25 มกราคม 2560
ยามบ่ายแก่ๆ กับท้องฟ้าสีคราม ไร้เมฆที่จะมาลดทอนความรุนแรงของแสงแดด
นี่คือแอฟริกาใต้ ดินแดนที่มีความเจริญสูงสุดแห่งหนึ่งของกาฬทวีป ประเทศที่
เคยมีผู้นำชื่อ Nelson Mandela นั่นเอง และเมืองที่สื่อมวลชนต่างประเทศ พร้อมทั้ง
ทีมงาน Porsche จากเยอรมนี พาเรามาทดสอบรถรุ่นใหม่ของพวกเขานี้ ก็มีชื่อว่า
Cape Town ซึ่งถ้าคุณเอาแผนที่โลกมากาง ก็เอาดินสอจิ้มไปที่ส่วนปลายสุดของ
ทวีปแอฟริกา แล้วเลื่อนดินสอมาทางตะวันตกสัก 3-4 มิลลิเมตร..นั่นล่ะครับคือ
ที่ตั้งของเมืองนี้
สารภาพว่าในช่วงแรกที่ทาง AAS ผู้แทนจำหน่าย Porsche ในไทยเขาโทรมาชวน
ผมก็ถามว่า “ให้ไปขับรถที่ไหน และขับรถรุ่นอะไรครับ?” ทางเจ้าหน้าที่ก็ตอบมาว่า
ยังไม่แน่ใจเรื่องรุ่นรถ แต่ที่แน่ๆคือไปแอฟริกา…เรียนตามตรงว่าขนาด สระอา ยัง
ไม่ทันสิ้นเสียง เพลง Soundtrack เปิดภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง The Lion King
ดังก้องหูแล้วครับ (ยาาาา มะเฮ่งยาาาาา วอลลาบี้ ชิวาว่า – มันร้องแบบนี้มั้ย?)
แล้วจากนั้นผมก็เริ่มวาดภาพตัวเอง ควบ Porsche Cayenne หรือไม่ก็ Macan
ตะบึงแบบฝุ่นตลบ ผ่านหน้าผา Pride Rock แบบในการ์ตูน ควายป่าหยุดเคี้ยวหญ้า
ละมั่งมังผาหยุดกินน้ำ นกนานาพันธุ์โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าในขณะที่ลิงเฒ่าชูลูกสิงโต
ขึ้นและมีผู้ชายอ้วนท้วนหน้าตากวนส้น กดคันเร่งพา SUV ผ่านบริเวณนั้น
ไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมึนงงของสรรพสัตว์
..แต่หลังจากวางสายไปสักพัก ผมก็ได้ข้อมูลใหม่มา แล้วก็ถอนหายใจอย่าง
โล่งอก มันไม่ใช่อย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ และห่างไกลจากนั้นมาก!
พวกเขาไม่ได้เชิญผมให้ไปผจญภัยในทะเลทราย แต่ตรงกันข้าม เราจะมา
ลองขับรถกันบนสนามแข่ง และบนถนน โดยงานนี้จะมีพระรองเป็น Porsche
Panamera ซาลูนใหม่ของทางค่ายที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่แล้ว เป็นรถ
ไว้ให้เราขับรอบเมือง เลียบหาด และขับไปสนามแข่ง Killarney Raceway
ที่อยู่นอกตัวเมือง Cape Town ไปราว 45 นาที
และเมื่อถึงสนามแข่ง…ก็จะมีรถรุ่นใหม่ล่าสุดในอนุกรม 911 จอดรอให้เราขับ
ซึ่งก็คือ 911 Carrera GTS
เมื่อทราบกำหนดเดินทางและตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่ไปนัดซ้ำกับใคร ผมก็
ตัดสินใจตอบรับการเดินทางครั้งนี้ เพื่อเติมเต็มความต้องการส่วนที่ขาดหายไป
ของตัวเอง เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2016 Porsche Asia Pacific (PAP) ให้ผม
เดินทางคู่กับพี่สุรมิส เจริญงาม แห่งทีมขับซ่า ไปลอง 991 Carrera S กันที่
สิงคโปร์ ดินแดนแห่งความศิวิไลซ์ใต้สุดคาบสมุทรซึ่งตอบรับพวกเราด้วยฝน
ถนนลื่นๆ การจำกัดความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง กล้องจับความเร็วนับพันตัว
และตำรวจลาดตระเวนทั่วทุกหัวระแหง
จำได้ว่าตอนนั้น ทีมขับซ่า..ก็ซ่าไม่ออก ส่วนทีมขับเสี้ยน (ก็ ku เนี่ยแหละ)
ก็เสี้ยนไม่ได้เช่นเดียวกัน มันจึงเป็นเรื่องคาใจมาเรื่อยๆ
ในเดือนพฤศจิกายน 2016 ทาง PAP ก็จัดงาน Porsche Media Driving
Academy ที่สนามเซปัง ผมกับพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แห่ง Thairathonline
ก็ได้ไปร่วมงานนั้น แม้ว่าเราจะได้ขับในสนามแข่ง อัดกันเต็มที่ แต่ก็พลาดโอกาส
ที่จะได้ขับ 911 …ไอ้ที่ได้ขับ ก็คือการขับตามฐานต่างๆ ซึ่งก็บอกนิสัยรถได้แค่
เสี้ยวหนึ่ง ยังไม่พอที่จะนำมาเขียนเป็นบทความ
คราวนี้แหละโว้ย! (ผมคิดกับตัวเอง) จะได้สะสางข้อสงสัยทุกอย่างที่เราแบก
ในใจมาครึ่งปีได้เสียที
สิ่งที่ผมยังกังวลอยู่บ้าง ก็คือเรื่องของการเดินทาง และการร่วมทริป สารภาพ
กับท่านผู้อ่านตามตรงว่าแม้ผมจะไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่ในหลายครั้งผมมักจะก่อ
วีรกรรมป้ำเป๋อ ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบิน หรือในบริเวณที่จัดกิจกรรม ต้องคอยมี
ผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่ที่ร่วมทริปคอยกำกับชี้แนะให้ ในครั้งนี้ ผมจะต้องเดินทางคนเดียว
ไม่มีรุ่นพี่สื่อมวลชนไทยท่านอื่นไปเป็นเพื่อน แล้วก็เป็นการนั่งเครื่องบินที่ยาวนาน
18 ชั่วโมง ไกลที่สุดเท่าที่ผมเคยไปนับตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาเมื่อปี 1999
อย่างไรก็ตาม งานนี้ ความอยากมันชนะความกลัวได้ ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่ายังไง
ก็ต้องไป แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไม Porsche ทีมเยอรมันถึงเลือกสื่อมวลชนที่
ตัวโต มวลมหาศาล และฐานะยากจนที่สุดในวงการรถยนต์ไทย (อย่างผม)ให้ไปขับ
รถสปอร์ตที่ออกแบบมาสำหรับพ่อรูปหล่อ มาดอางอาจ ฐานะมีอันจะกินพอที่
จะซื้อรถสปอร์ตคันละสิบกว่าล้านได้
เอาเถอะน่า…ผมมองว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้ผ่านมาในชีวิตเราบ่อยๆ ถูกไหมครับ
ดังนั้น..แอฟริกาก็แอฟริกา ถ้ามีรถให้ขับ และเป็นรถที่เราอยากขับมาตลอดชีวิต
ก็อย่าได้คิดมาก นี่คือที่มาของบทความเราในวันนี้ จะเรียกว่าเป็น First Report
in Thailand ก็ได้สำหรับ 911 Carrera GTS ..อันที่จริงต้องบอกว่าเป็น among
the first report in the world ด้วย เพราะสื่อมวลชนต่างชาติทุกรายที่ได้มาขับ
ก็จะปล่อยบทความในเวลาไล่เลี่ยกันนี่แหละครับ
เอาล่ะ! ก่อนที่จะไปเจอ 911 Carrera GTS ผมขออนุญาตเขียนถึงที่มาของ
รถรุ่น GTS สักหน่อยดีไหมครับ? พวกเราหลายคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่รุ่นย่อย
รุ่นหนึ่งที่ไม่ได้มีเพ็ดดีกรีสำคัญอะไร แต่ที่จริง..มันมากกว่านั้น
Hence the name. GTS.
