้องโดยสารที่ใหญ่โตและกว้างขวางเทียบเท่ากับรถยนต์ Sedan ขนาดใหญ่ ที่สำคัญมันยังเป็นรถที่พร้อมจำหน่ายในเร็ว ๆ ตัดหน้า Audi ไปหลายก้าว แต่ทว่า Jaguar i-Pace มันก็ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบตัวถัง Hatchback ซึ่งก็ไม่น่าจะตอบโจทย์สำหรับเศรษฐีบางกลุ่ม
Audi Aicon Concept จึงนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ หลายประการ อาทิ เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน, เทคโนโลยีระบบกันสะเทือนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อดิจิตอล ที่มีภายในห้องโดยสารที่ถูกออกแบบหรูหรา ให้บรรยากาศเทียบเท่ากับห้องโดยสายของสายการบินระดับ First Class ภายใต้แพ๊คเกจตัวรถแบบ Saloon ที่มีสัดส่วนแปลกตา
มิติตัวถังภายนอก
ยาว x กว้าง x สูง : 5,444 x 2,100 x 1,506 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ (Wheelbase) : 3,470 มิลลิเมตร
มิติตัวถังโดยรวมถือว่าใกล้เคียงกับรถยนต์ F-Segment Sedan เวอร์ชันฐานล้อยาวอย่าง Audi A8 L แต่ด้วยดีไซน์ที่ดูปราดเปรียวและล้ำสมัยมากขนาดนี้ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 26 นิ้วก็ทำให้คนทั่วไปมองว่าขนาดตัวรถไม่น่าจะต่างจากรถยนต์ระดับ D-Segment Sedan มากนัก
จุดเด่นที่เห็นเด่นชัดคือการออกแบบด้านหน้าที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Audi ด้วยชุดชิ้นส่วนด้านหน้า Singleframe ที่มาพร้อมกับแผง Digital Display ที่ประกอบไปด้วยเม็ด Pixel สี 100 กว่าเม็ด สามารถแสดงผลแบบ 3 มิติ Audi AI Symbol ทั้งกราฟิก, อนิเมชั่นและข้อมูลที่สำคัญได้ ยกตัวอย่างเช่น แผง Digital Display ที่ติดตั้งบริเวณด้านหน้าของรถสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหว เพื่อเตือนให้คนเดินทางเท้าและนักปั่นจักรยานได้ระวังตัวไว้ หากระบบที่เกี่ยวข้องประเมินแล้วว่าจะเกิดความเสี่ยงในอนาคต
ตัวรถไร้ซึ่งเสา B ทำให้การเข้า-ออก ห้องโดยสารสะดวกสบาย เบาะนั่งคู่หน้า แยกอิสระสามารถร่นไปด้านหลังจนเกือบจะชิดเบาะด้านหลังได้ สามารถปรับหมุนได้ 15 องศา แถมยังมีเนื้อที่ห้องสัมภาระท้ายที่จุได้ถึง 660 ลิตร รองรับการเดินทางไกลนาน ๆ ด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติสมบูรณ์แบบ นั่นจึงทำให้พวกเราไม่เห็นแป้นเหยียบ ๆ อะไรเลยทั้งสิ้น
Audi Aicon Concept ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 4 ตัว แบ่งออกเป็นบริเวณเพลาล้อคู่หน้าและเพลาล้อคู่หลัง มอเตอร์แต่ละตัวจะส่งกำลังอิสระไปยังแต่ละล้อ แต่น่าแปลกใจที่รถต้นแบบคันนี้กลับมีพละกำลังรวมกันสูงสุดที่ 353 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 800 กิโลเมตรเมื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มประจุ
ระบบช่วงล่างนั้นมาเหนือเมฆ เพราะใช้ระบบสปริงและแดมเปอร์ pneumatic เพื่อขจัดอาการกระแทกกระทั้น จนผู้โดยสารภายในรถรู้สึกนุ่มสบายตลอดเวลา พร้อมกันนี้ยังมีหน่วยบังคับการอิสระในแต่ละล้อ ที่คอยควบคุมให้รถสามารถขับขี่เข้าโค้ง, เร่งและห้ามล้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Audi ไม่ได้ประกาศว่า Aicon Concept จะพัฒนาเป็นรถยนต์คันจริงได้เมื่อไร แต่คาดว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ น่าจะนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคต อ่านข้อมูล และ ชมภาพของ Audi AICON ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/audi-aicon-concept-autonomous/
Audi Elaine Concept – รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบทรง Sport ที่เป็นการนำ Audi e-tron Sportback Concept ที่เคยอวดโฉมในงาน Auto Shanghai มาโมดิฟายด์ใหม่ เห็นล้ำ ๆ แบบนี้ ต้องจับตาให้ดีเพราะมันจะขึ้นสายการผลิตแน่นอนภายในปี 2019
เมื่อมองจากภายนอกของ Audi Elaine Concept แทบไม่มีความแตกต่างไปจาก Audi e-tron Sportback Concept เลย อ้าว! ตกลงแล้ว เจ้านี่มีความเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างยังไงล่ะ? อย่ามัวแต่งงนานทันใดนั้นก็พลางเปิด Press Release ประกอบไปพลาง ๆ ปรากฏว่า Audi Elaine Concept มันติดตั้ง sFAS ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่ล้ำหน้าขึ้น ทั้งหน่วยประมวลผลที่รองรับพละกำลังให้มากขึ้น, เพิ่มจุดเซนเซอร์ ช่วยทำให้รถยนต์ต้นแบบคันนี้สามารถเดินทางในโหมดขับขี่อัตโนมัติได้ไกลยิ่งขึ้น
ที่ล้ำหน้าสุด ๆ อีกขั้นคือระบบ TrafficJam Pilot ระบบจะช่วยเปลี่ยนเลนให้อัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ขับขี่มีส่วนในการบังคับเลี้ยว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อรองรับเข้าสู่ยุค internet of thing (lot)
Audi Personal Intelligent Assistance (PIA) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่สามารถตอบรับคำสั่งเสียงของมนุษย์และใช้อัลกอริทึมภายในระบบเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับผู้ใช้เป็นหลัก PIA รู้ซึ้งไปจนถึงพฤติกรรมผู้ขับขี่ว่าชอบใช้ฟังก์ชันใดภายในรถ
ความล้ำหน้าของยานยนต์ยุคหน้าไม่ได้มีเพียงแค่การสื่อสารระหว่างรถยนต์-รถยนต์ด้วยกัน การสื่อสารระหว่างมนุษย์-รถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตบนโลกมนุษย์ดีขึ้น Audi จึงพัฒนาปลอกแขนข้อมือสำหรับผู้ขับขี่ Audi Fit Driver สำหรับตรวจสัญญาณชีพจร, อุณหภูมิในร่างกายและอัตราการเต้นของหัวใจ หากอุปกรณ์ตรวจพบความผิดปกติของร่างกาย ระบบทั้งหมดภายในรถจะช่วยประคับประคองให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็น คำแนะนำในการช่วยหายใจ, เบาะปรับนวดอัตโนมัติ, ดนตรีเบา ๆ ผ่อนคลายและปรับอุณหภูมิพิเศษ เป็นต้น
Audi Elaine Concept ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัว รวมพละกำลังทั้งหมดได้ 496 แรงม้า (HP) รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กิโลเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 4.5 วินาที
ทั้งหมดนี้จะต้องลุ้นว่า ระบบล้ำ ๆ เหล่านี้จะได้ปรากฏในรถยนต์เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงในปี 2019 หรือไม่
All NEW Audi RS 4 Avant – เดินทางมาถึงโฉมที่ 4 สำหรับรถพ่อบ้านขนของได้ แต่แรงมิใช่น้อย รูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดกันเลยว่ามันโหดกว่าปกติมากแค่ไหน เห็นโหดแบบนี้ก็มีหัวใจเพราะมันได้แรงบันดาลใจมาจาก Audi 90 Quattro IMSA GTO ผสานเข้ากับเอกลักษณ์กระจังหน้า RS แบบชิ้นเดียว ด้านข้างเสริมมาดโหดด้วยซุ้มล้อที่กว้างขึ้นกว่าเดิม 30 มิลลิเมตร ด้านหลังมาพร้อมกับดิฟฟิวเซอร์หลัง, ท่อไอเสีย RS ทรงรี และสปอยเลอร์หลังคา ปิดท้ายด้วยล้อขนาด 19 นิ้วอ
ขุมพลังของ All NEW Audi RS 4 Avant เป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 ขนาด 2.9 ลิตร 2,894 ซีซี. TFSI เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 450 แรงม้า ที่ 5,700 – 6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,900 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังพื้นทั้ง 4 ล้อผ่านระบบ Quattro
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงของ All NEW Audi RS 4 Avant ทำได้ใน 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และปลดล็อคเป็น 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยการติดตั้ง RS Dynamic Package เพิ่ม
All NEW Audi RS 4 Avant ตั้งราคาจำหน่ายเริ่มต้นสวย ๆ ไว้ที่ 79,800 ยูโร (ราว 3,160,000 บาท) เปิดรับจองภายในสิ้นปีนี้ กำหนดการส่งมอบรถยนต์ไปยังผู้แทนจำหน่ายในเยอรมันและประเทศอื่นๆ ในยุโรปจะอยู่ในช่วงต้นปี 2018 และต้องลุ้นว่าผู้แทนจำหน่ายรายใหม่จะกล้านำเข้ามาจำหน่ายหรือไม่? เพราะรถทรงแวกอนในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าไร แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ เพราะนี่รถพ่อบ้านเท้าโตเชียวล่ะ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ All NEW Audi RS 4 Avant ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-all-new-audi-rs-4-avant-launched/
All NEW Audi A8 – แม้โชว์เด่นด้วยการจัดงานเปิดตัวเอกเทศ Audi Summit โชว์แสง สี เสียง อลังการมาก ๆ ที่ประเทศสเปนไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถ้าไม่มี A8 มาโชว์ ก็คงคล้าย ๆ กับ ดูคอนเสิร์ตแล้วไม่มี Encore หรือชมงานแฟชั่นก็ไม่มี Finale นั่นเอง
All NEW Audi A8 พกพาความมั่นใจในเทคโนโลยี “อย่างสูง” เพราะพวกเขาวางตำแหน่งไว้เป็นรถยนต์ Flagship Luxury Sedan สุดไฮเทค เครื่องยนต์ต้องเป็น Mild Hybrid ทุกรุ่น และยังมีขุมพลัง e-tron ‘Plug-in Hybrid ให้เลือก ใบหน้าดีไซน์ใหม่เน้นมิติความกว้างด้วยกระจังหน้า Singleframe ที่ถูกออกแบบใหม่ที่มีการเคลือบกรอบกระจังหน้าโครเมี่ยมไล่ระดับความหนาจนถึงบางลง , มีการออกแบบเส้นสายตัวถังที่ลดความยุ่งเหยิงด้วยการใช้เส้นนำสายตาจากขอบฝากระโปรงหน้าจรดด้านท้าย, มีการขึ้นลวดลายมัดกล้ามเล็ก ๆ เหนือซุ้มล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งดีไซน์ทั้งหมดนี้เกิดจากการศึกษาผลตอบรับในรถต้นแบบ Audi Prologue Concept
จุดขายสุด ๆ ที่ทุกคนต้องอึ้งคือ นวัตกรรมช่วงล่างใหม่ล่าสุด Audi AI Active Suspension ช่วงล่างที่สามารถปรับตัวได้ทุกสภาวะสมบูรณ์แบบเพื่อความมั่นคงขณะขับขี่ ช่วงล่างในแต่ละล้อสามารถยกตัวหรือหดตัวได้อย่างอิสระโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสบายขณะขับขี่ไปจนถึงการขับขี่แบบสปอร์ตได้ด้วยแบบไร้ข้อแม้
เมื่อมีการตรวจสอบว่ากำลังจะมีรถวิ่งเข้ามาปะทะด้านข้าง Audi A8 โฉมใหม่ ระบบช่วงล่างนี้สามารถยกตัวขึ้นได้ในฝั่งที่กำลังจะถูกชนเพิ่มปกป้องโดยสารให้ปลอดภัยจากแรงปะทะในครั้งนี้ อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ All NEW Audi A8 ได้ที่นี่ >>> http://www.headlightmag.com/all-new-audi-a8-official/
Audi R8 V10 RWS – RWS ย่อมาจาก Rear Wheel Series ขับเคลื่อนล้อหลัง แล้วมันพิเศษยังไง? ก็มันแตกต่างจาก Audi R8 ที่มีแต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro นั่นเอง น่าจะเหมาะสำหรับคนที่รักความพิเศษ (ที่แม้ว่าจะต้องล้วงลึกถึงข้างในก็ตาม)
ภายนอกของ Audi R8 V10 RWS มาพร้อมกับกระจังหน้าแบบ Singleframe สีดำด้าน ส่วนช่องดักลมในกันชนหน้า – หลังล้วนมาในสีดำด้านเช่นกัน ช่องดักลมบริเวณด้านข้างตัวถังแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยด้านบนเป็นสีดำเงา ด้านล่างเป็นสีเดียวกับตัวถังแบบเดียวกับรถแข่ง Audi R8 LMS GT 4 ส่วนล้อพ่นสีดำขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมยางขนาด 245/35 ในด้านหน้าและขนาด 295/35 ในด้านหลัง
ขุมพลังของ Audi R8 V10 RWS เป็นเครื่องยนต์เบนซิน FSI แบบ V10 ขนาด 5.2 ลิตร 5,204 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 540 แรงม้า (PS) ที่ 7,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch DSG S-Tronic 7 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง
Audi R8 V10 RWS ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 999 คัน เท่านั้น หมดแล้วหมดเลย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม Audi R8 V10 RWS ได้ที่นั่ >> http://www.headlightmag.com/news-audi-r8-v10-rws-launched/
Bentley
งานประณีตศิลป์ เราจัดให้
All NEW Bentley Continental GT – Bentley รุ่นนี้น่าจะพิเศษสุดเพราะถึงขนาด Wolfgang Durheimer ประธานบริหารของ Bentley ได้กล่าวว่า Continental GT รุ่นล่าสุดนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพ ความหรูหรา และ เทคโนโลยี ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาจริง ๆ
โครงสร้างตัวถังใหม่ทั้งหมด ทำจาก เหล็ก และ อลูมิเนียม (Steel & Aluminium Monocoque) ทำให้มีน้ำหนักตัวลดลงจากรุ่นเดิม 80 กิโลกรัม วัสดุผิวตัวถังเป็นอลูมิเนียม ที่ขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยี Super Formed ใช้ความร้อนสูงถึง 500 องศาเซลเซียส ด้วยเทคโนโลยีนี้ ทำให้สร้างความโค้งมน และ ความคมของลายเส้นตัวถังได้เท่าที่ต้องการ
ภายในห้องโดยสารของ Continental GT ได้รับการออกแบบโดย Romulus Rost ซึ่งเป็นผู้ออกแบบภายในของ Audi TT รุ่นแรก ภายในห้องโดยสารของ Continental GT ใช้วัสดุจากธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง และ เป็นของแท้ทั้งหมด เช่น เยื่อไม้แบบพิเศษทำจากไม้หายาก Koa โดยใช้ปริมาณถึง 10 ตารางเมตรต่อรถ 1 คัน และ ใช้เวลาในการผลิตด้วยมือถึง 9 ชั่วโมง
สำหรับขุมพลังของ All New Bentley Continental GT คันนี้ จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน Direct Injection W12 สูบ TSI ขนาด 6.0 ลิตร 5,950 ซีซี. เทอร์โบคู่ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 89.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 635 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ ของ ZF ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD โดยส่งกำลังแบบ 40 : 60 ปล่อย CO2 ที่ 278g./km.
