คุณเคยได้ยินคำกล่าวว่า “ไก่งามเพราะขน รถงามเพราะแต่ง” หรือเปล่าครับ ?
ถ้าคุณไม่เคยได้ยินก็คงไม่แปลก เพราะผมก็เพิ่งจะคิดได้ตอนนั่งเขียนบทความ
First Impression ของ Subaru XV เวอร์ชั่นใหม่ไมเนอร์เชนจ์ส่งท้ายปี 2015 นี่เองล่ะครับ
แต่เดิมเขาใช้คำว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” เป็นคำเปรียบเปรยที่พยายามจะบอก
ว่าความสวยงามนั้นเกิดขึ้นได้จากการปรุงแต่ง แม้แต่ชาวต่างชาติ เขายังมีคำพูดคล้ายๆกันว่า
“Fine feathers make fine bird” กับ “Fine tailor makes fine man” หรือขนงามทำให้นกสวย
เสื้อผ้าที่ตัดมาดีๆทำให้คนดูดีขึ้น มันอาจจะฟังดูเหมือนชักชวนให้คุณหลงใหลในรูปลักษณ์
ที่เคลือบย้อมภายนอกมากกว่าที่จะเข้าถึงรสพระธรรมภายใน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
เมื่อการปรับแต่งโฉมนั้นทำแล้วออกมาดี มันก็เป็นหน้าต่างที่จะเชื้อเชิญให้ผู้คนเข้ามาสัมผัส
ความดีงามที่ซ่อนอยู่ภายในมากขึ้น
ถ้าคุณวางแผนจะสละทางโลก เรื่องนี้คงไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ทำธุรกิจค้าขาย
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ถ้าคุณต้องการ
ที่จะอยู่รอด บริษัทรถยนต์ก็คือธุรกิจ ถ้าคุณยังไม่สามารถเข็นรถตัวถังใหม่หมดจดออกมาได้
ก็ต้องใช้วิธีการไมเนอร์เชนจ์ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนิดๆหน่อยๆ เพื่อให้ตัวรถมีความ
น่าสนใจมากขึ้น หลายค่ายเวลาไมเนอร์เชนจ์ก็อาจจะแค่เปลี่ยนนั่นนี่นิดหน่อยให้ตัวรถดู
ทันสมัยขึ้น แต่ก็มีอีกหลายค่ายที่อาศัยจังหวะการไมเนอร์เชนจ์เพื่อปรับปรุงรายละเอียด
ส่วนที่เคยเป็นจุดอ่อนให้ผู้บริโภครับได้มากขึ้น
ผมคิดว่า Subaru XV เป็นอย่างหลัง..เว้นเสียแต่ว่าใครจะมองว่าความเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้น
น้อยเกินไปและไฟท้ายใหม่มันดูตลก ในเดือนธันวาคมนี้ Subaru XV ขายในไทยมาครบ 3 ปี
หากจะขายโฉมเดิมต่อไป (หรือกระตุ้นตลาดโดยการลดราคาหักอกลูกค้าเก่าต่อไป) มันคงไม่เวิร์ค
จริงอยู่ว่า XV เป็นรถที่สร้างปรากฏการณ์ด้านยอดขายจนกลายเป็น Subaru รุ่นที่มีคนซื้อใช้เยอะ
ที่สุดตั้งแต่ Subaru รุ่นแรกวิ่งบนถนนในประเทศไทยมานานแสนนาน แต่คุณต้องไม่ลืมว่ายุคนี้
ราคาของรถคือสิ่งที่กำหนดว่าคนไทยจะซื้อรถอะไร ในวันที่ XV เผยโฉมในไทยครั้งแรก คู่แข่ง
ในตลาดยังมีไม่มาก แต่ผ่านมาไม่กี่ปี Honda ก็ส่ง HR-V มาถล่มตลาด กลายเป็นรถยอดนิยม
ที่เริ่มต้นด้วยราคาต่ำกว่า 900,000 บาท อีกทั้งยังมีรูปโฉมภายนอกและภายในที่โดนใจลูกค้า
ทั้งหญิงและชาย ดูยอดขายก็รู้แล้วว่าลูกค้าชาวไทยเข้าถึงอะไรก่อนกันระหว่าง ดีไซน์ ความทันสมัย
คุณลักษณะในการขับขี่ หรือช่วงล่าง
XV เองก็ส่งหมัดตอบไปเบาๆในจังหวะที่ Honda กำลังประสบปัญหาการส่งมอบ HR-V ตัวท้อป
ด้วยการลดราคาชนิดคนวิ่งเหยียบตลาดกระจาย มีอย่างที่ไหนตอนเปิดตัวมีรุ่นเดียวโผล่มา
1,350,000 บาท แล้วจู่ๆก็มีรุ่นประหยัดราคา 998,000 บาทโผล่มาจนหลายคนที่เคยเถียงกับ
ภรรยาชนิดแทบเป็นแทบตายเพื่อเพิ่มงบไปเอา XV แล้วโดนเบรก คราวนี้ก็ไม่มีเหตุผลเรื่องราคา
มาขวางกั้นอีกต่อไป
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า XV จะเป็นรถที่ไม่มีจุดอ่อน เพราะผมจำได้ว่า XV รุ่นแรกมีภายในที่
สุดแสนจะธรรมดา ยิ่งสมัยรุ่นแรก 1.35 ล้านบาทเปิดตัวออกมานั้น ผมบอกเลยว่ามันคือรถราคา
ล้านสาม ช่วงล่างราคาเกือบสามล้าน แต่ภายในเหมือนรถแปดแสน ทั้งๆที่ความจริงมันก็มีออพชั่น
มาให้ไม่น่าเกลียด แต่ถ้าเทียบกับพวก PPV สมัยใหม่ที่ราคาไล่เลี่ยกัน คุณจะพบว่า XV ไม่ได้
ขึ้นชื่อเรื่องความหรู..มันไม่ใช่เพราะอุปกรณ์ เพราะมันก็ขาดไม่กี่รายการ แต่บรรยากาศใน
ห้องโดยสารนั่นล่ะที่ผมยังรู้สึกว่า มันสามารถทำให้ดูดีกว่านี้ได้ โดยที่ไม่ได้ใช้เงินต้นทุนมากมาย
มันเป็นแค่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นล่ะ
ดังนั้น ถ้าให้มอง XV รุ่นที่แล้วเป็นสุภาพสตรีสักคน เธอก็คงเหมือนกับ “สาวลุย”
ไม่ใช่ทอม..แต่เป็นผู้หญิงที่ชอบการท่องเที่ยว เดินป่า แคมป์ปิ้ง ปิ้งย่างบาร์บีคิวหลังบ้าน
ไม่กลัวจิ้งจก ไม่กลัวตะขาบ ถ้าเจอแมลงสาบบินมาสิ่งที่เธอจะทำคือม้วนหนังสือพิมพ์เป็นท่อน
แล้วไล่ตีแมลงสาบอย่างสนุกสนานราวกับเล่นเบสบอล ชอบใส่กางเกงมากกว่ากระโปรง
แต่เธอไม่สนการประทินโฉมตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอปฏิเสธที่จะรับเครื่องสำอางค์จากผู้ชายที่
มาจีบเธอ เพราะไม่รู้สึกว่าการแต่งหน้าเป็นเรื่องสำคัญ และเสื้อผ้าดีๆจากร้านชั้นนำที่
เพื่อนซื้อให้ก็ไม่เคยถูกนำมาใส่ เพราะเสื้อผ้าราคาถูกจากร้านค้าออนไลน์และตลาดโรงเกลือ
มันใช้ทนใช้คุ้มกว่า แต่เห็นอย่างนี้ แม้จะไปงานราตรีด้วยหน้าสด ตัวจริงเธอก็สวยถูกใจ
คนอื่นเยอะแยะ แต่เหมือนมันขาดอะไรสักอย่าง
จากนั้น 3 ปีผ่านไป สาวลุยคนเดิมที่เรารู้จักกันกลับมางานเลี้ยงรุ่นมหาวิทยาลัยพร้อมกับ
หน้าตาเดิม แน่นอนว่าเธอไม่ยุ่งกับเรื่องศัลยกรรมผิวหน้าแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่เพื่อนๆ
พร้อมใจกันเอ่ยปากชม นั่นก็คือในวันนี้ เธอแต่งตัวดูดีขึ้น ทั้งๆที่ไม่ได้พึ่งพาของดีราคาแพง
แต่การที่มีคนชักชวนให้เธอดูรายการสอนแต่งหน้าแต่งตัวต่างๆจากบน Youtube บวกกับ
ใจของเธอที่รู้สึกว่าอีกไม่กี่ปีชั้นก็จะ 30 แล้ว มันน่าจะลองหาอะไรใหม่ๆให้ตัวเองบ้าง
เธอจึงค่อยๆเรียนรู้วิธีแต่งหน้าให้เหมาะกับตัวเอง กล่าวคือ แต่งแล้วขับส่วนเด่นของใบหน้า
ให้ดูอบอุ่นเซ็กซี่เลิฟลี่แอนด์สตรอง ไม่ลงแป้งขาวหนาเวอร์จนเพื่อนนึกว่าเป็นเกอิชา
จากย่านกิออนมาใส่เสื้อกับกางเกง Forever21 นั่งแกะปูแกะกุ้งกินกับคนอื่นอยู่อย่างนั้น
แต่อย่างอื่นนอกเหนือจากเปลือกนอก เธอก็ยังเป็นคนเดิม มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างเดิม
ทุกกระเบียดนิ้ว
ผมคิดว่าการเปรียบเทียบระหว่าง XV ก่อนและหลังไมเนอร์เชนจ์นั้น ดูใกล้เคียงกับ
กรณีข้างต้นมากที่สุด..ทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น? ก็ลองอ่านต่อไปเลยครับ เดี๋ยวผมและ
คุณ Moo Teerapat จะช่วยกันเขียนให้คุณอ่าน
ส่วนถ้าใครต้องการอ่านประวัติการพัฒนา เรื่องราวต่างๆ รวมถึงบททดสอบ ทดลองขับ
Subaru XV รุ่นแรก แนะนำให้ คลิกที่นี่ เพื่ออ่านบทความที่ J!MMY เคยทำไว้ได้เลยครับ
Subaru XV เวอร์ชั่นผลิตจริงนั้นเผยโฉมครั้งแรกในโลกที่งาน Frankfurt Motorshow
