จากสถานการณ์แนวโน้มยอดจำหน่ายรถยนต์ของ Ford โดยเฉพาะในกลุ่มของรถยนต์นั่งที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้ผู้บริหารมีการทบทวน และ กำหนดทิศทาง โดยหันมาให้ความสำคัญกับตลาดกระบะ Pick-Up และ SUV มากขึ้น ไม่เฉพาะแค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมไปถึง Ford ทั่วโลกด้วย

โดยไตรมาสแรกของปีนี้ (2017) ยอดขายของ Ford ในกลุ่มรถยนต์นั่ง Passenger Cars เช่น Fiesta , Focus ,C-Max , Fusion ,Taurus และ Mustang ลดลงถึง 17.3 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (2016) ทำให้บริษัทต้องพิจารณากำหนดทิศทางใหม่ดังกล่าว

Ford อธิบายถึงสถานการณ์ดังกล่าวในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นของบริษัทสำหรับทิศทางทางการลงทุน โดยต้องการจะนำเม็ดเงินราว 7,000 ล้านดอลล่าสหรัฐ (ประมาณ 230,000 ล้านบาท) เพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับพัฒนารถกระบะ Pick-Up และ SUV ที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง แทนที่การลงทุนสำหรับตลาดรถยนต์นั่ง Passenger Cars  แผนที่สำคัญหนึ่งในนั้น คือ Ford Ranger รุ่นต่อไป และ ยังเพิ่มการลงทุนในจีน แทนอเมริกาเหนือ เพื่อลดต้นทุนในการผลิตลง

นอกจากนี้ Ford ต้องการที่จะลดต้นทุนทางด้าน Materials ลง 10% แล ะด้านวิศวกรรมอีก 4% โดยมีแนวทางที่จะลดความแตกต่างของการออกแบบตัวรถ เพื่อให้สามารถใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้มากขึ้น รวมถึงการควบคุมเวลาในการวิจัย และ พัฒนารถยนต์ในแต่ละรุ่นให้สั้นลงกว่าเดิม 20%

โดย Ford จะนำเงินลงทุน 1 ใน 3 ของทั้งหมด สำหรับการวิจัย และ พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV เพิ่มขึ้น โดยใน 5 ปี นับต่อจากนี้ คาดว่า Ford จะผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าออกมาสู่ตลาดถึง 13 รุ่น โดยน่าจะเริ่มจาก F-150 Hybrid, Mustang Hybrid , Compact SUV และ พัฒนาระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบอัตโนมัติ Autonomous ในรถรุ่นต่างๆ อีกด้วย

Jim Hackett CEO ของ Ford ยังพูดถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า “ เราเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์, มีขนบธรรมเนียม และ หลักปฏิบัติมาช้านาน มันไม่ง่ายเลยที่เราจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแนวคิดต่างๆเหล่านี้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เราต้องเข้าใจว่าความสำเร็จในอดีตอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้รับประกันว่าเราจะประสบความสำเร็จในอนาคต ถ้าเรายังไม่ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จำเป็น ”

ระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบอัตโนมัติ Autonomous เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะพาเราก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคต ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป เราจะมีรถยนต์แบบอัตโนมัติ ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ขับขี่อีกต่อไป และ จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น รวมถึงทีมช่วยเหลือสำหรับรถยนต์ดังกล่าวควบคู่กันไปด้วย”

ที่มา : Motortrend