อ่านรายละเอียด และ ชมรูปภาพเพิ่มเติม ของ All NEW Bentley Continental GT ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/all-new-bentley-continental-gt-3rd-generation/
BMW
ที่สุดของการเริ่มต้นสู่สิ่งใหม่ ๆ
‘ถ้าหากไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง โลกก็จะบังคับให้เราเปลี่ยนแปลง’ – ประโยคนี้เข้ากับสถานการณ์ของ BMW ณ ตอนนี้เป็นอย่างดี นอกจาก BMW จะต้องแข่งขันกับ Mercedes=Benz และ Audi แล้ว BMW ก็ต้องมาแข่งขันแบรนด์รถหรูระดับรองที่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่อย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น Tesla ผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับหรูที่ทุกคนสามารถคาดหวังความ Hi-Tech ได้ หรือแม้กระทั่ง Range Rover ก็ยังเป็นราชันย์แห่ง SUV ระดับหรูที่เหนือกว่า BMW X5 ไปอีกขั้น หากปล่อยให้คู่แข่งเหล่านี้สร้างตัวเองอย่างแข็งแกร่ง ก็คาดว่าในอนาคต BMW จะไม่มีพื้นที่ยืนอีกต่อไป
BMW Concept X7 iPerformance – SUV เบาะนั่ง 3 แถว 7-8 ที่นั่งคำตอบสุดท้ายที่จะมาท้าชนกับ Mercedes-Benz GLS และ Audi Q7 และยังเป็นการข้ามฟากมาตีกับ Range Rover ตัว Top ได้ไปในตัว และนี่ก็คือความหวังใหม่ของ BMW ที่ต้องการรักษาความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมระดับ High-End ไปอีกนานแสนนาน
มีความเป็นไปได้สูงว่า BMW Concept X7 iPerformance อาจจะเป็นการนำ BMW X5 รุ่นปัจจุบันมาขยายความยาวฐานล้อและขัดเกลาดีไซน์รอบคัน โดยเน้นความกว้างขวางภายในห้องโดยสารถึงที่สุด ถือว่าเป็นวิธีการพัฒนารถรุ่นใหม่ที่ประหยัดเวลาไปในระดับหนึ่ง แล้วเอาเวลาที่เหลือมาคิดค้นเรื่องดีไซน์ใหม่อาจจะดีกว่า
งานออกแบบตัวถังภายนอก BMW Concept X7 iPerformance เป็นสิ่งที่สะดุดสายตามากที่สุด เพราะพวกเราไม่เคยเห็นแนวทางการออกแบบในลักษณะนี้จากที่ไหนมาก่อน แม้แต่ All NEW BMW Z4 ก็มีดีไซน์ที่แตกต่างจากอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลย
จุดเด่นของการออกแบบใหม่นี้คือดีไซน์ด้านหน้าที่ดูแข็งแกร่ง ล่ำสัน มองไกล ๆ ก็จะเห็นรัศมีความแมนล่ำไกลถึงหลายร้อยเมตรไม่น้อย ที่น่าฉงนเล็กน้อยคือ ดูเหมือนว่า ทีมออกแบบ BMW พยายามตีความการออกแบบกระจังหน้าให้แตกต่างจาก BMW ยุค 90s จนถึงยุคปัจจุบัน เพื่อลบคำสบประมาทว่า BMW ไม่กล้าออกมาจาก Comfort Zone เสียที จนปล่อยให้ Mercedes-Benz ทำยอดขายแซง BMW มานานกว่า 2 ปีแล้ว
ผู้เขียนเชื่อลึก ๆ ว่ารถยนต์ BMW ใหม่ในอนาคตจะมีการเล่นมิติหรือเส้นสายของกระจังหน้าและไฟหน้าที่ฉีกมุมมองไปจากเดิม จนทำให้ลูกค้าบางคนอาจจะรับไม่ค่อยได้ก็เป็นได้ แต่ถ้าหาก BMW ไม่กล้าก้าวออกมาจากกรอบที่เคยเป็นอยู่ตลอด 20 ปีแล้วล่ะก็ เห็นทีก็อาจจะแพ้คู่แข่งอย่างถาวรไปเลยก็ได้
ห้องโดยสารของ BMW Concept X7 iPerformance ตกแต่งด้วยโทนสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยสีน้ำตาลเข้ม Dark Olive-Bronze พร้อมตัดด้วยสีเบจ ทั้งยังดูสว่างและปลอดโปร่งด้วยหลังคา Panoramic Sunroof สำหรับวัสดุที่ใช้ตกแต่งมีทั้งหนังชั้นดี พร้อมตัดด้วยอลูมิเนียมแบบขัดเงาและแบบด้านรอบห้องโดยสาร
ถ้าสังเกตดีไซน์ภายในห้องโดยสารให้ดี ๆ จะพบว่า Layout ต่าง ๆ ดูคล้ายกับรถยนต์ Flagship Sedan หลาย ๆ รุ่นมากกว่าที่จะเป็นภายในห้องโดยสารของ SUV คาดว่ากระแสความต้องการของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนไปนั่นเอง
BMW เผยว่ารถยนต์ต้นแบบคันนี้ติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid แต่ก็ไม่ระบุสเป็คออกมาว่ามันเป็นอย่างไร
คาดว่า BMW X7 น่าจะพร้อมเปิดตัวได้ภายในปี 2018-2019 หรืออาจจะตัดหน้า Mercedes-Benz GLS ก็เป็นได้ อ่านข้อมูลของ Concept X7 iPerformance ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-bmw-concept-x7-iperformance/
BMW i Vison Dynamics Concept – รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบที่เร่งอุณหภูมิร้อนจนหลายคนคาดว่ามันน่าจะเป็นคู่แข่ง Tesla Model 3 ที่แท้จริงใช่ไหม?
ไม่มีใครทราบได้เลยว่า BMW i Vison Dynamics Concept มันจะกลายเป็นคู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ในอนาคตได้ไหม? แต่เวลานี้ BMW คงสนใจในการสร้างความแข็งแกร่งใหม่ในสังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความมั่นคงมากกว่าที่จะไปแข่งขันกับคู่แข่งหน้าใหม่อย่างไม่ลดละ
BMW i Vison Dynamics Concept มีดีไซน์ที่เป็นอิสระจากรถยนต์ Sedan เครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซลดั้งเดิมเป็นอย่างมาก และถ้าหากเปรียบเทียบกับ BMW Sedan รุ่นปัจจุบันก็นับว่าเป็นความกล้าหาญชาญชัยในการออกแบบของทีมงาน BMW เป็นอย่างมาก
ความน่าสนุกในการออกแบบคือจะทำอย่างไรให้ BMW EV Sedan มีความล้ำสมัยโดยไม่ละทิ้งเอกลักษณ์แห่ง BMW ดั้งเดิม ผลปรากฏว่าทีมออกแบบได้อ้างอิงสัดส่วนตัวถัง BMW Sedan รุ่นปัจจุบันให้มีวิวัฒนาการมากยิ่งขึ้น และมีการเปลี่ยนรายละเอียดการออกแบบให้เหมาะสมกับความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ความท้าทายในการออกแบบอีกประการก็คือ การออกแบบกระจังหน้าเสมือนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งกลายเป็นประเด็นการออกแบบสำคัญสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์การผลิตรถยนต์มาอย่างยาวนาน การมีกระจังหน้าเสมือนก็ทำให้ลูกค้าดั้งเดิมยังรู้สึกรับได้กับรถยนต์ไฟฟ้ายุคต่อไป
ข้อมูลที่น่าสนใจของรถคันนี้ก็คือ BMW i Vision Dynamics Concept ที่มาในรูปแบบรถยนต์ Gran Coupe 4 ประตู สุดล้ำสมัยที่มีระยะทางวิ่งไกลสุด 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุไฟฟ้าให้เต็มเพียงครั้งเดียว และที่สำคัญมันยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะการขับขี่ความเร็วสูงสุดมากกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และยังสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 4 วินาทีเท่านั้น
ตอนนี้คงยากที่จะคาดเดาได้ว่า BMW i Vision Dynamics Concept จะส่งทำตลาดจริงจังได้ในตอนไหน แต่จากการประเมินคร่าว ๆ คาดว่าน่าจะเปิดตัวภายในปี 2021 อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ BMW i Vison Dynamics Concept ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/bmw-i-vision-dynamics-concept/
BMW Concept Z4 – ไม่ต้องทวนซ้ำเนาะ ว่าคันนี้แหล่ะจะกลายเป็น All NEW BMW Z4 ที่พัฒนางานวิศวกรรมร่วมกับ All NEW Toyota Supra นั่นเอง ที่น่าทึ่งเลยคือ 2 ค่ายนี้เขาฉลาดมาก คือ BMW Z4 ก็ชิงตลาดรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุนไป ส่วน Toyota ก็เอาตลาดสปอร์ตคูเป้ไปครอง ไม่ต้องมานั่งแย่งตลาดกันเอง เหมือนอย่างที่ Toyota และ Subaru เป็นอยู่ทุกวันนี้ กลายเป็นว่าทุกคนมุ่งมาสนใจแต่ Toyota เพราะเป็นแบรนด์ใหญ่กว่า ซูบี้ ตั้งเยอะ
Classic Roadster คือ Keyword สำคัญที่ทำให้ BMW Concept Z4 ยังคงขลัง แต่ที่ขำไม่ออก บอกไม่ถูกก็คือการเปลี่ยนทิศทางการออกแบบใหม่ในแบบฉบับที่พวกเราไม่เคยเห็นที่ไหนกันมาก่อน
สีตัวถังเป็นสีส้ม Energentic Orange Frozen เด่นสง่าสุด ๆ ด้านหน้ามีตำแหน่งไฟหน้าและกระจังหน้าที่ดูแปลกตา ถ้าไม่เรียกว่าเป็นราชาก็อาจเรียกเป็นอสูรหน้าหล่อก็ได้
ด้านข้างของ BMW Z4 Concept มีเส้นสายตัวถังเฉียบคม กระจกมองข้างทรงเพรียวยาวพ่นสีเงินตัดกับสีตัวถัง ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ตัดขอบขนาด 20 นิ้ว ฝาท้ายมีการออกแบบให้ยกขึ้นเล็กน้อยให้เป็นสปอยเลอร์หลังในตัว ไฟท้ายเป็นแบบ LED ทรง L-shaped ปิดท้ายด้วยกันชนหลังที่มีทั้งช่องรีดลมบริเวณมุมกันชน ปลายท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมูออก 2 ฝั่ง และดิฟฟิวเซอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์
จับตาให้ดี คันนี้แหล่ะน่าจะทำให้โลกรถยนต์สะเทือนเคียงคู่กับ Toyota Supra ใหม่ อ่านรายละเอียด และ ชมภาพเพิ่มเติม BMW Concept Z4 ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-leaked-bmw-z4-concept/
BMW Concept 8-Series – ต้องมาโชว์เสียหน่อยเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าข้าจะผลิตได้ในเร็ว ๆ นี้ หลังจากหายไปจากตลาดนานเกือบ 20 ปี
ภายนอก ถือว่าเป็น Design Language แนวทางใหม่ของค่ายที่ให้ดูสะอาดตามากขึ้น และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ สำหรับเอกลักษณ์ของ BMW 8-Series Concept ประกอบไปด้วยหน้ายาว, แนวหลังคาราบลื่นตา ลาดยาวไปจนถึงด้านหลัง, ด้านท้ายยกเล็กน้อย, ซุ้มล้อขนาดใหญ่โดยเฉพาะด้านหลัง ปิดท้ายด้วยล้อขนาด 21 นิ้ว ซึ่งได้รับการยืนยันจาก BMW ว่าจะมีล้อขนาดนี้ให้เลือกเป็นอุปกรณ์ติดตั้งเสริม ตอนออกจำหน่ายจริง
ภายในของ BMW 8-Series Concept มีการเปลี่ยนแปลง Design Language เช่นกัน ซึ่งหันไปหาแนวทาง Minimalism พร้อมจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับคนขับ ตัวเบาะทำจากคาร์บอนไฟเบอร์หุ้มด้วยวัสดุหนังชั้นดี พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านทำจากอลูมิเนียมปัดเงาด้วยมือ มาพร้อมกับ Paddle Shift สีแดง ตัวหน้าปัดเป็นแบบ Digital ส่วนการตกแต่งอื่นๆ เน้นไปที่วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
ยืนยันอีกครั้งว่ามันจะขึ้นสายการผลิตจริงแน่ในอีกไม่นาน เพื่อมาสู้กับ Mercedes-Benz S-Class Coupe โดยตรง ถือเป็นการทวงศักดิ์ศรีรถยนต์ High-End อย่างสมศักดิ์ศรี อ่านรายละเอียด และ ชมรูปภาพเพิ่มเติมของ BMW Concept 8-Series ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-bmw-8-series-concept/
BMW i3 LCI และ i3s – เจ้า i3 LCI มีความเปลี่ยนแปลงตรงที่เปลือกกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ที่มีเส้นสายฉวัดเฉวียนมากขึ้น ล้ออัลลอยลายใหม่ ภายในห้องโดยสาร ก็มีระบบ iDrive เวอร์ชั่นล่าสุดที่รองรับ Apple CarPlay และ รายละเอียดการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่แตกต่างจากเดิมเล็กน้อย และเปลี่ยนหัวชาร์จ ที่รองรับ BMW i Wallbox 360° ELECTRIC
ที่แซ่บมาก ๆ ก็คือการเปิดตัว BMW i3s รถไฟฟ้าแท้ ๆ ไม่จำเป็นต้องหงิม แค่สีภายนอกก็กินขาดละ นี่ยังจะมาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว และชุดตกแต่งภายในที่เพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตอยู่หลายจุด ที่สำคัญมันยังมาพร้อม มอเตอร์ไฟฟ้า Synchronous กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,500 รอบ/นาที แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion แรงดันไฟฟ้า 353V ความจุไฟฟ้า 94 Ah (33.2 kWh) เกียร์อัตโนมัติ Single-speed 1 จังหวะ (Fixed Ratio อัตราทด 9.665 : 1) ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำอัตราเร่งออกตัว 0-100 km/h ได้ใน 6.9 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120 km/h ได้ใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed 160 km/h แรงกว่ารุ่นมาตรฐานเห็นชัด