ครั้งที่ 64 ในวันที่ 13 กันยายน 2011 จากนั้นก็ส่งรถมาโชว์โฉมให้คนไทยได้เห็นที่งาน
Motor Expo ประเทศไทยเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้นเอง โดยที่กลุ่ม Tan Chong
ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่าย Subaru อย่างเป็นทางการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ
ประเทศไต้หวันได้ประกาศว่าจะนำ Subaru XV มาประกอบในประเทศมาเลย์เซียและ
จะส่งมาขายประเทศไทยในราคา “ล้านต้นๆ”
ข่าวดังกล่าวทำให้หลายคนซึ่งห่างหาย Subaru มาช้านาน หรือเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคย
แตะรถในเครือ Subaru มาก่อนเริ่มมีความสนใจในรถแบรนด์นี้มากขึ้น
ซึ่งคุณก็รู้..ว่ามีแต่ลูกค้าประเภท MachinEmotion หรือคนที่สนใจเรื่องเครื่องยนต์กลไกและ
มีอารมณ์ร่วมในการซื้อรถสูงเท่านั้นที่จะยอมจ่ายแพงๆเพื่อขับ Subaru และคนกลุ่มนี้ก็มีจำนวน
น้อยมาก ดังนั้นเมื่อ Motor Image Thailand นำ XV เวอร์ชั่นประกอบในมาเลย์มาขายใน
งาน Motor Expo ปลายปี 2012 มันจึงได้รับความสนใจล้นหลามชนิดที่พลิกชะตาชีวิตเซลส์
ของ Subaru ไปอีกนาน มันคือ Subaru รุ่นแรกที่มางานเดียวกวาดยอดจองได้กว่า 600 คัน
และยังเป็นแกนนำในการสร้างยอดขายของ Subaru จากเดือนละไม่กี่สิบคันให้กลายเป็นเดือนละ
หลายร้อยคัน ส่งผลให้ต้องมีการขยายดีลเลอร์รองรับทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดชนิดที่ทำให้
เราสงสัยว่าถ้าไม่มี XV แล้วล่ะก็ Subaru จะมาถึงจุดนี้ได้หรือไม่ ถ้าได้..อีกนานแค่ไหน
แต่จากวันนั้น มาถึงวันนี้มันก็ครบ 3 ปีแล้ว โฉมหน้าการแข่งขันในตลาดทำให้ต้องมีการขยับ
ปรับแต่งเพิ่มเติม จึงเป็นที่มาของเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์นี้
XV เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ มีความยาว 4,450 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,780 มิลลิเมตร
สูง 1,570 มิลลิเมตร (รวมแร็คหลังคาด้วยจะอยู่ที่ 1,615 มิลลิเมตร) ระยะฐานล้อ
ยาว 2,635 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างช่วงล้อคู่หน้าและหลัง (Front & Rear Track)
เท่ากันที่ 1,525 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance)
220 มิลลิเมตร ตัวเลขต่างๆเท่ารุ่นเดิมเด๊ะในทุกมิติ ส่วนน้ำหนักตัวรถนั้น คันที่เราทดลองขับ
ไปในปี 2013 เดือนมิถุนายนเป็นรุ่น 2.0i (ตอนนั้นมีขายรุ่นเดียว) มีน้ำหนัก 1,430 กิโลกรัม
ส่วนรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ ในสเป็คแจ้งไว้ว่าหนัก 1,410-1,460 กิโลกรัม ซึ่งคาดว่ารุ่น 2.0i
รุ่น Premium ที่เรานำมาขับกันในครั้งนี้ น่าจะมีน้ำหนักมากกว่ารถเวอร์ชั่น 2013 เล็กน้อย
ความเปลี่ยนแปลงภายนอกที่สังเกตได้คือ กระจังหน้าใหม่ มีซักบนของกระจังที่มีลวดลาย
เปลี่ยนไปจากเดิม กันชนหน้าใหม่ที่เปลี่ยนดีไซน์รองรับ Daytime Running Light รูปตัว L
กับไฟตัดหมอก ล้ออัลลอยขนาดเท่าเดิมหน้าปัดเงาและพ่นก้านโดยรอบเป็นสีดำ แต่เปลี่ยน
ลายเป็นกงจักร มือจับเปิดประตูเปลี่ยนจากสีเดียวกับตัวรถเป็นสีเงิน แร็คหลังคาเปลี่ยนจาก
สีดำเป็นสีเงิน ไฟท้ายเปลี่ยนใหม่เป็นแบบสีขาว
ส่วนไฟหน้ายังคงเป็นแบบเดิม หลอดฮาโลเจนแสงสีเหลืองอ่อน สามารถปรับองศาจานฉาย
ได้จากสวิตช์ขวามือของคอนโซล ซึ่งการฉายของแสงนั้นถ้าปรับไปสูงสุด ก็จะใกล้เคียงกับ
ตำแหน่งมาตรฐานของรถเก๋งส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ขับรถกระบะและ SUV กับ PPV
ประจำอย่าง Moo Teerapat เขาบอกว่าลำแสงในตำแหน่งองศาสูงน่าจะส่องได้ไกลกว่านี้
เพื่อให้ขับทางไกลได้อย่างปลอดภัย เพราะเวลาปรับจานฉายลงต่ำ มันจะต่ำมากจนไม่รู้ว่า
จะฉายเหมือนหนุ่มชายเลนเดินถือไฟฉายส่องหาปูทะเลหรืออย่างไรไม่ทราบ..อาจจะทำเผื่อไว้
กรณีบรรทุกของหนักด้านท้ายแล้วปรับจานฉายกดลงชดเชยไม่ให้ไปแยงตาชาวบ้าน..
หลายคนที่ผมได้เจอและพูดคุยเรื่อง XV ใหม่ยังวิจารณ์ว่าไหนๆก็ราคาเกินล้านมาไกลแล้ว
และนี่มันก็ปี 2015 จะเข้า 16 แล้ว ทำไมยังให้ไฟหน้าฮาโลเจนแบบบ้านๆอยู่อีก? โดยเฉพาะเมื่อ
มองว่าตัวรถมี Daytime Running Light สีฟ้าม่วงแต่มีไฟหน้าสีเหลือง มันดูไม่เข้ากัน
(ในความเห็นผม ผมปิดปากไม่เถียง เพราะหลายคนมองในแง่ความคุ้มค่าเทียบกับคู่แข่ง ส่วนผม
เฉยๆกับไฟหน้าฮาโลเจน และกลับชอบเสียด้วยซ้ำเพราะเวลาฝนตกหรือหมอกลงบางๆมัน
ขับแล้วมองเห็นชัด เพียงแต่เวลาอากาศเคลียร์ๆมันไม่สว่างอลังการเท่าไฟหน้าแปลกๆยุคใหม่)
ส่วนไฟท้ายใหม่นั้น ผมคิดว่าอาจจะไม่ได้สวยแบบเห็นแล้วแทบวิ่งไปขอเบอร์โทร แต่ด้วยสีขาวใส
กับลักษณะการออกแบบที่ดูแล้วนึกว่าเป็นรถไฮบริด ก็ทำให้ตัวรถดูทันสมัยขึ้น อย่างน้อยก็คง
พอจะอยู่อย่างสวยๆหล่อๆไปได้จนกว่า XV Model change ตัวใหม่จะมา
สีตัวถังภายนอก มีให้เลือกด้วยกัน 5 สี
– สีเงิน Ice Silver Metalic
– สีส้ม Tangerine Orange Pearl
– สีเทาดำ Dark Grey Metalic
– สีกากี Desert Khaki
– สีขาว Satin White Pearl
การเข้าออกจากตัวรถ ในรุ่นปี 2013 ราคา 1.35 ล้าน ยังใช้กุญแจดอกสีเงินแบบมีรีโมทในตัว
ซึ่งหลายคนมองว่าราคานี่ไม่ใช่ถูกๆแล้วแต่ยังขี้เหนียวไม่ยอมให้ระบบ Smart Entry มา
อาย Eco Car คันละ 6 แสนเขาบ้างมั้ย คราวนี้ Subaru จัดระบบ Smart Key พร้อมกุญแจ
หน้าตาหล่อพอใช้มาให้ เวลาจะขึ้นรถก็พกกุญไว้กับตัว เอามือจับที่เปิดประตูก็ปลดล็อครถ
แล้วขึ้นได้เลย เวลาจะล็อครถก็เอามือแตะแถบขีดๆที่อยู่ส่วนบนของมือจับเปิดประตู
แต่ทว่าอุปกรณ์นี้จะมีมาให้เฉพาะรุ่น 2.0i Premium ราคา 1,198,000 บาทเท่านั้น ส่วนรุ่น
2.0i ธรรมดายังเป็นกุญแจแบบเดิม
การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้า ทำได้ดีพอสมควร ผมตัวสูง 183 เซ็นติเมตร พบว่า
สามารถเข้านั่งและลุกออกจากเบาะฝั่งคนนั่ง (ซึ่งไม่สามารถปรับสูงต่ำได้แบบเบาะคนขับ)
ได้สะดวกใกล้เคียง Nissan Tiida ที่ผมขับอยู่ประจำ มันเป็นผลมาจากการออกแบบ
ให้มีหูช้างกระจกหน้านั่นล่ะครับซึ่งช่วยให้สามารถทำกระจกบานหน้าของรถให้ลาดเอียง
ได้มากโดยที่ยังสามารถออกแบบบานประตูให้มีขนาดใหญ่ได้ ส่วนด้านคนขับนั้นจะมี
เบาะปรับไฟฟ้ามาให้ (เฉพาะรุ่นท้อป) ซึ่งหากปรับตำแหน่งรองก้นไว้ค่อนข้างต่ำ มันจะ
พอดีกับการเข้าออกรถที่สะดวกสบาย ไม่เปลืองแรงขาคนอ้วน ยิ่งเป็นคนตัวผอมคง
ไม่มีปัญหา
เบาะนั่งคู่หน้าเป็นทรงเดิม หุ้มหนังสีดำเหมือนเดิม แต่มีการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีส้ม
