เมื่อใดก็ตามที่ Honda Civic เจนเนอเรชั่นใหม่ ใกล้ถึงวาระเปิดตัวในประเทศไทย สีสันในโลกแห่งยนตรกรรมจะดูจัดจ้านขึ้นในช่วงเวลานั้นเสมอ

สมัยที่เรายังไม่รู้จัก Facebook กับ Youtube นั้น ใครได้ลองขับ Civic ตัวใหม่ๆแล้วโพสท์ลงเว็บบอร์ดก่อนชาวบ้าน อารมณ์ที่ได้จะคล้ายกับคุณเพิ่งจะตีเมือง Troy แตก คุณจะนอนตาหลับสนิทเพราะรู้ว่าคุณเปรียบได้ดังแม่ทัพคนแรกที่เข้ามาปักธงกลางเมืองได้สำเร็จ ทั้งๆที่ 88% ของประชากรในตำบลอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณกำลังภูมิใจกับอะไรก็ตาม สิบกว่าปีผ่านไป เราก็ยังคงพยายามไขว่คว้าหาโอกาสให้ได้ทดสอบรถรุ่นนี้ด้วยพลังราคะทางยนตรกรรมที่ไม่ได้เสื่อมถอยลง

พิสูจน์ให้เห็นว่าในโลกของคนบ้ารถ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ของแพงเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ คุณจะไปขับซูเปอร์คาร์ 20 สูบ 4 เทอร์โบ 4 มอเตอร์ที่ไหนมาทำ Content ก็ได้ แต่ท้ายสุด รถที่ประชาชนอยากรู้ อยากอ่าน อยากดู คือรถที่พวกเขาสามารถ “มีส่วน” ในการเป็นเจ้าของมันได้

ชื่อชั้นของ Civic คือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นมาตรฐานหนึ่งของรถในเซกเมนต์นี้เสมอมา เคียงคู่ไปกับ Corolla เวลาคุณพูดว่า “Corolla/Civic” มันคือสิ่งที่คนเกือบทั้งประเทศสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนพอๆกับที่ Xerox สื่อให้เห็นถึงการถ่ายเอกสาร และมาม่า สื่อให้เห็นถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รถสองรุ่นนี้คือรถที่ไม่ว่าคุณจะโสด มีแฟน หนุ่ม สาว แก่ ใช้รถเดิม หรือชอบเติมแต่ง ก็สามารถซื้อไปใช้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก และแม้มันจะไม่ใช่ของหรู แต่เป็นของที่พอสำหรับชีวิตคน และมีที่เหลือให้คุณสนุกกับมันได้

จุดเริ่มต้นของรถทั้งสองรุ่นนี้ในประเทศไทย ก็เกือบเหมือนกัน คือเป็นรถที่มีโฟกัสเพื่อรับใช้ประชาชนส่วนใหญ่ แต่ในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ก็มีรุ่นย่อยที่เน้นภาพลักษณ์ด้านสมรรถนะออกมา เช่น Corolla GTi 4A-GE และ Civic LX-S คาร์บิวเรเตอร์คู่ เมื่อสิ้นรถเจนเนอเรชั่นนี้ ต่างคนก็ต่างมีวิถีในการทำตลาดของตนเองที่ชัดเจน Toyota เน้นทำรถที่ทนทานจนกาลเวลายังร้องไห้ ส่วน Honda นั้นพยายามชูเทคโนโลยีเครื่องยนต์เป็นจุดเด่นเสมอมา โดยเฉพาะระบบ SOHC VTEC ที่เอาเข้ามาใช้ใน Civic ครั้งแรกในรุ่น VTi (นำเข้า) ประมาณปี 1993 สร้างพลังได้ 130 แรงม้าเท่าๆกับ Corolla GTi แต่อยู่ในรถรูปทรงธรรมดาๆ

จากยุคนั้นเป็นต้นมา Corolla ไม่ค่อยเน้นเทคโนโลยีเครื่องยนต์แรงม้าสูง แต่เน้นเครื่องยนต์ที่แรงบิดดีเป็นช่วงกว้าง ขับง่าย นับตั้งแต่ GTi เป็นต้นมา รุ่นย่อยที่ดูจะเน้นแรงม้าบ้างก็คือ Corolla 2.0 เครื่อง 3ZR-FE เกียร์ CVT 145 แรงม้า ปี 2010..นอกนั้นจะมีแต่โมเดลธรรมดา 1.6-1.8 ลิตร ส่วน Honda นั้นอย่างน้อยจะมีรุ่นแรงสูงกว่าปกติให้เลือกมาตลอดทุกเจนเนอเรชั่น สมัยบอดี้ EK ตาโต ก็มีรุ่น 1.8Si 148 แรงม้า ในยุค ES ก็มีรุ่น 2.0 ลิตร 155 แรงม้าเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ซึ่งเครื่องยนต์นี้ก็ถูกนำไปปรับจูนและใช้กับตัวถัง FD รุ่น 2.0 ลิตรอีกครั้ง ก่อนที่จะเป็นเป็นเครื่อง R20 แคมชาฟท์เดี่ยว ในบอดี้ FB

และจากนั้นก็นำไปสู่จุดยืนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับ Toyota ไม่มีอะไรมากไปกว่ารถไฮบริด และรถเครื่องยนต์ปกติที่แต่งตัวให้ดูสปอร์ต ส่วน Honda พาเทคโนโลยีเทอร์โบหัวฉีดตรงยุคใหม่มาสู่ตลาดระดับนี้ และจับความต้องการของลูกค้าที่คลั่งไคล้รถยนต์ได้อย่างตรงเป้า ในขณะที่กลุ่มลูกค้าที่ใช้งานรถแบบทั่วไป ไม่สนความแรง ก็ยังมีรุ่น 1.8 ลิตร R18 SOHC เอาไว้แย่งลูกค้าจาก Toyota ได้อีก เมื่อบวกกับรูปลักษณ์ที่ออกแบบไม่เกรงใจพ่อของ Civic FC จึงไม่แปลกที่จะขายดีจนแม้กระทั่งรุ่นใหม่สะกิดว่า “จะมาแล้ว จะเปิดตัวแล้วนะเว้ย” ยอดขายก็ยังพุ่งเรื่อยๆแบบไม่สนโลก

 

เมื่อเปิดตัวในวันที่ 6 สิงหาคม ก็เป็นจริงตามที่มีข่าวปรากฏก่อนหน้าว่า Civic เลิกทำตลาดขุมพลัง R18 1.8 ลิตร เหลือเพียงขุมพลังแบบเดียวคือ 1.5 เทอร์โบล้วนๆ…น่าแปลกดีครับในขณะที่ค่ายรถในไทยส่วนมากพยายามทำเครื่องยนต์พลังสูงให้กลายเป็นอดีต เพราะขายไม่ได้ ขายไม่ดี… Honda กลับทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติที่อยู่ใต้ฝากระโปรง Civic ตัวถัง FE ทุกคันทั้งๆที่เมื่อพูดเรื่องอัตราส่วนยอดขายเมื่อครั้งเป็นบอดี้ FC รุ่น 1.5 เทอร์โบก็ขายแพ้ตัว 1.8 หลุดลุ่ย ถูกล่ะ ในอนาคตพวกเขาอาจมีแผนเอาขุมพลังไฮบริดมาเป็นตัวเสริม แต่ไม่ว่าจะเป็นไฮบริดหรือเทอร์โบ มันก็เป็นพลังขับเคลื่อนที่มีต้นทุนสูงทั้งคู่ การที่ยังกล้าจะดันเทคโนโลยีสันดาปภายในต่อในยุคที่คนรุ่นใหม่มองรถ EV กันเยอะแล้ว ก็นับเป็นความกล้าที่น่านับถืออย่างหนึ่ง

ดังนั้น เรื่องพละกำลัง ไม่ต้องขับก็ตอบได้ว่าแรง แต่รถคันหนึ่งออกมา ก็ใช่แรงแล้วดีที่สุด หลายคนซื้อรถคันนึงเพราะเครื่อง แต่อีกกี่พันกี่หมื่นคนที่สนใจด้านอื่นด้วยล่ะ? ในหลากมุมมองของการเป็นเจ้าของรถ ยังมีจุดที่พวกเขาใช้ในการพิจารณา เช่นอุปกรณ์ พื้นที่ภายใน การจัดท่าทางในการนั่ง ช่วงล่าง และอื่นๆอีกมาก ซึ่งทำให้ผมต้องมาลองขับ Honda Civic ใหม่ 11 วันหลังจากเปิดตัว เพื่อแชร์ความรู้สึกที่ได้รับจากรถคันนี้

Honda Civic FE ใหม่ มี 3 รุ่นย่อยให้เลือก

  • 1.5 TURBO EL  964,900 บาท – มี Honda SENSING เบาะผ้า ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ชุดหน้าปัด+จอกลางแบบ MID และอนาล็อก
  • 1.5 TURBO EL+  1,009,900 บาท – เพิ่ม เบาะและพวงมาลัยหุ้มหนัง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า เพิ่มลำโพงในรถจาก 4 เป็น 8
  • 1.5 TURBO RS  1,199,900 บาท – เพิ่ม LaneWatch ชุดแต่งภายนอก ล้ออัลลอย 17 นิ้วสีดำ ชุดหน้าปัดจอสี+จอกลางขนาดใหญ่และอีกหลายรายการ

Honda Civic ใหม่นี้ มีแนวคิดหลักในการออกแบบว่า “SOKAI Civic”

Sokai คือภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่า To make someone feel very happy ซึ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ทีมพัฒนารถจะใช้คำว่า “Exhilarating Civic” ถ้าแปลแบบมนุษย์ชาวไทยอย่างผม มันก็คือ Civic ที่ทำให้คุณรู้สึกดีมากเมื่อได้ขับนั่นเอง ซึ่งภายใต้แนวคิดหลักของรถว่าจะทำยังไงให้คนขับแล้วรู้สึกดี ก็ถูกกำหนดด้วยปรัชญาการสร้างอีก 2 ข้อ ก็คือ

  • Approachable – รถต้องมีจุดที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสะดวกสบาย ง่ายต่อการใช้ชีวิตด้วย เช่นการทำเบาะให้นั่งสบาย การจัดวางสวิตช์ต่างๆ ที่วางของวางแก้ว และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
  • Speciality – รถต้องมีจุดที่ทำให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกว่า มันมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนคนอื่น ทำให้เจ้าของรถรู้สึกพอใจที่ได้เป็นเจ้าของจุดเด่นข้อนั้น ซึ่งก็น่าจะมาจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ ดีไซน์ภายนอก ภายในนั่นเอง

ซึ่งแนวคิด SOKAI, Approachable, Speciality นี้ก็ถูกนำไปใช้กำหนดในการออกแบบรถทั้งคัน รวมถึงการจัดพื้นที่ห้องโดยสารใหม่ เน้นพื้นที่ส่วนที่เป็นกระจกและเสาค้ำหลังคา ให้อยู่ในมุมที่ไม่บดบังสายตา และขยายพื้นที่ในการมองออกนอกรถ เพื่อให้ความโล่งสบายทางสายตา ช่วยเสริมส่งความสบายของร่างกายเมื่อต้องนั่งอยู๋ในรถ แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องทำโดยที่ต้องไม่ละทิ้งสไตล์ตัวถัง แบน-กว้าง-เตี้ย ที่ตกทอดมาจากรุ่น FC ด้วย