อักษร GTS นั้น ย่อมาจากคำว่า Grand Turismo Sport ซึ่งมีประวัติยาวนาน
มาตั้งแต่ยุค 1960s และถูกนำไปใช้ในรถหลายรุ่น แต่ไม่ได้สะท้อนภาพพจน์
ของรถแต่ละรุ่นในลักษณะเดียวกันเสมอไป ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงแรกๆ นั้น
รถที่ใช้ชื่อ GTS จะเป็นรถแข่ง เช่น 904 กับ 924 แต่ในภายหลังก็นำไปใช้กับ
928 รุ่นที่แรงที่สุด ก่อนที่ชื่อนี้จะหายไปนานมาก
ในภายหลัง ชื่อนี้ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่กับ 911 บอดี้ 997 แล้วจากนั้นก็ทยอย
กระจายไปสู่รถรุ่นอื่นๆของทางค่ายจนครบ แต่รถรุ่น GTS นั้นไม่ได้มีตำแหน่งเป็น
รถแข่ง หรือเป็นรถรุ่นที่แรงหรือแพงที่สุดอย่างเช่นในอดีต แต่มีตำแหน่งการตลาด
สอดแทรกอยู่ระหว่างรุ่นที่ค่อนข้างธรรมดา กับรุ่นที่เป็นตัววิ่งหัว (รุ่นแรงท้อปๆ)
ของโมเดลนั้นๆ อย่างเช่น อย่างเช่น Cayman GTS ก็แรงกว่า S แต่ไม่เท่า GT4
Panamera GTS ก็แรงกว่า S แต่ไม่เท่าตัว Turbo เป็นต้น
เราลองมาดูต้นตระกูลและความเป็นมาของสปอร์ตซีรีส์ GTS กันครับ
904 Carrera GTS
แม้จะมีรหัสว่า 904 แต่ชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ Carrera GTS เนื่องจาก
ในสมัยนั้นมีบริษัทรถยนต์ฝรั่งเศส (เจ้าเดียวกับที่ประท้วงเรื่องชื่อ Porsche 901
จนทำให้ต้องไปใช้ชื่อ 911 แทน) จองลิขสิทธิ์การใช้ชื่อรุ่นเป็นตัวเลข 3 หลักที่
คั่นกลางด้วย “0” เอาไว้
904 Carrera GTS ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นรถแข่งในคลาส GT หลังจากที่ Porsche
ถอนตัวจาก Formula 1 รถรุ่นนี้เผยโฉมในช่วงปลายปี 1963 ซึ่งทันต่อฤดูการแข่ง
ในปี 1964 พอดี ตามกฎแล้วพวกเขาต้องขายรถรุ่นนี้ให้ได้ 100 คันเพื่อที่จะมีสิทธิ์
เข้าแข่ง..นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะนอกจากขายได้เกลี้ยงแล้วยังมี Back order จน
ต้องสั่งผลิตรุ่นอื่นๆตามออกมาอีก
รถสเป็คตัวแข่ง ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบนอนยัน Type 587/3 วางกลางลำเหมือนรถแข่ง
718 ของปี 1957 มันมีความจุ 1,966 ซี.ซี. ป้อนเชื้อเพลิงด้วยคาร์บิวเรเตอร์ของ Weber
ทำแรงม้าได้สูงถึง 198 แรงม้า (เกือบ 100 ม้าต่อลิตรในยุค 60s!) จับคู่กับเกียร์ธรรมดา
5 จังหวะ ความพิเศษอีกประการอยู่ที่บอดี้แบบ Ladder-type Chassis ของมันนั้นมี
เปลือกตัวถังที่ทำมาจากไฟเบอร์กลาส ทำให้น้ำหนักตัวรถเปล่าเบาโหวงเพียง
655 กิโลกรัม ทำให้มันเป็นรถแข่งที่หาตัวจับยาก ชนะทั้งรายการ Targa Florio,
Le Mans, SpA และถึงคันไหนไม่ชนะ ก็มักวิ่งเข้าเส้นชัยได้โดยที่ไม่พัง ถือว่าเป็น
รถแข่งตัวแสบแห่งยุคที่ว่องไว ร้ายกาจ และทนทานมาก
924 Carrera GTS
เกือบ 16 ปีให้หลัง ชื่อ Carrera GTS กลับมาปรากฏอีกครั้ง..ในรถรุ่น 924 ซึ่ง
ก็คือรถสปอร์ตขนาดเล็กที่ Volkswagen จ้างวานให้ Porsche ช่วยวิจัยให้ โดยที่
มีแผนจะนำมาขายเป็นรถสปอร์ตตัวท้อปของ VW และเป็น Entry-level ของทาง
Porsche แต่ ครั้นเมื่อถึงเวลาเอาจริง VW กลับไม่สร้างมันออกมาเพราะต้นทุนต่อคัน
สูงเกินไป Porsche จึงไปขอซื้อลิขสิทธิ์ในการสร้างกลับมาเป็นของตัวเอง
924 เริ่มต้นชีวิตของมันในปี 1976 เป็นรถแบบ 2+2 ที่นั่ง เครื่องวางหน้า ขับหลัง
เกียร์อยู่ข้างหลัง แต่ใช้เครื่องยนต์ของ Audi 2.0 ลิตรมีม้าแค่ร้อยกว่าตัว ทำให้
โดนดูถูกในเรื่องอัตราเร่ง จนกระทั่ง Porsche จับเทอร์โบ KKK K26 ยัดเข้าไป
ทำให้แรงม้าพุ่งเป็น 170 ตัว ส่งผลให้ “924 TURBO” กลายเป็นน้องซาดิสก์
คิดปีนเกลียวพี่ เพราะนอกจากการบังคับควบคุมดีกว่า 911 แล้ว อัตราเร่งยังเทียบ
ได้กับ 911 SC อีกด้วย
ต่อมาก็ได้มีการสร้างรถรุ่นพิเศษเพื่อการแข่งขัน และมีการจำหน่ายให้คนทั่วไป
ซื้อได้ (ตามกฎการได้สิทธิ์เข้าแข่ง) รถรุ่นนั้นก็คือ 924 Carrera GT และในภายหลัง
ก็ได้พัฒนาต่อเป็น 924 Carrera GTS ซึ่งแตกต่างจากรุ่น TURBO ธรรมดาตรงที่
มีการติดตั้งอินเตอร์คูลเลอร์, มีสคูพฝากระโปรงหน้า และมีหางหลังสีดำทำจาก
ยางแข็งขนาดใหญ่กว่าปกติ เครื่องยนต์มีพลังถึง 249PS ต่อมากลายเป็นรถหายาก
เพราะแม้ในโลกนี้จะมี 924 แสนกว่าคัน แต่มีรุ่น Carrera GTS เพียงแค่ 59 คัน
928 GTS
Ferdinand Porsche กับ Ernst Fuhrmann (MD ของ Porsche ในยุค 70s)
มีความคิดที่จะทำรถสปอร์ตประเภทนั่งสบาย ขับทางไกลได้ และใช้เครื่องยนต์ที่
มุ่งเน้นพละกำลังสูง ซึ่งต่างจาก 911 ที่เป็นรถสปอร์ตประเภทคันเล็กขับคล่อง
ผลผลิตจากไอเดียนี้ กลายมาเป็น 928 ซึ่งเผยโฉมในปลายปี 1977 มันคือรถรุ่นแรก
ของ Porsche ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 และติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
พร้อมสรรพ เปิดตัวก่อนด้วยรุ่น “928” ธรรมดา เครื่อง 4.5 ลิตร V8 16 วาล์ว
250 แรงม้า
Porsche หมายมั่นจะให้ 928 มาฆ่า 911 แต่กลับกลายเป็นว่า Peter Schutz M.D.