เพิ่มดีกรีความเปรี้ยวขึ้นมาได้ราว 10% ตัวเบาะมีส่วนรองรับก้นที่ค่อนข้างยาวและใหญ่
ใกล้เคียง Nissan Tiida มาก และยังมีความแข็งที่ใกล้เคียงกัน สำหรับคนตัวใหญ่
น้ำหนักมากแบบผมถือว่าสบายแบบให้ 9/10 ในขณะที่คนขับที่ตัวเล็กและน้ำหนักเบา
ยังรู้สึกว่าแผ่นรองรับน่าจะนิ่มกว่านี้อีกสักนิดจะช่วยให้เวลารถติดๆนั่งขับนานๆ 3 ชั่วโมง
จะมีอาการชาน่องชาไข่น้อยลง ส่วนพนักพิงหลังนั้นผมมีความเห็นใกล้เคียงกับ J!MMY
คือ มีขนาดใหญ่รองรับแผ่นหลังได้เกือบเต็ม มันอาจจะไม่ได้อู้ฟู่แบบรถ Volvo S80
หรือรถใหญ่รุ่นอื่นๆ แต่ถ้าเทียบมาตรฐานกับรถระดับราคาไล่เลี่ยกัน ความสบายของเบาะ
ใน XV นั้นสามารถสู้ SUV อย่าง CR-V, X-Trail และ CX-5 ได้ (อย่าลืมว่ารถเล็ก ไม่จำเป็น
ที่จะต้องมีเบาะเล็กกว่าเสมอไป)
จุดที่ทำให้เบาะของ XV นั้น Win & Fin ที่สุดก็เห็นจะเป็นพนักพิงส่วนของศรีษะที่เราไม่ต้อง
มานั่งดราม่ากันว่ามันดันหัวหรือไม่ เพราะ XV เขาบอกว่า “เอาที่พวกพี่สบายใจละกัน”
เอาเซ่..เอาแบบไหนเลือกมา จากเอาตรงๆดิ่งๆไม่แตะหัวแบบ Isuzu D-Max ก็ได้ จะดัน
มาข้างหน้ามากจนหัวค่อมน้องๆชิมแปนซียังนั่งได้สบายก็ได้ หรือจะเอาให้ดันหัวมากชนิดที่
Nissan Navara กับ Mercedes-Benz CLA มาเห็นแล้วยังต้องก้มกราบร้องขอชีวิตก็ยังได้
พนักพิงศรีษะแบบนี้ไม่ใช่ปาฏิหารย์มาจากฟากฟ้าหรอกครับ Honda Accord ตาเพชรจาก
25 ปีก่อนก็ปรับได้ แต่ช่วงหลังมานี้แต่ละค่ายเลิกทำกันหมดเพราะจะเอาต้นทุนไปโปะส่วนอื่น
แทนนั่นแหละ
เรื่องความสบายของคนนั่งเบาะหน้านั้นเกือบจะไร้ที่ติ มาตายจุดเดียวก็ตรงที่ฝาปิดกล่อง
เก็บของตรงข้อศอกซ้ายของคนขับซึ่งมีหน้าที่เป็นที่เท้าแขน ซึ่งของ XV รุ่นที่เรานำมาลองขับ
จะไม่สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า/ถอยหลังให้รับข้อศอกได้ คนตัวสูงแบบผมเท้าแขนยังไง
ก็ไม่ถึง ดังนั้นก็ต้องห้อยแขนเอาไว้เวลารถติดนานๆ แอบเมื่อยบ้างเหมือนกันในบางที
ที่น่าเศร้าคือพอไปลองไล่ถามเจ้าของ XV รุ่น 998,000 บาท คุณอ็อกซ์ Sirisak_AC118
ซึ่งเจ้าตัวเคยทำ รีวิวรถตัวเอง ไว้ในเว็บเราด้วยนั้น..คุณอ็อกซ์บอกว่ารุ่นเก่าสามารถเลื่อนไปมา
เพื่อรองรับแขนได้พอดี เช่นเดียวกับรถรุ่นปี 2013 ที่ J!MMY เคยนำมาทดลองขับ
จะว่าเราเลื่อนผิดวิธีหรือเปล่า? คงไม่ใช่ เพราะใน Levorg ผมเอาอุ้งมือดันหน่อยๆก็เลื่อน
ไปมาได้สบายแล้ว แต่ของ XV คันนี้มันแข็งสนิทเลยครับ ถ้าไม่ใช่ว่ากลไกมันขัดก็เหลือ
แค่อย่างเดียวคือถูกตัดออกเพื่อทำราคารถให้ไม่ต่างจากเดิมมากภายใต้ภาษีสรรพสามิตใหม่
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าเสียดายอยู่..สงสัยต้องไปสั่งอะไหล่ติดเพิ่มเอง
Moo Cnoe : เสริมเรื่องเบาะนั่งคู่หน้าเล็กน้อยครับ สำหรับตัวผมนั่งเอง รู้สึกว่าเบาะนั่งรองรับดี
สามารถปรับระดับได้ละเอียดให้รองรับสรีระคนได้หลากหลายมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เพราะ
เบาะนั่งฝั่งคนขับเพิ่มระบบปรับด้วยไฟฟ้ามาให้ 8 ทิศทาง แต่กระนั้นสำหรับผมโดยส่วนตัว
ยังติดอยู่นิดเดียวคือ ช่วงรองรับส่วนหลังช่วงกลางยังรู้สึกดันหลังไปนิดหน่อย ถ้ามีก้านปรับ
ดันหลัง lumbar Support เพิ่มมาให้ก็คงจะลงตัวมากยิ่งขึ้น
ส่วนเบาะหลังนั้น แม้จะมีการเย็บตะเข็บส้มให้ดูรู้ว่าเป็นรุ่นใหม่ แต่สัมผัสในการนั่งก็ยังเหมือนเดิม
ฟองน้ำรองส่วนทวารหนักและพนักพิงหลังมีความนุ่มนวลพอสมควร ผมลองนั่งโดยสารเบาะหลัง
โดยให้คุณหมูขับให้ พบว่าถ้าคนนั่งข้างหน้าตัวสูงประมาณ 170 เซ็นติเมตรแล้วล่ะก็ คนสูง 183
อย่างผม ตัวใหญ่อย่างผมยังสามารถนั่งไปบนเบาะหลังแล้ววิ่งทางไกลได้ แม้ว่าเนื้อที่วางขา
จะมีเหลือแค่พอประมาณ ส่วนพนักพิงศรีษะนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าของรถรุ่นใหม่นี้จะนุ่มกว่ารุ่นปี
2013 อยู่เล็กน้อย (อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก่อนหน้านี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา) แต่มันก็ยังไม่ใช่
รูปทรงพนักพิงศรีษะที่เน้นความสบายนัก เวลาอิงหัวลงไปเต็มๆจะรู้สึกว่าแข็งอยู่ดี ส่วนที่เท้าแขน
ตรงกลางนั้นวางตำแหน่งมาได้เหมาะสมเช่นเดียวกับที่วางแขนบนแผงประตูคู่หลัง หากคนไซส์ขนาด
ผมสามารถนั่งแล้วรู้สึกว่าไปพัทยาไประยองโดยนั่งไปบนเบาะหลังได้ไม่บ่น คนที่ตัวเล็กกว่าก็น่าจะ
ไม่มีปัญหาแต่ประการใด
เบาะหลังของ XV นั้นถ้าจะเทียบ ก็คงเทียบได้กับรถแฮทช์แบ็ค C-Segment ทั่วไป (อย่าลืมว่าตัวรถ
XV เองมันก็คือ Impreza Hatchback) มันเหมาะสำหรับเด็กๆ หรือคนตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร
ซึ่งผมลองกะขนาดความสูงของเบาะรองนั่งและพนักพิงต่างๆดูแล้ว คนตัวสูง 155-170 เซ็นติเมตร
จะนั่งได้สบายและไม่ต้องนั่งชันขามากเท่าคนตัวสูง ในเรื่องความสบายของเบาะ ผมให้ XV ชนะ
HR-V ในส่วนเบาะรองนั่งและพนักพิงหลังกับเนื้อที่เหนือศรีษะที่เหลืออยู่ (ผมนั่งตัวตรงแล้วหัวยัง
ไม่แตะเพดานแม้แต่น้อย) แต่ถ้าเป็นเนื้อที่วางขา กับพนักพิงศรีษะ HR-V จะทำมาได้ดีกว่า
เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ก็ยังคงให้แบบ ELR 3 จุด มาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง
พร้อมทั้งมือจับเหนือประตูทางเข้า นอกจากนี้ ยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ตามมาตรฐาน
ISOFIX แถมมาให้ทั้ง ฐานเบาะหลังฝั่งซ้าย และขวา ส่วนพนักพิงหลัง สามารถแบ่งพับได้
ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของให้ยาวขึ้นกว่าเดิม
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง โดยปกติแล้วในเวอร์ชันญี่ปุ่น หรือตลาดอื่นๆ ซึ่งใส่ชุดปะยาง
มาให้ จะมีความจุ 380 ลิตร ตามมาตรฐาน (VDA) เยอรมัน แต่ถ้าใส่ยางอะไหล่ มาให้อย่างใน
เวอร์ชันไทย ความจุจดลงลงเหลือ 310 ลิตร (VDA) แต่ถ้าพับเบาะแถวหลังลงทั้งหมด จะเพิ่ม
ได้มากถึง 1,270 ลิตร (VDA) ซึ่งถ้าถามว่ากว้างไหม ผมบอกได้เลยครับว่าอย่าไปเทียบกับ
พวก SUV อย่าง CR-V หรือ X-Trail ต้องเทียบกับพวกรถเก๋งแฮทช์แบ็คธรรมดาจะใกล้เคียง
กันมากกว่า
ส่วนที่กว้างที่สุด ของพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง อยู่ที่ 1,350 มิลลิเมตร สูง 780 มิลลิเมตร
และยาว 820 มิลลิเมตร สำหรับรูปต่างๆของเรื่องการพับเบาะและยางอะไหล่ เรามีอยู่แล้ว
ในบทความทดลองขับเวอร์ชั่นเก่า แต่สิ่งหนึงที่ผมสงสัยมาตลอดคือ XV ใส่ถุงกอล์ฟใน
แนวขวางโดยไม่ต้องพับเบาะได้หรือไม่?