Honda Civic ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,678 มิลลิเมตร กว้าง 1,802 มิลลิเมตร สูง 1,415 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,733 มิลลิเมตร  ระยะแทร็คล้อคู่หน้า/หลัง อยู่ที่ 1,547 และ 1,587 มิลลิเมตร ตามลำดับ น้ำหนักตัวรถ ในรุ่น EL ตัวถูกสุดอยู่ที่ 1,312 กิโลกรัม รุ่น EL + อยู่ที่ 1,319 กิโลกรัม และรุ่น RS อยู่ที่ 1,334 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 47 ลิตร

เมื่อเทียบกับรุ่น FC พบว่าตัวถังยาวขึ้นเกือบ 5 เซนติเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 3.5 เซนติเมตร นอกนั้นมิติด้านอื่นเกือบจะเท่ารถรุ่นเดิม อาจจะมองว่าไม่ได้ป่องพองโตมากขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเราย้อนกลับไป 10 ปี ตอนที่ Civic ยังเป็นตัวถัง FB จะพบว่าตัวถังมีความยาวต่างกันถึงครึ่งฟุต และกว้างขึ้นเกือบ 5 เซนติเมตรแต่กลับเตี้ยกว่ากันอยู่ราว 2 เซนติเมตร ..ข้อมูลนี้น่าจะช่วยให้เห็นว่า Honda เน้นดีไซน์ตัวถังแบนกว้างเตี้ยจริงจังขนาดไหนเมื่อเทียบกับรถจากทศวรรษก่อนๆ

รูปโฉมภายนอกนั้น รุ่น EL กับ EL+ จะดูเรียบสุภาพด้วยไฟหน้า Projector ธรรมดา ล้ออัลลอยห้าก้านคู่ขนาด 16 นิ้ว สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่า EL กับ EL+ อาจถูกออกแบบมาเอาใจลูกค้าสุภาพสตรี ก็คือการที่ Honda กำหนดให้สีฟ้าโทนใหม่ “Morning Mist” มีเฉพาะในสองรุ่นนี้เท่านั้น ผมว่ามันเป็นสีที่ไม่ฉูดฉาด ไม่ดึงดูดความสนใจ แต่ดูมีเสน่ห์เหมือนสาววัยประมาณ 27-28 ผู้ซึ่งมีการแสดงออกเรียบร้อยแต่แต่งตัวแอบเซ็กซี่นิดๆ

ส่วนรุ่น RS นั้น เป็นลูกรักที่ได้ของจากพ่อจากแม่เยอะสุด มาในชุดแต่งแพ็คเกจลัทธิดำ กรอบประตู กระจกมองข้าง กระจังหน้า สปอยเลอร์ และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วพ่นสีดำด้าน ไฟหน้าและไฟตัดหมอกเป็นแบบ LED และมีติ่งใต้กระจกมองข้างฝั่งคนนั่ง ซึ่งเป็นที่ติดตั้งกล้องสำหรับระบบ Honda LaneWatch ในภาพรวมทำให้ RS มีบุคลิกคนละโลกกับรุ่น EL และ EL+ เจ้าคันนี้เขามาในแบบมนุษย์พร้อมเหนี่ยว เซ็กซี่น้อยลง แต่ออกจะเสียงดังและมีความดุดันมากขึ้น

ความเห็นส่วนตัวสำหรับดีไซน์ภายนอก สิ่งที่ผมชอบคือสัดส่วนของรถ ซึ่งถ้าคุณจินตนาการตามผม เขยื้อนแนวแทร็คล้อหน้าไปทางข้างหน้าของรถสัก 4 นิ้ว มันจะดูเหมือนรถยุโรป Compact ขับหลังมาก แต่สวยมั้ย..ผมว่ามันไม่สุด ไม่มีรายละเอียดส่วนที่ไหนรู้สึกโดดเด่นประทับใจเป็นพิเศษเลย Civic FC รุ่นที่แล้ว แม้จะไม่สวย แต่ก็เป็นดีไซน์ที่เหมือนผู้ชายที่กวนส้นจนได้ใจหญิง มีแต่ความพิลึกพิลั่นตั้งแต่หน้าจรดท้าย แต่ก็ดูเป็นทรงที่ “ชั้นมั่น!ว่าชั้นจะเอาอย่างนี้!” จนในที่สุดวัยรุ่นก็ปรบมือให้ พี่กล้าจริง พี่แนวจริง ในขณะที่ Civic FE นั้น ดูเหมือน Accord ที่พยายามปรับไฟท้าย ซึ่งก็มีเค้าของ Audi A4 แฝงอยู่ ส่วนด้านหน้านั้นโหนกจน Frankenstein ยกธงขาว มันจะดูเรียบร้อยก็ไม่ใช่ จะดูล้ำยุค ยิ่งไม่ใช่ นั่งดูรูปมันมา 7-8 วัน ผมก็ยังไม่ชอบหน้ามันอยู่ดี

กุญแจรถ รุ่น EL และ EL+ จะให้สมาร์ทคีย์ธรรมดา แต่รุ่น RS นั้น จะได้กุญแจบัตร ..เป็น Smart Key Card บางพอๆกับบัตรเครดิตซ้อนกัน 3 ใบ ซึ่งคุณสามารถใช้แทนกุญแจรถได้เพื่อการพกพาที่สะดวก ใส่ในกระเป๋าเงินในช่องบัตรเครดิตยังได้ แต่ก่อนที่จะใช้งานได้ คุณต้องทำการเปิดใช้งาน ลงทะเบียน Smart Key Card นี้ผ่าน Application ของ Honda ก่อน และฟังก์ชั่นของตัวกุญแจก็คือคอยส่งสัญญาณเพื่อให้คุณกดเปิดล็อคประตูรถ และสตาร์ทรถได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้สั่งการอย่างอื่นได้เพราะบนตัวการ์ดก็ไม่มีปุ่มอะไรให้กด ถ้าจะใช้ระบบ Remote Engine Start สตาร์ทรถเปิดแอร์รอ ก็ต้องทำผ่านแอพฯ Honda CONNECT ไป นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีแต่รุ่น RS ที่มีกุญแจบัตร และมีระบบรองรับ Honda CONNECT

แต่ถ้าใครไม่ชอบเทคโนโลยีจ๋า (น่าจะน้อยนะ) เขาก็ยังมีกุญแจก้อนๆแบบเดิมมาให้อยู่ ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็สะดวกดี แต่ไม่ได้ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นอะไร ผมว่ามันได้เรื่องความเก๋และสะดวก แต่พอดีว่าเรามาถึงยุคที่เทคโนโลยีมันล้ำพอให้เราสามารถ Assign สมาร์ทโฟนให้ทำหน้าที่เป็นกุญแจได้แล้ว ผมเลยไม่ได้ตื่นเต้นกับกุญแจแบบบัตรเท่าไหร่ แต่เราอย่าไปว่าเขาเลย เขาพยายามจะ SOKAI ให้เราแล้วก็รับๆมาซะ

มือจับเปิดประตู ปิดเรียบไม่มีร่องให้เสียบกุญแจถ้ามองจากข้างนอก แต่สมมติว่ากุญแจของคุณแบตอ่อนมากแล้วจำเป็นต้องไขเข้าไปเอาของสำคัญในรถ กุญแจอันที่เป็นรีโมทแบบปกติน่ะ คุณสามารถชักดอกกุญแจออกมาได้ ดึงมือจับเปิดประตูง้างออกแล้วมองข้างใน จะเห็นรูเสียบกุญแจที่อาจจะต้องสอดท่ายากหน่อย ส่วนถ้าวันนั้นคุณพกกุญแจแบบบัตรมาจะทำไงล่ะ? ก็แงะสลักเล็กๆที่บัตรแล้วเอานิ้ววักกุญแจออกมาครับ บัตรบางขนาดนั้นพี่ยังทำกุญแจสอดซ่อนไว้ได้อีกเว้ย

การเข้าไปนั่งในรถ จะยากหรือง่าย ก็มีส่วนต่างจากเดิมคือพื้นที่ในการเข้า ใน Civic FC เสา A-Pillar จะมีความลาดเอียงมาก ตอนที่ผมเข้านั่งจึงค่อนข้างลำบาก ในรุ่น FE นี้ผมไม่ต้องก้มหัวหลบมากเท่า จริงๆต่างกันไม่มาก แต่ก็ทำให้พอรู้สึกได้เมื่อต้องลุกเข้าออกจากตำแหน่งขับปกติ..ถ้ากดเบาะให้เตี้ยสุดๆไปเลย (ซึ่งเตี้ยมากจนผมยังขับไม่ไหว) ความง่ายในการเข้าออกจะไม่ต่างกัน

เบาะนั่งของ Civic ใหม่นั้น ถ้าเป็นรุ่น EL จะเป็นแบบปรับมือล้วน EL+ ได้เบาะคนขับไฟฟ้า ปรับได้ 8 ทิศทาง ส่วนรุ่น RS ได้เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และเพิ่มเบาะไฟฟ้าฝั่งคนนั่ง ปรับได้ 4 ทิศทางเข้ามาอีก

วิศวกรญี่ปุ่นบอกว่า เบาะของรุ่นนี้จะออกแบบโดยใช้หลัก Body Stabilizing ที่เน้นความสบายในการนั่งมากขึ้น มีเป้าหมายในการลดความเมื่อยล้าในการขับระยะยาวมากกว่าที่จะมุ่งเน้นเรื่องการขับแบบสปอร์ต

ตัวเบาะมีความนุ่มแน่นปานกลาง พนักพิงศีรษะก็นุ่มปานกลาง ไม่แข็งจนเกิดความรำคาญ และออกแบบให้ดุนศีรษะมาข้างหน้านิดๆ เมื่อมีการปรับปรุงส่วนรองแผ่นหลังให้ฟูดันหลังได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากรุ่นเดิม ก็ทำให้ตัวเบาะของ Civic นั่งได้สบายขึ้นอยู่บ้าง พวงมาลัยก็ปรับได้ 4 ทิศเช่นกัน เมื่อลองเข้าไปนั่งแล้วปรับสู่ตำแหน่งการขับขี่ที่ถนัด ผมรู้สึกฉงนใจนิดหน่อย ว่าเอ๊ะ..บางอย่างเปลี่ยนไป ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะพอดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม ไหล่ขวาของผมเบียดแผงประตูน้อยกว่ารุ่นเดิม หมุนพวงมาลัยถนัดขึ้น แข้งขาเข่ามีจุดพิงจุดอิงที่ลงตัวกับร่างกายผมมากขึ้น เบาะนั่งดูเหมือนจะติดตั้งไว้สูงกว่ารุ่นเดิมหน่อยๆ ผมจำได้ว่ารุ่นเดิมถ้าปรับเบาะลงต่ำสุด ผมจะรู้สึกนั่งจมมากจนผิดธรรมชาติ แต่รุ่นใหม่นี้ ปรับต่ำสุด ผมยังพอขับได้

