ในที่สุด กระแสข่าว ที่เล็ดรอด ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่กี่วัน ว่า ผู้บริหารของ Ford กำลังหาหนทาง
จะยุบแบรนด์ Mercury ทิ้ง ก็กลายเป็นความจริง ในวันนี้ (2 มิถุนายน 2010) Ford ออกแถลงการณ์
และเอกสารข่าวแจก Press Released อย่างยาวเฟื้อย ว่ารถยนต์ทั้ง 4 รุ่น ภายใต้แบรนด์ Mercury
อันได้แก่ Mercury Milan,Grand Marquis,Mariner,Mountaineer จะถูกผลิตต่อไปจนถึงเพียงแค่
ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เท่านั้น
การยุบแบรนด์ ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ Ford ที่ตัดสินใจปล่อยแบรนด์ของตน ให้ยุติบทบาท
ไปเลย โดยไม่คิดจะเยียวยาอีก นับตั้งแต่การยุบแบรนด์ Edsel ทิ้ง เมื่อปี 1959 แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ของพวกเขา ในการจัดการกับแบรนด์ซึ่งก่อให้ เกิดปัญหาด้านการเงิน หรือไม่คุ้มต่อการดำเนินงาน
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เพราะหากยังจำกันได้ ในปี 1999 เวลานั้น Ford ถือครองแบรนด์มากมายหลายเชื้อชาติ ตั้งแต่
เพื่อนเก่าอย่าง Mazda Volvo ไปจนถึง Aston Martin Jaguar และ Land Rover แต่สุดท้าย
ทั้ง 5 แบรนด์นี้ ก็ทะยอยถูกขายออกไปเรื่อยๆ หุ้นของ Mazda ถูกขายกลับคืนไปให้กับทาง
Mazda เอง ซึ่งเท่ากับว่า ตอนนี้ Mazda เป็นไทแล้ว ในภาพรวม
ส่วน Volvo กำลังอยู่ในระหว่าง การจัดการซื้อขายกับ กลุ่ม GEELY ของจีน ซึ่งน่าจะเรียบร้อย
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ Aston Martin ถูกขายให้กับกลุ่มนักลงทุน รายอื่นๆ และ Jaguar
กับ Land Rover ก็ถูกแพ็คขายให้กับ Tata Motors จากอินเดียไปเรียบร้อย
อีกทั้ง การยุบแบรนด์ทิ้ง แม้จะเกิดขึ้นกับ Ford เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ทว่า ในช่วง 3 ปีมานี้
ท่ามกลาง วิกฤติสภาพคล่องการเงินครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา General Motors คู่แข่งตัวฉกาจ
ก็ยังต้องถอดใจ ถอนแบรนด์ Oldsmobile Pontiac และ Saturn ออกจากตลาดไปในที่สุด เช่นเดียวกัน
แม้ว่าการตัดสินใจ ยุบแบรนด์ Mercury ทิ้ง จะเร็วกว่าที่ทุกฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ แต่ก็เป็นไปตาม
ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ เพราะชัดเจนมากแล้วว่า Ford เอง ก็จ้องจะยุบแบรนด์นี้ทิ้งให้เร็วที่สุด
เท่าที่จะทำได้ ในเมื่อ การมีแบรนด์นี้อยู่ ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกำไรอะไรมากมายนัก
ทุกวันนี้ แบรนด์ Mercury มีเหลือทำตลาดอยู่แต่เพียงในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนในการบริหารจัดการ ต้นทุนในการทำรถแต่ละรุ่น การตั้งราคาขาย และ
ส่วนแบ่งรายได้ให้กับผู้แทนจำหน่าย ฯลฯ ภาพรวมแล้ว อยู่ในระดับเดียวกับ แบรนด์ Ford
แต่ ที่ผ่านมา Mercury ยังถูลู่ถูกัง ทำตลาดได้เรื่อยๆ ก็เพราะว่า กลุ่มลูกค้าที่ยังอุดหนุนอยู่
ส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มลูกค้า Fleet ซื้อครั้งหนึ่ง ยกล็อต เพื่อเอาไปทำรถเช่า หรือรถยนต์ใช้งาน
ในองค์กร หรือไม่ก็เป็น ลูกค้า รายย่อย ที่ซื้อผ่าน การทำแคมเเปญลดราคา ให้กับ พนักงาน
ทั้งที่ทำงานอยู่ และกลุ่มผู้เกษียณอายุไปแล้ว ไปจนถึงครอบครัว และเพื่อนของกลุ่มพนักงาน
ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก
เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า แบรนด์นี้ ไม่คุ้มที่จะลงทุนต่อ Ford North America ก็เลยไม่ค่อยอัดฉีด
งบการตลาด หรือ รายการส่งเสริมการขาย ให้กับผู้จำหน่ายเท่าที่ควร อย่างมากที่สุด ก็คือ ทำแคมเปญ
ร่วมกันกับทั้ง Ford และ Lincoln ในลักษณะของ National Incentive Campaign Nationwide ไม่กี่ครั้ง
แค่นั้น ทำให้ ยอดขายก็เลยลดลงอย่างต่อเนื่อง ปี 2009 ที่ผ่านมา Mecury ขายรถไปได้เพียง 92,299 คัน
คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดเพียง 0.8 เปอร์เซนต์ จากส่วนแบ่งการตลาดของ Ford ในสหรัฐฯ ทั้งหมด
มากถึง 16 เปอร์เซนต์ และเมื่อคิดคำนวนดูแล้ว Ford จึงตัดสินใจ ยุติบทบาทของแบรนด์ Mercury ในที่สุด
การดูแลลูกค้า และผู้แทนจำหน่าย หลังจากนี้ จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดย Ford จะยังให้การรับประกัน
คุณภาพต่างๆ รวมทั้งการซ่อมบำรุง ดูแลรักษา กับลูกค้า ผ่านผู้จำหน่ายต่างๆ ตามเดิม และยังเปิดช่องทาง
ให้ลูกค้ากับผู้จำหน่าย สามารถเบิกอะไหล่ต่างๆ ได้ตามปกติ ส่วน ดีลเลอร์ หรือผู้จำหน่ายต่างๆ ที่เคย
เป็นพ่อค้า ให้กับทั้งแบรนด์ Lincoln และ Mercury ก็จะเลือกได้ว่า ยังคงทำตลาดแบรนด์ Lincoln ต่อไป
เพียงอย่างเดียว หรือ เปลี่ยนมาขาย Ford ควบคู่ไปด้วย หรือไม่เช่นนั้น ก็จะมีเงินชดเชยมาเป็นแพ็คเก็จ
หากผู้แทนจำหน่ายรายนั้นๆ ตัดสินใจ เลิกเป็นดีลเลอร์ให้กับ Ford เพราะในปัจจุบันนี้ Ford แจ้งว่า
ไม่มีโชว์รูมใด ในสหรัฐอเมริกา ที่ขายรถยนต์ Mercury เพียงอย่างเดียว มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ Ford จะจัดแคมเปญส่งเสริมการขายรถยนต์ Mercury เป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดช่วงฤดูร้อนของ สหรัฐฯ ปีนี้ เพื่อระบายสต็อกรถทั้งหมดออกไป ในช่วงที่ยังมีการผลิตรถยี่ห้อนี้
จนถึงไตรมาสที่ 4 หรือก่อนสิ้นปี 2010
ขณะเดียวกัน นับจากนี้ไป Ford จะหันไปทุ่มเทสรรพกำลังที่มีอยู่ ทั้งหมด เพื่อปลุกปั้นแบรนด์
รถยนต์หรูเก่าแก่อย่าง Lincoln ให้กลับมาคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว อีกครั้ง
Ford ประกาศจะนำแนวทางการปรับปรุงแบรนด์ Ford ในสหรัฐอเมริกา ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี
ช่วง 3 ปี มานี้ จะถูกนำมาใช้กับแบรนด์ Lincoln ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาพลักษณ์ ใหม่
การประโคมเทคโนโลยีใหม่ๆทั้งหลาย ให้กับ Linclon ทุกรุ่น
นอกจากนี้ Ford ตั้งเป้าว่า ภายใน 4 ปีนับจากนี้ Lincoln จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ ทั้งแบบปรับโฉมเล็กๆน้อยๆ
เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ไปจนถึงการเพิ่มรถยนต์รุ่นใหม่ ให้ได้มากถึง 7 รุ่น หนึ่งในจำนวนนั้น
คือ การนำ Ford Focus มาอัพเกรดความหรู ทั้งภายในและภายนอก รวมทั้ง เพิ่มอุปกรณ์พิเศษ
อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ Lincoln ใส่เข้าไป ให้พร้อมออกสู่ตลาด ภายในเวลาไม่นานนี้
เพื่อให้ แบรนด์ Lincoln เป็นแบรนด์ ที่อยู่ในใจลูกค้า ผู้มองหารถยนต์ระดับ Premium Luxury
ซึ่งอยากได้รถขับนุ่มๆสบายๆ ให้บรรยากาศอบอุ่นในการเดินทาง มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ
และการบริการ ณ โชว์รูมผู้จำหน่าย ที่จะต้องน่าประทับใจยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
——————————————///—————————————————–