คำตอบคือ อยู่ที่ขนาดของถุงกอล์ฟครับ อย่างถุงสีแดงที่ยืมมายัดใส่ให้ดูกันนี้
ผมยืมของคุณพ่อมา ขนาดความสูง 118 เซ็นติเมตร หัวถุงแบบอ่อน สามารถเอาใส่ได้
ไม่ยาก แค่เอาก้นถุงแทยงเข้าไปก่อนแล้วยกหัวถุงเอียงหลบด้านล่างนิดหน่อยแล้วก็
ใส่เข้าไปได้เลย แต่ถ้าหากคุณเป็นนักกอล์ฟมือโปร ใช้ถุงโปรหัวแข็งขนาดสูงเกินกว่า 1.2 เมตร
คุณคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะพับเบาะไปหรือจอดรถไว้บ้านแล้วหลอกชวนเพื่อนที่ขับ
Forester ให้ไปตีกอล์ฟกับคุณ
แผงแดชบอร์ดหน้าตาคุ้นเคย ไม่ใช่แค่เห็นมาจาก XV รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงรถ Impreza G4, WRX, Levorg และ Forester ด้วย เพียงแต่ว่าจะมีการ
ปรับแต่งรายละเอียดปลึกย่อยให้แต่ละรุ่นดูเหมือนมีเอกลักษณ์ของตัวเองบ้าง การตกแต่ง
ของ XV รุ่นที่แล้วจะมาในแนวขรึมเรียบง่ายอะไรก็ได้สไตล์สาวลุย ซึ่งดูสมราคาถ้ารถมัน
ราคา 8 แสนบาท แต่ความจริงมันราคาเกือบล้านหรือมากกว่า แม้ว่าคนรัก Subaru จะบอกว่า
“แล้วไงฟระ? คนใช้ Subaru ไม่เคยแคร์อยู่แล้ว ขอให้มันมีของใช้ครบก็พอ” แต่เอาเข้าจริง
ลูกค้าหลายคนก็อยากให้มันดูหรูขึ้น Subaru ก็เลยจัดการแต่งหน้าทาปากเพิ่มให้ เพิ่มวัสดุ
สีเงินที่แผงประตู และเปลี่ยนแถบสีเงินที่แดชบอร์ดฝั่งคนนั่งให้เป็นวัสดุสีดำเงาแทน
เปลี่ยนพวงมาลัย 3 ก้านเป็นดีไซน์ใหม่ เพิ่มขอบสีเงินที่กรอบช่องแอร์จนดูเหมือนของ
Subaru Levorg เปลี่ยนคันเกียร์อัตโนมัติเป็นแบบเดียวกับของ Levorg/WRX ซึ่งมีการ
หุ้มหนังที่โคน แต่ของ XV จะมีเย็บตะเข็บด้ายสีส้ม
บรรยากาศในห้องโดยสารจากมุมนี้จึงดูดีสมราคาขึ้นนิดหน่อย ส่วนแดชบอร์ดตอนบน
ยังใช้วัสดุกึ่งนุ่มเหมือนรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ และด้านล่างก็ใช้พลาสติกรีไซเคิลแบบเดิม
จากที่นั่งคนขับ คราวนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ในรุ่น 2.0i Premium ที่เรา
ได้มาขับนั้นจะมีแผงมาตรวัดชุดใหม่พร้อมจอ MID ตรงกลางแบบสี รูปแบบเกือบเหมือน
กับของ WRX และ Levorg แต่จะต่างกันที่สีของไฟส่องและการตกแต่งมาตรวัด ส่วน
จอกลางนั้นใช้ชุดเดียวกัน และสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆได้โดยการสะกิดสวิตช์ควบคุม
ซ้ายล่าง (ที่เป็นใบพาย) บนพวงมาลัยซูเปอร์มัลติฟังก์ชั่นที่ปุ่มเริ่มจะเยอะเข้าไปทุกที
ก้านไฟเลี้ยวอยู่ด้านขวาเหมือนกับ XV รุ่นเดิม ส่วนพวก Levorg จะอยู่ด้านซ้าย..Subaru
ยังคงทำให้ผมมึนๆงงๆกับตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวต่อไป กว่าจะเลิกนิสัยนี้ได้ผมคงผอมซะก่อน
นอกจากนี้ ส่วนบนสุดของคอนโซลกลางยังมีจอแบ่งเป็น 2 จอเหมือนกับ WRX และ Levorg
จอซ้ายจะบอกค่าต่างๆสำหรับระบบปรับอากาศ ส่วนจอขวาที่เป็นจอสีขนาดใหญ่นั้นเป็น
จอสำหรับตั้งให้โชว์ค่าต่างๆได้ตามใจชอบ ยกชุดมาจาก WRX และ Levorg เช่นกันและมี
ฟังก์ชั่นการใช้งานเหมือนกันยกตัวอย่างได้ดังต่อไปนี้
มุมบนขวาสุด เป็นจอสำหรับโชว์การทำงานของระบบขับเคลื่อน ระบบรักษาการทรงตัว
และระบบเบรกแยกล้อ เวลาเราขับไปหากเลี้ยวซ้ายหรือขวา ล้อรถในรูปก็จะหมุนตามไปด้วย
ส่วนทางขวาบน เป็นมิเตอร์ “Triple Meter” ซึ่งสามารถเลือกโชว์ค่าต่างๆพร้อมกันได้ 3 อย่าง
(ผมตั้งไว้เป็นโชว์อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง, อัตราการสิ้นเปลือง, และความลึกในการกดคันเร่งที่เท้า)
สวิตช์สำหรับปรับจอกลางนี้จะอยู่ใต้ปุ่มไฟฉุกเฉิน ดันขั้นๆลงๆได้ หรือกดลงไปตรงๆค้างไว้ 2-3วิ
เพื่อเข้าสู่หน้า Setting สำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆซึ่งก็รวมถึงการเซ็ตค่า Triple Meter ว่าจะให้
โชว์อะไรบ้าง
น่าเสียดายว่าจอกลางชุดนี้จะมีอยู่ในรุ่น 2.0i Premium เท่านั้น ถ้าเป็นรุ่น 2.0i ธรรมดาราคา
1,098,000 บาทจะยังได้จอกลางสองสีธรรมดาเหมือนรถรุ่นเดิม
แผงมาตรวัด ดูโดดเด่นไฮโซขึ้นกว่าของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ โดยในรุ่น 2.0i Premium นี้
นอกจากจะได้จอ MID ตรงกลางชุดเดียวกับ WRX/Levorg แล้ว ตัวแผงหน้าปัดทั้งแผง
ยังมีการเสริมวัสดุสีเงินเข้าไป เปลี่ยนฟอนท์ตัวเลข พื้นหลังมาตรวัด และเข็มทั้งหมดจน
แทบไม่มีจุดไหนเหมือนของเดิม..แต่อย่างหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นมาให้ พี่ครับ รถพี่ก็เกินล้านมาแล้ว จะใส่ให้หน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้งครับ หรือไม่งั้น
ก็คงต้องกดจอกลางบนแดชบอร์ดให้โชว์ค่าอุณหภูมิน้ำมันเครื่องแล้วดูอ้างอิงแทนเอา?
ส่วนรุ่น 2.0i ธรรมดานั้น คุณจะได้หน้าปัดที่เหมือนๆกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ พื้นดำ อักษรขาว
เข็มแดง ไม่มีจอสีตรงกลาง แต่จะเป็นจอลักษณะเป็น Digit เหมือนรุ่นก่อน แล้วสลับสีจาก
พื้นหลังขาว ตัวเลขดำ ไปเป็นพื้นหลังดำ ตัวเลขขาวแทน
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ โซนเดียว ไม่ได้แยกเป็น Dual-Zone แบบ Levorg
สวิตช์ปรับอากาศ ในรุ่น 2.0i Premium จะได้สวิตช์แบบใหม่ที่ดูดีขึ้นนิดหน่อย
ส่วนรุ่น 2.0i ธรรมดา จะได้สวิตช์แบบเดิม ส่วนประสิทธิภาพในการทำงานนั้น บอกตรงๆว่า
ยังไม่ค่อยเย็นถึงใจนัก ในอากาศแบบเดือนธันวาคม ผมขับรถไปไหนมาไหนก็ต้องปรับอุณหภูมิ
ไว้ประมาณ 22 องศาในขณะที่รถญี่ปุ่นทั่วไป 24 ก็เย็นพอแล้ว ยิ่งคุณหมูยิ่งปรับเหลือ 20 องศา
เลยด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ระบบหมุนเวียนอากาศภายในบางครั้งก็ยกเลิกการทำงาน และดูด
อากาศไอเสียเหม็นๆภายนอกเข้ามา ตรงนี้เป็นข้อเสีย เพราะอย่าลืมว่าอากาศบ้านเรา
มันไม่ได้น่าสูดขนาดนั้น ส่วนคนที่ชอบขับรถเล่นไปภาคเหนือในหน้าหนาวอาจจะพบข้อดี
ในระบบปรับอากาศที่สามารถปรับเป็นฮีทเตอร์ พ่นลมร้อน 30 องศาได้ด้วย
MoO Cnoe : จากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับ XV มา 2 วัน มีความรู้สึกว่า แอร์ยังไม่เย็นฉ่ำเหมือนอย่าง
รถญี่ปุ่นคันอื่นๆเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะรถทดสอบไม่ได้ติดฟิล์ม แต่โดยส่วนตัว
คิดว่าเมื่อเราปรับอุณหภูมิที่ 25 องศาเซลเซียส มันน่าจะเย็นฉ่ำกว่านี้ ในสภาพอากาศแบบปกติ
แดดไม่ได้ส่องเข้ามาตัวรถแบบเต็มๆบางครั้งต้องลดอุณหภูมิ ลงไปถึง 20 – 22 องศาเซลเซียส
ถึงจะรู้สึกเย็นเท่ากับรถคันอื่นๆ
อ้อ ! อีกอย่างหนึ่งคือ เห็นหน้าตาสวิตซ์ควบคุมระบบปรับอากาศหน้าตาธรรมดาๆ แบบนี้ แต่ใน
ตอนกลางคืน ถ้าเปิดไฟหน้ารถ เจ้าสวิตซ์กลมๆ 3 อันนี้จะมีวงแหวนไฟเรืองแสงสีแดงทั้ง 3 วง
มาให้ด้วย ดูสวยงามอยู่ไม่น้อย
ระบบเครื่องเสียงเป็นของ Kenwood มีระบบนำทาง ซึ่งในคันที่เราขับยังไม่ได้ติดตั้ง
MAP ของประเทศไทยเลยอดลอง ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆก็มีทั้งเล่นแผ่น CD หรือเพลงจาก
USB หรือเชื่อมต่อกับ iPod ผ่านสายหรือระบบ Bluetooth ได้ สำหรับมนุษย์โบราณ
ที่ยังใช้รถมีเครื่องเสียงยุคเก่าอย่างผม เจ้า Kenwood จอทัชสกรีนนี่ดูล้ำยุคดีเหมือนกัน
แต่เวลาใช้งานจริงค่อนข้างยาก บางทีกดสั่งให้ไปก็ไม่ไป ต้องรอมันคิดก่อน การ Pair
Bluetooth ก็ใช้เวลานานกว่าปกติ เหมือนต้องรอให้โทรศัพท์กับเครื่องเสียงมันแลกเบอร์โทร
จิบน้ำชา พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ ถามชื่อพ่อชื่อแม่กันก่อนแล้วมันถึงจะยอม Pair กันได้
เสียงจากระบบของ Kenwood นั้น ตอนแรกมันออกมาแหบๆแห้งๆ ผมมักเลือกเพลง
สไตล์เน้นเสียงกลางอย่าง Bobby Caldwell อัลบั้ม Perfect Island Night เป็นตัวเทียบเสียง
แน่นอนว่ามันไม่ถึงกับแหบแห้งขาดพลังฟังแล้วผมแทบอยากยกขาหลังเกาหูเหมือน
เครื่องเสียงของ Camry แต่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก ต้องรอจนกลับถึงบ้านแล้วนั่งเปิด
ฟังก์ชั่นดูทีละหน้า แล้วไปเลือก “Through Mode” คราวนี้เสียงใสขึ้นเหมือน Bobby Caldwell
ได้จิบยาแก้ไอชวนป๋วยแล้วเสียงดีขึ้น จากนั้นก็เล่นกับ Equalizer ต่ออีกหน่อย ก็เค้นให้
เสียงออกมาดีได้เหมือนกัน แต่มันจะมาในสไตล์ของเครื่องเสียงยุคใหม่ๆที่เอาความหนักแน่น