ใช้สูตรเอากำปั้นวางบนหัว ปรับเบาะสูงขึ้นจนกำปั้นชนเพดาน แล้วค่อยกดมันลงมานิด..อุ้ย..มันใช่ว่ะ! ตำแหน่งการขับในฝันจากรถ C-Segment ผมหาเจอแล้วจาก Civic 2021! มันมีความรู้สึกโล่งโปร่งหัวขึ้น ทัศนะวิสัยด้านหน้าดูปลอดโปร่งขึ้น เสา A-pillar ทำมุมในลักษณะที่มันบดบังมุมมองโค้งของผมน้อยลงกว่ารุ่นเดิม..ยิ่งถ้ามาจาก Civic FD แล้วมาขับคันนี้ ยิ่งคนละเรื่อง! ผมชอบตำแหน่งการนั่งของมัน

ส่วนการเข้าออกที่ประตูหลังนั้นก็เช่นกัน ต่างจากเดิม..ง่ายกว่าเดิม..แต่ไม่มาก แม้ว่าบานกระจกจะดูโตขึ้น น่าจะหลังคาสูงขึ้น แต่จริงๆมันไปขยายพื้นที่กระจก ณ ขอบล่างของหน้าต่างซะมากกว่า ดังนั้นตอนเข้าก็ง่ายกว่าเดิมนิดหน่อย แต่พอเข้าไปนั่งแล้วจะรู้สึกว่าโปร่งตาขึ้น

ตัวเบาะหลัง วางระดับของเบาะรองนั่งไว้สูงกว่ารุ่นเดิมพอรู้สึกได้ จากเดิมเวลานั่ง Civic FC เบาะหลัง คุณจะรู้สึกได้ว่า มีที่เหนือศีรษะเยอะ มีที่ Legroom เยอะ แต่นั่งแล้วตูดมันจะจมๆแล้วเข่ามันจะลอยๆ คราวนี้ ใน Civic FE ความจมของตูดจะน้อยลง ตำแหน่งการนั่งใหม่นี้น่าจะช่วยลดอาการปวดเข่าเวลาเดินทางไกลลงได้ และยัง Enjoy ไปกับเนื้อที่วางขาที่ยาวกว่าเดิมอีกประมาณ 1 นิ้ว สิ่งเดียวที่ผมว่าแย่กว่ารุ่นเก่าคือ พอเบาะรองนั่งมันสูงขึ้น เจอแนวหลังคาที่สูงเท่าเดิม เลยกลายเป็นเนื้อที่เหนือศีรษะน้อยลง ในรุ่นเดิม ผมนั่งหลังตรงหัวจะแตะเพดานพอดี แต่ในรุ่นนี้ ถ้านั่งหลังตรง ต้องเอียงหัวหลบเพดานครับ

แต่ในภาพรวม ผมยินดีนั่งในรุ่นใหม่แม้จะต้องไถลก้นไปข้างหน้าเพื่อเอาหัวหลบหลังคาก็ตาม เพราะความสูงของเบาะรองนั่งมันทำให้รู้สึกสบายตูดสบายเข่ามากกว่า

แต่บางจุดก็ดูเหมือน Honda เขาไม่อยากจะปรับปรุงจริงๆ เช่นชายขอบซ้าย/ขวาของเบาะที่เป็นพลาสติกแข็ง ก็ยังแข็งอยู่อย่างนั้น เบาะหลังพับไม่ได้ ..ก็ยังพับไม่ได้อยู่ดี ช่องเป่าลมแอร์สำหรับคนนั่งหลัง รุ่นเดิมไม่มี..รุ่นนี้ก็ยังไม่มีเช่นเดียวกัน เห้ย พี่! ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่แม้แต่รถกระบะหลักแสนอย่าง Navara King Cab ยังมีช่องลมแอร์หลัง Mazda 3 เบาะหลังแคบแมวดิ้นตายก็ยังมีช่องแอร์หลัง Altis ก็มี พี่ครับ! แม้แต่รุ่นน้องในค่ายอย่าง City e:HEV ยังมีเลยพี่ พี่ขาย Civic เก้าแสนกว่าถึงล้านต้น พี่ใส่มาหน่อยไม่น่าเป็นไรมั้งครับ

เขียนแบบนี้บางคนจะด่าอีกว่า มันไม่สำคัญ ผมไม่มีคนนั่งหลังบ่อยขนาดนั้น เอ้า..ผมเองก็ไม่ค่อยมีคนนั่งหลังครับ แต่ในงานเขียนแบบรีวิว คุณก็ต้องมองเผื่อคนอื่นที่เขาอาจจะมีลูกหลานต้องนั่งหลังด้วย การที่รถรุ่นถูกกว่า..ในค่ายเดียวกัน..แล้วถูกกว่ากันเป็นแสน..แล้วเป็นรถที่ออกแบบและขายก่อน มีให้แล้ว Civic ไม่มี ผมมองว่าเป็นข้อที่ควรปรับปรุง เพื่อความสบายของลูกค้าเองด้วย

พื้นที่เก็บของด้านท้ายรถ Honda สามารถใส่ถุงกอล์ฟขนาด 9.5 นิ้วได้ 4 ใบ แต่ไม่แน่ใจว่าปรับอีท่าไหนเหมือนกัน พื้นที่ความจุโดยรวมกลับลดลงจาก 530 ลิตร เหลือ 493 ลิตร ซึ่งถึงแม้จะเล็กลง แต่ก็จัดว่ามีพื้นที่เยอะกว่า Corolla Altis (470 ลิตร) และ Mazda 3 (419 ลิตร) แต่มาตายตรงที่เบาะหลังพับเพื่อเพิ่มพื้นที่หรือบรรทุกสัมภาระยาวไม่ได้ และต่อให้คุณถอดเบาะออก ก็จะยังมีคานเหล็กสีดำขวางอยู่ดีอย่างที่เห็น ความอเนกประสงค์ที่ควรจะมีเลยอันตรธานไป

ผมก็งงนิดหน่อยกับ Honda รถระดับ Civic นี่ผมว่าโอกาสที่เจ้าของรถจะต้องพับเบาะยังมีอยู่ ส่วนรถระดับผู้บริหารฝ่ายอย่าง Accord นั้นผมไม่ค่อยเห็นใครพับเบาะเลย แต่..นั่นแหละครับ เบาะของ Accord ดันพับลงได้ (พับทั้งชิ้น ไม่แยก) เออ..ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ฝากระโปรงท้าย มีปุ่มกดเปิดได้จากภายในรถ และสามารถกดเปิดโดยตรงที่ด้านท้ายรถ และเปิดจากรีโมทได้ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือกลไกโช้คอัพค้ำฝากระโปรงหลังสองข้าง ซึ่งจะช่วยเด้งเปิดฝากระโปรงขึ้นเมื่อมีการเปิด

ข้างใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ เมื่อเปิดออก จะมีชุดเครื่องมือ และยางอะไหล่แบบ Compact Size ซึ่งแม้เมื่อใส่แล้วคุณจะวิ่งได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. แต่ผมว่ามันดีกว่าการให้ชุดน้ำยาปะยาง ตรงที่ถ้ายางคุณรั่วจนแบนแล้วคุณวิ่งบดยางไปจนแก้มยางฉีก ณ จุดนั้น น้ำยาซีลช่วยอะไรคุณไม่ได้นะครับ การมียางอะไหล่ แม้จะลำบากตอนเปลี่ยนบ้างก็เถอะ การที่ Honda ให้ยางอะไหล่ขนาดเล็กมา ผมว่าทำถูกแล้ว บาลานซ์กันทั้งในเรื่องการพยายามประหยัดเนื้อที่ และการเอารถให้รอดในกรณีฉุกเฉิน

บรรยากาศภายใน คือสิ่งที่กู้ศรัทธาผมคืนจากความผิดหวังที่มีต่อภายนอกของรถได้เป็นอย่างดี สารภาพว่าตอนแรก ดูจากในภาพ ผมว่า “จืดว่ะ” แต่พอลงไปนั่งในรถคันจริง มันคนละความรู้สึกกัน

ใน Civic โฉมที่แล้ว การออกแบบ โดยเฉพาะแดชบอร์ดนั้นดูล้ำยุคล้ำสมัย อันที่จริง ทั้ง Civic FD และ FB ที่มาก่อนหน้าก็มีความ “อวกาศ” ในการออกแบบมาตลอดอยู่แล้ว ใน Civic โฉมก่อน มันขัดเกลาความอวกาศนั้นให้เข้ากับยุคสมัยที่จอทัชสกรีนเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ความเด่นของมันจึงอยู่ที่บรรดาจอต่างๆ บวกกับการเล่นมิติความเว้าความโค้งของแดชบอร์ด ส่วน Civic รุ่นใหม่ เมื่อออกแบบตามหลัก SOKAI แล้ว ผมว่าความเป็นยานอวกาศมันลดลง…แต่มันดูเป็นภายในของรถมากขึ้น แม้เสน่ห์จากความโค้งความเว้าจะหายไปบ้าง แต่ก็แทนที่ด้วยเส้นสายที่เอาความเรียบ ใช้งานง่ายเป็นตัวนำ แล้วไปใส่ความล้ำยุคในรายละเอียดเล็กๆแทน

ผมชอบแบบนี้ แม้ว่าหลายคนจะล้อว่าเหมือน Audi ผมก็คงไม่เถียง เพราะ Outline ของ แดชบอร์ดมีความคล้ายกัน แต่รายละเอียดหลายจุดต่างกันครับ ก็คงเหมือนกับการที่คุณเอานาฬิกา Rolex Submariner กับ Seiko SNZF-17 มาเทียบกัน คุณเห็นตัวเรือน เห็นหลักชั่วโมง กับขอบหมุนที่สไตล์ดูแล้วรู้แหละว่ามีความพยายามทำให้เหมือน แต่มันยังมีเอกลักษณ์บางส่วนที่ต่างเพื่อให้คุณแยกออกอยู่ Honda ก็ยังมีความเป็น Honda ตรงเรื่องการจัดวางสวิตช์ ซึ่งออกแบบมาจนคนที่เคยขับ Civic FC ก็สามารถย้ายมาขับ FE ได้เลยโดยไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่มากนัก

หลักการออกแบบ SOKAI ถูกนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม

ในแง่ของปรัชญา “Approachable” ความง่ายในการใช้งาน สบายเวลาขยับทำอะไรสักอย่าง และรายละเอียดที่ทำให้รถมีความเด่น ..ผสานอย่างลงตัว การย้ายจอกลางขนาดใหญ่ขึ้นไปด้านบน แม้ว่าจะกลายเป็นรูปแบบที่ซ้ำกับชาวบ้านเยอะ แต่ก็ทำให้มันอยู่ใกล้ระดับสายตาคุณมากขึ้น ไม่ต้องดึงสายตาลงมาจากถนนมากเพื่อมองจอ ช่องแอร์เขยิบต่ำลง เป่าลมไปที่นมแทนที่จะเป็นหน้าเหมือนก่อน พูดถึงเครื่องปรับอากาศ จากเดิม Civic FC 1.5 RS เวลาจะ A/C On/Off หรือปรับทิศทางลม คุณต้องกดปุ่ม CLIMATE แล้วไปปรับบนจอกลาง แต่ใน Civic FE ใหม่ คุณสามารถทำทุกอย่างนี้ได้ที่แผงควบคุมระบบปรับอากาศเลย ไม่ต้องควานหาสองที่  ช่องเสียบ Power Outlet และ USB ที่เคยซ่อนอยู่ใน “ชั้นใต้ดิน” ของแดชบอร์ดแล้วมีช่องให้ลอดสายไฟมา คราวนี้มาโผล่ประจันหน้าคุณอยู่ที่ตอนล่างของคอนโซลเลย แน่นอน..รุ่นเก่าจะดูเรียบร้อยกว่า แต่รุ่นใหม่ สามารถเสียบใช้งานได้ง่ายแม้ขณะขับรถอยู่ คันเกียร์ก็ถูกเขยิบให้ชิดเข้ามาหาคนขับ ลดระยะการขยับแขนจากพวงมาลัยมาคันเกียร์