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ BMW i3 LCI และ i3s ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/bmw-i3-i3s-lci-range-extender-edrive/
BMW 2-Series และ M LCI – มาโชว์ในงานนี้ ดูกันให้เป็นขวัญตา สำหรับภายนอกของ BMW 2-Series LCI มาพร้อมกับไฟหน้า bi-LED แบบใหม่ พร้อมทางเลือกไฟหน้า Adaptive ให้ติดตั้งเพิ่มได้, กระจังหน้าไตคู่ตกแต่งแบบใหม่, ไฟตัดหมอกหน้า LED, ช่องดักลมกันชนหน้าออกแบบใหม่ และไฟท้าย LED แบบใหม่
แต่สำหรับภายนอก BMW M2 LCI จะได้ไฟหน้า Angel Eyes อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายใบพัดฟ้าขาวมีความเป็นสันเหลี่ยมมากขึ้น ซึ่งต่างจากของเดิมที่ดูกลมกว่านี้ ในขณะที่ไฟท้ายมีการปรับปรุงรายละเอียด กราฟฟิกภายในโคม พร้อมกับย้ายตำแหน่งไฟถอยหลังสีขาว ลงมาด้านล่างของโคมด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ดูแทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันเลย
ในงานจะมี BMW M2 LCI รุ่นตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจาก BMW BMW 3.0 CSL ที่ในสมัยก่อนยังใช้ชื่อแผนกว่า BMW Motorsport GmbH
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ BMW 2-Series LCI ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-bmw-2-series-lci/
All NEW BMW 6-Series Gran Turismo – อย่าเพิ่งงงกับกลยุทธ์การตั้งชื่อรุ่นรถของ BMW ถ้าพวกคุณไม่ใช่แฟน Bimmer ตัวจริง เพราะพี่แกเล่นสลับสับเปลี่ยน Series ตัวเลขไปมาจนแทบจะจำอะไรไม่น้อยเท่าไรนัก
ความเดิมของรถตระกูลนี้มันเคยเป็นทางเลือกหนึ่งของ BMW 5-Series ที่เคยนำแนวคิด Fusion Car หลากตัวถังมาผสมไว้ใน BMW 5-Series Gran Turismo เป็นได้ทั้งรถกึ่ง Wagon, กึ่ง SUV และ กึ่ง Saloon โดยหวังไว้สูงว่าผู้ที่เคยใช้ BMW Sedan ทั้งหลายน่าจะชื่นชอบตัวนี้กันมาก แต่ผลลัพธ์สวนทางกับความคาดหวังมโน ลูกค้าไม่ได้ให้การตอบรับ BMW 5-Series Turismo มากเท่าที่ควรจะเป็น อย่างแรกเลยคือ ลูกค้าคาดหวังรูปลักษณ์ที่ยังดูสปอร์ตปราดเปรียวอยู่ ไม่ใช่รถยนต์ที่ดูคล้ายหมูยังผสมพันธุ์กันไม่เสร็จแบบนี้ อย่างที่สองมันมาผิดจังหวะ รถลูกผสม Fusion แบบนี้อาจจะต้องมาหลังปี 2010 เป็นต้นไปเสียด้วยซ้ำ
แต่ว่า BMW ก็เป็นค่ายที่หัวรั้นพอสมควร ยังเชื่อมั่นในแนวคิดรถยนต์ติดสปอร์ตที่สามารถมอบความสะดวกสบายขณะขับขี่ทางไกลได้ ก็ยังพัฒนา BMW 6-Series Gran Turismo ขึ้นเพื่อมาแทนที่ 5-Series Gran Turismo ไป
เลขอนุกรมที่ผิดเพี้ยนไปก็ทำให้หลายคนเข้าใจว่ามันต้องเป็นรถอารมณ์สปอร์ตสุด ๆ ตามอนุกรมเลขคู่ที่มักจะใช้กับตัวถัง Coupe และ Cabriolet ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดูสปอร์ตแตกต่างจากตัวเลขอนุกรมคี่ แต่เข้าใจว่า BMW ได้จัดเรียง Scheme ตัวเลขรุ่นใหม่ โดยให้เลขอนุกรมคี่ เป็นรถยนต์ตัวถัง Sedan และ Touring เท่านั้น ส่วนตัวถังอื่น ๆ จะโดนโยกไปเลขอนุกรมคู่
BMW 6-Series Gran Turismo ปรับภาพลักษณ์ตัวรถใหม่จากรถหน้าหมู หุ่นอวบระยะสุดท้ายให้กลายมาเป็นรถยนต์ทรง Fastback ที่มีระยะ Ground Clearance เตี้ยลง (คือถ้าจะเอายกสูงขึ้นขนาดนั้น ลูกค้าหลายคนคงไปซื้อ SUV แท้ เลยจะดีกว่า) และปรับภาพลักษณ์กลายเป็นรถยนต์ที่เหมาะสำหรับลูกค้า BMW ที่ชื่นชอบการขับรถยนต์ทางไกลที่มีภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายและยังมีสมรรถนะการขับขี่ในแบบฉบับ BMW
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ All NEW BMW 6-Series ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/bmw-6-series-gran-turismo-fastback/
All NEW BMW M5 รหัส F90 สานต่อความสำเร็จของรถรุ่นแรงกันอีกครั้งหลังจากเปิดตัว All NEW BMW 5-Series สักพักใหญ่ ๆ ที่งานนี้มีวิวัฒนาการในระดับหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ BMW M5 เจเนเรชั่นที่ผ่านมา
ด่านแรกเลยคือหน้าตา BMW M5 F90 จะดูหล่อ เท่ห์ Smart ขึ้น กระชับรับรึง ก็แล้วแต่ใครจะนิยามแต่โดยรวมถือว่ามีภาพลักษณ์ของรถสปอร์ตตัวแรงที่ยังไม่ละทิ้งความสง่างาม ถึงแม้ว่าโครงสร้างสัดส่วนตัวถังแทบไม่แตกต่างจาก M5 รุ่นเดิมมากนักก็ตาม
ไฮไลต์งานวิศวกรรมที่น่าสนใจด่านแรก คือการนำเอาวัสดุอะลูมิเนียมมาใช้เพื่อช่วยลดน้ำหนักตามจุดต่างๆเช่นฝากระโปรงหน้ากับแก้มหน้า และใช้หลังคาที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์เหมือน M4 ทำน้ำหนักตัวถังเปล่าตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,855 กิโลกรัม ถือว่าไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่อย่าลืมว่า M5 F90 ใหม่นี้มันติดตั้งชุดขับเคลื่อนสี่ล้อมาให้ด้วย
เครื่องยนต์ของ M5 F90 ใหม่ ยังเป็นแบบ V8 4.4 ลิตร เทอร์โบชาร์จ รูปแบบใกล้เคียงกับของรุ่นเดิม เป็นเครื่อง M TwinPower Turbo ซึ่งมีทั้งระบบ Valvetronic และระบบแปรผันเยื้ององศาแท่งเพลาลูกเบี้ยว VANOS ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Direct Injection แรงดัน 350 บาร์ ติดตั้งท่อร่วมไอเสียแบบ Cross-bank exhaust manifold ซึ่งจะมีเฮดเดอร์ของบางลูกสูบถูกเชื่อมไขว้ฟากฝั่งฝาสูบกัน เพื่อเน้นการดูดของไอเสียที่ถูกจังหวะ มีเทอร์โบชาร์จแบบ Twin-scroll 2 ลูก
ความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 4,395 ซี.ซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก ขนาด 89.0 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 ให้แรงม้าสูงสุด 600 hp ที่ 5,600-6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร มีให้ใช้ตั้งแต่ 1,800-5,600 รอบต่อนาที ซึ่งนับว่าแรงม้านั้นก็เท่ากับ M5 Competition ที่เพิ่งตกรุ่นไป แต่แรงบิดสูงกว่ากันอยู่อีก 70 นิวตันเมตร ปล่อย CO2 241 กรัม/กิโลเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะแทนที่เกียร์ M-DCT แบบในรุ่นเดิม
ในงานนี้ก็มาโชว์พร้อมกับ BMW M5 First Editon ใช้สีแดงแบบพิเศษ Frozen Dark Red Metallic และตกแต่งภายนอก-ภายในโดย BMW Individual ซึ่งจะมีการผลิตออกมาแค่ 400 คันเท่านั้น สร้างความพิเศษด้วยการติดป้ายบอกลำดับผลิตในแผงแดชบอร์ดอีกด้วย
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ All NEW BMW M5 ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/bmw-m5-f90-2017-debut-official/
Borgward
ต้อนรับการกลับมายุคทศวรรษที่ 21 อย่างสวยงาม
Borgward เขาคือใคร? ชื่อนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นตาสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าหากคนที่ศึกษาวงการรถยนต์ทั่วโลกอย่างเจาะลึก ก็จะรู้เลยว่าชื่อ Borgward คล้ายลุงแก่ ๆ นี้นั้นไม่ธรรมดาเลย เพราะ Borgward นั้นมีประวัติในการสร้างรถยนต์มาตั้งแต่ปี 1929 มาแล้ว โดยมี Carl F. W. Borgward เป็นผู้ให้กำเนิด บอกแค่นี้ก็คงไม่ต้องพูดเลยว่าแบรนด์รถยนต์นี้จัดอยู่ในแบรนด์รถยนต์เก่าแก่ในประวัติศาสตร์เยอรมนีทีเดียวล่ะ แต่น่าเสียดายที่ Borgward ดันปิดตัวในปี 1961 หรือมีอายุธุรกิจเพียงแค่ 32 ปีเท่านั้น
Christian Borgward ต่อมา หลานชาย Carl F. W. Borgward ผู้ก่อตั้งก็ได้ร่วมทุนกับพันธมิตรและขอเงินทุนจากนักลงทุนชาวจีนภายในปี 2008 เพื่อปัดฝุ่นแบรนด์ Borgward ให้กลับมาโลดแล่นบนโลกอันน่ายุ่งเหยิงใบนี้อีกครั้ง หลังจากที่เคยปิดตัวมานานถึง 56 ปี แต่จะมาทั้งทีนั้นก็ต้องอัพเดทตัวเองตามยุคสมัยกันเสียหน่อย เพราะหากขืนกินบุญเก่าขายแต่รถดีไซน์คลาสสิคอาจจะทำให้ธุรกิจล้มละลายอีกครั้งได้
รถยนต์คันแรกจากค่าย Borgward ยุคใหม่คือ BX7 ที่หยิบยืมรถยนต์ SUV จากเมืองจีน Senova X65 มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนา เป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้าจนได้พละกำลังรวมกัน 401 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะจาก Borgwarner และล่าสุดก็มี BX5 SUV ที่มีขนาดเล็กลงมาในหน่อยอวดโฉมอยู่ภายในงาน
เพียงแต่ใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของ Borgward ที่หยิบยืมรถยนต์จากเมืองจีนจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสิ่งใหม่ที่เห็นได้ในวันนี้
นอกจากนี้ Borgward ได้อวดโฉม Isabell Concept รถยนต์ต้นแบบชื่อหวานเพราะที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Borgward Isabella ที่เคยทำตลาดในปี 1954-1962 เป็นรถยนต์คลาสสิคแบบ 2 ประตูที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐาน Borgward Hansa (บางตลาดจะใช้ชื่อว่า Borgward Hansa 1500) มีตัวถังหลากแบบให้เลือก อาทิ Saloon, Cabriolet, Cabriolet แบบ 2+2 ที่นั่ง, Wagon, Coupe แบบ 2+2 ที่นั่ง และแบบกระบะ 2 ที่นั่ง
Borgward Isabella Concept กลับกลายเป็นรถยนต์ต้นแบบดีไซน์สปอร์ตแบบ 4 ประตู แตกต่างจาก Isabella ดั้งเดิมพอสมควร ที่มีการนำดีไซน์ Isabella ดั้งเดิมมาตีความให้เหมาะสมในยุคทศวรรษที่ 21 เพียงแต่เส้นสายตัวรถโดยรวมไม่ได้มีกลิ่นของความคลาสสิคเลยแม้แต่น้อย
แนวทางการออกแบบ Borgward Isabella ยึดหลักแนวคิด “Impression of Flow” ที่มีเส้นสายไหลลื่นทุกสัดส่วน โดยแนวคิดนี้จะนำไปประยุกต์กับรถยนต์ Borgward รุ่นใหม่ ๆ ในอนาคตทุกรุ่น
มิติตัวถังภายนอก ยาว 5 เมตร กว้าว 1.9 เมตร สูง 1.4 เมตร มีพื้นผิวตัวถังแบบ 3 มิติ และการออกแบบชิ้นส่วนตามหลักอากาศพลศาสตร์แทบทุกชิ้น เพราะ Borgward เชื่อว่า หลักอากาศพลศาสตร์คือตัวแปรสำคัญที่จะรีดเค้นประสิทธิภาพของรถยนต์ยุคใหม่
Borgward Isabella Concept จะถูกขึ้นสายการผลิตจริงได้ในไม่ช้า
Chery
ร่วมเปิดมิติใหม่แห่งรถยนต์จีนคุณภาพใหม่
Chery เตรียมการรุกตลาดในยุโรปมาอย่างยาวนานกว่า 8 ปีแล้ว ยังจำได้ดีว่ารถยนต์จากจีนในยุคก่อนนั้นยังด้อยการพัฒนาอยู่มากเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่มีคุณภาพในระดับสากล แต่ด้วยกำลังอำนาจและการสนับสนุนภายในประเทศจีนก็ทำให้บริษัทรถยนต์ท้องถิ่นจากจีนที่คิดจะเติบโตยิ่งใหญ่ในตลาดโลกสามารถพลิกตัวเองจากหน้ามือสู่หลังมือได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่จีนก็คงทำไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นั้นต้องใช้ทั้งกำลังและอำนาจเงินอย่างหนักทีเดียว
Chery Exeed TX – SUV ที่มีวิวัฒนาการก้าวกระโดดไปไกลมาก ๆ เมื่อเทียบกับ Chery SUV หลาย ๆ ปีก่อน โดยเฉพาะดีไซน์ตัวรถที่เด็ดดวงกว่าที่คิดไว้มาก นั่นเราก็ต้องขอบคุณ James Hope ผู้บริหารฝ่ายออกแบบ Chery ที่เป็นอดีตนักออกแบบ GM Europe มาก่อน