ไปกองไว้กับลำโพงด้านหน้ารถมากกว่าที่จะบาลานซ์หน้าหลังอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยัง
มีฟังก์ชั่นรองรับระบบ Siri EyesFree ได้ แต่ต้องใช้กับอุปกรณ์สื่อสารของ Apple
และ..เช่นเคยครับเครื่องเสียงแบบจอที่เห็นนี่จะมีมาให้ในรุ่นท้อปเท่านั้น ส่วนรุ่น 2.0i ธรรมดา
จากเดิมที่เป็น Kenwood แบบจอ คราวนี้ลดสเป็คเหลือแค่วิทยุเครื่องเสียงแบบธรรมดา
ขนาด 2 DIN ไม่เป็นจอทัชสกรีน ถ้าต้องการดูรายละเอียดเรื่องอุปกรณ์ทั้งหมดของทั้ง 2 รุ่น
และดูหน้าตาเครื่องเสียงกับสวิตช์แอร์ของตัว 2.0i เชิญดูได้ที่ กระทู้ ที่คุณหมูทำไว้ให้ครับ
MoO Cnoe : สำหรับเครื่องเสียงจาก Kenwood ไม่ต้องกังวลเลยครับ ลูกเล่นเยอะ
ปรับ Equalizer ได้ละเอียดและเยอะมาก มีฟังก์ชั่นปรับแบบต่างๆให้เล่น เพียงแต่ว่า
ถ้าหากคุณต้องการคุณภาพเสียงที่ดีกว่านี้ แนะนำให้เปลี่ยนลำโพงติดรถที่มีอยู่ 6 ตัว
เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะครับ เพราะตัวเครื่องเสียงเองความสามารถเยอะพอตัวเลยครับ
พูดกันแค่นี้คงพอแล้วล่ะ เราปิดเครื่องเสียงแล้วไปลองฟังเสียงเครื่องดูต่อดีกว่าครับ
เครื่องยนต์ของ Subaru XV ไมเนอร์เชนจ์ ยังมีให้เลือกแค่แบบเดียวเหมือนเดิม
และยังเป็นเครื่องยนต์บล็อคเดิมซึ่งทาง Motor Image แจ้งว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
รายละเอียดใดๆในเครื่องยนต์เพิ่มเติม ยังเป็นรหัส FB20 แบบ 4 สูบนอน
BOXER DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84 x 90 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Multi-Point Sequential Injection
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว AVCS (Active Valve Control System)
กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร หรือ
20.0 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที ปล่อยมลพิษ CO2 187 กรัม/กิโลเมตร
และเวอร์ชั่นไทย ก็ยังมีจุดต่างจากเมืองนอกเหมือนเดิมตรงที่ไม่ได้ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์
แบบมอเตอร์ไฟฟ้า แต่เป็นไฮดรอลิก ในรุ่น 2013 ผมทำตัวเองหน้าแตกมารอบนึงแล้วเพราะ
อ่านข้อมูลเมืองนอก เขียนว่าเป็นเพาเวอร์ไฟฟ้า พอผมได้ลองแล้วก็ชมเปาะว่าแหมพี่ซูฯ
นี่เจ๋งจริง ทำพวงมาลัยไฟฟ้าที่ตอบสนองได้เหมือนไฮดรอลิกมาก..โดนคนอ่านทิ่มมาว่า
ก็เพราะมันเป็นไฮดรอลิกน่ะสิ (เว้ย)ครับ
ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Lineartronic CVT ซึ่งเป็นเกียร์อัตโนมัติ
ที่ Subaru พัฒนาขึ้น จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในโลก ที่นำเกียร์ CVT แบบวาง
ตามยาว ไปติดตั้งกับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ
อัตราทดเกียร์ D อยู่ที่ตั้งแต่ 3.581 – 0.570 : 1 เกียร์ถอยหลัง 3.667 : 1 และอัตราทดเฟืองท้าย
อยู่ที่ 3.700 : 1
จากคันเกียร์ D ผลักมาทางขวา เข้าสู่โหมด M จะทำงานเชื่อมกับแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย
ซึ่งคุณสามารถตบแป้นขวาเพื่อขึ้นเกียร์สูงหรือตบแป้นซ้ายเพื่อลงเกียร์ต่ำได้ เป็นลูกเล่น
เล็กน้อยๆที่มีประโยชน์จริงในแง่อัตราเร่งและการควบคุมรถเวลาวิ่งบนเขา โดยสามารถล็อค
อัตราทดได้ 6 จังหวะ
เกียร์ LinearTronic ของ XV จะเป็นแบบธรรมดาที่สุดในบรรดา LinearTronic ทั้งหมด
ซึ่งใน Levorg 1.6DIT นั้นแม้จะล็อคอัตราทดได้ 6 จังหวะเหมือนกัน แต่ก็มี SI-Drive โหมด
Intelligent และ Sport มาให้ และเวลากดคันเร่ง 100% จะมีการไล่รอบเหมือนเกียร์อัตโนมัติ
แบบปกติ ในขณะที่ XV นั้นจะคารอบสูงไว้แล้วปล่อยความเร็วไหลขึ้นเรื่อยๆแบบ CVT ทั่วไป
ส่วนเกียร์ Sports LinearTronic ของ WRX นั้นจะเหมือนของ Levorg แต่เพิ่มโหมด Sport#
เข้ามาและสามารถล็อคอัตราทดได้ 8 จังหวะ
เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคทั้งเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ผมจึงขอใช้อัตราเร่ง
ชุดเดิมจากที่ J!MMY เคยทำไว้เมื่อมิถุนายน 2013 มาแสดงผลให้ดูแล้วกันนะครับ
ดูตารางแล้วอาจจะแปลกใจว่าทำไมรถทั้งหมดนี้ถึงมาอยู่รวมกัน ผมทำมันขึ้นมาใหม่เอง
เพราะต้องการมองตามโจทย์ที่ลูกค้ามักเอา XV ไปเทียบครับ HR-V เป็นตัวเทียบที่ใกล้เคียง
กันมากที่สุด ในขณะที่ Juke กับ EcoSport มักจะเป็นทางเลือกของวัยรุ่นที่ดูเก๋ไม่แพ้กันแต่
ประหยัดงบลงไปมาก ส่วน CX-5 2.0 , X-Trail 2.0 และ CR-V 2.0 นั้น ผมเอามาเทียบเพื่อที่จะ
ดูว่าในราคาที่แพงกว่า XV ไปไม่มากนั้น พวกรถ SUV ตัวโตกว่าแต่เลือกรุ่นถูกสุดมา จะมีฝีเท้า
ไวแค่ไหนเมื่อเทียบกับ XV
ในปี 2013 ตอนที่รถที่ผมพูดไปทั้งหมดข้างบนนี้ยังไม่เปิดตัว อัตราเร่งของ XV ก็จัดว่าไวพอ
แต่อย่างที่ผมบอกล่ะครับ โลกหมุนไป คู่แข่งหน้าใหม่ก็เข้ามา คุณจะเห็นได้ว่าอัตราเร่งของ
XV ในวันนี้ดูธรรมดามาก ถ้าจะพูดแบบตรงๆก็คือรถที่เร่งได้ช้ากว่า XV ก็มีแต่รถที่เครื่องยนต์
ขนาดเล็กกว่าเท่านั้น ไม่ต้องไปคิดสู้รบกับ HR-V ซึ่งปรับจูนมาได้ดีทั้งเครื่องและเกียร์จน
สามารถทำอัตราเร่งทุกช่วงได้ดีกว่า XV แบบไม่ต้องสืบ ส่วน Mazda CX-5 แม้จะมีขนาดตัว
โตกว่าแล้วใช้เครื่อง 2.0 ลิตรเท่ากันก็ยังสามารถสร้างอัตราเร่งได้เร็วกว่า แถมยังให้ความรู้สึก
สะใจเวลาตอกคันเร่งด้วยเกียร์ SkyActiv ของมัน ส่วนรถหน้าตาครอบครัวเครื่อง 2.0 เกียร์ CVT
เหมือนกันอย่าง X-Trail กลับเร่งได้ไวกว่า XV เสียอีก
ผมพยายามหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร การที่ HR-V เร่งได้เร็วกว่านั้นผมพอเข้าใจว่าตัวรถ
เบากว่า แถมขับเคลื่อนล้อหน้า มันก็ต้องได้เปรียบเวลาเร่งทางตรงอยู่แล้ว แต่กับ X-Trail นี่
ผมข้องใจมาก จนต้องเอาคลิป 0-120 ที่ตัวเองเคยบันทึกไว้มานั่งดูเทียบทีละคัน
จนหาสาเหตุได้ว่ามันอยู่ที่เกียร์นั่นล่ะครับ XV มีอาการหน่วงเกียร์ตอนออกตัวเยอะไป
เมื่อกดคันเร่งมิดจากจุดออกตัว รอบเครื่องจะไปทำตัวยืดยาดอยู่แถวๆ 2,500-3,200 นานมาก
นานราวกับว่ารถมันกำลังลากอะไรหนักๆอยู่ข้างหลัง ก่อนที่จะรวบรวมพลังปราณแล้วปล่อยแรง
ไหลลื่นไปที่ 3,500-4,000 รอบ แน่นอน เราทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นนิสัยปกติของ CVT ที่จะต้อง
“อมคันเร่ง” ไว้นิดๆกันอาการกระชากที่จะทำให้เกียร์อายุสั้นลง แต่เกียร์ของ HR-V จะมีอาการ
อมคันเร่งที่รอบ 2,300-3,000 เท่านั้นและตั้งหลักส่งพลังได้ไวกว่า ในขณะที่ X-Trail 2.0
นั้นแทบไม่มีอาการอมคันเร่งเลย รอบกวาดแบบต่อเนื่อง แถมเวลากด 100% ยังไล่รอบเหมือน
เกียร์อัตโนมัติทั่วไปอีกต่างหาก ที่มันไม่ไวกว่านี้เพราะน้ำหนักและขนาดตัวนั่นล่ะครับ
แน่นอนว่าผมหาทางลองทำให้มันไวขึ้น (ผมเชื่อว่าคนขับ Subaru ต้องอยากรู้) ก็เลยใส่เกียร์
M แล้วปล่อยให้เกียร์เปลี่ยนที่ใกล้ๆเรดไลน์เอง ผลที่ออกมาคืออัตราเร่ง 0-60 เร็วขึ้นอีก
ราวครึ่งวินาที และ 0-100 เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกราว 1 วินาที ส่วนอัตราเร่งช่วง 80-120 หาก
เล่นเกียร์ 2 คาไว้แล้วกดเต็ม ก็จะเร็วขึ้นอีกประมาณ 0.8-1.1 วินาทีเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณ
อยากไปให้เร็ว ก็ต้องเล่นโหมด M แล้วคุณจะไล่ทัน Honda HR-V..ซึ่งไม่ต้องทำอะไร
นอกจากใส่เกียร์ D แล้วเหยียบ ส่วนหลัง 100 กิโลเมตรต่อชั่วเป็นต้นไป คุณสามารถออกจาก
โหมด M แล้วปล่อยให้ CVT ทำงานของมันไปก็ได้เพราะลองจับ 100-140 ดู ระหว่างโหมด
ปกติกับโหมด M อัตราเร่งแทบไม่ต่างกันเลยครับ HR-V ก็ยังสามารถเร่งฉีกออกไปเรื่อยๆ
ที่ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร กดคันเร่งเต็มทั้งคู่ HR-V จะสร้างความเร็วได้สูงกว่า XV อยู่
10 กิโลเมตร/ชั่วโมง..ไม่ต้องมาอ้างเรื่องไมล์พ้งไมล์เพี้ยนอะไรด้วยนะ มันก็เพี้ยน 4.5%
ทั้งคู่แหละครับ
คันเร่งของ XV มีนิสัยคล้าย Toyota บางด้าน กล่าวคือเวลาออกตัว หรือกดคันเร่งนิดๆ
รถจะพุ่งดี ดูเหมือนมีพลังมาก แต่พอกดคันเร่ง 40-60% มันกลับไม่ได้พุ่งมากเท่าที่คิด
และในหลายโอกาสเวลาจะเร่งแซง ผมพบว่าต้องกดคันเร่ง 100% ไปเลย รถถึงจะแซงได้
ไว้ที่สุด เพราะถ้ากดแค่ 80% มันจะยังไม่สำแดงเดชเต็มที่ ส่วนถ้าใครถามว่าเกียร์หอนมั้ย?