นี่! มันต้องอย่างนี้! Honda มีชื่อเสียงเรื่องการออกแบบที่เข้าใจวิถีชีวิตมนุษย์ กลับมาแล้วโว้ย

ส่วนในแง่ปรัชญา “Speciality” ก็ดูได้จากการใส่ใจเรื่องวัสดุตกแต่ง Honda นี่ถ้าไม่ใช่รถรุ่นหลายล้าน เรารู้กันอยู่แล้วนะครับ ว่าเขาไม่ได้ถนัดเรื่องงานพรีเมียม มันก็คือห้องโดยสารที่มีพลาสติกบ้างบุนุ่มบ้างเหมือนเคยแหละ แต่อย่างน้อยก็เล่น Detail อย่างตาข่ายอะลูมิเนียมที่ปิดช่องแอร์ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมนึกถึงแกนท่อไอเสียแต่งอยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่บ้ารถ การเอาฟีลลิ่งนั้นมาใส่ในห้องโดยสารมันก็ได้อารมณ์ Custom เหมือนให้ Gotham Garage มาจัดทรงให้ ตรงนี้ ได้ใจอยู่ครับ การตกแต่งรอบคันเกียร์ ทำได้สวยดูมีราคาสมค่าตัวมากขึ้น รุ่น RS มี Wireless Charger ให้ด้วย

จอกลาง รุ่น EL และ EL + จะมีขนาดเพียง 7 นิ้ว ซึ่งเล็กไปแล้วนะสำหรับยุคนี้ ส่วนรุ่น RS จะมีขนาด 9 นิ้ว ในการออกแบบของ Honda จะมีการจัดลำดับความสำคัญให้การสั่งงานบางฟังก์ชั่น จะยังเป็นปุ่มกดอยู่ ในขณะที่บางฟังก์ชั่นก็เป็นทัชสกรีนกดบนจอได้เลย แบบนี้วัยรุ่นยุครถ EV เขาจะไม่ค่อยชอบกันเพราะไม่ล้ำยุค ซึ่งก็จริงของเขา แต่ผมกลับชอบให้มีการผสานปุ่มกดไปกับระบบทัชสกรีน ในกรณีที่จอเกิดชำรุด อาจจะ Defect หรือสายอะไรขาดก็ตามแต่ คุณยังเหลือฟังก์ชั่นให้ใช้งานมันได้ เช่นปุ่ม HOME หรือลูกบิดปรับเสียง ซึ่งเวลาคนนั่งข้างอยากจะปรับตอนรถกำลังขับ สามารถทำได้ง่ายดาย ส่วนคนขับก็ใช้ปุ่มมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัยเอาก็ได้

จอกลางใช้งานง่าย ตอบสนองเร็วพอประมาณ เมนูต่างๆบนหน้าจอ จากเดิมจะมีสีสันน้ำเงินหรือแดง จัดวางเมนูแบบที่ดูแล้วรู้ว่าเป็นเมนูและฟังก์ชั่นรถยนต์ ใน Civic รุ่นใหม่ จะทำให้คล้ายหน้าจอ iPad หรือสมาร์ทโฟนมากขึ้น เอานิ้วไถดูก็ไหลลื่นดีระดับหนึ่ง แถมดีตรงที่มี Shortcuts หกปุ่มทัชข้างล่างของจอ ซึ่งเจ้าของรถสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้มีปุ่มลัดไปไหนบ้าง ส่วนเรื่อง Font ที่หลายคนบอกว่าดูโบราณ ผมกลับมองว่าโอเค ยิ่งถ้าใช้เมนูภาษาอังกฤษ (แบบที่ผมถนัด) มันกลับดูดีใช่เล่น

ทุกรุ่นรองรับการใช้งาน Apple CarPlay แต่รุ่น EL กับ EL+ จะต้องใช้สาย USB ต่อ ในขณะที่รุ่น RS จะสามารถเชื่อมต่อแบบ Wireless ได้เลย

รุ่น RS จะมีจอที่มาพร้อมฟังก์ชั่นระบบนำทางในตัว อีกทั้งยังผนวกเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตั้งค่าต่างๆของตัวรถ เมื่อเข้าไปในเมนู Vehicle Settings (การตั้งค่ารถยนต์) เช่น ถ้าคุณต้องการปรับความไวในการทำงานของระบบกระตุกพวงมาลัยกลับรักษารถให้อยู่ในเลน หรือตั้งค่าการล็อครถ ว่าจะให้ล็อคเมื่อรถเคลื่อนที่, ล็อคเมื่อชิฟท์เกียร์ออกจาก P หรือไม่ต้องล็อค และระบบอื่นๆอีกหลายอย่าง คุณทำได้ที่จอนี่ล่ะครับ และมันสามารถเซ็ตค่าได้หลายอย่างสมกับเป็น “Vehicle Settings” จริงๆ ไม่ใช่เปิดมา มีแต่สื่อบันเทิง กับเซ็ตสีหน้าจอขำขำ

ชุดเครื่องเสียงของรุ่น EL จะมีเพียง 4 ลำโพง แต่ EL+ และ RS จะมี 8 ลำโพง เป็นเครื่องเสียงแบบธรรมดา ที่โทนเสียงพอฟังได้ เอาน้ำหนักเสียงไปกองไว้กับลำโพงหน้าเสียเยอะ แต่ก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกแบบ Front Stage Sound ไม่ได้มีมิติเสียงน่าฟังอะไรมาก ก็ไม่แปลกหรอกถ้าเจ้าของ Civic ส่วนนึงจะชอบนำไปแต่งชุดเครื่องเสียงเพิ่ม


ในรุ่น RS เมื่อคุณกระดกก้านไฟเลี้ยว หรือกดปุ่มที่ปลายก้านไฟเลี้ยว ก็จะเปิดกล้องที่กระจกมองข้างด้านซ้าย ฉายให้เห็นภาพในจุดบอดกระจกมองข้าง หรือที่เรียกว่าระบบ Honda LaneWatch นั่นเอง ผมก็ว่าเป็นใช้ง่ายดี แต่บางทีถ้ามีด้านขวาด้วยก็ดีนะ อย่างสเป็คอเมริกา เห็นว่าเปลี่ยนเป็นระบบ Blind Spot Monitoring สองข้างเลย ผมว่าแบบนั้นก็ดี เพราะบางทีเวลาเราแซง เรามักฉีกออกเลนขวา และกระจกส่องข้างของ Civic FE ก็ยังมีจุดบอดอยู่บ้างเหมือนกัน

ส่วนกล้องถอยหลัง มีให้ทุกรุ่น และยังปรับได้ 3 มุมมองเช่นเคย แต่ยังไม่มีกล้องรอบคัน และไม่มีเซนเซอร์หลังมาให้ ทำให้เวลาถอย บางทีก็ต้องเล็งให้ดี อย่าลุ้นให้ฉี่เหนียวมาก เดินหน้าขยับใหม่ได้ก็ทำไป

แผงมาตรวัดเป็นจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุง รุ่น EL กับ EL+ จะใช้จอ MID ขนาด 7 นิ้วเป็นจอซ้าย และใช้เข็มความเร็วด้านขวาแบบอนาล็อก ซึ่งก็จะคล้ายกับชุดมาตรวัดของ Accord และ City ส่วนรุ่น RS เป็นจอขนาด 10.2 นิ้ว จะเรียกว่าเป็น Full-TFT หรือจอสีเต็มก็ยังติดขัดอยู่ตรงที่มาตรวัดอุณหภูมิน้ำกับเข็มน้ำมันยังเป็นดวงไฟสีขาวติดทีละดวงเหมือนรุ่นเดิมอยู่ อย่างไรก็ตาม หน้าปัดของรุ่น RS นั้นผมว่าก็เพียงพอเรียกศรัทธาจากแฟนๆได้ ด้วยสีสันและลูกเล่นของมัน

ในขณะที่หน้าปัดรุ่นเก่าสวยแบบเอาใจวัยรุ่น แต่ใช้งานจริงแล้วดูค่อนข้างสับสน หน้าปัดของรุ่นใหม่นี้ ทั้งสวย ทั้งดูเรียบร้อย แยกโซนต่างๆชัดเจน ตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอลอยู่ตำแหน่งคล้ายๆเดิม แต่มาตรวัดรอบอ่านค่าได้ง่าย อีกทั้งยังเพิ่มการแจ้งความเร็วแบบเข็มมา ซึ่งถ้าคุณไม่ได้อยากรู้ข้อมูลการขับขี่อะไรมาก คุณสามารถกดปิดฟังก์ชั่นข้อมูล มันก็จะแสดงเข็มความเร็วแบบยาวเข้มเต็มเข็ม ตรงกลางระหว่างมาตรวัดจะมีรูปรถ ซึ่งเวลาเราเบรก ไฟเบรกบนรูปรถนี้จะติดด้วย บางครั้งสามารถโชว์เส้นขอบถนน ยานพาหนะบริเวณใกล้เคียง และสถานะการทำงานของระบบ Adaptive Cruise Control ได้ด้วย

เมื่อกดเข้าโหมด SPORT พื้นหน้าปัดบางส่วนก็จะเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงขึ้นมา ก็ดีไปอีกแบบตรงที่คุณรู้ได้ง่ายเลยว่ารถกำลังอยู่ในโหมดนี้เพียงชำเลืองตามองหน้าปัด อันที่จริงผมว่ารถที่มีหน้าปัดเป็นจอสีแบบนี้ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้ขับสามารถ Config วิธีการแสดงค่าหรือรูปแบบหน้าปัดได้หลากหลายกว่านี้ คุณดูอย่างของ Mercedes-Benz เป็นตัวอย่างก็ได้ว่าจอสีที่ใช้คุ้มควรทำอะไรได้บ้าง..แต่ถึงไม่ปรับปรุงอะไร หน้าปัดของ Civic (เฉพาะรุ่น RS) ก็ถือว่าเด่นสุดในคลาสแล้วครับ

การสลับเปลี่ยนข้อมูลบนหน้าจอ จำง่ายครับ สวิตช์ Toggle บนก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ปรับข้อมูลมาตรวัดชุดซ้าย และสวิตช์บนก้านขวาก็ปรับจอขวา ทางจอด้านขวานี้สามารถโชว์ข้อมูลได้หลากหลายตามที่เห็นในภาพข้างบน จอที่เป็นเข็มทิศนั้น เมื่อคุณเปิดใช้งานระบบนำทาง ก็จะเปลี่ยนเป็นการไกด์เส้นทางแบบ Turn by Turn ให้