คนใหม่ต่ออายุให้มันตั้งแต่ยุค 80s จนถึงทุกวันนี้ ส่วน 928 นั้นก็ขายดีแค่ในช่วงแรก
แต่ในภายหลังก็มียอดขายลดลง เนื่องจากราคาสูง ทาง Porsche จึงพยายามอัปเดต
ตัวรถให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ปรับปรุงขุมพลังในยุคหลังๆมาใช้ฝาสูบแบบ 32 วาล์ว
ใน 928S (Phase II) รวมถึง 928S4 (ซึ่งเป็น 928 ยุคหลังรุ่นที่ขายดีที่สุด) ใช้เครื่อง
5.0 ลิตร 320 แรงม้า แล้วในปี 1989 จึงมีรุ่น 928GT 330 แรงม้า ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่ง
แบบสปอร์ต ใช้เกียร์ธรรมดาอย่างเดียวตามออกมา
เวอร์ชั่นสั่งลาของ 928 ก็คือ 928GTS นี่เอง ที่ใช้เครื่องยนต์ขยายขนาดเป็น 5.4 ลิตร
V8 32 วาล์ว มีพลัง 350 แรงม้า มาพร้อมกับกระจกมองข้างทรง Cup มีโป่งหลัง
ขนาดโต เบรกหน้าขนาดโตกว่า 928S4 ผลิตขายตั้งแต่ปี 1991 ไปจน 928
เลิกผลิตในปี 1995 จากจำนวน 928 ทั้งหมด 61,000 คัน มีแค่ 2,901 คันเท่านั้น
ที่เป็นรุ่น GTS
911 Carrera GTS (997)
หลังจากชื่อ GTS หายไปนานถึง 15 ปีในวันสิ้น 928 Porsche ตัดสินใจนำชื่อรุ่นนี้
กลับมาใช้อีกครั้ง แล้วไหนๆมาทั้งที ก็เอามาอยู่ในรถสปอร์ตของค่ายอย่าง 911 เลย
โดย 911 Carrera GTS เผยโฉมในช่วงปลายปี 2010 มีให้เลือก 2 บอดี้คือแบบ
Coupe และ Cabriolet แต่มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ
ใช้เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 6 สูบนอนไร้ระบบอัดอากาศ มีแรงม้าเพิ่มจาก 385 แรงม้า
ใน Carrera S กลายเป็น 408 แรงม้า ทำให้ตัวมันเองมีฐานะอยู่กึ่งกลางระหว่าง
Carrera S และ 911 GT3 (435 แรงม้า) อย่างพอดี
ลูกค้าสามารถเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์คลัตช์คู่ PDK จุดเด่น
ภายนอกของมันนั้นอยู่ที่ตัวถังแบบ Wide Body ที่ยกมาจาก Carrera 4 เพราะ
โดยปกติถ้าเป็น Carrera ขับเคลื่อนล้อหลัง จะได้บอดี้แบบธรรมดา แต่ GTS
คือรุ่นเดียวที่คุณสามารถเลือกรถขับหลังแล้วได้ตัวถัง Wide Body
911 Carrera GTS (991.1)
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนโฉมเป็นบอดี้ 991 Porsche ก็ทำรุ่น Carrera GTS ออกมา
อีกเช่นกัน โดยเผยรายละเอียดลงในเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2014 และโชว์
โฉมจริงในงาน Los Angeles Motor Show ในเดือนถัดมา โดยในเบื้องต้นมีให้
เลือก 2 บอดี้ (Coupe และ Cabriolet) 2 ระบบส่งกำลัง (เกียร์ธรรมดา และ PDK)
และ 2 ระบบขับเคลื่อน หลังจากนั้น ในวันที่ 12 มกราคม 2015 จึงมีการเปิดตัวบอดี้
Targa ตามออกมา ซึ่งแบบหลังนี้จะมีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น
Carrera GTS โฉม 991.1 นี้ ใช้เครื่องยนต์พื้นฐานเดียวกับ Carrera S ซึ่งเป็นแบบ
6 สูบนอน 3.8 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ ปรับเพิ่มกำลังจาก 400 เป็น 430 แรงม้า
ติดตั้งชุดท่อไอเสีย Sport Exhaust และล้ออัลลอย 20 นิ้วแบบ Center-locking
พร้อมระบบ Porsche Torque Vectoring เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ใช้ไฟหน้าและ
ท่อไอเสียแบบรมดำ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น Carrera GTS 3.8 เกียร์ธรรมดา
สามารถวิ่งได้เร็วถึง 306 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/
ชั่วโมงเอาไว้ที่ 4.0 วินาทีในรุ่นขับหลัง PDK
ต่อมา ในปี 2017 เดือนมกราคม Carrera GTS บอดี้ 991.1 ก็หมดวาระการทำตลาด
และถูกแทนที่ด้วยพระเอกของเราในวันนี้
911 Carrera GTS: แรงขึ้นอีกระดับ มีให้เลือกขับ 5 รุ่น
บางท่านอาจยังสงสัยว่าทำไม Porsche ต้องทำ 911 รุ่น GTS ออกมา?
ตามที่คนของ Porsche บอก มันคือส่วนหนึ่งของแผนการตลาดที่ต้องการสร้างรถ
หลายๆรุ่น เพื่อที่จะสามารถตอบความต้องการสู่ลูกค้าตามรสนิยมได้อย่างละเอียด
โดยที่ตำแหน่งทางการตลาดของ GTS จะสอดแทรกอยู่ระหว่าง Carrera S กับรุ่น
GT3 ซึ่งนั่นก็แปลว่ามันยังเป็น 911 รุ่นที่ “ทำมาเพื่อให้ใช้บนถนนเป็นหลัก” และ
ไม่ได้เน้นภาพลักษณ์สิงห์สนามแบบ GT3 หรือ GT3RS รวมถึงไม่ได้แรงชนิดที่
จะไปฆ่า GT-R อย่างรุ่น Turbo หรือ Turbo S ซึ่งเหมาะสำหรับลูกค้าที่เน้น
สปีดบนทางตรงและ “แรงม้าคือทุกสิ่ง”
ผมฟังเสร็จ ก็ขอถือวิสาสะแปลอย่างตรงๆ และแอบกวนส้นว่า Carrera GTS
มันก็คือรถที่ถูกสร้างมาเพื่อคนที่ไม่อยากทุ่มเงินเล่น Elite Models อย่าง GT3
หรือ Turbo แต่ก็กลัวว่าถ้าขับ Carrera ธรรมดาหรือ Carrera S แล้วจะโดนเพื่อน
ร่วมอุดมการณ์ที่ปั๊ม ปตท. ด่าน 10 บาทมองว่า “ธรรมดาเกินไป” ก็เลยต้องการ
รถสักคันที่แรงแบบไม่ใช่ขี้ๆ มี Attitude ที่ดูเป็นนักซิ่งมากขึ้น แต่ราคายังต้อง
ค่อนไปทางรุ่นล่างๆของทางค่ายอยู่
Porsche เขาไม่มีทางอธิบายถึง Product ของตัวเองแบบนั้น แต่ผมนี่แหละทำ
เพราะเดี๋ยวถ้าคุณไปเปิดใบราคา เปิดใบสเป็คดู คุณก็คิดได้เองแหละ
แต่สิ่งที่ Porsche จัดหามาใส่ไว้ใน Carrera GTS ก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
พวกเขาก็จับ Carrera S มา ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้แรงขึ้น เอาตัวถัง Wide Body
แบบ Carrera 4/4S มาใช้ แล้วก็เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานเข้าไป ปรับแต่งรถให้มี
บุคลิกห้าวขึ้นประมาณ 10-15% ให้ของเล่นที่เกี่ยวกับเรื่องความแรงมามากขึ้น
เมื่อพิจารณาจากราคาของ GTS (ประมาณ 568,000 ดอลลาร์สิงคโปร์) ซึ่งแพง
กว่า Carrera S ประมาณ 60,000 ดอลลาร์ (ในขณะที่ GT3RS ราคา 797,000
ดอลลาร์ และ 911 Turbo ธรรมดาอยู่ที่ 743,000 ดอลลาร์) คุณจะเห็นได้ว่าค่าตัว
ของ GTS นั้นค่อนไปทางถูกเสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ ผมลองเข้า
เว็บไซต์ของ Porsche Singapore แล้วเลือกรุ่น Carrera S มาแล้วพยายามจัด
ออพชั่นต่างๆให้ใกล้เคียงรุ่น GTS มาที่สุด ราคาส่วนต่างกลับเหลือแค่ 25,000-
30,000 ดอลลาร์โดยที่คุณจะไม่ได้ตัวถัง Wide Body, ล้ออัลลอยลาย Turbo S
กับเครื่องยนต์สเป็คของ GTS ด้วยซ้ำ…จะเห็นได้ว่าความคุ้มค่าและจุดขาย