ตอบได้เต็มปากครับว่าหมาอยู่ครบทั้งฝูง มันมักจะหอนตอนกดคันเร่งเต็มติดกัน 2-3 ครั้ง
และยังหอนที่ช่วงความเร็วต่ำถ้าเจอรถติดต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงอย่างที่ผมเจอ แต่ในการขับ
แบบปกติ หรือการเดินทางทริป 1 ชั่วโมงทั่วไปจะไม่หอนให้ได้ยินถ้าไม่ตั้งใจฟังจริงๆ
ส่วนในด้านการขับขี่นั้น ช่วงล่างของ XV ก็ยังดีเหมือนเดิม ด้วยช่วงล่างด้านหน้า
แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท บวกกับช่วงล่างหลังแบบดับเบิลวิชโบนที่มีช่วงชักของ
สปริงและโช้คอัพยาวกว่า WRX กับ Levorg ทำให้มันสามารถยุบตัวรับแรงกระแทก
คอสะพานโหดๆได้โดยที่ไม่สะเทือนเท่า WRX และไม่มีอาการตึงตังเพราะโช้คยันแบบ
Levorg ที่ความเร็วต่ำบนถนนขรุขระนั้น การซับแรงสะเทือนถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับ
ขนาดตัวรถ แรงสะเทือนบนเบาะหลังนั้นจะมีเยอะก็ต่อเมื่อถนนสภาพแย่จริงๆ พูดเลย
ก็ได้ว่าถ้าหากคุณนั่งเบาะหลัง XVแล้วคิดว่ามันกระเด้งกระดอนกระด้างเกินไป คุณคง
ต้องไปนั่ง SUV คันละหลายล้านแล้วล่ะครับ เพราะรถรุ่นอื่นแม้แต่ X-Trail ก็ไม่ได้ซับ
แรงสะเทือนที่เบาะหลังดีกว่ากันมากอย่างที่คิด
เสถียรภาพของตัวรถในความเร็วเดินทาง นิ่ง มั่น เหมือนรถใหญ่ ที่ความเร็วสูงขึ้นไป
จนถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ยังรู้สึกมั่นใจ ในบรรดารถยกสูงราคา 1-1.3 ล้านที่ไม่นับ
พวก PPV คงมีแต่ Mazda CX-5 ที่ตัวใหญ่กว่าเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้ ยิ่งถ้า
วิ่งถนนที่สภาพไม่ค่อยดีและใช้ความเร็วสูงมากๆ Subaru จะวิ่งผ่านถนนเหล่านั้นได้
มั่นคงกว่า สะเทือนน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ ต้องวิ่งให้เร็วเกิน 160 ขึ้นไปจึงจะเริ่มรู้สึก
เครียดขึ้นนิดๆ
เรื่องช่วงล่างนี่ล่ะคือหมัดสวนของ XV เมื่อ HR-V ชนะขาดในเรื่องอัตราเร่งทางตรง
และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่ช่วงล่างของ Honda ก็ยังมาในสไตล์ฮอนด๊า..ฮอนด้า
แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งกระด้างแบบ Jazz แต่มันก็ยังมีนิสัย Honda อยู่คือสะเทือนบน
ถนนขรุขระ มีอาการดีดบนเนินลูกระนาด และแม้จะให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งความเร็ว
ต่ำกว่า 80 ได้ดี แต่ในการวิ่งทางไกลที่ความเร็วเกิน 120 HR-V จะให้ความมั่นคง
ไม่มากเท่า ใน XV ผมสามารถวิ่ง 120 แล้วหักหลบแมลงสาบวิ่งตัดหน้าได้เหมือนไม่มี
อะไรเกิดขึ้น ส่วน HR-V นั้นพอวิ่ง 120 แล้วหักพวงมาลัยไปมาเบาๆก็เริ่มน่ากลัวแล้ว
ส่วนระบบเบรกนั้น ยังมีการตอบสนองลักษณะเดิม ซึ่งก็ถือว่าดีแล้ว กดมากจับมาก
กดน้อยจับน้อย แป้นเบรกมีน้ำหนักต้านเท้าไม่มากนัก ผู้หญิงขาเล็กๆก็ขับได้สบาย แต่ถ้า
ขับรถยุโรปรุ่นเก่าๆมาก่อนแล้วมาขับ XV คุณอาจจะมีรายการเบรกหน้าทิ่มกันบ้างแต่
ก็ใช้เวลาในการปรับตัวไม่นานหรอกครับ ผ้าเบรกที่ใช้ จะเป็นเกรดธรรมดา ซึ่งผมต้อง
เตือนก่อนว่าถึงแม้จะมี DNA รถซิ่งในชื่อยี่ห้อ แต่ผ้าเบรกมันไม่ได้ซิ่งตามนะครับ ถ้าอัด
มาด้วยความเร็วสูงมากๆแล้วเบรก ทำซ้ำสักสองรอบ พอรอบที่สามแป้นจะเริ่มสะท้านและ
รถจะเริ่มเบรกไม่ค่อยอยู่แล้ว ผมถือว่าเบรกสามารถทนการเล่นบทบู๊ได้ดีกว่า HR-V แต่ก็
ไม่ได้มากอย่างที่หลายคนคิด
พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮดรอลิก
อัตราทดพวงมาลัยไม่แน่ใจว่าเป็น 15.0:1 เท่าแร็คไฟฟ้าสเป็คเมืองนอกหรือใช้แบบ
16.0:1 เหมือนของ Subaru พวงมาลัยไฮดรอลิกรุ่นเก่าๆ แต่การตอบสนองโดยรวม
อยู่ในระดับที่กำลังดี เหมาะกับรูปแบบและประเภทของรถที่ต้องมีพวงมาลัยไวพอให้
กลับรถ เปลี่ยนเลนในที่แคบ และเลี้ยวเข้าซอยหักศอกในตัวเมืองเล็กๆได้อย่างคล่องตัว
ในขณะเดียวกันก็ต้องหน่วงมือได้มากพอให้ขับทางไกลได้ดีสำหรับนักขับที่ชอบเดินทางไกล
XV สามารถตอบโจทย์ทั้งสองข้อได้โดยเดินทางสายกลาง น้ำหนักขืนมือที่ความเร็วต่ำนั้น
อาจจะหนักไปบ้างถ้าปกติคุณขับแต่รถพวงมาลัยไฟฟ้าหรือรถที่จูนพวงมาลัยมาเน้นเบา
แต่ถ้าคุณขับรถพวงมาลัยไฮดรอลิกมาตลอด มันก็ไม่ได้หนักมากนัก การตอบสนองของ
พวงมาลัยออกจะเป็นธรรมชาติมากกว่าแร็คไฟฟ้าทดเฟือง 14.5:1 ของ WRX และ Levorg
ด้วยซ้ำไป ส่วนที่ความเร็วสูงก็ไม่ต้องใช้สมาธิในการประคองเยอะ สามารถขับได้ด้วย
ความผ่อนคลาย มีระยะฟรีที่พอเหมาะ ผมคิดว่าคงไม่ต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
ส่วนเรื่องการเก็บเสียง XV ชนะ CX-5 ในเรื่องการเก็บเสียงลมที่เข้ามาตามขอบประตู
แต่พอใช้ความเร็วสัก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง XV เองก็เผยจุดอ่อนเรื่องการเก็บเสียงของมัน
ไม่ว่าจะเป็นเสียงอากาศที่ถูกรีดผ่านกระจกมองข้างมาชนกระจก หรือเสียงยาง Continental
Contact MC5 ที่ดังผ่านพื้นรถเข้ามามากเกินไป ยิ่งรถทดสอบของเรานั้น แผ่นปิดสัมภาระ
ด้านหลังหายไปไหนไม่ทราบ เลยได้เสียงเข้าจากฝากระโปรงท้ายรถเป็นของแถม เรื่องการ
เก็บเสียงนี้ไม่ได้โดดเด่นกว่า HR-V นัก เพราะทาง Honda เองก็พยายามปรับปรุง HR-V
จนเก็บเสียงดีกว่า Civic แล้วด้วย แต่พอวิ่งเกิน 120 ไปแล้ว เสียงลมกรีดแถวๆกระจกมองข้าง
ของ Honda จะเบากว่า Subaru
บทสรุป-สาวลุยเติม Make-Up ที่มีเสน่ห์มากขึ้นตามวัย
เมื่อครั้งที่ J!MMY ทำรีวิว XV เวอร์ชั่น 2013 นั้น ได้ให้ข้อสงสัยเอาไว้ว่า XV จะเป็นรถที่
ขายดีแบบ One Hit Wonders คือมาขาย แล้วขายดีอยู่แค่เป็นช่วงเวลาสั้นๆหรือไม่?