ส่วนจอที่มาตรวัดด้านซ้าย ก็จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเสียง, ไฟล์เพลงที่กำลังเล่น, โทรศัพท์ และการตั้งค่าต่างๆของหน้าปัดฝั่งซ้าย ถ้าหากว่าคุณเข้าไปที่ Customize Display แล้วไปเลือก Clock and Audio เป็น OFF คุณก็จะได้เข็มวัดรอบสีแดงยาวจนเหมือนหน้าปัดเรืองแสงจากสมัยก่อน อันนี้ดีครับ ทำให้สังเกตการกวาดของวัดรอบง่ายขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ถ้าคุณเข้าไป Customize Display ที่จอฝั่งขวา แล้วเลือก “Gauge Design” แล้วเลือก Bar หน้าปัดจะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลวัดรอบกับความเร็วเป็นแท่งสูงอยู่ริมจอ..ซึ่งเหมือนจะดูดี EV Culture แต่ทุกอย่างที่อยู่ตรงกลาง ก็ยังโชว์ค่าแบบเดิม สไตล์เดิม รวมๆออกมาแล้วผมว่าตลก ปล่อยมันกลับบ้านไปเถอะ

โดยสรุปสำหรับภายในเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ผมว่าทำออกมาได้ดูดี แต่ไม่มีใครดีกว่าใครชัดเจนแบบสุดโต่ง บางคนมีดีอย่างสองอย่าง ขาดของก็อย่างสองอย่าง

  • Honda Civic – มีจุดเด่นเรื่องเนื้อที่สำหรับการโดยสาร การจัดวางอุปกรณ์กรณ์ สวิตช์ต่างๆทำมาได้ดี มีข้อเด่นที่ชุดมาตรวัด เป็นรุ่นเดียวใน C-Segment ที่ให้แผงมาตรวัดจอสีโตสุด จอกลางขนาดโตสุด (RS) เรียกว่าเป็นการบาลานซ์ระหว่างสไตล์ การใช้งาน และพื้นที่ใช้สอยออกมาได้ดี แต่จะแอบตัดอุปกรณ์ปลีกย่อย เบาะไฟฟ้าคู่หน้านะ แต่ฝั่งคนนั่งปรับสูงต่ำไม่ได้ ซึ่ง Altis Hybrid ตัวท้อปปรับได้ทุกทิศแถมยังปรับดันหลังไฟฟ้า ส่วน Mazda แม้ฝั่งคนนั่งจะปรับมือ แต่ก็ปรับสูง/ต่ำได้และฝั่งคนขับมี Memory มาให้ Civic เป็นคันเดียวที่ไม่มีจอ Head-Up Display และไม่มีช่องเป่าลมแอร์คนนั่งหลัง เบาะหลังพับไม่ได้ และปีกฝั่งชิดประตูของเบาะหลังก็ยังเป็นพลาสติกแข็งเหมือนเดิม
  • Toyota Corolla Altis – ดีไซน์ดีกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนๆแต่พอเจอ Honda กับ Mazda ก็คงมีแต่มารดาเขาผู้เดียวเท่านั้นที่รักได้ ตำแหน่งการนั่ง การขึ้นลงจากรถ สูงที่สุดในกลุ่ม  เบาะหลังติดตั้งสูงกว่าใคร เหมาะกับคนขับวัยชราหรือมีปัญหาเข่า แต่เนื้อที่วางขาด้านหลังยังเป็นรอง Honda เป็นรถคันเดียวในกลุ่มที่แอร์ออโต้ยังไม่สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย/ขวาได้ เนื้อที่ท้ายรถอยู่กึ่งกลางของกลุ่มแต่เบาะหลังยังแบ่งพับได้
  • Mazda 3 – มีความ Extreme ในแง่ของการประเคนวัสดุนุ่ม การใส่ใจเก็บรายละเอียดแม้กระทั่งสวิตช์ที่กด ถ้ายิ่งดูแบบละเอียด มันคือรถที่ให้วัสดุภายในมา ใกล้เคียงรถยุโรปมากที่สุดของกลุ่ม เบาะนั่งหน้าผมชอบมากสุดในกลุ่ม แม้ไม่มีเบาะไฟฟ้าฝั่งคนนั่ง แต่มีระบบความจำของเบาะไฟฟ้าฝั่งคนขับมาให้ จอกลางติดตั้งใกล้ระดับสายตามากที่สุดแต่ก็ทำให้ไม่มีฟังก์ชั่นทัชสกรีน (ไกลมือเกิน) เป็นรถคันเดียวในกลุ่มที่ Adaptive Cruise Control ไม่มีฟังก์ชั่น Stop & Go และพื้นที่ภายในคับแคบกว่า Honda และ Toyota เนื้อที่เก็บสัมภาระน้อยที่สุดเช่นกัน

*****รายละเอียดทางวิศวกรรม*****

ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องรถขับหน้าเซกเมนต์เดียวกันเขาละทิ้งความสำคัญของเครื่องยนต์สันดาปภายในตัวแรง Honda กลับมาแปลกตรงที่พวกเขาเลิกคบเครื่องยนต์ R18 1.8 ลิตร SOHC ที่มีต้นทุนการสร้างไม่แพง (ไม่ต้องมีเทอร์โบ ไม่ต้องมีอินเตอร์คูลเลอร์ ใช้น้ำมันเครื่องสุดธรรมดายังเปลี่ยนถ่ายทุกหมื่นโลได้) และใช้งานใน Civic มา 3 เจนเนอเรชั่น ..ตอนนี้ Honda Civic ในไทย มีแต่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบให้เลือกเพียงแบบเดียว ไม่ต้องเลือกกันมาก..หรืออย่างน้อย ก็จนกว่าจะมี Civic Hybrid มา (หรือเปล่า? หุหุ)

เปิดกระโปรงมา ก็เจอห้องเครื่องอันแสนคุ้นเคย..คือไม่เก็บรายละเอียดชายขอบเลยเหมือนเคย แล้วก็ดูรกรุงรักเหมือนนางเมดูซ่าเข้าไปทำแฮร์ดูอยู่ในนั้น..เหมือนเดิม แต่ถ้ามองข้ามความรกสายตานี้ไป ไอ้ที่กระดิกกระดิกอยู่ข้างในนั่นล่ะ ของหวานชาวรถ!

แล้วเครื่องยนต์นี้ ก็ไม่ใช่ว่าเอาของ Civic FC มาปรับนะครับ เขาเปลี่ยนทั้งเครื่องไปใช้ของ Accord เลย รหัสเครื่องก็เปลี่ยนจาก L15B7 เป็น L15BG

รูปแบบเครื่องยนต์ ก็เป็นแบบ DOHC 4 สูบ Direct Injection Dual VTC ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.3 : 1 ให้พละกำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 1,700 – 4,500 รอบ/นาที  เมื่อวางในบอดี้ Civic นี้ก็ปล่อย CO2 139 กรัม/กิโลเมตรตาม Ecosticker

เครื่องยนต์นี้มีระบบ VTC ที่สามารถหมุนแท่งเพลาลูกเบี้ยว Advance/Retard ได้เป็นระยะ 50-60 องศาทั้งในฝั่งไอดี/ไอเสีย และต่างจาก L15B7 เดิม ตรงที่มีกลไกแปรผันระยะยก/องศาแคมชาฟท์ที่ด้านฝั่งไอเสียเพิ่มมาด้วย เพราะฉะนั้นคราวนี้ไม่ต้องเถียงกัน คุณสามารถเรียกมันว่า VTEC TURBO ได้แล้วครับ..แต่ตลกตรงที่ Honda เองนั่นแหละกลับแงะป้ายคำว่า VTEC TURBO/EarthDreams ออกจากฝาวาล์วเสียอย่างนั้น

ท่อร่วมไอเสียหล่อรวมเป็นชิ้นเดียวกับฝาสูบ (ไม่มีเฮดเดอร์) ในกรณีนี้ปกติจะก่อให้เกิดความร้อนสะสมสูง Honda แก้โดยการทำท่อให้มีน้ำวนระบายความร้อนท่อร่วมไอเสีย นอกจากนี้เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ จะมีหัวฉีดน้ำมันเครื่องเข้าใต้ลูกสูบเหมือนพวกเครื่องรถซิ่งมาให้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคาดว่าแม้แรงม้าจะถูกตอนลงจาก Accord 12 ตัว แต่รายละเอียดภายในเครื่องน่าจะเหมือนกัน และมีคุณสมบัติข้ออื่นใกล้เคียงกัน

  • ลูกสูบต่างจาก Civic FC คือ จะไม่นูนเท่า ทำให้กำลังอัดลดจาก 10.6 เหลือ 10.3 : 1
  • เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Single Scroll ของ MHI TD03 จะมีกังหันฝั่งไอเสียที่ต่างกัน ของ Civic รุ่นเดิม มี 11 แฉก ของรุ่นใหม่ มี 9 แฉก (ตรงนี้ ผมไม่ได้ไปรื้อของเขาดูนะครับ แต่ถามวิศวกรญี่ปุ่นมาว่า ตกลงเทอร์โบมันเหมือนของ Civic เก่า หรือเหมือนของ Accord ก็ได้รับคำตอบว่าเหมือน Accord)
  •  มีกลไกแปรผันระยะยก/องศาเปิดปิดวาล์วที่ฝั่งวาล์วไอเสียเพิ่มเข้ามาดังที่กล่าวไปแล้ว
  • มีการเปลี่ยนเครื่องกรองไอเสียใหม่ (ไม่เหมือน Civic FC แต่ไม่แน่ใจว่าเหมือน Accord หรือไม่)
  • และเติม E85 ได้ เหมือน Accord (เดิมรองรับถึงแค่ E20)

ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT อัตราทดเกียร์เดินหน้า 2.645 ~ 0.405 อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 1.859 ~ 1.265 อัตราทดเฟืองท้าย 4.811 ซึ่งอัตราทดเกียร์เหมือนกับ Accord และ Civic รุ่นที่แล้ว ต่างกันเพียงแค่ว่าเฟืองท้ายของ Accord จะทดจัดกว่าใคร (5.363 : 1)

รุ่น RS จะมี Paddle Shift มาให้เล่นเกียร์ ดังนั้น Pattern ของคันเกียร์จะเป็น P-R-N-D เท่านั้น เหมือนกับ Accord 1.5 TURBO นั่นล่ะ

การเล่นเกียร์ สามารถตบแป้นได้เลยแม้จะอยู่ในเกียร์ D แต่ต่างกันที่ ถ้าคุณตบแป้นตอนอยู่ในโหมดปกติ มันจะเปลี่ยนตามคำสั่งคุณ แต่แค่ไม่เกินสิบวิมันจะกลับไปทำงานแบบ Auto ตามปกติ แต่ถ้าคุณกด SPORT แล้วตบแป้น มันจะเข้าโหมด Manual และเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าคุณจะกดปิด SPORT หรือกดแป้น + ค้างไว้ 3 วินาที ผมว่าจะดีกว่านี้ ถ้าทำคันเกียร์ให้ตบซ้ายไป M เพื่อล็อค Manual Mode ได้และเล่น +/- จากคันเกียร์ได้ด้วยก็จะ SOKAI กว่านี้ ใครถนัดจับเกียร์ ใครถนัดตบแป้น เลือกไปเลย

รุ่น EL กับ EL+ ที่ไม่มี Paddle Shift มาให้ คุณจะได้คันเกียร์ Pattern แบบ P-R-N-D-S-L