ของ GTS ก็ยังมี…และในสายตาผมมันทำให้รุ่น S ดูน่าสนใจน้อยลงด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้ว Porsche ยังเปิดตัว Carrera GTS ออกมาให้ลูกค้าเลือกด้วยกัน
5 แบบ แบ่งตามรูปแบบตัวถัง และระบบขับเคลื่อนดังนี้
Carrera GTS Coupe/Carrera 4 GTS Coupe
ความยาวตลอดคัน 4,528 มิลลิเมตร กว้าง 1,852 มิลลิเมตร
สูง 1,284 มิลลิเมตร และมีระยะ ฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร
ระยะแทร็คล้อหน้า 1,541 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหลัง 1,544 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่าตามมาตรฐาน DIN ในรุ่นเกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 1,450 กิโลกรัม
รุ่นเกียร์ PDK 1,470 กิโลกรัม (สำหรับ Carrera 4 GTS คือ 1,495
และ 1,515 กิโลกรัม) ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.31
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 64 ลิตร (Carrera 4 GTS 67 ลิตร)
Carrera 4 GTS Targa (ไม่มีรุ่นขับหลังสำหรับบอดี้นี้)
ความยาวตลอดคัน 4,528 มิลลิเมตร กว้าง 1,852 มิลลิเมตร
สูง 1,291 มิลลิเมตร และมีระยะ ฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร
ระยะแทร็คล้อหน้า 1,539 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหลัง 1,544 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่าตามมาตรฐาน DIN ในรุ่นเกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 1,585 กิโลกรัม
รุ่นเกียร์ PDK 1,605 กิโลกรัม ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ
Cd=0.32 ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 67 ลิตร
Carrera GTS Cabriolet/Carrera 4 GTS Cabriolet
ความยาวตลอดคัน 4,528 มิลลิเมตร กว้าง 1,852 มิลลิเมตร
สูง 1,291 มิลลิเมตร (รุ่น 4 GTS สูง 1,293 มิลลิเมตร) ฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร
ระยะแทร็คล้อหน้า 1,539 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหลัง 1,544 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่าตามมาตรฐาน DIN ในรุ่นเกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 1,520 กิโลกรัม
รุ่นเกียร์ PDK 1,540 กิโลกรัม (สำหรับ Carrera 4 GTS คือ 1,565
และ 1,585 กิโลกรัม) ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.32
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 64 ลิตร (Carrera 4 GTS 67 ลิตร)
สิ่งที่ทำให้ Carrera GTS ต่างจาก Carrera S ธรรมดา ประกอบด้วย:
1. เครื่องยนต์ พื้นฐานเดิม เปลี่ยนเทอร์โบลูกใหม่ ปรับจูนพลังเพิ่ม
2. ใช้ตัวถังแบบ Wide body โป่งหลังกว้าง แทร็คล้อหลัง 1,544 มิลลิเมตร
ของ 911 Carrera 4 ซึ่ง GTS ทุกรุ่นจะใช้ตัวถังนี้ในขณะที่ Carrera/Carrera S
จะเป็นแบบตัวถังแคบ (ความกว้างตัวถังก็ต่างกัน – 1,808 กับ 1,852 มิลลิเมตร)
3. ช่วงล่างแบบแปรผันความหนืดอัตโนมัติ PASM เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เตี้ยกว่าช่วงล่างสเป็คปกติ 10 มิลลิเมตร
4. รุ่น Coupe ได้ช่วงล่าง PASM Sport ที่เตี้ยลงอีก 10 มิลลิเมตร
5. ล้ออัลลอยแบบน็อตล็อคเดี่ยวตรงกลาง ลายเดียวกับ 911 Turbo S พ่นสีดำ
6. Sport Chrono Package พร้อมนาฬิกาแดชบอร์ดและสวิตช์ปรับโหมดที่
พวงมาลัยกับปุ่ม Sport Response เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
7. ภายในตกแต่งด้วย Alcantara ตามแดชบอร์ด ตรงกลางเบาะ และแผงประตู
8. เบาะนั่งแบบ Sport Seats Plus ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
(รุ่นปกติจะได้เบาะ Sport ธรรมดา ไม่มีปีกบน แต่ปรับไฟฟ้า 14-Way?!?)
9. พวงมาลัย GT Sport ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 360 มิลลิเมตร
10. ท่อไอเสียแบบ Sport Exhaust ปรับความดังได้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
11. รุ่น Targa จะมีหลังคาตรงกลางสีดำ แต่สามารถสั่งสีเงินแบบปกติได้
นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวไปแล้ว เอกลักษณ์ประจำรุ่นของ Carrera GTS
อีกอย่างก็คือกันชนหน้าแบบ Sport Design ของ GTS เอง และมีกระจก
มองข้างแบบ Sport Design มาให้เช่นเดียวกัน (ไม่มีระบบพับไฟฟ้าครับ
ถ้าอยากได้พับไฟฟ้ากรุณาสั่งกระจกมองข้างแบบรุ่นปกติ) ไฟหน้า ไฟท้าย
และตัวอักษรรุ่นต่างๆ รมสีดำ
ที่ผมเกือบไม่ได้สังเกต แต่มารู้ตอนหลังจากเอกสาร Press kit ก็คือ องศา
ของสปอยเลอร์หลังเวลากางออก ก็จะยืดขึ้นสูงมากกว่ารุ่น Carrera S (แต่ดู
ด้วยตาเปล่าแล้วแยกไม่ออกจริงๆ) แล้วก็จะมีแถบพลาสติกยาวเชื่อมจากไฟท้าย
ด้านซ้ายไปขวาที่รุ่นอื่นเขาไม่มีกัน ถ้าเป็นรุ่นขับหลัง จะเป็นแถบสีดำ และถ้า
เป็นรุ่นขับสี่ ก็จะเป็นแถบสีแดง
นั่นคือความแตกต่างคร่าวๆ ที่ช่วยให้คุณแยก Carrera GTS ออกจากรุ่น
Carrera ธรรมดาหรือ S ได้เมื่อพบตามท้องถนน โดยที่ไม่ต้องดูป้ายรุ่น
(ไม่ได้โม้ แต่ Porsche มีออพชั่นสำหรับลูกค้าอินดี้..คุณสามารถสั่งไม่ติด
ป้ายชื่อรุ่นที่ท้ายรถก็ได้)
ต่อไป เรามาดูรถคันจริงกันดีกว่าครับ
หน้าตาของกุญแจ Porsche 911 เป็นแบบนี้แหละครับ รถทดสอบของเราเป็น
กุญแจรีโมทแบบธรรมดา (ไม่ใช่ Smart Key) คุณสามารถสั่งให้ Porsche
พ่นสีกุญแจให้เป็นสีเดียวกับตัวรถได้ สำหรับกุญแจมาตรฐานนี้ เวลาจะเข้ารถก็กด
ปุ่ม Unlock ที่รีโมท แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งเหมือนรถไร้ Keyless Entryทั่วไป
เวลาจะสตาร์ทรถ ก็เอาส่วนหน้าของกุญแจนั่นล่ะครับ ทิ่มเข้าไปตรงรูเสียบ
ที่คอพวงมาลัยด้านขวา จากนั้น..ทำยังไง..บิดสิครับ บิดแก๊ก 1 แก๊ก On แล้วอีก
ทีหนึ่งก็คือสตาร์ทเครื่อง
Porsche มี Smartkey ให้สั่งเป็นออพชั่นเพิ่มเงินเอาเองได้ถ้าคุณต้องการ
แต่ผมก็งงอยู่ เพราะสมัยนี้ในต่างประเทศรถหลายรุ่นที่ราคาแค่เท่ากับล้อรวม
ยางกับเบรกของ 911 ก็มีอุปกรณ์นี้ให้ ทำไม Porsche ไม่จัดมาให้เสียเลย?