คำตอบเท่าที่ดูจากยอดขายก็ทราบได้แล้วว่า XV นั้นก้าวข้ามจุดอันตรายมาได้อย่างงงๆ
กลายเป็น Two Hit Wonders ซึ่งเท่าที่ทราบมานั้น ยอดจองจากงาน Motor Expo 2015
ส่วนใหญ่ก็ยังเป็น XV ทั้งรุ่นก่อนและหลังไมเนอร์เชนจ์ นับได้น่าจะเกิน 400 คัน แต่ถ้าหาก
รวมยอดจองที่เข้ามาทั้งประเทศในช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคม (ทั้งในและนอก Expo)
ก็ได้ยอดเกือบ 600 คัน ซึ่งผู้บริหารของ Motor Image ก็มองว่าเป็นยอดที่โอเค สวนทาง
กับความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและคู่แข่งราคาใกล้เคียงกันที่แกร่งขึ้น โหดขึ้น ดุขึ้น
Subaru เองก็พยายามปรับจุดอ่อนของ XV มาหลายครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งด้าน
การใช้กลยุทธ์ทางด้านราคารับน้อง HR-V ในวันที่ 31 มกราคม 2015 ซึ่งทำให้ราคารุ่น
ถูกสุดลงมาเหลือ 998,000 และรุ่นแพงสุด XV STI ราคา 1,198,000 บาท ซึ่งลูกค้า
หน้าใหม่ New-to-brand หลายคนเฮได้ใจไปเซ็นจองกันเพียบ แต่ลูกค้าเก่าอกหัก
กันเป็นแถบๆ เพราะเล่นลดกันทีละหลายแสนในรถราคาแค่ล้านต้นๆ ต่อมาก็มีการ
ไมเนอร์เชนจ์ส่งท้ายปี 2015 ในครั้งนี้ ซึ่งแม้ว่าภายนอกจะดูแล้วเหมือนตัวเดิมเบิกไฟท้าย
ไฮบริดใส่ แต่ภายในก็มีจุดเล็กๆน้อยๆที่เปลี่ยนแปลงแล้วทำให้รถดูมีราคามากขึ้น
แต่ละจุดล้วนเป็นสิ่งที่ผมกับ J!MMY มองว่าน่าจะทำตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจอ
Multifunction ตรงกลาง แผงมาตรวัด หรือการตกแต่งคอนโซลที่ทำให้สมระดับราคารถ
ตลอดจนการเพิ่มระบบ Smart Entry
เมื่อได้เข้าไปนั่งขับใน XV ตัวใหม่ ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศโดยรวมดีขึ้น มันมีความหรู
เขยิบเข้าไปใกล้ Levorg มากขึ้น แต่มันก็ยังมี DNA ของ Subaru อยู่ คอนโซล
หน้าตาเรียบๆราวกับตั้งใจออกแบบให้รู้ว่านี่คือรถจากยุคปัจจุบันในขณะที่ HR-Vนั้น
เส้นสายและการออกแบบภายในพยายามจะหลุดไปทศวรรษหน้ามากกว่า แต่ผมยัง
รู้สึกได้อีกว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกของราคาและต้นทุน ในเมื่อเราทราบกันดีว่า
XVตัวใหม่จะต้องแบกรับภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นจากเดิม 25% กลายเป็น 35%
(เพราะรัฐยกเลิกการให้ส่วนลดภาษีจากการเติม E20 ในปี 2559 และ XV เองก็พ่น
CO2 187 กรัม/ก.ม. ซึ่งทำให้ตกอยู่ในกลุ่มรถปล่อยมลพิษ >150 แต่ไม่เกิน 200 กรัม/ก.ม.
ซึ่งต้องเสียสรรพสามิต 35%) ดังนั้นการที่ถูกชารจ์ภาษีเพิ่มขึ้น แล้วราคารถกลับไม่ได้หนี
ไปจากเดิมมากนั้น มันต้องมีวิธีตัดต้นทุน ไม่ว่าจะเฉือนราคาหน้าโรงงานลงหรือตัดอุปกรณ์
บางอย่างออกไป
ใน XV ตัวใหม่ ที่เท้าแขนเลื่อนไม่ได้ แต่รุ่นใหม่ได้ Smart Entry มีจอกลางใหม่ หน้าปัดใหม่
มาเป็นของชดเชย แต่ XV รุ่น 2.0i ธรรมดา ราคาแพงกว่า 2.0i ธรรมดาตัวเดิม 100,000 บาท
โดยที่อุปกรณ์แทบไม่ต่างกันแถมวิทยุเป็นแบบธรรมดาด้วย ส่วนระบบความปลอดภัย
ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ถุงลมนิรภัยก็ยังมี 3 ใบ คือคู่หน้า และหัวเข่าคนขับเหมือนเดิม
เครื่องยนต์ เกียร์ การตอบสนองของช่วงล่าง และพวงมาลัย ตลอดจนการเก็บเสียง ทุกอย่าง
ยังคงเหมือนรุ่นเดิม ผมจึงใช้คำเปรียบเปรยในตอนต้นบทความว่ามันก็คือสาวลุยคนเดิม
เพิ่มเติมแค่ Make-up ทำให้มันดูน่าสนใจขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนที่สนใจเรื่อง Make-up นั่น
หรือคุณอยู่กับมันนานจนชิน คุณก็จะรู้สึกได้เองว่ายังไงมันก็คือรถคันเดิมนั่นล่ะครับ แม้แต่
ข้อเสียทางด้านจักรกลและการเก็บเสียงต่างๆที่เคยมี มันก็ยังอยู่ครบ
แล้วถ้างั้น..ซื้อ XV ตัวเก่าแต่ได้ราคาดี กับซื้อ XV ตัวใหม่ อย่างไหนดีกว่ากัน?
ผมตอบง่ายๆเลยครับว่าถ้าคุณมองตัวล่างสุด คือตัว 2.0i ธรรมดา สิ่งที่ต่างกันก็จะมีแค่
รูปโฉมนิดๆหน่อยๆภายนอกกับเบาะหนังเย็บตะเข็บสีส้มและวัสดุที่คอนโซลฝั่งคนนั่ง
กับแผงกระจกไฟฟ้าและคันเกียร์หุ้มหนัง คุณได้สิ่งใหม่ๆเหล่านี้มาแต่เสียเงินเพิ่ม
แสนบาทหรือมากกว่า ถ้าคุณไม่ได้แคร์กับความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตรงนี้และมุ่งเน้น
ไปที่ประสิทธิภาพการขับขี่และความสบายในการโดยสาร เล่นรุ่นเก่าได้เลยครับ
เงินส่วนต่างแสนบาทนั่นทำอะไรงามๆได้ตั้งเยอะแยะ จะเอาเบาะหุ้มอัลคันทาร่าเลยมั้ย?
หรือจะเอาเงินไปเสกเครื่องเสียงดีๆสักชุด จัดลำโพงเต็มรอบคัน? หรือสั่งพาร์ทแต่ง
และใส่ล้อใหม่ XV รุ่นเก่าของคุณก็ดูเนี๊ยบขึ้นได้ ส่วนวัสดุตรงแดชบอร์ดกับแผงประตู
คุณเอาไปให้ร้าน Full-option หุ้มให้ก็ได้ อยากได้ลายไม้แบบ Rolls-Royce ลายคาร์บอน
หรือสีดำ ก็จบที่หลักพันครับ
ในทางกลับกัน หากคุณอยากได้ของครบๆ เช่น Smart Key เบาะไฟฟ้าด้านคนขับ
มาตรวัดและจอกลางแบบไฮโซ เทียบกับการเอารถ XV ตัวเก่ามาทำ ผมกลับจะมองว่า
เอาตัวใหม่ 2.0i Premium ไปเลยจะจบกว่า จริงอยู่ว่าหลายองค์ประกอบคุณนำไปเปลี่ยน
เองได้ แต่ต้องดูว่าถ้าไปทำเองข้างนอก จะทำให้หลุดการรับประกันศูนย์ (Warranty)
หรือเปล่า และถ้าทำก็ต้องเบิกหน้าปัด เบิกจอกลาง กรอบแอร์ใหม่ สวิตช์ไฟฉุกเฉิน สวิตช์
คุมจอ สวิตช์แอร์ใหม่ แล้วเอามาทำกับอู่ หรือทำกับศูนย์ ถ้าคุณคิดจะทำรถรุ่นที่แล้วให้
ออพชั่นเท่าตัวใหม่เด๊ะ ค่าอะไหล่กับค่าทำรวมกันก็ซื้อรุ่นใหม่เกือบได้ ก็เอารถที่มาแล้วจบ
ครบทั้งคันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ
ส่วนคนที่ใช้ XV อยู่แล้วพอเห็นรุ่นใหม่ออกมา รู้สึกอยากเปลี่ยนเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์
แล้วขายคันเก่าออกจะคุ้มมั้ย? ไม่คุ้มครับ การที่ Subaru ลดราคากระหน่ำตอนต้นปีนั่น
ก็เล่นเอาราคาขายต่อของ XV ตกมาระดับนึงแล้ว ถ้าคุณจะขาย XV ของคุณที่ดีอยู่แล้ว
เพื่อไปเอาสาวลุยคนใหม่ที่เติมเครื่องสำอางค์มากขึ้น ผมแนะนำว่าคุณอยู่กับสาวลุย
คนเดิมคันเดิมของคุณแล้วทำตัวเป็นผู้ชายที่หน้ารักโดยการซื้อ Make-up และเสื้อผ้า
ใหม่ๆให้เธอเพื่อให้เธอสวยขึ้นในแบบของคุณเองโดยไม่ต้องหนีไปหากิ๊กใหม่จะดีกว่า
.
แล้วในเรื่องประสิทธิภาพรถเทียบกับคู่แข่งล่ะ?