ส่วน DRIVE MODE นั้น ตอนแรกก็เข้าใจผิด เพราะเอกสารบอกว่าเฉพาะรุ่น RS เท่านั้นที่จะมี Sport Mode ซึ่งสวิตช์ปรับโหมดของ RS จะเป็นแบบปุ่มเดียว กดๆเลือกเอาระหว่างโหมด ECON/NORMAL/SPORT เวลากด ก็จะมีอนิเมชั่นบนหน้าปัดนิดๆหน่อยให้รู้สึกว่ารถมันแพง

ผมเลยพาลนึกว่า EL กับ EL+ ไม่มีโหมด Sport จนกระทั่งมาเห็นคันเกียร์นี่ล่ะ เอ้า ก็มีนี่หว่า! แต่ต่างกันที่ของ RS จะผนวกเป็นปุ่มโหมดไปเลย ส่วน EL กับ EL+ คุณก็โยกคันเกียร์มา S เอา (เรื่องนี้ได้สอบถามวิศวกรญี่ปุ่นแล้ว ว่าเป็นไปตามนั้นครับ) ผมสังเกตเอาจากการที่ Civic FC ซึ่งไม่มีปุ่ม Sport จะมี S ที่คันเกียร์ ส่วน Accord ไม่มี S ที่คันเกียร์แต่มีปุ่ม SPORT ให้กด

โครงสร้างตัวถัง..ไม่ใช่ All New แต่เป็นการเอาของ Civic FC มาขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น ซึ่ง Civic FC มันก็ปรับมาจาก Accord Gen 9 อีกทีนึง..พี่ใช้คุ้มจริงๆ

มีการขยายแทร็คล้อหน้า/หลังให้กว้างขึ้น จากนั้นก็เพิ่มความแข็งแรงของวัสดุส่วนเบ้าโช้คหน้า เฟรมหน้า พื้นรถ อุโมงค์กลางคันรถ และพื้นที่ใกล้เบาะหลังและแผงลำโพงหลัง จนทำให้โครงสร้างหลักของรถ มีความแข็งแกร่งขึ้น ตัวถังบิดยากขึ้น 8% และหักงอยากขึ้น 13%

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering)  หมุนจากซ้ายสุด – ขวาสุด 2.29 รอบ รัศมีวงเลี้ยวตามสเป็คโรงงานกำหนด 5.4 เมตร

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งหน้าตาของช่วงล่างนั้นมีรูปแบบคล้ายรุ่นเดิม พี่เชนร้านล้อแม็ก KAE_ZA เขาซื้อ FE มาแมะช่วงล่างดูเรียบร้อยแล้วว่า ชุดสตรัทหน้าโหงวเฮ้งเหมือนของเดิม แต่ด้านหลังดูเหมือนจะมีระยะยุบยืด ยาวกว่าของรุ่นเดิม ซึ่งในกรณีที่คุณเปลี่ยนใส่สตรัทแต่งแบบสไลด์กระบอก ก็ไม่ต้องห่วงตรงจุดนี้ ของแต่งที่ใส่กับ FC ได้ คุณยกมาใส่กับ FE ได้เลย เห้ย..ข้อดีของการไม่เปลี่ยนอะไรมากมันอยู่ตรงนี้จริงๆด้วย

อย่างไรก็ตามคาดว่าแม้เมื่อมองภายนอกจะดูคล้ายเดิม แต่น่าจะมีการปรับความแข็งของสปริงหรือโช้คอัพ ต้องเดาเอา เพราะทาง Honda ไม่ได้เผยตรงๆว่าทำให้แข็งขึ้นหรือไม่ แต่บอกแค่ว่า ปรับปรุงโช้คอัพให้มีแรงเสียดทานในการทำงานน้อยลง (ซึ่งน่าจะหมายถึงระบบภายใน ไม่ได้หมายความว่าโช้คยุบง่ายขึ้น) และมีการปรับมุมการติดตั้งสปริงและโช้คใหม่ให้สัมพันธ์กับแทร็คล้อที่กว้างขึ้น

ระบบห้ามล้อ ทุกรุ่นย่อย มีดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้ามีรูระบายความร้อนขนาด จานเบรกหลังเป็นแบบธรรมดา เสริมด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรก ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distributor) รวมทั้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability Assist) และเพื่อความสะดวกสบายเวลาขับบนถนนที่รถติด Civic จึงติดตั้งระบบ Auto Brake Hold ซึ่งทำให้สามารถเข้าเกียร์ D ค้างไว้แล้วยกเท้าออกจากแป้นเบรกได้

สำหรับระบบความปลอดภัย ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมการทรงตัวและการลื่นไถล VSA และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง เป็นขั้นมาตรฐานที่มีในทุกรุ่นย่อยอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเพิ่มอุปกรณ์ดังต่อไปนี้

  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch (มีเฉพาะรุ่น RS)
  • ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Monitor
  • ระบบ Honda SENSING (มีทุกรุ่นย่อย)
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam
    • ระบบเตือน และ ช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDM
    • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS
    • ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC with LSF Low Speed Following
    • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด ปรับมุมมอง 3 ระดับ (ทุกรุ่นย่อย)

ในภาพรวมของอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยถือว่าทัดเทียมคู่แข่งในคลาสในหลายด้าน แต่จำนวนถุงลมนิรภัย Honda จะน้อยกว่า คือไม่มีถุงลมหัวเข่าแบบ Toyota กับ Mazda และทั้ง Honda กับ Toyota ก็ไม่มีกล้องรอบคันแบบ Mazda แต่ในขณะเดียวกัน เจ้า Mazda 3 ก็เป็นคันเดียวที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันไม่มีฟังก์ชั่น Stop & Go ในขณะที่ Civic นอกจากมีฟังก์ชั่นนี้แล้ว ยังมีระบบเตือนเวลารถคันหน้าเคลื่อนตัว ซึ่งจะทำงานเมื่อเปิดใช้ระบบ Cruise Control เมื่อระบบเตือนแล้ว คุณก็กดคันเร่งเบาๆหรือกดปุ่ม RES บนก้านพวงมาลัย รถก็จะไปต่อให้เอง ส่วน Toyota ก็มีระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่คันอื่นไม่มี

*****การทดลองขับ*****

ในการจัดงานยุค COVID-19 ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์บ้านเมือง เนื่องจากไม่สามารถรวมกลุ่มเฮฮาหรือจัดทริปร่วมกันสิบกว่าคันเหมือนแต่ก่อนได้ Honda ก็พยายามช่วยให้สื่อมวลชนมีโอกาสรีวิวรถของพวกเขาเต็มที่แม้มันจะเพิ่มความยุ่งยากและต้นทุนการจัดงาน Honda จะแบ่งรอบการขับโดยให้สื่อมวลชน 1 สื่อรับรถทดสอบ 1 คันจากศูนย์ฝึก Honda ที่บางชันในตอนเช้า โดยทุกคนต้องผ่านการ Swab จมูกแล้วนั่งรอผลตรวจ COVID ก่อนที่จะได้แตะรถทดสอบ จากนั้น รับรถไปเลย แล้วมาคืนอีกที 16.00 น. ที่เดิม

การทดสอบอัตราเร่ง

เราทดสอบในมาตรฐานที่แตกต่างจากที่พี่ J!MMY ทดสอบตามปกติ เนื่องจากด้วยเวลาเคอร์ฟิวที่บังคับ จึงต้องทดสอบภายใต้อากาศยามกลางวันที่ร้อนกว่า (ซึ่งมีผลนะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ) และใช้น้ำมันเชื้อเพลิง Gasohol95 แทนเบนซินเพียว 95

0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

โหมดปกติ 8.8 วินาที / โหมด Sport 8.6 วินาที

80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

โหมดปกติ 6.2 วินาที / โหมด Sport 5.8 วินาที

ความเร็วสูงสุด Electronically Lock ที่ 208 กิโลเมตร/ชั่วโมง

เมื่อเทียบกับตัวเลขของรุ่นเดิมที่ผมเคยลองทำไว้ในโหมด D  0-100 ใน 8.9 วินาที และ 80-120 ใน 6.35 วินาที และ S ได้ 8.5 กับ 6.1 วินาที คุณอาจจะสรุปว่า เอ๊ะ มันก็แรงเท่าๆกันนี่หว่า

แต่จะบอกว่าตัวเลขที่ผมทำใน FC คือตัวเลขที่ทำตอนตีหนึ่ง อุณหภูมิ 25 องศา..แต่ตัวเลขที่ผมทำใน Civic FE นั้น ทำตอนเที่ยงวันเลยครับ อุณหภูมิ 33 เซลเซียสนะ ผมไม่เคยลองจับอัตราเร่งของ FC อย่างจริงจังตอนกลางวัน เคยแต่ FK 1.5 Turbo ซึ่งเคยลองจับเวลากลางวันบนถนนเส้นเดียวกัน น้ำหนักบรรทุกเท่ากัน FK ในโหมดปกติ 0-100 ทะลุ 9 วิตลอด ดังนั้นผมว่าตัวเลขอัตราเร่งถ้าจับมาวิ่งเงื่อนไขเดียวกัน FE น่าจะนำอยู่นิดๆ แบบว่าถ้าให้ FC/FK กดก่อน คงนานล่ะกว่าจะไล่กลับทัน

และถ้าหากว่าใครลองขับ FE แล้วรู้สึกว่ามันแรงกว่าชัด ก็อาจจะไม่ผิดหรอก  ใน FE นั้น ต่อให้อยู่โหมด Normal จิกคันเร่งนิดเดียวรอบก็ไปรอแถวๆ 2,500 แล้ว กดคันเร่ง 50% FE ทะยานไปดีกว่าชัดเจน ผมเดาน่าจะเกี่ยวกับการเซ็ตคันเร่งให้ลิ้นที่เครื่องเปิดกว้างขึ้นมากกว่า FC ในจังหวะกดคันเร่งเบาๆถึงปานกลาง ซึ่งทำให้ FE เป็นรถที่ขับในเมืองแล้วแซ่บมาก เปลี่ยนเลนออก อยากทำความเร็ว อยากเร่งไปจิ้มช่องว่างตรงไหน เหมือนแค่กระดิกเท้าสั่ง รถมันก็ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว

ถ้ากดเต็มไปเลยตั้งแต่ออกตัว จะมีอาการรั้งรอบ้างในช่วง 0-60 กม./ชม. แต่หลังจากนั้น มันจะแรงแบบมารผลัก ยิ่งในช่วงขับๆอยู่ 60 แล้วนึกอยากแซงรถช้า ตู้ม!ลงไปที่คันเร่ง จากนั้นมันก็จะทะยานแอบหน้ายกนิดๆ ล้านต้นได้แรงขนาดนี้ หึหึ ไม่เลว.. เวลากดเต็ม ก็มีการลดรอบ/ไล่รอบเวลากดคันเร่งหนัก เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม แล้วมันก็จะทะยานไปหาเลข 200 อย่างไวจนผมนึกไม่ออกว่ารถเกียร์ออโต้เดิมๆที่ไหนอีกวะ ที่ราคาเท่านี้แล้วไปได้ไวเท่านี้? อ๋อ ก็บรรพบุรุษมันมั้ง

เรื่องความโหดของอัตราเร่ง เราคงไม่ต้องไปเทียบ Altis 1.8/1.8 Hybrid ให้เสียเวลานะครับ ส่วนถ้าเทียบกับ Mazda 3 SkyActiv ตัวปัจจุบัน ช่วงออกตัว Mazda อาศัยความเป็นเครื่อง 2.0 ลิตรอัตราส่วนกำลังอัตสูงกับเกียร์ 6 จังหวะ ดีดออกตัวได้ไว แต่เมื่อชิฟท์ลงเกียร์ 2 แรงมันจะห้อยลง..ช่วงนั้นล่ะครับคือช่วงที่ Honda จะปล่อยพลัง 100% แล้วตีแต้มคืน แซงหายแบบไม่ต้องลุ้น

ที่สำคัญก็คือ ทั้งคุณ..และพ่อแม่ของคุณก็สามารถขับเจ้า Civic อย่างมีความสุขได้ เพราะถ้ากดคันเร่งบางๆหรือครึ่งนึง มันก็ทำตัวเหมือนรถบ้านนิสัยเรียบร้อย กะคันเร่งไม่ยาก อาการยึกยักที่ความเร็วต่ำแบบพวก CVT มักเจอก็พบได้น้อย เกียร์ทำงานได้ราบเรียบนุ่มนวล คุณขับ Accord 1.5 TURBO แล้วรถแสดงออกแบบผู้ใหญ่อย่างไร Civic ก็เป็นอย่างนั้น

แล้วช่วงล่างล่ะ?