ความตั้งใจจริงในการปฏิวัติงานออกแบบของ Chery ไม่เพียงแต่ดึงนักออกแบบชาวตะวันตกที่มีรสนิยมในการออกแบบที่เยี่ยมเท่านั้น Chery ก็ยังกล้าลงทุนสร้างสตูดิโอออกแบบในยุโรป เพื่อให้รถยนต์ Chery มีความสวยในแบบที่ชาวยุโรปต้องยอมรับ ถ้าหากฝรั่งยุโรปมองว่า Ok ทุกคนทั่วโลกก็มอง Ok ตามไปด้วย
ดีไซน์ภายนอกถือว่าหมดห่วง เพราะมันมีสัดส่วนตัวถังที่ดูสวยงามตามแบบฉบับรถยนต์ยุโรปที่ค่อนข้างเคร่งเรื่องความสมส่วนของมิติตัวถัง จุดที่แปลกตามากที่สุดการออกแบบ DRL LED ที่สอดรับกับเส้นกึ่งกลางของกระจังหน้า และการออกแบบบั้นท้ายที่สวยงามคล้ายรถพรีเมี่ยมจากยุโรป ผสมกลิ่นอเมริกันเล็ก ๆ
ภายในห้องโดยสารคาดว่าน่าจะเน้นความกว้างขวาง สะดวกสบาย แต่ก็น่ากังขาไม่น้อยเลยว่า รถคันจริงจะมีคุณภาพวัสดุและดูเป็นมิตรกับผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน เพราะดูจากในภาพดูเหมือนว่า ดีไซน์ภายในจะเน้นความเรียบง่ายและประโคมอุปกรณ์ไฮเทคมากกว่าที่จะออกแบบให้รู้สึกหรูหรา
สำหรับรถรุ่นที่นำมาโชว์ในงาน Frankfurt Motorshow 2017 นี้จะเป็นรุ่นขุมพลัง Plug-in Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 147 แรงม้า (HP) และมอเตอร์ไฟฟ้า 114 แรงม้า (HP) รวมพลังได้ 261 แรงม้า (HP) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ส่งกำลังขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 6 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากวิ่งในโหมดรถยนต์ไฟฟ้า EV จะรองรับระยะทางวิ่งได้ไกลสุด 70 กิโลเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง รองรับการชาร์จประจุแบตเตอรี่ 80% ภายใน 30 นาทีเมื่อใช้ไฟ 220 โวลต์ ถ้าหากต้องการชาร์จประจุไฟฟ้าให้เต็มอาจต้องใช้เวลา 4 ชั่วโมง
Chery Exeed TX อาจจะมีแผนการเปิดตัวขุมพลังเวอร์ชันรถยนต์ไฟฟ้า EV และ Hybrid ในอนาคต อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Chery Exeed TX ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/chery-exeed-tx-suv/
นอกจากนี้ยังมีการนำ Chery Tiggo Coupe EV Concept ที่แสดงศักยภาพในการออกแบบและพัฒนาที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีอนาคตในการผลิตแค่ไหน ติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 160 แรงม้า พ่วงกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยม ไอออน ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7 วินาที ที่ถือว่าสมรรถนะแรงน้อยกว่าที่คาด แต่เมื่อมองประสิทธิภาพในการทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวทีเดียว น่าเสียดายที่มีระยะทางวิ่งสูงสุดเพียงแค่ 300 กิโลเมตรถือว่าสั้นไปนิด
Citroen
มั่นใจ มั่นหน้า กับ SUV ใหม่
Citroen C3 Aircross – B-SUV ฝาแฝด Opel Crossland X ก็มาโชว์กับเขาด้วย ที่งานบอกเลยว่า B-SUV คงจะไม่ถูกจริตคน South East Asia มากนักเพราะมันยาวเพียงแค่ 4.1 เมตรกว่า ๆ พอ ๆ กับ Nissan Juke แถมยังมีรูปลักษณ์คล้าย MiniMPV จับมายกสูง ไม่ได้เพรียวสปอร์ตอย่างที่คนแถบนี้ต้องการ
ไม่ได้แปลว่า Citroen C3 Aircross จะเป็นรถที่แย่ อย่างน้อยก็ดูน่ารักในสายตาคนส่วนใหญ่ ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบประดุจห้อง Lounge ในโรงแรมชั้นดี มีเลย์เอาท์ที่คล้ายกับ Citroen C3 รุ่นล่าสุดมาก แต่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารเพื่อสร้างความแตกต่าง
Citroen C3 Aircross ใหม่เป็นรถที่กว้างขวางที่สุดในคลาสเดียวกัน มีพื้นที่วางขา, หัวเข่ากว้างขวาง เพราะมีความยาวฐานล้อมากถึง 2.60 เมตรเลยทีเดียวและยังมีเนื้อที่เหนือศีรษะที่ปลอดโปร่งเอามาก ๆ เพราะตัวรถมีแนวหลังคาที่สูง
รถน่ารักขนาดนี้ ต้องลุ้นใจผู้แทนจำหน่ายในเมืองไทยแล้วกัน อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Citroen C3 Aircross ได้ที่นี่http://www.headlightmag.com/citroen-c3-aircross-b-suv-funky-design/
Dacia
พัฒนาอีกขั้นของรถราคาประหยัด
All NEW Dacia Duster – ความหวังใหม่ที่จะช่วยเพิ่มยอดขาย Renault ในปี 2017-2018 ให้เติบโตยิ่งกว่าเดิม เนื่องจาก Dacia เองถือเป็นแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจพอสมควร ทั้งที่มันเป็นแค่แบรนด์รถยนต์ราคาถูก คุณภาพพอใช้เท่านั้น
All NEW Dacia Duster ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของรถรุ่นเดิม แต่ทีมดีไซน์ของ Renault พยายามขัดเกลารถรุ่นนี้ให้ออกมาสวยงามและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ว่ากันว่าลงทุนขยายองศาของเสา A ให้ยื่นไปด้านหน้าถึง 100 มิลลิเมตร และปรับปรุงสัดส่วนตัวรถและรายละเอียดรถรอบคันให้เหมาะสมกับการเป็นรถยุค 2018
ภายในห้องโดยสารไม่ได้ปฏิวัติวงการรถยนต์ราคาประหยัดอะไรนัก เพราะไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ดิจิตอลซับซ้อนอะไรมากนัก มีเพียงแค่ติดตั้งหน้าจอสัมผัสที่มี Interface ดูใช้งานง่ายและน่าจะมีต้นทุนการพัฒนาไม่แพงนัก ที่ดูแปลกตาหน่อยก็คือ ปุ่มหมุนปรับแอร์อัตโนมัติที่สามารถแสดงผลได้ในตัว ส่วนวัสดุบุนุ่มพวกนี้อย่าไปคาดหวังมากนัก เอาแค่พอไปวัดไปวาก็พอแล้ว
นอกจากดีไซน์โดยรวมที่สวยขึ้น All NEW Dacia Duster ยังพัฒนาด้านความสบายไปอีกขั้นด้วยการปรับปรุงเบาะนั่งให้รองรับสรีระให้ดีขึ้น เปลี่ยนวัสดุบุหุ้มให้รู้สึกสัมผัสที่ดี
ราคาถูกก็จริงแต่ไม่ละเลยระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ได้แก่ กล้องรอบคัน Multi-View, ระบบเตือนมุมอับสายตา, ถุงลมนิรภัยม่าน เป็นต้น
ขุมพลังมีให้เลือกหลายแบบ อาทิ เครื่องยนต์เบนซิน SCe 115 และ TCe 125 มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและสี่ล้อ, เครื่องยนต์ดีเซล dCi 90 แรงม้าเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า/dCi 110 มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและสี่ล้อ พิเศษมีขุมพลัง SCe 115 ที่รองรับเชื้อเพลิง LPG
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Dacia Duster ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/all-new-dacia-duster-exterior-design/
Ford
ฐานพัฒนาอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีรถยนต์ต้นแบบมาอวด
Ford Ecosport Minorchange เวอร์ชันยุโรป – การกลับมาอีกครั้งของ B-SUV ขนาดกะทัดรัดที่จำเป็นต้องปะหน้าแต่งตัวให้ดู Go Inter(net) มากขึ้น เพราะก่อนหน้านั้น Ecosport เป็น B-SUV ที่เน้นเจาะกลุ่มตลาดอเมริกาใต้และอินเดียเป็นหลัก ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างของรถคันนี้มันยังไม่โดนใจกลุ่มลูกค้าชาวยุโรปและอเมริกามากนัก
น่าแปลกใจคือ Ford เริ่มส่ง Ecosport มาทำตลาดเอาตอนที่ตลาดโลกเปิดตัวมาหลาย ๆ ปีแล้ว (กรณีคล้ายกับ Nissan Note เมืองไทย) แต่ยังดีที่มาทั้งทีเอาโฉม Minorchange มาให้เลือก
หน้าตาไม่ต้องพูดถึงเพราะดุดันกว่าเวอร์ชันที่ขายบ้านเรามากกกก ถึงแม้ว่าตัวรถจะดูสูงโย่งไม่โดนใจวัยรุ่นเท่าไรนัก แต่มันมีดีที่เครื่อง เพราะมีเครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue ใหม่ ขนาดความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 22.22 กิโลเมตร/ลิตร ให้เลือก
แต่ถ้าไม่ชอบดีเซล ก็เลือกเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ แถวเรียง EcoBoost ขนาด 1.0 ลิตร 999 ซีซี. Ti-VCT พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 71.9 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 กำลังสูงสุด 125 แรงม้า และ 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร และ 180 นิวตันเมตร ที่ 1,400 – 5,000 รอบ/นาที
ต้องลุ้นกันปัสสาวะเหนียวไม่น้อยเลยว่า Ford ประเทศไทยจะกล้าปรับโฉม Ford Ecosport ให้กลายเป็นโฉม Modern นี้หรือไม่เพราะยอดขายปัจจุบันทำได้แค่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Ford Ecosport Minorchange เวอร์ชันยุโรป ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/ecosport-minorchange-europe-1-5-ecoblue-diesel/
All NEW Ford Fiesta – แม้เปิดตัวล่วงหน้าไปก่อน แต่ก็ยังอุตส่าห์ขนมาเปิดตัวอย่างอลังการอีกครั้งในงานนี้ พร้อมกับโชว์ Ford Fiesta เจเนเรชั่นก่อน ๆ ให้เห็นถึงความเป็นมาของเจ้าตลาด B-Segment เพื่อข่มคู่ขวัญให้รู้ซะบ้างว่าใครคือใคร
งวดนี้มาโชว์กันครบทั้ง Fiesta Titanium, Fiesta Vignale, Fiesta ST-Line, Fiesta Active Crossover ทางเลือกใหม่ที่ขยายความต้องการและรองรับลูกค้า B-Segment ที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยที่ Ford จะไม่เน้นทำตลาด Fiesta เกรด Entry Level เนื่องจากมี Ford KA+ รับมืออยู่แล้ว
ความแตกต่างของทั้ง 4 สไตล์จะอยู่ที่ดีไซน์ด้านหน้าและบุคลิกโดยรวม ได้แก่
- Fiesta Titanium รุ่นมาตรฐานจะมาพร้อมกับกระจังหน้าที่มีบานเกล็ดแนวนอนซี่ถีพร้อมกันชนหน้าที่ถูก ออกแบบให้มีความโค้งมนรับกับใบหน้าใหม่
- Fiesta Viganle จะเพิ่มความหรูหราจับตลาดบนด้วยกระจังหน้ารังผึ้งและกันชนที่ออกแบบดูเรียบง่าย
- Fiesta ST-Line เน้นความสปอร์ตดุดัน
- Fiesta Active Crossover นั้นจะเป็นการนำรุ่น Titanium มาตกแต่งใหม่ เพิ่มกาบสีดำรอบคันและติดตั้งแถบกันกระแทกสีเงินบริเวณชายล่างสุด
ต้องแสดงความเสียใจด้วย มา ณ ที่นี่ Ford ประเทศไทย ได้ถอดใจกับการผลิตและการทำตลาดรถยนต์นั่ง หรือที่เรียกกันว่ารถเก๋งในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งถอนสิทธิ์การลงทุนรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม อีโคคาร์ เฟส 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่าลูกค้าชาวหมดสิทธิ์สัมผัส All NEW Ford Fiesta แน่นอน
อ่านรายละเอียด และ ชมรูปภาพ All NEW Ford Fiesta ทั้งหมด ได้ที่นี่
All New Ford Fiesta เจเนเรชั่นที่ 7 การอัพเกรดบนพื้นฐานสิ่งที่ดีอยู่เป็นทุนเดิม
รายละเอียดทางเทคนิค-เทคโนโลยีของ All New Ford Fiesta เพื่อให้เป็นรถไฮเทค และ ขับดีที่สุด
All NEW Ford Fiesta ST : เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร EcoBoost Turbo 200 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
Ferrari
ม้านอกคอกที่แรงตีนปลาย
แม้งาน Frankfurt Motorshow 2017 ในปีนี้จัดว่าเป็นงานค่ายรถเยอรมนันพยายามสุมหัวร่วมมือร่วมใจในการเปลี่ยนทิศทางของรถยนต์ทศวรรษกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ในอีกมุมหนึ่ง ค่ายรถยนต์จากต่างชาติบางรายก็ไม่หลงกับกระแสปลุกปั่นกระแสรถยนต์ไฟฟ้า EV เพราะบางค่ายก็มีทิศทางของตัวเองที่ชัดเจนกว่านั้น