บานประตูเป็นแบบไร้เสากรอบ (Frameless Door) ทำจากอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ
โครงสร้างหลักของรถ มือจับเปิดประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถ สามารถสั่งให้พ่นเป็นสีอื่น
ได้ตามต้องการ ภาพที่เห็นข้างบนเป็นของรุ่น Targa ซึ่งแนวหลังคาจะไม่ต่างจาก
ตัวคูเป้มากนัก
การเข้า/ออกจากรถนั้น ถ้าคุณเที่ยวเอาไปเทียบกับรถบ้านทั่วไป ก็แน่นอนว่า
911 จะลำบากกว่า โดยเฉพาะกับคนน้ำหนักเยอะตัวใหญ่จะต้องใช้แรงยันตัว
เวลาลุกออกจากรถเยอะหน่อย แต่ถ้าเทียบกับรถสปอร์ตคันอื่น ผมคิดว่า 911 ก็ยัง
เป็นรถที่ผมลุกเข้าลุกออกได้ง่าย (อย่าลืมว่าผมสูง 183 เซ็นติเมตรและหนัก
148 กิโลกรัม) เวลาเข้านั่ง ก็ทำเหมือนรถปกติทุกประการ มันจะยากแค่ตอนก้มหัว
หลบหลังคา และตอนตวัดเอาเท้าเข้า เพราะขอบหน้าสุดของประตูอยู่ค่อนข้างใกล้
แม้จะถอยเบาะนั่งไปจนหลังสุดแล้วก็ตาม
โดยปกติแล้ว 911 Carrera GTS จะได้เบาะนั่งแบบ Sport Seats Plus (มีปีกเล็ก
ช่วงไหล่) ซึ่งปรับเอน และปรับความสูงด้วยไฟฟ้า แต่ปรับเลื่อนหน้าหลังด้วยมือ
รถทดสอบของเรา เป็นเบาะแบบ Adaptive Sport Seats Plus 18-Way ซึ่งก็มี
หน้าตาเหมือนเบาะ Sport Seats Plus แต่เพิ่มการปรับไฟฟ้าทุกส่วน ไม่ว่าเอน
เลื่อนหน้า/หลัง ปรับสูง/ต่ำ ก้ม/เงย ปรับการดุนปีกเบาะ แล้วยังได้พวงมาลัย
ปรับไฟฟ้าแถมมาในแพ็คเกจ พร้อมหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง
ผมลองวัดความสบายของเบาะด้วยขนาดตัวมหึมาของผมดูนะครับ..
เบาะของ 911 รุ่นนี้มีดีตรงที่ปรับองศาได้หลายจุด แต่ในเรื่องซัพพอร์ทจุดต่างๆ
มันจัดเป็นเบาะชนิดกึ่งซิ่ง ให้นึกถึง Hot Hatch ดุๆ ที่ออกมาจากโรงงานเข้าไว้
แต่นี่ล่ะคือเบาะที่เหมาะที่สุดสำหรับจุดประสงค์การใช้งานจริงของ GTS
ซึ่งเป็นรถซิ่งบนถนน ที่เผื่อไว้ให้คุณขับในสนามแข่งแบบเอามันส์ได้บ้าง
เบาะรองนั่งมีความนุ่มนวลมากกว่าที่คาด (เพราะปกติเบาะรถซิ่งแบบนี้มักจะ
เน้นแข็ง เพื่อถ่ายทอดอาการของตัวรถมาถึงหลัง หัว ไข่ ไหล่ ตูด คนขับได้ดี)
แม้แต่พนักพิงศีรษะก็นุ่มกว่าที่คิดเอาไว้มาก องศาการดันหัวค่อนค่อนพอดี
แต่นั่นก็หมายความว่าถ้าคุณใส่หมวกกันน็อคขับ ก็อาจจะไม่สบายหัวเท่าไหร่
เป็นปัญหาคล้ายกันกับที่พบใน 718 Boxster
ส่วนเบาะหลังคงไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะไซส์อย่างผมหมดสิทธิ์ ไม่คิดจะนั่ง
แม้มันจะดูเหมือนที่ที่ใหญ่พอให้เด็กเล็กๆอย่างหลานวัย 4 ขวบของผมนั่งได้
แต่โดยทั่วไปคุณคงจะอยากเอาไว้ใช้เป็นที่วางของมากกว่า และถ้าใครไม่มี
ลูกหลานที่ต้องนั่งหลัง คุณสามารถสั่งให้ Porsche ถอดเบาะหลังออกทั้งยวง
ได้โดยไม่เสียเงิน (เพื่อเป็นการเซฟน้ำหนัก)
นอกจากนี้ ในรถทดสอบเกียร์ธรรมดา 2 คัน (Carrera GTS สีฟ้า และ Carrera
4 GTS สีขาว) ยังได้ติดตั้งเบาะแบบ Sport Bucket Seats มาให้ โดยปกติเบาะ
รุ่นนี้จะเป็นออพชั่นเสริม ราคาประมาณ 15,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ตัวเบาะ
ใช้โครงปิดหลังเบาะทำมาจากพลาสติก/คาร์บอนไฟเบอร์ มีน้ำหนักเบา ปรับเอน
ไม่ได้ ปรับองศาก้ม/เงย หรือปรับความสูงก็ไม่ได้ แต่สามารถเลื่อนหน้า/หลังได้
ด้วยคันโยกแบบธรรมดา มีสวิตช์ระบบความจำที่ประตู ซึ่งจะเชื่อมกับพวงมาลัย
แต่ไม่เชื่อมกับเบาะ (ไม่มีอะไรให้เชื่อมนี่หว่า)
แม้ตัวเบาะจะเป็นแบบซิ่ง คล้ายรถแข่งมากที่สุด แต่เข็มขัดนิรภัยยังเป็นแบบ
3 จุดเหมือนกับรถทั่วไป ถ้าถามเรื่องความสบายของเบาะกับมนุษย์ไซส์ผม พูดยาก
เท่าที่ถามนักข่าวท่านอื่นที่เขาลองนั่ง ทุกคนบอกว่า “Good” ส่วนผมเองนั้นแม้
จะรู้สึกว่ามันทำให้การเข้าไปนั่งในรถยากขึ้นกว่าเดิม เวลาปีนแล้วเอาตัวเข้าไปนั่ง
ต้องพยายามไม่ทิ้งตัวลงผิดจุด เป็นเหตุให้ส่วนที่บอบบางที่สุดแห่งความเป็นชาย
ถูกแรงอัดปะทะเข้ากับปีกเบาะแข็งๆจนเกิดปรากฏการณ์ฟ้าเหลือง
..แต่พอเข้าไปนั่งแล้วขยับทวารให้ฟูฟิตเข้าที่ รัดเข็มขัด..สิ่งเดียวที่ผมเสียดายคือ
ความสูงของตัวเบาะอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ผมหมุนพวงมาลัยไม่ถนัด แต่ปีกล่าง
ปีกข้าง รวมถึงวัสดุที่ใช้ทำเบาะ เยี่ยมมาก! สามารถล็อคตัวผมระหว่างทิ้งโค้ง
ต่างๆในสนามได้ดีกว่าเบาะธรรมดาอย่างชัดเจน ทำให้รับรู้อาการขยับขึ้นลง
สะบัดซ้าย/ขวาของตัวรถได้ดีต่างกันคนละเรื่อง
ถ้าคุณยังไม่เคย…เอาไว้เมื่อคุณได้ลองขับรถในสนามด้วยเบาะโรงงาน เทียบกับ
เบาะแข่งดีๆแล้วกันครับ คุณจะได้รับรู้และซาบซึ้งเองโดยไม่ต้องฟังคำของผม
ภายในห้องโดยสารของ 911 Carrera GTS ก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับ Carrera S
แต่สิ่งที่ต่างกันคือพวงมาลัย สวิตช์ปรับโหมดที่พวงมาลัย และการตกแต่งภายใน
ด้วย Alcantara แต่ต้องขอหมายเหตุไว้นิดนึงว่าในรถทดสอบตามภาพด้านบน
มีการสั่งออพชั่นที่เรียกว่า “GTS Interior Package” ซึ่งจะเดินตะเข็บด้ายสีแดง
ตามจุดต่างๆ และเปลี่ยนสีมาตรวัดตรงกลางเป็นจอแดง เปลี่ยนเข็มเป็นสีขาว หรือถ้า
ใครไม่ชอบสีแดง ก็สามารถสั่งเป็นด้ายสีขาวเงินกับจอกลางสีเทา เข็มสีแดงได้
(มีให้เลือก 2 แบบ) ส่วนการตกแต่งด้วยคาร์บอนบนแดชบอร์ดกับรอบคันเกียร์นั้น