ก็เป็นไปตามที่คาดครับ ผมเดาว่า Honda ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปรับช่วงล่างให้มีนิสัยรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ได้จึงเหมือนกับการเอารุ่น FC มาพยายามเก็บรายละเอียดให้ลูกค้าทั่วไปขับแล้วรู้สึกว่าช่วงล่างแน่นมีความเป็นผู้ดีขึ้น ผลที่ได้ก็คือ ในช่วงความเร็วต่ำกับถนนขรุขระ ผมขับเสร็จแล้วต้องถามตัวเองว่า “นี่ตูขับ Civic หรือ Accord อยู่วะ” เพราะมันซึมซับแรงกระแทกได้เนียนมาก เนียนกว่า E-Class W213 ช่วงล่างสแตนดาร์ดล้อ 18 เสียอีก ฟังแล้วเวอร์ ..ถ้าใครมาพูดใส่ผม ผมก็คิดแบบนั้น แต่พอลองเองแล้ว เห้ย..มันใช่จริงๆเว้ย

Honda อ่านเกมออกว่าพวกขาซิ่งตัวจริงนั้น ต่อให้ใส่ช่วงล่างดีมายังไง พวกพี่ๆเขาก็ถอดใส่ Tein, RSR, BuddyClub อยู่ดี เอ้า..แล้วกูจะทำรถเดิมๆให้มันแข็งขวดแตกทำไมวะ ก็ทำเอาใจลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ดีกว่ารึ..ผมว่าเขาคิดถูกแล้วล่ะถ้าอยากจะได้ยอดขายเยอะๆ

แต่สำหรับการเล่นบทบู๊ จริงอยู่ว่าเสถียรภาพทางตรงเวลาวิ่งเร็วๆดีขึ้น  อย่างไรก็ตาม พอเริ่มใช้ความเร็วบวกกับการหักเปลี่ยนเลนเร็วๆจะมีการยวบให้รู้สึกมากกว่ารถของคู่แข่ง และถ้าเริ่มเล่นทางโค้งแบบเข้าแรง หักพวงมาลัยมาก นิสัยของมันก็ยังเป็นแบบที่คุณหลับตานั่งก็นึกออกว่ามันคือนิสัย Honda เวลาเข้าโค้งแคบแรงๆแล้วถนนไม่เรียบ ท้ายรถยังมีอาการย้อยซ้ายยึกขวา เหมือนรถที่หน้าแน่นแต่หลังหลวมนิดๆ โดยรวมแล้ว ดีกว่ารถรุ่นที่แล้ว แต่ไม่ได้ดีกว่าแบบคนละเรื่อง ถ้ารุ่นเก่าได้ 7/10 คะแนน ผมคงให้รุ่นใหม่ 8/10 คะแนนในเรื่องการบู๊ ที่ยังไม่ให้คะแนนแย่ เพราะอย่างน้อย ผมหักหลบที่ความเร็ว 130 มันก็ยังคุมตัวถังได้ดีกว่า 320d F30 ล็อตแรกๆ ที่จูนมาเน้นนุ่ม และอย่างน้อย Civic FE ก็ยังวิ่ง 180-190 ตรงๆนิ่งๆได้ไม่มีหวิว

พวงมาลัย จูนมาในรสชาติที่คล้ายเดิม ไม่แน่ใจว่ามีการเปลี่ยนหรือทำอะไรกับชุดแร็คและสเป็คการตั้งศูนย์หรือไม่ แต่มันก็เป็นอย่างที่มันควรเป็นแบบคะแนน 8/10 เบาพอให้คุณแม่ขับได้ และเมื่อเริ่มใช้ความเร็ว หักพวงมาลัยเปลี่ยนเลน ก็จะมีน้ำหนักหน่วงมากขึ้น มีระยะฟรีกับแรงหน่วงตึงเข้าศูนย์กลางในแบบที่ขับทางไกลแล้วไม่เครียด แต่ถ้าคุณพยายามแอ็คชั่นแบบจิมคาน่ากับมัน แรงดีดกลับและความไวในการตอบสนองยังไม่ดีเท่าพวงมาลัยของ Mazda..ซึ่งการจูนแบบ “ใช้งานดี และติดสปอร์ตเพียงนิดๆ” ก็เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับสไตล์การจูนช่วงล่างของ Honda นั่นล่ะ มันคือรถที่ทำมาให้คุณขับไป SOKAI ไปในชีวิตประจำวันบนถนนปกติ มากกว่าการเล่นโค้งโหดๆ หรือขับแบบในสนามแข่ง

ส่วนแป้นเบรก อันนี้แปลกหน่อย ตรงที่การตอบสนอง แป้นเหยียบของ Civic FE มีน้ำหนักค่อนข้างเบาในช่วงเหยียบแรกๆ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นระยะฟรีนะครับ เพราะเหยียบแล้วก็มีแรงหน่วงเกิดขึ้น แต่แรงหน่วงมันน้อยไป จนผมต้องเหยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงพบว่า Response ของเบรกจริงๆมันไปกองอยู่ที่ 50% หลังของระยะเหยียบแป้น

ข้อดีคือ มันทำให้เป็นเบรกที่ควบคุมแรงหน่วงได้ง่าย ขับในเมือง เบรกให้นุ่มนวลน้ำเต้าหู้ไม่หกได้ง่ายกว่ารุ่นเดิม…ส่วนข้อเสียคือ เวลามีควายวิ่งตัดหน้าแล้วคุณคิดว่าจะลงเบรกหนักเท่าไหร่ คุณต้องบวกไปเพิ่ม ไม่งั้นมันจะไหลมากกว่าที่คุณคิด..เวลาขับมาเจอรถติดก็เช่นกัน ผมกดเบรกเท่าๆกับที่กด FC, FK แล้วคิดว่ามันจะหยุด แต่ใน FE ผมต้องเพิ่มการกดเท้าลงไปอีก ส่วนผ้าเบรก..ก็สไตล์ Honda โรงงานครับ ถ้าขับปกติหรือซิ่งภายใต้ความเร็วไม่เกิน 140 พอเอาอยู่ แต่ถ้าชอบไปความเร็วสูงกว่านั้นบ่อยๆ อย่างน้อยก็อัปเกรดไปใช้ผ้าเบรกทนความร้อนสูง หรือปรับปรุงระบบเบรกหน่อยก็ดี เพราะอาการเฟดมาเยือนง่ายถ้ามีการต้าบเบรกจากความเร็วสูงซ้ำเกินสองครั้งติดๆกัน

การเก็บเสียง ตรงนี้แอบผิดหวังอยู่นิดหน่อย ตรงที่พอวิ่ง 110 ก็มีเสียงลมดังมาจากขอบกระจกประตูมากไปนิด และยังมีเสียงดังจากกระแสลมแล้วผิวถนนจากใต้ท้องรถ…มันดีขึ้นครับ แต่ยังดีไม่มากพอที่จะยกมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้น แน่นอนว่ายังไม่เก็บเสียงดีเท่า Mazda 3 ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนรถทั้งคันถูกซีลปิดกั้นเสียงมาอย่างดี แม้จะมีเสียง แต่โทนเสียงที่เข้าหู ก็จะทุ้มๆถึบๆแน่นๆ เป็นผู้นำของกลุ่มในด้านการเก็บเสียง ทั้งๆที่เจนเนอเรชั่นก่อนหน้า Mazda 3 ถือว่าเก็บเสียงแย่สุดในกลุ่ม

ส่วนอัตราการสิ้นเปลือง ถ้าคุณอยากได้ผลอย่างเป็นทางการ ก็รอดู Preview อัตราเร่ง/อัตราสิ้นเปลืองที่ทำตามมาตรฐานเว็บ ซึ่งน่าจะตามมาในภายหลัง ส่วนครั้งนี้ ผมทดลองจับโดยใช้คอมพิวเตอร์ของรถ RESET แล้วออกวิ่งทดสอบแบบโหมดตีนหนัก ทดสอบอัตราเร่ง และทำความเร็วสูงสุดด้วย มีวิ่งในเมืองบ้างแต่รถไม่ติดนัก ได้ตัวเลขมา 10.5 กม./ลิตรบนจอ จากนั้นขากลับ ผมพยายามไม่กระทืบลากยาว ใช้คันเร่งน้อย แต่ไม่ได้เปิด ECO Mode นะครับ ขับแบบปกติ ใช้ความเร็ว 90-110 มีบางช่วงต้องแซงรถบรรทุกบ้าง 2-3 ครั้ง ตัวเลขยังออกมาได้ประมาณ 15.4 กม./ลิตร

คุณไม่ต้องใส่ใจมากกับตัวเลขสองชุดนี้ก็ได้ แต่ผมก็พยายามเก็บข้อมูลเท่าที่สามารถทำได้ในเวลาที่จำกัด เปรียบเทียบระหว่างขับแบบกดคันเร่งตามใจ กับแบบไม่กดคันเร่งมาก ก็ได้ค่าประมาณนี้ ผมคิดว่าใกล้เคียงกับรถรุ่นเก่าครับ

*****สรุปการทดลองขับ*****

Likes: รถดีขึ้นในราคาที่ถูกลง ตอบสนองดีขึ้น นั่งสบายขึ้นนิด มีอุปกรณ์เพิ่มขึ้น เติม E85 ได้ ช่วงล่างซับแรงกระแทกดีโดยที่ไม่โหวงจนเกินงาม บุคลิกเข้ากับคนได้หลายแบบ

Dislikes: ช่วงล่างบู๊แล้วไม่มั่นเท่าไหร่ ไม่มีช่องเป่าลมแอร์หลังกับกล้องรอบคัน พับเบาะหลังไม่ได้ การเก็บเสียงขอบประตูควรดีกว่านี้ การเก็บรายละเอียดในบางจุด ถึงแม้ไม่ได้เห็นบ่อยๆแต่ก็ควรดีกว่านี้