Ferrari ม้านอกคอกจากอิตาลีที่จู่ ๆ ก็กล้านำ Ferrari Portofino มาเปิดตัวกันอย่างหน้าใส ๆ แถมยังติดตั้งเครื่องยนต์ เบนซิน V8 3.9 เทอร์โบ พละกำลังระดับ 600 แรงม้า 760 นิวตันเมตร ที่ไม่เกี่ยวข้องกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าอะไรเลย อาการแบบนี้เขาเรียกว่ายิ่งกว่าม้าพยศอีก ถึงแม้ว่าชื่อรุ่นรถอาจจะพ้องกับรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อหนึ่งที่ขายดีในไทยก็ตาม
Ferrari Portofino มาในฐานะรถสปอร์ตเปิดประทุนหลังคาแข็งที่มาทดแทน California T มองเผิน ๆ ก็นึกว่าเอา California T จับมา Minorchange เสียด้วยซ้ำ แต่อย่างว่า Ferrari จะปรับปรุงรถทั้งที คงไม่ได้ปรับปรุงแค่ดีไซน์นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น แต่ Ferrari ยังกล้าปรับปรุงกันถึงไส้ในกันเลยล่ะ ชนิดที่เรียกว่าเป็นรุ่น Modelchange ก็ยังได้เลย
Ferrari Portofino ถูกพัฒนาขึ้นบน Platform ใหม่ น้ำหนักเบากว่าเดิม ให้ความแข็งแรงมากขึ้น อัตราการกระจายน้ำหนักหน้า : หลังอยู่ที่ 46 : 54 สำหรับอุปกรณ์ที่ติดตั้งใน Ferrari ตัวถัง GT เป็นครั้งแรกใน Ferrari Portofino คือ Electronic Rear Differential แบบ (E-Diff 3) พร้อมระบบ F1-Trac จนมีน้ำหนักตัวถังเหลือเพียงแค่ 1,663 กิโลกรัมหรือเบากว่า California T ถึง 80 กิโลกรัม น้ำหนักที่ไดเอ็ตลงมาได้อาจฟังดูน้อยนิด แต่ถ้าคำนวณตามหลักวิศวกรรมแล้วล่ะก็น้ำหนัก 80 กิโลกรัมมันก็เป็นตัวถ่วงความแรงได้ไม่น้อย ถ้าเปรียบเทียบเอาเจ้า Ferrari Portofino คันงามกับ BMW 430i Convertible ยืนคู่กัน เจ้า Portofino ดันเบากว่าเจ้า 430i ถึง 167 กิโลกรัม
ภายนอกของ Ferrari Portofino ออกแบบให้ดูดุดันในแบบตัวถัง two-box fastback พร้อมหลังคาแข็งเปิด – ปิดได้ ด้านหน้ามาพร้อมกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ และไฟหน้าแบบ Full-LED ที่มีความเฉียบคมมากกว่ารุ่นพี่ บริเวณขอบโคมไฟหน้ายังมีช่องดักลมซ่อนอยู่ เพื่อช่วยลดการต้านอากาศด้วยการส่งลมที่มาปะทะออกทางแก้มคู่หน้า
ห้องโดยสารของ Ferrari Portofino มาพร้อมกับพวงมาลัยใหม่และหน้าจอสัมผัสขนาด 10.2 นิ้ว ระบบปรับอากาศให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารไม่ว่าหลังคาจะเปิดหรือปิดอยู่ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 18 ทิศทางพร้อมออกแบบด้านหลังของเบาะใหม่ให้มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุง wind deflector ที่ลดลมภายนอกตีเข้ามาในห้องโดยสารได้ 30% เมื่อเปิดหลังคา
ขุมพลังของ Ferrari Portofino เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ขนาด 3.9 ลิตร 3,855 ซีซี. เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 600 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 5,250 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Ferrari Portofino เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-ferrari-portofino-launched/
Honda
ปรับทัพใหม่ขน Modern Retro EV ปลุกระแส
ค่ายรถญี่ปุ่น กับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า EV สองสิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่ยังไม่เข้าพวกกัน เพราะค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังไม่กล้าประกาศแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV อย่างเต็มสตรีมเหมือนกับค่ายรถยนต์จากฝั่งเยอรมนี เอาแค่ Volkswagen Group สังกัดเดียวก็มีแผนสร้างรถยนต์ไฟฟ้า EV มากกว่า 30 รุ่นเข้าไปแล้ว ที่ยังพอเข้ากระแสหน่อยก็คงมีเพียงแค่ค่าย Nissan บริษัทรถญี่ปุ่นลูกครึ่งที่มีแนวคิดการบริหารผสมผสานฝั่งตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน
ตอนนี้ ยังไม่มีใครรู้เหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีคนญี่ปุ่นถือหุ้นส่วนยังไม่กล้าทุ่มงบและแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV อย่างเต็มตัว ถ้าจะให้เดาอย่างมีหลักการ น่าจะเป็นเหตุผลด้านความน่าเชื่อถือและความทนทานด้านงานวิศวกรรม และที่สำคัญก็น่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจ
แต่ใครจะปล่อยก่อนหรือปล่อยหลังก็ไม่สำคัญว่า วันนี้ ค่ายรถญี่ปุ่นกำลังทำอะไรกัน?
วันนี้ Honda ก็กล้าที่จะเดินเกมส์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV กับเขาบ้างแล้วด้วยการเผยโฉม Honda Urban EV Concept ชื่อโหล ๆ กับใจเหงา ๆ แต่เมื่อเหลือบตาไปมองแล้ว ก็ทำให้ใจมันตูมตามกันได้ เพราะ Honda เล่นนำแรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก Honda Civic เจเนเรชั่นแรกปี 1972-1979 หากให้แปลสัญลักษณ์ของการออกแบบก็น่าจะบ่งบอกได้เลยว่า Honda Urban EV Concept จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่จะกลายเป็นรถยนต์ของมวลชนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในเมือง เปรียบเสมือนการกำเนิด Honda Civic ในครั้งแรก แต่เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เบนซิน เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า
ดีไซน์ภายนอก Honda Urban EV Concept อาจไม่ได้ดูคล้ายกับ Honda Civic รุ่นแรกแบบเป๊ะ ๆ มันเป็นการตีความใหม่ว่าถ้าหากนำเจ้า Civic โฉมแรกมาผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV ขนาดน่ารักกำลังดีแล้วจะมีหน้าตาอย่างไร? แต่ถ้ามองกันเผิน ๆ กลับกลายเป็นว่ารถยนต์ต้นแบบคันนี้จะดูคล้าย Volkswagen Golf Mk.1 มากกว่า Civic โฉมแรกเสียอีก
บอกได้เลยว่า มิติตัวถังภายนอก Honda Urban EV Concept นั้นใหญ่และยาวกว่า Honda Civic โฉมแรกเยอะ คือมันยาวถึง 3,988 มิลลิเมตร จัดอยู่ในหมวดขนาดรถยนต์ระดับ B-Segment ในปัจจุบัน ส่วน Civic โฉมแรกมีความยาวแค่เพียง 3,551 มิลลิเมตรเท่านั้น
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาแนว Modern Old School ใช้โทนสีและวัสดุที่ชวนให้นึกถึงรถยนต์ที่ถูกสร้างภายในยุค 60s-70s แต่ล้ำสมัยสุด ๆ ด้วยหน้าจอแสดงผลยาวอย่างกับเอา Tablet มาเรียงต่อกัน 4 หน้าจอ และยังมีแผงหน้าจอดิจิตอลบริเวณข้างประตู
หลัก ๆ แล้ว Honda จะพยายามโชว์ดีไซน์ของรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบคันนี้มากกว่าที่จะโชว์พละกำลัง (ก็เข้าใจว่าจะเอาอะไรมากกับรถเล็ก ๆ ขนาดนี้ เอาตัวเลขมาโชว์ก็เสียเปรียบพวก EV Hi-so อยู่ดี) แต่อย่างน้อย Honda ก็ยังกล้าโชว์นวัตกรรม Honda Power Manager ระบบจัดการพลังงานแบบใหม่ ในการส่งพลังงานจากเครือข่ายของโรงไฟฟ้า อสังหาฯ และรถยนต์ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานมากกว่าเดิม และสามารถนำพลังงานจาก Battery รถยนต์กลับมาใช้ในบ้าน หรือขายกลับเข้าไปสู่โครงข่ายไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
Takahiro Hachigo : CEO ใหญ่ Honda Motor กล้าประกาศเลยว่าพวกเราทุกคนจะได้เห็น Honda Urban EV Concept ในเวอร์ชันขึ้นสายการผลิตภายในปี 2019 จากโรงงานผลิตในยุโรป ผู้เขียนเชื่อว่ารถคันนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ All NEW Honda Jazz/Fit Generation 4 ในระดับหนึ่ง และเชื่อว่าภายในสุดล้ำนี้จะถูกเปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมด
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Honda Urban EV Concept ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/honda-urban-ev-concept-2019/
Hyundai
ยังยึดมั่นต่อตลาดยุโรป
Hyundai Kona – B-SUV ที่ดำเนินกลยุทธ์แปลก ๆ คือรถคันนี้มันพัฒนาขึ้นบนพื้นฐาน i30 Hatchback แต่ปรับระยะฐานล้อให้สั้นลง จับยกสูงขึ้น และเปลี่ยนแปลงดีไซน์ภายนอก พร้อมทั้งลดความหรูหราลงจาก i30 เพื่อให้รับกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น
ชื่อของ Kona น่าสนใจมากคือมันเป็นชื่อชายฝั่งของเกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา อันเป็นสถานที่ที่คนรักการท่องเที่ยวปรารถนาที่อยากจะไปซึ่งชื่อของTucson และ Santa Fe เอสยูวีรุ่นพี่ก็เป็นชื่อสถานที่ท่องเที่ยวเช่นกัน
ดีไซน์ภายนอกของ Hyundai Kona จะกลายเป็นทิศทางการออกแบบใหม่ของ Hyundai SUV เจเนเรชั่นถัดไป ด้วยแนวทางการออกแบบรายละเอียดที่ดูมีความขัดแย้งในแต่ละชิ้นส่วน โดดเด่นจากฝูงชน ไฟหน้า LED เพรียวบางสะท้อนถึงความล้ำยุค
สำหรับตลาดยุโรปจะติดตั้งขุมพลัง 3 ทางเลือก ได้แก่
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร T-GDI 120 แรงม้า (PS) แรงบิด 172 นิวตันเมตรที่ 1,500 – 4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงภายใน 12 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 181 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ (DCT) 7 จังหวะ
เครื่องยนต์เบนซิน Gamma 1.6 ลิตร T-GDI เทอร์โบ 177 แรงม้า (PS) แรงบิด 265 นิวตันเมตรที่ 1,500 – 4,500 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ (DCT) 7 จังหวะ
และช่วงกลางปี 2018 จะแนะนำเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร Generation ใหม่ ที่ยังไม่ระบุสเป็คแรงม้า และแรงบิด จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
อ่านข้อมูล และ ชมรูปภาพ Hyundai Kona ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/hyundai-kona-official/
Hyundai i30 Fastback – ทางเลือกใหม่ของรถยนต์ C-Segment ใหม่ โดยมีจุดเด่นงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีรายละเอียดงานดีไซน์ที่สลับซับซ้อนและใส่ความพรีเมี่ยมลงในรถยนต์ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ สัดส่วนตัวรถจะเป็นแบบ 5 ประตูคูเป้เพื่อสนำเสนอความเป็นนวัตกรรมและทางเลือกใหม่ของลูกค้า
แนวทางการออกแบบของ All NEW Hyundai i30 Fastback ที่แตกต่างจาก i30 Hatchback ก็คือการออกแบบแนวหลังคาที่เตี้ยกว่าเดิมถึง 25 มิลลิเมตร ด้วยแนวเส้นหลังคาด้านท้ายที่ลาดเอนดุจรถสปอร์ตคูเป้ สัดส่วนตัวถังจะเน้นความกว้างที่ดูดุดันขึ้น
เอกลักษณ์เด่นของการออกแบบ Hyundai i30 Fastback ใหม่ก็คือการออกแบบเส้น Beltline ที่ดูคมชัด, มีการออกแบบมัดกล้ามซุ้มล้อที่มีเส้นสายต่อเนื่องจากเส้นขอบชายบานประตูด้านล่าง, การออกแบบช่องกระจกโอเปร่าท้ายที่ดูคล้ายกับรถยนต์พรีเมี่ยมบางแบรนด์
Hyundai i30 Fastback มีขุมพลังให้เลือกเยอะแยะมากมาย อ่าน ข้อมูล และ ชมรูปภาพ ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/all-new-hyundai-i30-fastback/
Hyundai i30 N – คำตอบที่จะมาต่อกรกับ Volkswagen Golf GTi และ Ford Focus ST ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 250 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 353 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่ถ้าอยากแรงเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ต้องเลือก Performance Package ที่มีกำลังแรงถึง 275 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 353 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การตกแต่งภายนอกก็เหมาะสมกับบุคลิกของรถยนต์ Compact ที่มีความแรงจี๊ดจ๊าดพอสมควร