XV ไม่ใช่รถที่เหมาะสมกับทุกคนในประเทศไทย ไม่ใช่รถที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
ผมอยากให้คุณเริ่มต้นด้วยการมองพฤติกรรมการใช้รถของตัวเอง ตีโจทย์ให้แตกว่า
อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการมาก อะไรคือสิ่งที่ไม่ได้ต้องการ แต่มีได้ก็ดี จากนั้น ค่อยเลือก
รถที่มันสามารถตอบโจทย์คุณได้ลงตัวที่สุด
XV เป็นรถที่เหมาะสำหรับคนที่นิยมชมชอบรถที่มีช่วงล่างดี พวงมาลัยดี ชื่นชอบการ
ขับรถทางไกล ต้องการรถที่วิ่งได้ในหลายสภาพอากาศและหลากสภาพถนน หรือคน
ประเภทที่ชอบขับรถเร็วมากๆ หรือเจออะไรก็ตกใจหักพวงมาลัยหลบไว้ก่อน คนเหล่านี้
จะใช้ประสิทธิภาพและคุณสมบัติที่ XV มีให้มาได้อย่างคุ้มค่ากว่า
ส่วนคนที่ขับรถในเมืองเป็นหลัก วิ่งทางด่วน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ค่อยเน้นเรื่อง
ช่วงล่าง แต่อยากได้รถที่ยกสูงมากกว่ารถเก๋งแล้วยังขับสบายเหมือนรถเก๋ง ชอบรถที่
มีดีไซน์ล้ำยุค อุปกรณ์และหน้าปัดดูทันสมัยแพรวพราว Honda HR-V จะเป็นรถที่
ตอบโจทย์ได้ดีกว่า และคุณสามารถเลือกได้ตั้งแต่รุ่น 1.8S ราคา 933,000 บาทซึ่ง
ปรับสเป็คใหม่ อุปกรณ์ไม่น่าเกลียด แถมมีระบบ Brake-hold ซึ่งช่วยให้คุณสามารถ
ใส่เกียร์ D แล้วถอนเท้าออกจากเบรกได้ เวลาจะเขยื้อนต่อก็แค่กดคันเร่งเบาๆ เหมาะมาก
กับเมืองที่รถติดสาหัสอย่างกรุงเทพ ในขณะที่รุ่นสูงขึ้นไปอย่าง E-Limited ราคา
1,050,000 บาท ได้อุปกรณ์ครบกว่า XV 2.0i Premium มีเบาะไฟฟ้าคนขับเหมือนกัน
และมีถุงลมนิรภัยด้านข้าง+ม่านถุงลมเพิ่มมาให้อีก
ส่วนบรรดาวัยรุ่น กับวัยทำงานชนิดเพิ่งเริ่มทำงานที่รายได้ไม่สูงนัก การดาวน์รถ
หลายแสนบาทแล้วต้องผ่อนอีกเดือนละ 12,000-24,000 บาทอาจจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก
ยังมีรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็กที่พอจะตอบโจทย์คุณได้ อย่าง Nissan Juke ซึ่งหลังจาก
ไมเนอร์เชนจ์มายอดขายก็เดินดีเดินเร็วพอๆกับสลอธแก่ๆตัวนึง ทำให้มีโปรโมชั่นด้านราคา
ที่รุนแรงน่าสน ราคารถถูกกว่า XV เกือบครึ่ง แต่คุณก็เสียเนื้อที่ภายในและเนื้อที่บรรทุก
สัมภาระด้านท้ายไป มันเป็นรถที่ภายในคับแคบไม่เหมาะสำหรับคนตัวใหญ่กับพวกบ้าหอบฟาง
แต่ช่วงล่างดีกว่าที่คิด ขับมั่นกว่า HR-V มาก เล่นบทบู๊พอได้ แต่เห็นว่าเครื่อง 1.6 แล้วอย่าคิด
ว่ามันจะประหยัดน้ำมันนะครับ ส่วน Ford EcoSport ก็จะตอบสนองเรื่องพื้นที่โดยสารและ
การบรรทุกสัมภาระได้ดีกว่า Juke มาก แต่ก็ต้องแลกกับการตอบสนองของเกียร์ที่แม้จะอัพเกรด
เฟิร์มแวร์มาแล้วก็ยังมีจังหวะรีรอในบางที อัตราเร่งไม่เร็วเท่าไหร่ แต่โดยทั่วไปแล้วจัดว่า
เอนกประสงค์กว่ารถวัยรุ่นแบบ Juke
สำหรับคนที่มีงบประมาณระดับ 1.2 ล้านบวกลบ และเป็นพวกชอบเดินทางไปไหนไกลๆ
กับเพื่อนหรือครอบครัวพร้อมสัมภาระมากมายในระดับที่รถอย่าง XV กับ HR-V ไม่สามารถ
รองรับได้ แต่ไม่ต้องการไปเล่นรถ PPV อย่าง Fortuner หรือ Pajero Sport ซึ่งมีขนาดใหญ่
และขาดความคล่องตัว คุณก็ยังมีทางเลือกกับ SUV พื้นฐานเก๋งอยู่ ในงบ 1,200,000 บาท
คุณสามารถซื้อ Mazda CX-5 2.0C รุ่นถูกสุด ซึ่งมีช่วงล่างทัดเทียมได้กับ XV แถมมีเกียร์
กับเครื่องที่ขับมันส์ ขับสนุก และกินน้ำมันไม่ต่างกันมาก มีอุปกรณ์ความปลอดภัยครบทั้ง
ถุงลมนิรภัย 6 ใบรอบคัน ระบบรักษาการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ มีพื้นที่จุของด้านท้ายมากกว่า
XV ขนาดตัวรถโตกว่า มีอุปกรณ์มาให้ไม่แพ้ XV มีเบาะหนังสีดำ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า
มี Cruise Control เครื่องปรับอากาศเป็นแบบ Dual-zone จะขาดก็แค่ Smart Key และ
ไฟหน้ายังเป็นฮาโลเจนอยู่ ส่วนข้อเสียก็มีแค่เรื่องเสียงลมเข้ารถ และเบาะหลังที่ค่อนข้างชัน
และเอนไม่ได้ อาจจะนั่งไม่สบายสำหรับบางคน
ในงบประมาณใกล้เคียงกันนี้ ยังพอให้คุณเล่น Nissan X-Trail Hybrid รุ่นล่างสุดได้
ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการเก็บเสียงดีกว่า CX-5 และมีเบาะหลังที่นั่งสบายกว่า แต่คุณ
ต้องจ่าย 1,249,000 บาทแลกกับรถที่ไม่ค่อยมีอุปกรณ์อะไรมากนัก ไม่มี Cruise Control
และมีถุงลมแค่คู่หน้าเท่ากับ Juke นั่นล่ะ เป็นทางเลือกสำหรับคนที่เน้นการบรรทุกเพื่อเดินทาง
และไม่สนเรื่องของเล่นจุกจิกมากนัก ถ้าใครกลัวระบบไฮบริดในการใช้ระยะยาวๆก็ยังมี
X-Trail 2.0 รุ่นธรรมดา ที่อุปกรณ์น้อยเหมือนกัน แต่ดีกับคนนั่งหลังตรงที่มีพื้นที่เยอะ
และเบาะหลังสามารถเอนได้เพิ่มความสบาย อัตราเร่งดีกว่า XV นิดเดียว แต่ตัวโต
บรรทุกของและคนได้สะใจกว่าในราคา 1,184,000 บาทขึ้นไป
ผมอยากให้คุณลองคิดถึงคุณสมบัติของรถคันหนึ่งที่คุณต้องการให้ถี่ถ้วนก่อนเลือก
โดยไม่ต้องแคร์แบบเกินเหตุว่าผมจะพูดอะไรบ้างในการเขียนรีวิวนี้ รีวิว 1 เรื่องนั้น
มีคนอ่านหลายคน มีความต้องการหลากหลาย และแต่ละคนเน้นความสำคัญให้กับบางเรื่อง
ไม่เท่ากัน ผมจึงต้องพยายามหาจุดชมและจุดตำหนิไปในทุกเรื่องเท่าที่ทำได้ทั้งๆที่
บางเรื่องในชีวิตจริงตัวผมก็ไม่ได้ใส่ใจ
ผมไม่ได้เขียนเยอะๆพิมพ์เยอะๆ ตำหนินั่นนี่น้อยนิดเพื่อความพอใจส่วนตัว บางเรื่องที่กว่าจะชม
หรือจะติได้นั้นผมต้องเขียนแล้วลบแล้วแก้แล้วเขียนหลายรอบเพื่อให้มันเป็นความเห็นที่
ยอมรับได้และพิสูจน์ได้ ทั้งหมดก็เพื่อให้คุณ “เลือก”
เลือกว่าเรื่องใดที่คุณสนใจและใส่ใจ แล้วอ่านข้อมูลที่ผมนำมาเสนอ ส่วนเรื่องที่คุณมองว่า
ตัวคุณไม่ได้แคร์ หรือมองว่าจะไปแคร์มันทำไม ก็ข้ามมันไปเสีย เพราะผมอาจจะเขียนเพื่อ
คนอื่นอีกมากมายที่ให้ความสำคัญในบางจุดต่างกับคุณแค่นั้นครับ
จุดประสงค์ปลายทางของผม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการช่วยให้พวกเราสามารถประหยัดเวลา
ในการศึกษาข้อมูลในการเลือกซื้อรถใหม่ และมีบทบาทในการช่วยนำไปสู่การเลือกรถที่
คุณจะยินดีอยู่ร่วมกับมันไปจนกว่าคุณจะเบื่อแล้วก็ขายมันทิ้ง ถ้าเทียบโลกของรถกับโลก
ของคน ผมไม่ใช่พ่อสื่อที่นำเอาสาวลุย..หรือสาวเมโทร หรือสาววัยกระเตาะอย่างใดอย่างหนึ่ง
มาให้คุณแล้วบอกว่า “จีบเธอสิ” ในทางตรงกันข้าม ผมเป็นแค่รุ่นพี่ปี 6 ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ที่รู้จักผู้หญิงมากมายหลายคนทั้งเด็กปี 1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 แล้วเมื่อมีรุ่นน้องผู้ชายเข้ามาถามผม
ว่าคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร คนนี้จู้จี้มั้ย คนนี้น่าจีบไหม ผมก็แค่บอกทุกอย่างเท่าที่ได้ทราบมา
แต่คุณนั่นล่ะ..ต้องเอาดอกไม้ไปให้เธอ ขอเบอร์เธอ และลุยต่อเอง
ขอให้โชคดี ไม่ว่าคุณจะพบรักกับรถ..หรือกับคน
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
– คุณตวัน คำฤทธิ์ และคุณส้มโอ
บริษัท T.C. Subaru จำกัด
สำหรับรภทดลองขับและการประสานงานดูแลอย่างดีทั้งหมด
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของ คุณหมู Moo Cnoe
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
21 ธันวาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 21st,2015
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!