แม้ว่าจะยังไม่ใช่รถที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน และไม่ได้มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดเหมือนสมัยบอดี้ FB โดดมาเป็น FC แต่ในภาพรวม หากเราไม่พูดกันเรื่องรูปทรงและดีไซน์ สิ่งอื่นๆที่ผมได้สัมผัส นับว่า Civic โฉมใหม่ 2021 เป็นรถที่ดีกว่ารถรุ่นเดิม มอบความสุขให้กับเจ้าของรถได้มากกว่าเดิม ถือได้ว่าปรัชญา SOKAI ที่พยายามทำให้เจ้าของรถ “Happy” นั้นสัมผัสได้ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานเช่น ตำแหน่งการนั่ง พื้นที่ในห้องโดยสารที่จัดมาลงตัวกว่าเดิม การใช้สอยอุปกรณ์ต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น หน้าปัดอ่านค่าได้ง่ายขึ้น ไปจนถึงเรื่องลูกเล่นทั้งแฝงเอาไว้ ทั้งด้านดีไซน์ และด้านที่เป็นลูกเล่น ยิ่งไปกว่านั้น ผมชอบมากกับการที่ Honda ให้ Civic “ทุกรุ่นย่อย” ได้ระบบ Honda SENSING ซึ่งมีระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลนและช่วยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลน และไฟสูงอัตโนมัติ

สิ่งเหล่านี้ เป็นเสมือนประกันสุขภาพ ที่เวลาพูดถึง คนมักไม่สนใจ แต่พอมีแล้วเกิดได้ใช้ขึ้นมา มันค่อยทำให้เราได้เห็นค่าของมัน

การที่เจ้าตลาดอย่าง Honda ซึ่งเป็นแชมป์ยอดขาย C-Segment มาตลอด มีอำนาจเหนือตลาดที่จะทำ/ไม่ทำอะไรก็ยังมีลูกค้าซื้อ มาให้ความสนใจในอุปกรณ์เหล่านี้โดยให้มาตั้งแต่รุ่นถูกสุด มันจะเป็นมาตรฐานที่วงการจะต้องขยับตามเพื่อไม่ให้โดนด่า

สิ่งที่เราชาวเผ่าตีนหนักคาดหวังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ Honda กับ CVT ก็ดีกว่าเดิมนิดหน่อย เซ็ตคันเร่งมาให้กระฉับกระเฉงขึ้น ออกตัวรอหน่อยแต่ไม่นานแรงดึงก็มา ดึงยาวต่อเนื่อง เข็มความเร็วไหล สนุกสมใจวัยรุ่น อีกทั้งในยามสันติ มันก็ทำตัวเป็นรถบ้าน นิสัยว่าง่ายคันนึง อย่างที่ผมบอกว่า คุณ..พ่อของคุณ..แม่ของคุณ ก็ขับรถคันนี้ได้

เรื่องช่วงล่าง ผมถือว่าดีกว่าเดิม สมมติรุ่นเดิมได้ 7/10 รุ่นใหม่ก็น่าจะ 8/10 มันไม่พยายามที่จะพลิกนิสัยการจูนช่วงล่างไปหาความสปอร์ตอย่าง Corolla หรือ Mazda 3 แต่เขาเลือกที่จะเอานิสัยช่วงล่างเดิม มาทำให้มันแน่นแต่ซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้มันกลายเป็นรถที่ขับบนถนนสภาพแย่ๆแล้วสบายสุด..ตรงใจกับลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไม่ได้บ้ารถ ส่วนคนบ้ารถทั้งหลาย..ถ้าคิดจะบู๊มากๆ ยังไงก็ต้องเปลี่ยนโช้คกับผ้าเบรกนะครับ ถึงจะขับแล้วมั่นเท้ามั่นใจได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ การเก็บเสียง ยังสามารถปรับให้ดีกว่ารุ่นเดิมได้มากกว่านี้ ช่องเป่าลมแอร์หลัง ซึ่งช่วยได้มากในประเทศอากาศร้อนแบบบ้านเรา ก็ยังไม่มีมาให้ เบาะหลังพับไม่ได้และถึงถอดเบาะก็เจอคานเหล็กขวางอยู่ เรื่องนี้จะไม่มีผลถ้าคุณขับรถแค่คนเดียวหรือมีคนนั่งหน้าด้วย แต่สำหรับครอบครัวที่มีคนนั่งหลังประจำ มีมันก็ดีกว่าใช่ไหม? ส่วนเบาะหลังที่พับไม่ได้ ก็พับไม่ได้มากี่ชาติแล้วไม่รู้ ES คันเก่าแม่ผมพับไม่ได้ FD, FB และ FC Sedan ก็พับไม่ได้เช่นกัน ถ้าเขาเลือกที่จะไม่พับมานานขนาดนี้ ก็เป็นไปได้ว่าผลวิจัยลูกค้าที่ซื้อรถเขาไปใช้จริง คงไม่ค่อยมีใครบ่นอยากได้กัน (หรือเปล่า)

ถึงแม้จะมีข้อเสีย มีจุดอ่อนที่เป็นมรดกจากรุ่นก่อนมาอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าในเมื่อ C-Segment ตัวเป้งๆในไทยมีเหลือแค่ Civic, Corolla Altis และ Mazda 3 เด็กประถมก็เดาได้ว่ารุ่นไหนจะเป็นแชมป์ยอดขายต่อไป

Civic..ไม่มีอะไรที่พัฒนาแบบพลิกโลก แต่เอาส่วนที่ดีของรุ่นเดิมมาเกลาๆเหลาๆให้ดีขึ้น ภายในโตสุด นั่งสบายสุด ช่วงล่างเอาใจผู้ใหญ่มากที่สุด เครื่องยนต์ถูกใจวัยรุ่นที่สุด และแน่นอน โมเครื่อง..กับโมช่วงล่าง อย่างหลังทำง่ายกว่า ลูกค้าสุภาพสตรีก็ชอบ Honda ด้วยเรื่องภาพลักษณ์และดีไซน์มาตลอด มันเป็นรถที่ไม่ได้ทำให้คุณว้าวช็อค (ยกเว้นเรื่องเครื่อง) แต่เป็นรถที่คนส่วนมากจะอยู่กับมันได้ หรือถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ยังมีคนทำของแต่งมาป้อน ปรับจนรถมันรับมือรับเท้าคุณได้ แล้วก็มีให้เลือกเยอะมาก

Corolla Altis พลิกเรื่องช่วงล่างจากห่วยเป็นดี ถึงแม้การยุบของช่วงล่างช่วงแรกๆเหมือนจะหยึย แต่ใส่เต็มข้อแล้วกลับคล่องกว่า Civic มาตายตรงพวงมาลัยที่ไวและโหวงตรงกลางแบบไม่ค่อยมีระยะฟรี แพ้ Honda ก็พวงมาลัยนี่ล่ะ และคุณมีทางเลือกแค่ขุมพลัง 1.8 กับไฮบริด มันจึงน่าจะจับตลาดผู้ใหญ่ได้ดีกว่าวัยรุ่น แต่ดีไซน์ภายในให้ความรู้สึกราคาถูกที่สุดในกลุ่ม และสูญเสียจุดเด่นเรื่องความกว้างสบายของเบาะหลังไป..คือมันไปพลิกโลกในเรื่องที่ลูกค้ากระแสหลักไม่ได้สน และไปพลาดในจุดที่ลูกค้ากระแสหลักต้องการ ราคาค่าตัวก็ไม่ได้ถูกนัก ต่อให้ Civic ไม่ออกรุ่น FE มา ยอดขายก็เป็นประจักษ์พยานได้ว่า Toyota คงต้องกลับมาแก้แค้นอีกทีในเจนเนอเรชั่นถัดไป

Mazda 3 พลิกเรื่องการเก็บเสียงจากรุ่นเดิม และพยายามออกแบบดีไซน์ เลือกวัสดุภายใน จนมีคุณภาพงานภายในดูใกล้เคียงรถพรีเมียมมากที่สุดในคลาส อีกทั้งยังเป็นรถที่ช่วงล่าง พวงมาลัย และเบรก ดีที่สุดในกลุ่ม เป็นคันเดียวที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถเอารถช่วงล่างเดิมไปซัดเล่นสนามบุรีรัมย์ได้โดยไม่กลัว แต่การที่ Mazda จูนช่วงล่างมาสปอร์ตมาก ทำให้ลูกค้ากระแสหลักที่ใจอยากจะซื้อเพราะชอบทรงรถ พอเจอช่วงล่างแบบวัยรุ่นแข็งแน่นปั้กก็ถอย ขนาดผมซึ่งกับรถใส่สตรัทปรับเกลียวแต่งประจำ ยังรู้สึกว่า Mazda แข็งเลย ความสวยของสัดส่วนตัวรถก็แลกมาซึ่งเนื้อที่ในห้องโดยสารตอนหลังที่คับแคบกว่าใคร และอัตราเร่งยังห่างชั้นกับ Civic มาก จุดนี้จึงยังกำใจวัยรุ่นตีนหนักส่วนใหญ่ไม่ได้ ลองทำเครื่องเทอร์โบเบนซินใส่ Mazda สิ ผมว่าวัยรุ่นมีมองมั่งล่ะ แต่อย่าหวังเลยครับ

ดังนั้น ผมจึงมองว่า Civic ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวคู่แข่ง ต่อให้วันนี้จะมีคนบอกไม่ชอบเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากแค่ไหน แต่มันคือรถที่ “ลูกค้าในตลาดส่วนใหญ่” สามารถใช้ชีวิตกับมันได้

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าคู่แข่ง..คือคุณภาพในระยะยาวของตัวรถมากกว่า ถ้าหากว่ารุ่น 2021 นี้มีหลายอย่างที่เหมือนกับรุ่นที่แล้ว ก็หวังว่าพาร์ทไหนก็ตามที่เคยพบ Defect ในรุ่นก่อน แร็คพวงมาลัย เสียงรบกวนจุกจิกจากภายใน จอกลางที่เอ๋อๆหรือบางทีก็ดับ พวกนี้ก็ไม่ควรเจอใน Civic ตัวใหม่อีก หลายคนรอบตัวผมคบ Honda มาครึ่งชีวิต แต่แค่ช่วงสิบปีหลังนี้ พบว่าบางส่วนของพวกเขาก็ผิดหวังในรถคันใหม่..เขาไม่ได้หวังรถที่วัสดุดีเลิศ ประกอบเหมือน Volkswagen ครับ..เขาแค่หวังรถที่ใช้อย่างน้อย 4-5 ปีแล้วไม่ต้องเคลมอะไรที่มันไม่ควรเสีย แค่นั้น มันคือสิ่งที่เขาหวังจากรถป้ายแดงไง

ก็ถ้าปรัชญา SOKAI ของ Civic FE คือการ “make someone happy” แล้วล่ะก็ การใช้รถแบบปลอดปัญหา ก็ควรเป็นหนึ่งใน SOKAI แหละครับ เราอยากได้ Honda ที่มีสมรรถนะและลูกเล่นของวันนี้ กับความทนทานเชื่อใจได้แบบสมัยก่อนควบคู่กัน

เรื่องนี้ ให้เวลา กับลูกค้าตัวจริง เป็นคนบอกแล้วกันว่า Civic 2021 จะให้สองสิ่งนี้แก่พวกเราได้หรือไม่

—–/////—–

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน Pan Paitoonpong
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ เป็นผลงานของผู้เขียน/Honda ประเทศไทย/Honda of America ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com  17 สิงหาคม 2021

Copyright (c) 2021 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com August 17th, 2021