Kia
ลดความน่าเบื่อ สร้างความเร้าใจ
Kia ในช่วงนี้ดูเหมือนจะตกม้าตายกับงานออกแบบ All NEW Kia Rio ทั้งตัวถัง Hatchback และ Sedan ที่ดูน่าเบื่อขึ้นและแถมยังโดนคู่แข่ง B-Segment อื่น ๆ แย่งซีนกันหน้าตาเฉย เพราะแต่ละค่ายก็ดันออกแบบมาซะสวยสะดุดตา มีวิวัฒนาการแทบทั้งนั้น ทั้งที่ในอดีต Kia เคยขึ้นชื่อว่าเป็นค่ายรถยนต์ที่ใส่ใจด้านการออกแบบมาก ทำให้ Kia ต้องระมัดระวังในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ในกลุ่มรถ Compact มากยิ่งขึ้น
Kia PROCEED Concept คือตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วว่า Kia ได้คิดใหม่ทำใหม่กับงานออกแบบรถยนต์ในกลุ่ม Compact Car แล้วจริงๆ และมีความเป็นไปได้ว่า รถยนต์ต้นแบบคันนี้อาจจะกลายร่างเป็น Next Generation Kia C’eed
Kia PROCEED Concept พยายามฉีกกฎของการออกแบบรถยนต์ Compact Wagon ที่มีทั้งความหรูหรา, ปราดเปรียว, สปอร์ตดุดัน แต่ไม่ละทิ้งอรรถประโยชน์ใช้สอยที่ลูกค้าชาวยุโรปส่วนใหญ่ต้องการ โจทย์นี้เป็นงานยาก แต่ Kia ก็กลับทำออกมาได้ดีเกินคาด
วิธีคิดในการออกแบบของ Kia PROCEED Concept ถือเป็นวิธีคิดพลิกมุมกลับ แทนที่จะนำ Hatchback ธรรมดา ๆ มายืดขยายส่วนท้าย แต่ Kia พยายามนำแนวคิดบุคลิกของรถยนต์ Hot Hatchback ที่มีดีไซน์ร้อนแรงมาขยายส่วนท้ายให้เหมาะสมลงตัว คือไม่ยาวยืดจนกลายเป็นรถพ่อบ้านที่น่าเบื่อ ๆ
เทคนิคการออกแบบใหม่ที่น่าสนใจคือการขยายเรือนกระจกห้องโดยสารให้ชิดขอบตัวถังมากที่สุด ทำให้ตัวรถดูปราดเปรียว มีทัศนวิสัยที่กว้างไกลขึ้น
Kia ไม่ได้ระบุว่า PROCEED Concept จะขึ้นสายการผลิตได้เมื่อไร แต่คาดว่าน่าจะเปิดตัวในปี 2019
Kia Stonic – B-SUV ที่นำ Kia Rio จับมายกสูงแล้วดีไซน์ภายนอกใหม่ มาพร้อมกระจังหน้า Tiger Nose แบบใหม่, ประยุกต์เส้นเฉียบคมให้เข้ากับพื้นผิวตัวถังที่ดูอ่อนละมุน จุดเด่นที่แตกต่างจากค่ายอื่นคือการออกแบบสีสันตัวรถทูโทนแบบ Targa-Roof แตกต่างจาก Floating Roof ทั่ว ๆ ไป
ภายในห้องโดยสารใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Kia Rio ใหม่เป็นจำนวนมาก แต่เปลี่ยนการตกแต่งและวัสดุภายในที่ดูอัพเกรดขึ้น เน้นสีสันของภายในให้สอดคล้องกับภายนอก โดยหน้าจอสัมผัสรองรับ Apple Carplay, Android Auto และการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนโดยตรงได้
แม้ Kia Stonic เกิดมาในยุคที่แม้ผู้ผลิตรถฝรั่งก็พยายามชูจุดขายด้านความกว้างขวางของภายในห้องโดยสาร แต่ Stonic ก็ยังมีจุดเด่นด้านนี้ด้วยเช่นกันคือ Kia เคลมว่ารถคันนี้มันมีเนื้อที่หัวไหล่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกัน พร้อมพื้นที่วางขาและเนื้อที่เหนือศีรษะอันโอ่โถง และมีห้องสัมภาระท้ายที่จุได้ 352 ลิตร
อ่าน ข้อมูล และ ชมรูปภาพ Kia Stonic ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/official-kia-stonic-b-suv/
Kia Stinger ใหม่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถซีดานฟาสต์แบ็กทรงสปอร์ตรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่งซึ่งรถแนวนี้กำลังเป็นที่นิยมในตลาดยุโรป และที่สำคัญ Stinger คือรถยนต์ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มีในประวัติศาสตร์ของ Kia Motor กันเลยทีเดียว
จุดเด่นของ Kia Stinger คงหนีไม่พ้นดีไซน์เพราะนี่คือการนำรถต้นแบบ Kia GT Concept เคาะออกมาเป็นรถยนต์ขึ้นสายการผลิตจริง ไม่ใช่งานง่ายเลยที่จะนำรถต้นแบบสุดล้ำมาต่อยอด, ขัดเกลาจนพร้อมขึ้นสายการผลิตจริง เพราะทุกคนต้องคาดหวังความสวยงามและมีรายละเอียดเหมือนกับรถต้นแบบ
เนื่องจาก Kia Stinger เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ทีมออกแบบจึงขับจุดเด่นของรถประเภทนี้ให้เด่นชัดด้วยสัดส่วนด้านหน้าตั้งแต่กันชนหน้าจนถึงเสา A ที่ยาวยื่นและพยายามออกแบบบั้นท้ายให้ดูหดสั้นลง
จุดขายสำคัญอีกประการคือการขับขี่เนื่องจาก Albert Biermann ผู้บริหารฝ่ายพัฒนา สมรรถนะได้ย้ายมาจาก BMW ในปี 2014 เขาจึงนำประสบการณ์ในการพัฒนามาปรับปรุงใน Kia Stinger ได้ ถือเป็นงานที่ท้าทายเนื่องจาก Stinger เป็นรถที่สวยงาม
เหมาะสมกับคุณภาพการขับขี่ดีเยี่ยม
อ่าน ข้อมูล และ ชมรูปภาพ Kia Stinger ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/kia-stinger/
Mercedes-Benz
ประกาศศักดิ์ศรีใหม่ภายในงานนี้
Mercedes-AMG Project One – หนึ่งเดียวคันนี้ที่นำระบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังจากรถแข่งขันสนาม Formula 1 (F-1) มาพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็น Super Hypercar ที่ยั่วยวนให้น่าสัมผัสยิ่งนัก ถ้าให้พูดง่าย ๆ เลยมันก็คือรถแข่ง F-1 ที่แต่งตัวบ้าน ๆ เพื่อออกไปทานข้าวนอกบ้านโดยที่คนไม่มองว่าเป็นตัวประหลาด แต่อาจจะโดนอย่างน่าหมั่นไส้เพราะมันโดดเด่นเกินไป (มาก)
ขุมพลังสำหรับ Mercedes-AMG Project One เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Turbocharged ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว (มอเตอร์ขับเคลื่อน 3+ มอเตอร์เทอร์โบ 1) พละกำลังรวมมากกว่า 1,000 แรงม้า
เพื่อรองรับการใช้งานรอบเครื่องยนต์สูงในระยะยาว และด้วยข้อจำกัดด้านคุณภาพน้ำมันเชื้องเพลิงทั่วไป ทำให้เครื่องยนต์ที่ถูกทำมาติดตั้งใน Mercedes-AMG Project One ต้องมีการจำกัดรอบการทำงานอยู่ที่ 11,000 รอบ/นาที จากเดิมที่สามารถลากไปได้ถึง 14,500 รอบ/นาที และสปริงวาล์วเปลี่ยนจากสปริงโลหะแบบทั่วไป มาเป็นสปริงวาล์วลม แบบรถแข่งสูตร 1
ในส่วนของของระบบไฟฟ้า จะใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion แรงดันสูง ที่ถูกปรับให้เหมาะกับการใช้งานประจำวัน ส่วนการตำแหน่งการจัดวางรวมถึงระบบระบายความร้อนจะใช้แบบเดียวกันกับรถแข่ง Formula 1
สำหรับมอเตอร์ 2 ตัวแรก ขนาด 2 x 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า (PS) ดังนั้นรวมพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะส่งกำลังลงล้อคู่หน้า = 326 แรงม้า) จะถูกติดตั้งไว้ที่เพลาล้อหน้า ทำงานได้สูงถึง 50,000 รอบ/นาที (มอเตอร์ไฟฟ้ารถทั่วไปหมุนได้ 20,000 – 25,000 รอบ/นาที) กระจายกำลังลงสู่ล้อคู่หน้า และ ทำงานในโหมดการขับขี่แบบ Electic Mode ระยะทาง 25 กิโลเมตร โดยไม่ต้องพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ 80%
มอเตอร์ตัวที่ 3 มีขนาด 90 กิโลวัตต์ (90 kW = 122 แรงม้า (PS)) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเทอร์โบชาร์จ โดยในรอบเครื่องยนต์ต่ำ มอเตอร์จะเป็นตัวปั่นใบพัดไอดีเพื่ออัดอากาศ จนกระทั่งถึงรอบเครื่องยนต์สูงๆ ก็จะตัดการทำงานและให้ใบพัดไอเสียทำหน้าที่ปั่นใบพัดไอดีแทน ซึ่งในขณะเดียวกันมอเตอร์ก็จะชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ หรือ ส่งกำลังไฟสู่มอเตอร์ตัวอื่นๆ นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศสู่ห้องเผาไหม้ได้ดีขึ้น และ ลดอาการรอรอบเนื่องจากเทอร์โบแล็คแล้ว ยังเป็นการนำเอาพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย
มอเตอร์ตัวที่ 4 มีขนาด 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า (PS)) ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องยนต์ และ ส่งกำลังไปยังเกียร์ โดยมีชุดเฟืองตรง หรือ Spur Gear ช่วยในการตัดต่อกำลัง
เมื่อรวมพละกำลังทั้งระบบ Mercedes-AMG Project One จะมีแรงม้าสูงสุดมากกว่า 1,000 แรงม้า สามารถลากรอบการทำงานของเครื่องยนต์ได้ 11,000 รอบ/นาที สร้างอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 6.0 วินาที และ สามารถทำความเร็วสูงสุดถึงได้ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ช่วงแรก Mercedes-AMG จะผลิต Project One พวงมาลัยซ้ายออกมาก่อน 275 คันเท่านั้น ราคาจำหน่าย 2.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 90 ล้านบาท ข่าวดีคือมีเศรษฐีทั่วโลกจับจองรถยนต์พิเศษไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รอเวลา 18 เดือนนับจากนี้ก็จะได้รถคันจริงมาขับกันแล้ว
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Mercedes-AMG Project One เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/mercedes-amg-project-one-f1-to-street/
Mercedes-Benz EQA Concept – การกล้าลุยตลาด Premium Compact EV Segment อย่างจริงจัง สวนทางค่ายรถหรูบางค่ายที่อาจจะละเลยไปเล่นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าตัวถังแบบอื่น ๆ แทน
Mercedes-Benz EQA Concept น่าจะมีงานวิศวกรรมพื้นฐานบางอย่างที่ใช้ร่วมกับ All NEW A-Class ใหม่ เพราะดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วแทบจะไม่แตกต่างจาก Mercedes-Benz A-Class Concept ที่เคยโชว์โฉมในปี 2011 แต่ก็เชื่อลึก ๆ ว่าตัวผลิตจริงคงจะเป็นตัวถัง 5 ประตูมากกว่า
แนวคิดการสร้าง Mercedes-Benz EQA Concept คือการเป็นรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบในอุดมคติที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่มีระยะทางวิ่งเพียงพอต่อการใช้งาน ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ซึ่งสามารถรีดศักยภาพออกมาได้เต็มที่
งานออกแบบก็ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ระหว่างรถยนต์เครื่องเบนซิน-ดีเซล กับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ได้ออกแบบมาชัดเจนเหมือนกับ Jaguar i-Pace และแน่นอนก็มาพร้อมกระจังหน้า “เสมือน” ที่กลายเป็นแผง Digital Panel ที่ซ่อนไฟ LED ไว้ใต้แผงสามารถแสดงผลตามโหมดการขับขี่ได้
เห็นหน้าตาดูเรียบร้อย ๆ แบบนี้ โปรดอย่าไปแหยมกับ Mercedes-Benz EQA Concept เพราะมันติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 2 ตัวเลย ตัวแรกติดตั้งบริเวณด้านหน้าสำหรับส่งกำลังยังล้อคู่หน้า ตัวสองติดตั้งบริเวณด้านหลังสำหรับส่งกำลังยังล้อคู่หลัง ให้พละกำลังรวมเป็น 268 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.0 วินาที พร้อมระบบกระจายแรงบิดไปยังเพลาแบบแปรผัน
แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ที่ผลิตโดย Deutsche ACCUMOTIVE ขนาดประจุ 60 kWh รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จประจุให้เต็ม 1 ครั้ง และ ใช้เวลาชาร์จแค่เพียง 10 นาที ก็สามารถวิ่งได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร
Mercedes-Benz EQA จะกลายเป็น 1 ใน 10 รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่จะทำตลาดให้ครบภายในปี 2022 แต่ก็ยังไม่ระบุว่าจะพร้อมขึ้นสายการผลิตได้ในตอนไหน?