ก็เป็นออพชั่นสั่งเพิ่ม ตามโบรชัวร์วัสดุมาตรฐานจะเป็นอะลูมิเนียมกับวัสดุสีดำเงา
ตำแหน่งคันเกียร์อยู่ในระดับที่สูงใกล้กับพวงมาลัย ปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ใช้งานกันบ่อยๆ
ถูกติดตั้งรวมตัวกันที่คอนโซลกลาง เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน
พวงมาลัยแบบสปอร์ต เอารูปแบบดีไซน์มาจาก Porsche 918 Spyder มีสวิตช์ปรับ
โหมดการขับขี่ที่พวงมาลัย (Comfort/Sport/Sport Plus/Individual) ซึ่งใช้งาน
ได้สะดวกมือมาก ออพชั่นนี้ราคาแปลงเป็นเงินไทยเกือบ 280,000 บาท แต่ในรุ่น
GTS จะมีมาให้เลย
ชุดเครื่องเสียง CD/MP3 มาพร้อมระบบนำทาง และจอมอนิเตอร์แบบทัชสกรีน
ขนาดใหญ่ พร้อมระบบ Porsche Communication Management และสามารถ
เชื่อมต่อการทำงานกับสมาร์ทโฟน รองรับระบบ Apple CarPlay อีกทั้งยังเป็นจุด
เชื่อมการทำงานกับแอพพลิเคชั่น Porsche Track Precision App. อีกด้วย
สำหรับการใช้ Porsche Track Precision App. นั้น ก็ไม่ยากเลย คุณมีสมาร์ทโฟน
คุณตั้งโทรศัพท์ ยึดเอาไว้ที่กระจกหน้า บันทึกวิดิโอการขับของคุณ แล้วตัวรถ
ก็จะป้อนข้อมูลความเร็ว เบรก คันเร่ง พวงมาลัย เกียร์ที่เลือกใช้ แรง G ที่ทำได้
เข้าไปปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของหน้าจอ คุณสามารถเซฟเก็บไว้เพื่อวิเคราะห์การขับ
ของตัวเองในภายหน้าได้ นี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ GTS ใหม่ครับ
มองจากมุมนี้ ไล่จากซ้ายไปขวา จะเห็นชุดควบคุมสวิตช์กระจกไฟฟ้าและกระจก
มองข้าง ปุ่มกลมๆด้านบนคือปุ่มปรับทิศทางกระจก ถ้าเป็นรถคันที่มีกระจกพับไฟฟ้า
สวิตช์ที่อยู่ข้างบนปุ่มปรับทิศทางกระจกจะมีรูปกระจกพับอยู่ แต่คันนี้ไม่มีมาให้
ส่วนปุ่มหมุนบนแดชบอร์ดด้านซ้ายนั้นเป็นสวิตช์สำหรับเปิดไฟหน้า ซึ่งสามารถตั้ง
ให้ทำงานแบบอัตโนมัติได้
บนพวงมาลัย นอกจากจะมีแป้น Paddle shift สำหรับเล่นเกียร์เองแล้ว ที่ก้าน
พวงมาลัยจะมีทั้งปุ่มหมุน และปุ่มกดสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง
และการแสดงผลบนหน้าปัดวงขวาของรถ แต่ส่วนนี้จะเป็นออพชั่นนะครับ พวงมาลัย
ที่ติดรถมาจะเป็นแบบก้านธรรมดา ไม่มีปุ่มมัลติฟังก์ชั่น ต้องไปใช้ก้านควบคุม
ข้อมูลในการปรับหน้าจอแทน
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แยกฝั่งซ้าย – ขวา 2 Zone Automatic Climate
Control สวิตช์ไฟ ฉุกเฉินอยู่เลยคันเกียร์เข้ามาทางข้างหลัง แอบมองหาอยู่นาน
เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน และถัดลงมาอีกจะเป็นพวกสวิตช์ควบคุมความมันส์สำหรับ
นักเลงรถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ปรับช่วงล่างแข็ง/อ่อน (สำหรับรถที่มีออพชั่น
ช่วงล่าง PASM) สวิตช์ปิดระบบควบคุมการทรงตัว สวิตช์ปรับเสียงท่อ (สำหรับรถที่สั่ง
ใส่ท่อสปอร์ต) สวิตช์ปรับกระดกสปอยเลอร์หลัง (ซึ่งโดยปกติพอวิ่งเกิน 60 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมงมันจะกระดกขึ้นอยู่แล้ว) และสวิตช์ปิดระบบ Auto Start/Stop
ทั้งนี้ เราจะเห็นรถบางคันที่มีปุ่ม SPORT ตรงชุดสวิตช์หลังคันเกียร์ และบางคันไม่มี
ไม่ต้องตกใจครับ รถที่สั่ง Sport Chrono Package นั้นสวิตช์ SPORT มันย้ายไปรวม
กับปุ่มหมุนบนพวงมาลัยอยู่แล้ว แต่รถที่ไม่ได้สั่งออพชั่นนี้ ก็จะไม่มีสวิตช์ปุ่มหมุน
ที่พวงมาลัย ก็เลยต้องทำเป็นปุ่มมาไว้ที่คอนโซลแทน
ชุดมาตรวัด ยังคงเป็นแบบ 5 วงกลม ตรงกลาง ใหญ่สุด ในแบบมาตรฐานนั้น
จะเป็นมาตรวัดพื้นสีดำ เข็มสีแดงในทุกจอ แต่คันนี้สั่งแพ็คเกจภายในเพิ่ม
ทำให้ได้มาตรวัดรอบสีแดง ส่วนอื่นสีดำ และเข็มสีขาว (ออพชั่นอีกแบบคือ
มาตรวัดรอบพื้นสีเทาอ่อน มาตรวัดอื่นสีดำ เข็มสีแดง)
บนจอมีมาตรวัดรอบ มาตรวัดความเร็ว และมีจอแสดงตัวเลขความเร็วแบบ
Digital มาให้ด้วย เวลาเปิดไฟตอนกลางคืน ตัวเลขจะเป็นสีขาวเรืองแสงจาก
ด้านหลัง มีมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องและอุณหภูมิน้ำกับ น้ำมันเครื่องมาให้อย่างที่
รถสปอร์ตควรมี
ส่วนจอขวาสุด เป็นชุดจอ Multifunction TFT 4.8 นิ้ว ความละเอียดสูงและแสดง
การทำงานของระบบต่างๆ แสดงสถานะของระบบต่างๆในตัวรถ เครื่องเสียง โทรศัพท์
ระบบนำทางการแสดงผลของแผนที่ คอมพิวเตอร์ on-board และการวัดระดับของ
ลมยาง ผู้ขับขี่จะเลือกใช้งานฟังก์ชันต่างๆนี้ได้จากปุ่มต่างๆ ฝั่งขวามือของพวงมาลัย
นอกจากนี้ยังแสดงหน้าจอของมาตรวัดแรง G หรือ G-Force วัดแรงดึงจากอัตราเร่ง
ทางตรงและการเหวี่ยงออกด้านข้าง รวมไปถึง Sport Chrono Package ที่สามารถ
เรียกดูได้จากจอแสดงผลเช่นกัน
รายละเอียดทางวิศวกรรม
Carrera GTS ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอน BOXER DOHC 24 วาล์ว จ่ายน้ำมัน
เชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดตรงสู่ห้องเผาไหม้ DFI (Direct Fuel Injection) พร้อมระบบ
วาล์วแปรผัน VarioCam Plus อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์
ความจุกระบอกสูบ เท่ากับ Carrera และ Carrera S คือ 3.0 ลิตร (2,981 ซี.ซี.)
ขนาดปากกระบอกสูบ 91.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 76.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด
10.0:1 ความจุน้ำมันเครื่อง 13.1 ลิตร ปริมาตรน้ำมันเวลาเปลี่ยนถ่าย 8.0 ลิตร
ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ มีปั๊มน้ำแบบไฟฟ้า On-demand ที่สั่งเปิด/ปิด
ด้วยกล่อง ECU (ภาพประกอบข้างบนเป็นของ Carrera S)
จะว่าไปแล้ว มันก็ดูเหมือนกับการเอาเครื่อง Carrera S มาจูนใหม่?? เปล่าครับ
อันที่จริง Porsche เปลี่ยนเทอร์โบลูกใหม่ด้วย ขนาดของโข่งไอดี/ไอดีและกังหัน
มีขนาดโตกว่าเดิม แถมยังปรับบูสท์เพิ่มจาก 1.1 บาร์ เป็น 1.25 บาร์อีกต่างหาก
ผลลัพธ์ที่ได้ คือแรงม้าสูงสุด 450 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ลากยาวตั้งแต่ 2,150-5,000 รอบต่อนาที
รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องอยู่ที่ 7,500 รอบต่อนาที
ตัวเลขนี้ หากนำไปเทียบกับ Carrera S แล้ว จะพบว่าแรงม้าเพิ่มขึ้น 30 ตัว
ได้แรงม้าสูงสุดที่รอบเท่ากัน แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร แต่มาช้า
กว่าเดิม (Carrera S มาตั้งแต่ 1,700-5,000) ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบจากการ
ขยายขนาดเทอร์โบให้โตขึ้นนั่นเอง
ระบบส่งกำลังในรุ่น Carrera GTS มีให้เลือก 2 แบบ
แบบแรก คือเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ (เกียร์ 1 เข้าซ้าย-ดันขึ้น/เกียร์ถอยผลัก
ซ้ายสุด ดันขึ้น) มีระบบ Rev-Matching เบิ้ลรอบเครื่องขึ้นรับโดยอัตโนมัติ
เวลาเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ อัตราทดเกียร์มีดังนี้
เกียร์ 1………………..3.91
เกียร์ 2………………..2.29
เกียร์ 3………………..1.58
เกียร์ 4………………..1.18
เกียร์ 5………………..0.94
เกียร์ 6………………..0.79
เกียร์ 7………………..0.62
เกียร์ถอยหลัง………3.55
เฟืองท้าย……………3.59
ส่วนอีกแบบ คือเกียร์คลัตช์คู่ PDK 7 จังหวะ ซึ่งไม่ต้องไล่อัตราทดให้ยาวยืด
เพราะทดมาเท่ากับรุ่นเกียร์ธรรมดาเป๊ะตั้งแต่เกียร์ 1-7 แม้แต่เกียร์ถอยหลังกับ
อัตราทดเฟืองท้ายก็เท่ากันหมด
สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จุดแตกต่างระหว่างรถเกียร์ธรรมดา กับเกียร์ PDK
อีกจุด จะอยู่ที่เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ซึ่งรุ่นเกียร์ธรรมดาจะใช้แบบ Mechanical
(กลไก) ธรรมดา ในขณะที่รุ่น PDK จะเป็นลิมิเต็ดสลิปแบบควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
ส่วนรุ่น Carrera 4 GTS ที่เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น จะใช้ระบบ PTM
(Porsche Traction Management) ซึ่งมีคลัตช์เปียกซ้อนหลายแผ่น ควบคุม
ด้วยกลไกกึ่งไฟฟ้า ที่สามารถปรับการถ่ายอัตราส่วนแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้า
กับล้อคู่หลังได้
สำหรับตัวเลขอัตราเร่ง และค่าการปล่อยมลพิษจากโรงงาน มีตัวอย่างดังนี้
(ตัวเลขในวงเล็บสำหรับรุ่นเกียร์ PDK)
Carrera GTS Coupe
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 4.1 (3.7) วินาที
0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 13.2 (12.4) วินาที
ความเร็วสูงสุด = 312 (310) กิโลเมตร/ชั่วโมง
CO2 emission = 212 (188) กรัม/กิโลเมตร
Carrera 4 GTS Coupe
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 4.0 (3.6) วินาที
0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 13.6 (12.8) วินาที
ความเร็วสูงสุด = 310 (308) กิโลเมตร/ชั่วโมง
CO2 emission = 216 (192) กรัม/กิโลเมตร
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์
(ภาพแทนจากรุ่น Carrera S เนื่องจากชิ้นส่วนหลักๆของช่วงล่างเหมือนกัน)
ติดตั้งระบบ PASM (Porsche Active Suspension Management) มาให้เป็น
อุปกรณ์มาตรฐาน ในรุ่น Carrera GTS Coupe จะได้ PASM Sport chassis ซึ่ง
ลดความสูงของช่วงล่างลงอีก 10 มิลลิเมตร (ซึ่งจะทำให้เตี้ยกว่า Carrera S
อยู่ 20 มิลลิเมตรพอดี)
ระบบ PASM นี้จะทำงานด้วยการตรวจจับอาการของตัวรถ ทั้งแรงเหวี่ยงออกข้าง
องศาของพวงมาลัย แรงดันของเบรก แรงบิดเครื่องยนต์ และความเร็วที่ใช้อยู่
จากเซ็นเซอร์รอบคันรถ มาประมวลผลที่สมองกลของระบบในเสี้ยววินาที
เพื่อปรับความหนืดของโช้คอัพให้เหมาะสมกับการขับขี่ในตอนนั้น
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า แปรผันได้ทั้งอัตราทดและ
อาการหน่วงของพวงมาลัย ในช่วงถือพวงมาลัยทางตรง อัตราทดปกติจะอยู่ที่
16.9: 1 (ทดช้ากว่ารถบ้านทั่วไปสมัยนี้เสียอีก) แต่สามารถปรับตามวิธีการขับ