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Mercedes-Benz EQA เพิ่มเติมได้ทีนี่ >> http://www.headlightmag.com/mercedes-benz-eqa-concept/
Mercedes-Benz S-Class Coupe & Cabriolet Minorchange – เปิดตัวตามมาติด ๆ โดยมีความเปลี่ยนแปลง คือไฟท้ายแบบ OLED ซึ่งประกอบไปด้วย OLED แบบ ultra-flat จำนวน 66 ชิ้น (ข้างละ 33 ชิ้น) พร้อม Animation เวลาล็อคหรือปลดล็อครถยนต์ ทั้งยังสามารถปรับระดับความเข้มของแสงไฟเบรกและไฟเลี้ยว ตามสภาพการขับขี่ในตอนกลางวันหรือกลางคืน
ชิ้นส่วนภายนอกอื่นๆ ที่เปลี่ยนไปมีทั้งกันชนหน้า – หลัง สเกิร์ตข้างทรงใหม่ และเปลี่ยนปลายท่อไอเสียไปใช้แบบโครเมี่ยมปลายคู่ออก 2 ฝั่ง ในรุ่น AMG Line จะเปลี่ยนไปใช้กันชนหน้า – หลังอีกแบบหนึ่ง ทั้งยังมีล้อลายใหม่ให้เลือกอีก 2 แบบ ขนาด 20 นิ้ว ลาย 10 ก้านสีเทา Titanium Grey ในรุ่น AMG Line และสีดำเงา High-gloss Black ในรุ่น AMG Line Plus
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Mercedes-Benz S-Class Coupe & Cabriolet Minorchange เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-mercedes-benz-s-class-facelift-coupe-and-cabriolet-launched/
MINI
ก้าวเข้าสู่ iconic EV
MINI ชื่อเล็กแต่ไม่คิดเล็ก ยิ่งถ้าอยู่ในเครือ BMW Group ด้วยแล้วเนี่ย MINI ก็ต้องทำตัวยิ่งใหญ่เกินไปอีกเบอร์เสียด้วยซ้ำ เพราะวันนี้การแข่งขันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ระดับพรีเมี่ยมเริ่มเข้าสู่สมรภูมิร้อนแรงขึ้นทุกวัน MINI จึงต้องรับนโยบายจาก BMW Group เพื่อขยายตัวเองเข้าไปสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
MINI Electric Concept มาครั้งนี้เอาจริงแน่ เพราะถึงขั้นกล้าประกาศผลิตจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปจริงภายในปี 2019 แน่นอน ไม่ปล่อยให้ผู้คนรอเก้อเหมือนกับ MINI E ที่เปิดตัวในปี 2008
MINI Electric Concept มันก็คือการนำ MINI Hatchback 3 ประตูมาโมดิฟายด์ใหม่ ด้านหน้าติดตั้งกระจังหน้าเสมือน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นกระจังหน้าที่ถูกปิดทึบเพื่อส่งผลดีต่อค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน, กราฟิกไฟหน้า LED ดูแปลกตา, เปลี่ยนแปลงดีไซน์ซุ้มล้อหน้าและชายล่างขอบประตูใหม่ และติดตั้งไฟท้าย LED ทรงธงชาติ Union Jack บ่งบอกถึงความเป็นรถอังกฤษอย่างแท้จริง
แม้รถคันจริงถูกอวดโฉมที่งาน Frankfurt Motorshow 2017 แล้วแต่ MINI ก็ยังไม่ปล่อยรายละเอียดทางเทคนิคของ MINI Electric Concept ออกมาเลย ทำให้ต้องลุ้นกันไม่ใช่น้อยว่ามันจะมีระยะทางวิ่งสูงสุดได้เท่าไร
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ MINI Electric Concept เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/mini-electric-concept-ev-cars-2019/
Porsche
งานนี้ปล่อยแค่ Highlight เด็ดแค่ตัวเดียว
All NEW Porche Cayenne – เปิดตัวอย่างอลังการพร้อมทั้งคืนความรู้สึกดี ๆ ให้แก่สาวก Porsche ด้วยดีไซน์ที่ดูคล้ายกับ 911 มากขึ้น โอเค มันอาจจะไม่ได้ดูคล้ายแบบเป๊ะ ๆ เพราะ Cayenne ก็จำเป็นต้องรักษาบุคลิก Porsche SUV เอาไว้เหมือนเช่นเคย
แต่ถ้ามองกันอย่างเผิน ๆ จะพบว่า All NEW Porsche Cayenne ก็แทบไม่แตกต่างจากรถรุ่นเดิมมากนัก ถ้าหากไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะมีรายการจำสับสนได้บ้าง ความเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ เลยคือ การขยายช่องดักลมกันชนหน้าให้ชิดมุมขอบซ้าย-ขวา มากที่สุด ทำให้มีบุคลิกที่ดูคล้ายกับ Porsche 911 อยู่ไม่น้อย อันเป็นการลบภาพความรู้สึกเดิม ๆ ว่า Cayenne ไม่ใช่รถ Porsche ที่แท้จริงลงไป (แต่สาวกก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าถ้าไม่มี Cayenne แบรนด์ Porsche อาจไม่รุ่งเรืองในวันนี้ก็ได้)
เกิดมาเป็นรถยนต์เยอรมนีก็ต้องมาพร้อมเทคโนโลยีดวงไฟที่สุดยอด เพราะไม่มีประเทศไหนที่สามารถคิดค้นเทคโนโลยี LED ได้เท่ากับเยอรมนีอีกแล้ว All NEW Porsche Cayenne มาพร้อมกับ Porsche Dynamic Light System Plus ซึ่งทำงานโดยใช้หลอด LED จำนวน 84 หลอด เปล่งความเข้มแสงแบบอิสระ สามารถปรับองศาของจานฉาย ตามการหมุนพวงมาลัย นอกจากนั้นยังมีการใช้กล้องตรวจจับรถยนต์ที่อยู่ในระยะของลำแสงไฟหน้า และ จัดการเพื่อไม่ให้เกิดแสงรวบกวน ซึ่งมีให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสริม
แม้มองเผิน ๆ All NEW Porsche Cayenne ดูคล้ายรุ่นเดิมมาก แต่หากมองให้ลึกถึงภายในจะพบว่า มันมีการปรับปรุงวัสดุโครงสร้างพื้นตัวถัง MLB Evo Platform จนสามารถลดน้ำหนักลงไปได้ 65 กิโลกรัม
All NEW Porsche Cayenne มีทางเลือกถึง 3 ทางเลือก ได้แก่
Cayenne รุ่นมาตรฐาน – เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร 2,995 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า ที่ 5,300 – 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,340 – 5,300 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TipTronic S ขับเคลื่อน 4 ล้อ ปล่อย CO2 ที่ 205 – 209 g./km. ทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ได้ภายใน 6.2 วินาที (5.9 วินาที ในโหมด Sport Plus)ความเร็วสูงสุด 245 km/h
Cayenne S – เครื่องยนต์เบนซิน V6 2.9 ลิตร 2,894 ซีซี. พ่วงเทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 440 แรงม้า ที่ 5,700 – 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TipTronic S ขับเคลื่อน 4 ล้อ ปล่อย CO2 ที่ 209 – 213 g./km. ทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ได้ภายใน 5.2 วินาที (4.9 วินาที ในโหมด Sport Plus) ความเร็วสูงสุด 265 km/h
Cayenne Turbo – เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร 3,996 ซีซี. Bi-Turbo กำลังสูงสุด 550 แรงม้า ที่ 5,750 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ที่ 1,960 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TipTronic S ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ปล่อย CO2 ที่ 267 – 272 g./km. ทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ได้ภายใน 4.1 วินาที (3.9 วินาที ในโหมด Sport Plus) ความเร็วสูงสุด 286 km/h
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติม Porsche Cayenne Turbo ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/all-new-porsche-cayenne-turbo/
Renault
แหวกกระแสด้วยเอกลักษณ์แห่งรถฝรั่งเศส
Renault ก็เจริญตามรอย Ferrari คือ ฉันจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่/ต้นแบบ โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น ไหน ๆ ฉันก็เช่าเนื้อที่โชว์แล้วก็โชว์ให้หมดเปลือกไปเลย
Renault Symbioz Concept – เปิดวิสัยทัศน์ใหม่แห่งรถยนต์ยุคปี 2030 หรือนับต่อจากนี้อีก 13 ปีข้างหน้า ดีไซน์ตัวรถคล้าย ๆ พวกแนว Grand Saloon ที่ถอดหลังคาทิ้งไป ดีไซน์ด้านหน้าชวนให้คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางการออกแบบทิศทางใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
Renault Symbioz Concept เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ควบรวมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์, บ้าน, ในเมืองและท้องถนน เพราะ Renault เชื่อว่าการเดินทางโดยรถยนต์ไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือการปฏิสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด
Thierry Bollore รองประธาน Renault เผยว่า หากจิตนาการถึงรถยนต์ในปี 2030 ก็คิดว่ารถยนต์จะต้องมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ยอดเยี่ยม มีระบบการเชื่อมต่อและระบบขับขี่อัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ และรถยนต์ก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของที่พักอาศัยหรือที่ไหนก็ตาม
ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวเหนือเพลาล้อคู่หลัง มีพละกำลังรวมกัน 680 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายในไม่ถึง 6 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กิโลเมตร
All NEW Renault Megane RS – Compact พลังแรงหัวใจเดียวกับ Alpine A110 ที่ถือว่าคุ้มค่าแก่การรอคอยถึง 2 ปีนับจากเปิดตัว Megane รุ่นมาตรฐาน
ภายนอกดูดุดันจาก Renault Megane ทุกรุ่น มีการขยายความกว้างซุ้มล้อหน้า 60 มิลลิเมตรและซุ้มล้อหลัง 45 มิลลิเมตรเมื่อเทียบกับ Megane GT กันชนหน้าได้แรงบันดาลจากรถแข่ง F-1 ที่ออกแบบช่องดักลมกันชนหน้าให้ดูคม
ความเจ๋งของมันหนีไม่พ้นขุมพลังที่ยกมาจาก Alpine A110 โดยตรง เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.8 ลิตร เทอร์โบ มีการปรับปรุงให้มีพละกำลังสูงสุดที่แรงขึ้นเป็น 280 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 390 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ EDC (Efficient Dual Clutch) นั่นก็ทำให้รถยนต์คันนี้น่าสนใจกว่า Alpine A110 เสียอีก เพราะถ้าตัวเลขแรงม้าและแรงบิดสูงขึ้นขนาดนี้ก็น่าจะคาดหวังความสนุกในการขับขี่แน่นอน
Renault เพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ไปอีกขั้นด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift แบบเดียวกับรถยนต์ในสนามแข่ง เปลี่ยนเกียร์ง่ายโดยแทบไม่ต้องเคลื่อนไหวมือมากนักขณะเข้าโค้ง รีดสมรรถนะได้อย่างเต็มที่ด้วย Launch Control และเทคโนโลยี Multi-Change Down ที่ช่วยให้การขับขี่ผ่านไปได้ทุกสถานการณ์ และที่สำคัญมันยังมาพร้อมกับระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ที่ควบคุมโดนไฮโดรลิค
Seat
ไม่โฉ่งฉ่าง แต่ฉะฉาน
Seat Arona – ดูเหมือน Seat ได้รับเกียรติจาก Volkswagen Group ให้เปิดตัว B-SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน MQB-A0 สำหรับรถยนต์ B-Segment เป็นคันแรก ขนาดลำตัวก็สั้นแค่ 4.1 เมตร เป็นขนาดที่คนยุโรปชอบ แต่ชาวไทยอาจไม่ชอบเพราะสั้นเกินไปสำหรับ SUV ที่มีราคา 8 แสนบาทขึ้นไป
ใบหน้าและเส้นสายตัวถังด้านข้างของ Seat Arona แทบจะเหมือนกับ Seat Ibiza โฉมใหม่เป็นอย่างมาก อาจจะแตกต่างกันที่รายละเอียดเล็กน้อย อาทิ กระจังหน้าและกันชนหน้า แต่ถ้าสังเกตเสา A เป็นต้นไปจะพบว่า Volkswagen Group ได้ออกแบบให้มีเสาหลังคาตั้งชันมากขึ้น ไม่เน้นความปราดเปรียวมากมายนัก
จุดขาย Seat Arona อาจไม่เด่นชัดมากนัก เพราะมันคือ B-SUV ที่ใช้งานได้ทุกสถานที่ทั้งในเมืองและนอกเมือง สะดวกสบาย ห้องโดยสารกว้างขวางและอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือต่าง ๆ
Seat Arona ติดตั้งเครื่องยนต์หลากทางเลือกได้ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร TSI 95 แรงม้า (PS) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
- เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร TSI 115 แรงม้า (PS) เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DSG 7 จังหวะ
- เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ TSI 150 แรงม้า (PS) พร้อมเทคโนโลยีพักกระบอกสูบ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร TDI 95 แรงม้า (PS) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DSG 7 จังหวะ
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร TDI 115 แรงม้า (PS) เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร TSI CNG
- ในบางประเทศจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MPI เกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
ก็น่าสงสัยไม่น้อยเลยว่า Seat Arona เป็น B-SUV ที่ไม่ได้มีจุดเด่นทางการค้ามากนัก และยิ่งเทียบกับ Volkswagen T-Roc ที่โดดเด่นกว่ามาก จะสามารถสร้างยอดขายจาก SUV บูมได้กี่เปอร์เซนต์ อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Seat Arona ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/seat-arona-b-suv/
Skoda
รุกตลาด SUV “หนักมาก”
Skoda Vision E Concept – นอกจาก Skoda เอาจริงเอาจังกับตลาด SUV อย่างมากแล้ว Skoda ก็ยังต้องเผยวิสัยทัศน์ในการรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV กับเขาด้วยเหมือนกันเพราะเป็นแบรนด์รถยนต์ในเครือ Volkswagen Group
รถต้นแบบคันนี้เคยอวดโฉมในงาน Auto Shanghai 2017 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่กลับมาโชว์ใหม่อีกครั้งที่งานนี้ ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 306 แรงม้า (PS) มีระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุเพียงแค่ครั้งเดียว และที่สำคัญมาพร้อมกับระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 3 ระดับเร่งเองได้, เบรกเองได้, หาที่จอดเองได้ แต่ต้องมีมนุษย์คอยนั่งหลังพวงมาลัยอยู่
น่าทึ่งไม่น้อยที่ Volkswagen Group ยอมให้ Skoda ชิงเปิดตัวต้นแบบ Coupe-SUV ก่อน และเชื่อเหลือเกินว่ารถคันนี้แหล่ะจะต้องถูกผลิตในอนาคตข้างหน้าไม่เกิน 2 ปี
Skoda Karoq – Compact SUV ที่มีนิคเนมว่า Kodiaq เวอร์ชันฐานล้อสั้น เบาะนั่ง 5 ที่นั่ง เพราะมันดูมีสัดส่วนที่คล้ายกันมากต่างกันแค่ระยะฐานล้อและดีไซน์บางอย่าง แต่รวม ๆ ก็ยังเป็นรถที่สวยงามน่าใช้
การเปิดตัว Skoda Karoq จะเป็นการขับเคลื่อนสำเร็จให้แก่แบรนด์ในอนาคตตามวิสัยทัศน์ 2025 Strategy โดยมีปัจจัยที่นำพาความสำเร็จคือ ดีไซน์ ที่ปราดเปรียวและเร้าใจ ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมแบบ Crystal Line อันเป็น Design Language ล่าสุด
เส้นสายและการคอนทัวร์ (โปรดนึกถึงการแต่งหน้าที่เป็นเฉดมิติของสาว ๆ ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์มิติที่แตกต่างกัน) ขอบต่าง ๆ จะออกแบบแนว 3 มิติ ด้านหน้าโดดเด่นด้วยการรูปร่างของเลขาคณิตมาประกอบกัน สัดส่วนรถยนต์มีความสมดุล มีระยะฐานล้อที่ดูยาวเพราะระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคันสั้น
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Skoda Koroq ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/skoda-karoq/
Skoda Kodiaq – SUV รุ่นกลาง-ใหญ่ ตัวถังยาวเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง เป็นตัวขายของ Skoda ในวันนี้เลย และต้องยอมรับเลยว่า การออกแบบของ Kodiaq ยังสวยและดูมีชั้นเชิงกว่า Volkswagen Atlas ที่จำหน่ายในอเมริกาเหนือเสียอีก แต่อย่างว่ากลุ่มเป้าหมายมันคนละกลุ่มกัน
ชื่อ Kodiaq ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อของหนึ่งในหมีที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คาดว่าน่าจะใช้เปรียบให้เห็นภาพ SUV คันนี้คันใหญ่จริง อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Skoda Kodiaq ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/news-2016-9-6-2017-skoda-kodiaq/
Suzuki
ประกาศความเป็นราชาแห่งรถขนาดเล็ก
ใครจะลุยเปิดอะไร หรือจะสร้าง Game Changer อะไร ฉันก็ไม่สน เพราะฉันนั้นคือ Suzuki ผู้ที่กล้าขีดชะตาชีวิตของตนเอง เป็นแบรนด์รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่แม้แต่ค่ายยักษ์ใหญ่เคยยอมง้อ ยอมร่วมมือกันมาแล้ว
All NEW Suzuki Swift Sport – การเดินทางของรถยนต์ขนาดเล็กพลังแรงเจเนเรชั่นที่ 3 นับตั้งแต่เปิดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005 ความเปลี่ยนแปลงของตัวรถก็เปลี่ยนไปตามวันและเวลา แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือ ความแรงเกินคาดที่เกิดจากการจัดสรรงานวิศวกรรมที่พอดีและลงตัว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวช่วยเยอะแยะจนเสียเอกลักษณ์ของตัวรถ
All NEW Suzuki Swift Sport จะขับเคลื่อนตัวเองด้วยโครงสร้างตัวถัง Heartect ที่ทนทานต่อการบิดตัวแต่มีน้ำหนักที่เบาลง หากอ้างอิงจากสเป็คญี่ปุ่นแล้วจะพบว่ามันมีน้ำหนักเบาถึง 970-990 กิโลกรัม ชวนให้นึกถึง Toyota Soluna Vios สมัยรุ่นปี 2003 – 2007 มิใช่น้อย
ที่น่าทึ่งเอามาก ๆ คือ All NEW Suzuki Swift ที่มีน้ำหนักเบาไม่ถึง 1 ตันจะติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินที่แรงจัดจ้าน รหัส K14C-DITC Boosterjet 1.4 ลิตร วาล์วแปรผัน VVT 1,373 ซีซี ฉีดเชื้อเพลิงตรง เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 73.0 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.9 :1 ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร (23.4 กิโลกรัม-เมตร) ที่ 2.500 – 3,500 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีที่สุดจากการทดสอบตามมาตรฐาน JC08 ประเทศญี่ปุ่น 16.4 กิโลเมตร/ลิตร และ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีที่สุดจากการทดสอบตามมาตรฐาน JC08 ประเทศญี่ปุ่น 16.2 กิโลเมตร/ลิตร ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า
ระบบกันสะเทือนหน้าถึงขั้นใช้โช๊คอัพแบรนด์ Monroe และยังมีการเพิ่มความหนาของเหล็กกันโคลงหน้า มีการควบรวมศูนย์กลางล้อและแบริ่งล้อไว้เป็นชุดเดียวกันเพื่อเพิ่มความทนทาน ส่วนช่วงล่างหลังจะเป็น Trailing Arm ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ Swift Sport โฉมใหม่ มีการปรับมุมโทและมุมแคมเบอร์ใหม่
Masao Kobori : Chief Engineer ของ All NEW Suzuki Swift คันนี้ฟันธงเลยว่า มันเป็นรถที่ เบาลง, เฉียบขึ้น, แรงขึ้น มันดูดุดันและสะเทือนอารมณ์ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งหัวใจสำคัญของลูกค้าคือ มันต้องเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ เอาง่าย ๆ ว่าแม่บ้านก็น่าจะเอาเจ้าคันนี้ไปซื้อของจ่ายตลาดโดยที่ไม่บ่นกระปอดกระแปดว่า รถบ้าอะไร แข็งโป๊ก
บรรทัดสุดท้ายแล้วคือ ยังไง ๆ บ้านเราก็หมดสิทธิ์ที่จะสัมผัส Suzuki Swift Sport เพราะมันถูกจำกัดสำหรับการผลิตเพื่อเป็นรถยนต์อีโคคาร์ เฟส 2 เท่านั้น
Toyota
ทน ทรหด ผิดพวก
Toyota Land Cruiser Prado Minorchange – ก็น่าแปลกใจไม่น้อยเลยที่ Toyota เลือกเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ไว้ที่งาน Frankfurt กับเขาด้วย และก็น่าแปลกใจไม่น้อยอีกเช่นกันที่ Toyota ขอปรับโฉมเจ้า Prado รุ่นปัจจุบันเป็นรอบที่ 2 ถ้าตั้งสมาธิขั้นพื้นหน่อยก็พอจะมองเห็นความน่าสนใจของมันบ้าง
สิ่งหนึ่งทำให้ Prado Minorchange ดูน่าสนใจก็คือการดีไซน์ด้านหน้าที่ดูสวยขึ้นกว่ารุ่นปี 2009 และรุ่นปี 2013 ที่เป็น Minorchange ครั้งแรกเป็นอย่างมาก ลงตัวด้วยดีไซน์ไฟหน้าทรงใหม่พร้อม Projectors Lens พร้อม Daytime Running Lights ที่ดูลงตัวขึ้นและดีไซน์กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมหน้าชัน ลายตั้ง, เปลือกกันชนหน้า, ไฟตัดหมอกเปลี่ยนทรงเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู และ มีการเพิ่มเส้นสายเหลี่ยมสันที่บึกบึนมากขึ้น อีกทั้งยังคำนึงถึงความสามารถในการลุยน้ำอีกด้วย
ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงใหม่หลายจุดมาก ถ้ามองผ่านก็คิดว่ารื้อแผงโมลด์พลาสติกใหม่หมดยกแผงกันเลย มีการเปลี่ยนแผงช่องแอร์กลาง, หน้าจอสัมผัส, ปุ่มกดปรับอากาศและ Layout สวิตช์ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมทั้งเปลี่ยนพวงมาลัย, แผงมาตรวัดใหม่และชิ้นส่วนครอบแผงมาตรวัดใหม่ ทำให้ภายในดูทันสมัยและหรูหราขึ้นมาก
ลูกค้าชาวยุโรปสามารถเลือก Toyota Land Cruiser Prado ใหม่ถึง 3 ทางเลือกเครื่องยนต์ ได้แก่
ดีเซล 2.8 ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 1GD-FTV 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ขนาด 2,755 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 103.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.6 : 1 หัวฉีด Commonrail พ่วงระบบอัดอากาศแปรผัน Variable Nozzle Turbocharger และ Intercooler แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
เบนซิน 2.7 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2TR-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ขนาด 2,694 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 95.0 x 95.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.6 : 1 หัวฉีด Multipoint EFi แรงม้าสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
เบนซิน V6 4.0 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 1GR-FE V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ขนาด 3,956 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.0 x 95.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.4 : 1 หัวฉีด Multipoint EFi กำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 381 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
อ่านข้อมูล และ ชมภาพ Land Cruiser Prodo เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/toyota-land-cruiser-prado-minorchange-2nd/
Volkswagen/Volkswagen Group
ประกาศศักดาแห่งจ้าวรถยนต์จากยุโรป ด้วย I.D. Family
คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า Volkswagen คือเจ้าถิ่นของงานนี้ที่นอกจากจะขนรถยนต์ต้นแบบมาอวดโฉมแล้ว พวกเขาก็ยังนำรถยนต์ที่เปิดตัวไปแล้วมาจัดแสดงอีกด้วย แต่สิ่งที่ Volkswagen จะสื่อสารคงไม่ใช่ความยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่พวกเขาประกาศว่า Volkswagen คือผู้นำในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์รถยนต์ระดับโลกจากระบบขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ก็คงเปรียบเสมือนเป็น Beetle แห่งยุคเสียบปลั๊กก็เป็นไปได้
Volkswagen I.D. Crozz II Concept – Volkswagen เอาจริงเอาจังมากกับตระกูลรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีชื่อว่า I.D. ที่ก่อนใช้อาจจะต้องมีการ Log-in อะไรบางอย่างเพื่อต้อนรับเข้าสู่การตั้งค่าส่วนบุคคล นั่นเท่ากับว่ารถยนต์ไฟฟ้าในยุคต่อไปจะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ระบบขับเคลื่อนปลอดมลภาวะเท่านั้น แต่มันจะหมายถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระดับส่วนบุคคลที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ชีวิต
Volkswagen I.D. Crozz II Concept คือวิวัฒนาการอีกขั้นของ Volkswagen I.D. Crozz Concept ที่เคยอวดโฉมที่งาน Auto Shanghai 2017 ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงกันชัด ๆ เลยคือ สีตัวถังภายนอกและลายล้ออัลลอย รวมทั้งมีการปรับปรุงรายละเอียดด้านหน้าเล็กน้อย
รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบคันนี้จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 101 แรงม้า แรงบิด 140 นิวตันเมตร ส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อหน้า และ มอเตอร์ตัวที่ 2 ขนาด 201 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร ส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อหลัง นั่นหมายความว่าจะเป็นการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ All Wheel Drive
เมื่อเป็นรถยนต์ต้นแบบล้ำสมัยก็ต้องติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติที่มีเลเซอร์สแกนถึง 4 จุดบนหลังคา, เซนเซอร์เรดาร์และกล้องด้านหน้า/กระจกมองข้าง
ความน่าสนใจของตัวรถคันนี้คงจะเป็นพื้นตัวถังใหม่ล่าสุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า MEB รองรับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่างยืดหยุ่น สามารถนำไปปรับใช้กับรถยนต์ได้หลายรุ่น และ รองรับการควบคุมช่วงล่างแบบไฟฟ้าได้ด้วย มีระบบกันสะเทือนหน้า แมคเฟอสันสตรัท ระบบกันสะเทือนหลัง Multi-Link
Volkswagen ประกาศแล้วว่า I.D. Crozz จะขึ้นสายการผลิตจริงในปี 2020 หรือตามหลัง I.D. Hatchback เพียงแค่ปีเดียว
อ่านข้อมูล และ ชมภาพเพิ่มเติมของ Volkswagen I.D. Crozz II ได้ที่นี่ >> http://www.headlightmag.com/volkswagen-id-crozz-ii-electric-suv/
Volkswagen I.D Concept – ต้นแบบสำหรับจุดกำเนิดตำนานรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เปรียบเสมือนเป็น Beetle หรือ Golf ยุคใช้พลังงานไฟฟ้านั่นเอง รถคันนี้เคยอวดโฉมมาแล้วที่งาน Paris Motorshow 2016
รถคันนี้จะบ่งบอกอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า EV แบบ Stand Alone Model คันแรกของค่าย ด้วยรูปทรง Hatchback ยอดนิยม เน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลังยังปิดบังกันอยู่ แต่ยืนยันว่าจะมีกำลัง 168 แรงม้า และมีระยะทางวิ่งสูงสุดโดยเฉลี่ย 400 กิโลเมตร
Volkswagen I.D Concept ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังสเกช์บอร์ด MEB และยังให้คำมั่นสัญญาว่ารถไฟฟ้าคันแรกจะเริ่มผลิตในปี
2019 ซึ่งมั่นใจมากว่าต้นทุนการพัฒนาและการผลิตเมื่อถึงเวลาจะถูกลงอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับวันนี้ และนั่นหมายความว่าราคาจำหน่ายของรถไฟฟ้าVolkswagen จะถูกลงจนมีราคาเทียบเท่ากับรถยนต์เครื่องเบนซินและดีเซล
Volkswagen Group SEDRIC Robo Taxi Concept – แตกต่างจาก SEDRIC เวอร์ชันแรกที่เคยอวดโฉมเมื่อปี 2013 ด้วยการปรับปรุงดีไซน์ยานพาหนะให้ทมัดทะแมงมากขึ้น มีการปรับปรุงบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้ใกล้เคียงกับรถยนต์นั่งสมัยนี้
Volkswagen Group SEDRIC Robo Taxi Concept ถือเป็น 1 ในโปรเจคท์ยานพาหนะขับขี่อัตโนมัติพิเศษของ Volkswagen Group ที่ในอนาคตก็จะมีรถยนต์ต้นแบบตระกูล SEDRIC ต่าง ๆ ออกมาให้เห็น อาทิ ยานพาหนะที่ขับขี่ในเมือง, ยานพาหนะสำหรับเดินทางไกลระดับหรู, ยานพาหนะที่เน้นความสปอร์ต, ยานพาหนะขนส่งสินค้าและรถบรรทุกขนาดใหญ่
Wey
ทางใหม่สู่อนาคต
Wey XEV Concept – ที่ว่ากันว่ามันคือ Tesla Model X เวอร์ชันจีนนั่นเอง เป็น SUV ไฟฟ้าที่มีบานประตูปีกนกกางเต็มบาน ที่ดูจากสภาพแล้วยังน่าสงสัยว่า หากนำไปใช้งานจริงจะไม่ทุลักทุเลหรอกหรือ? ไม่สิจะบอกว่ายังไม่รู้เลยว่ารถคันนี้หากผลิตจริงแล้ว เราจะได้เห็นบานประตูแบบนี้กันอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ
แล้ว Wey คือใคร? Wey คือแบรนด์รถยนต์ระดับหรูในเครือ Great Wall เจ้าพ่อแบรนด์รถยนต์ SUV และอเนกประสงค์ในตลาดจีน เข้าใจว่าพวกเขาก็อยากจะสร้างรถยนต์ SUV ระดับหรูคุณภาพสูงที่ให้การยอมรับในระดับสากลกับเขาบ้าง
ต้องยอมรับแล้วจริง ๆ ว่าดีไซน์ภายนอกของ Wey XEV Concept ค่อนข้างไปในทางสากลมากยิ่งขึ้น การวาดร่างสัดส่วนตัวถังที่ยังดูมีไอเดียจับต้องได้บ้าง ถึงแม้ว่าดีไซน์ไฟหน้าจะชวนให้นึกถึงรถยนต์ต้นแบบจากค่ายรถญี่ปุ่นในช่วงกลางยุค 2000s ก็ตาม
รายละเอียดทางเทคนิคแทบไม่ได้กล่าวถึงอะไรมากนัก นอกจากจะบอกว่าเป็นรถยนต์ที่มีขุมพลัง Plug-in Hybrid โดยให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า และมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังยังล้อคู่หลัง
เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งคาดหวังว่า Wey XEV Concept จะผลิตจริงได้ตอนไหน เพราะไม่มีใครกล้าฟันธงเลยว่าจะทำจริงไหม
นอกจากนี้ภายในงานก็ยังมี Wey VV7 : SUV ขนาดใหญ่ที่มีดีไซน์คล้าย Maserati Lavente และ Wey VV5 มาอวดโฉมในงานนี้ด้วย
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
ที่เอื้อเฟื้อทริป การมาเยือนในงาน Frankfurt Motorshow 2017 ถึงประเทศเยอรมนีในครั้งนี้