และความเร็ว/โหมดการขับที่เลือกใช้ จนไวได้ถึง 12.25:1 (ไวเกือบเท่า
WRX STi RA-R รุ่นพิเศษ) ลูกค้าสามารถเสียเงินสั่งออพชั่น Rear-axle
steering (ล้อหลังเลี้ยวได้) ซึ่งจะทำให้รถเลี้ยวในเมืองได้คล่องขึ้น และมั่นคง
เวลาวิ่งเร็วๆบนทางด่วนมากกว่าเดิม แต่เพื่อชดเชยกับระบบเลี้ยวล้อหลัง
อัตราทดพวงมาลัยแปรผันจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ 15.0:1 – 12.5:1 แทน
ระบบห้ามล้อ เป็นเบรกดิสก์แบบมีรูระบายความร้อนครบทั้ง 4 ล้อ คาลิเปอร์จาน
เบรกคู่หน้ามี 6 Pot ส่วน จานขนาด 350 มิลลิเมตร หนา 34 มิลลิเมตร
จานเบรกคู่หลัง มี 4 Pot ขนาดจาน 330 มิลลิเมตร หนา 28 มิลลิเมตร
พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD
ลูกค้ายังสามารถ เลือกสั่งติดตั้งระบบเบรกเซรามิก PCCB (Porsche Ceramic
Composite Brake) ได้ คุณจะได้จานหน้าขนาด 410 มิลลิเมตร จานหลังขนาด
390 มิลลิเมตร คาลิเปอร์สีเหลือง
ล้ออัลลอย 20 นิ้ว ยกมาจาก 911 Turbo S เป็นล้อแบบฟอร์จชิ้นเดียวน้ำหนักเบา
ทำสีดำอโนไดซ์ พร้อมน็อตล้อแบบ Center-locking ยางมาตรฐานเป็น Pirelli
P Zero ขนาดล้อหน้า 9 J x 20 (ET 51) ยาง 245/35 ZR 20 ส่วนด้านหลังใช้ขนาด
12.0 J x 20 (ET 63) หุ้มด้วยยาง 305/30 ZR 20
นับว่าขนาดยางเท่ากันกับ Carrera S นั่นล่ะ แต่กระทะล้อกว้างกว่ากันอยู่ 0.5 นิ้ว
และออฟเซ็ตล้อหลังเปลี่ยนจาก 76 เป็น 63 เพราะโป่งด้านหลังของ GTS มีขนาด
เท่า Carrera 4S ซึ่งเป็นรุ่นขับสี่
THE TEST: Killarney Raceway
เรามาลองขับของจริงกันเลยดีกว่าครับว่าจะแรงแค่ไหน
Porsche บอกว่า 911 Carrera GTS สามารถวิ่งรอบสนาม Nurburgring ได้
ภายใน 7:26 นาทีด้วยยาง Pirelli P Zero สเป็คถนน ซึ่งนั่นก็เร็วกว่า GTS รุ่น
เครื่อง NA ตัวที่แล้ว 12 วินาที! เร็วกว่า Carrera S 4 วินาที และ..ถ้าจำไม่ผิด
เร็วกว่าไอ้ไฮเปอร์คาร์ Carrera GT จากทศวรรษก่อนอยู่ 2 วินาทีด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าจับใส่ยางสเป็คสำหรับสนามแข่ง มันจะยิ่งเร็วขึ้นอีก 4 วินาที
และนั่นแหละ..คือสิ่งที่พวกเขาทำ สำหรับการขับในสนาม Killarney Raceway
ของสื่อมวลชนนานาชาติวันนี้ พวกเขาจับกบโหดสารพัดสีใส่ยาง Pirelli
P-Zero Corsa Nero กันหมด ยางงี้นุ่มหนึบ เวลาใช้งานหนักๆจะส่งกลิ่นหอม
เตะจมูกอีกด้วย
ข้อมูลตรงนี้อาจจะไม่สำคัญสำหรับบางท่าน แต่ผมเชื่อว่าท่านที่เคยขับรถสนาม
จะทราบทันทีว่ายางสนามส่งผลในการขับอย่างไร มีผลต่อสปีดในการเข้าโค้ง
อย่างไร ก็ขอให้เข้าใจไว้ว่าผลการทดสอบทั้งหมดที่เขียน คือยางรุ่นนี้แหละครับ
สนาม Killarney Racetrack มีความยาวรวมแค่ประมาณ 3.2 กิโลเมตร ดูจาก
รูปบนฝาผนังแล้วหลายคนจะบอกว่า “ยากตรงไหนวะ” ก็จริงครับ สนามนี้ไม่ยาก
ไม่มีการยกตัวของสันเขาแบบสนามแก่งกระจานบ้านเรา Run-off area ฝั่งนอกโค้ง
ไม่แคบมาก มีที่เผื่อให้หลุดพอสมควร แต่กับดักของมันคือสภาพพื้นผิวครับ
โดยเฉพาะช่วงสุดทางตรง Back Straight ที่ยาว 7-800 เมตร คุณเหาะมา 200
แล้วพยายามชิดซ้ายเพื่อเข้าโค้งขวา Cape Town Corner ปรากฏว่าพื้นตรงนั้น
จะเป็นหลุมและลอนขนาดใหญ่ มองเห็นได้ยากมากตอนเที่ยงๆ ถ้ากำพวงมาลัยไม่ดี
หรือกำลังเอื้อมมือเปลี่ยนเกียร์ Shift Down อยู่..รถพุ่งออกนอกทางวิ่งได้เลย
รอบแรก 911 Carrera GTS เกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ สี Miami Blue
ออพชั่นพิเศษ: เบรกคาร์บอนเซรามิก เบาะ Sport Bucket Seat
คนจากทาง Porsche ที่ขับนำผมในรอบนี้คือคุณ Lars Kern ซึ่งเป็น “Testfahrer”
นักขับทดสอบของ Porsche ที่ขับ Panamera Turbo รอบ Nurburgring แล้ว
ตอกเวลา 7:38.40 ด้วยรถยางถนนและใส่เกียร์ “D” นั่นเอง แต่ Lars ได้เปรียบเพราะ
เขาขับ 911 Turbo เป็นรถนำ ..คือน้องครับ ฝีมือระดับน้องขับ Beetle พี่ก็แซงไม่ได้
อยู่แล้ว นี่น้องกะว่าไม่ให้พี่เห็นไฟท้ายเลยใช่ไหมครับ
Lars ว. บอกให้ออกตัว พวกเราก็ขับตามกันออกไปทีละคัน ในรอบแรกผม
พยายามเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับรถอย่างเต็มที่..แต่ก็ล้มเหลว เพราะผมไม่เคย
ต้องขับรถพวงมาลัยซ้ายที่เป็นเกียร์ธรรมดามา 18 ปีแล้ว ตำแหน่งแป้นคลัตช์
เบรก คันเร่งก็กองไปรวมด้านขวา การเข้าเกียร์ก็ต้องทำด้วยมือขวา ซึ่งผมยังไม่ถนัด
แถมคันเกียร์ 7 จังหวะของ Porsche นั้น เกียร์ 3 กับ 5 อยู่ใกล้กันมาก ไม่ต้องสืบครับ
ในสนามนี้ ผมขับ 6 รอบ เข้าเกียร์ผิดไปทั้งหมด 8 ครั้ง ส่วนมากมักจะเป็นการสับสน
ระหว่าง 2 กับ 4
แต่ถ้าถามเรื่องน้ำหนักคันเกียร์ และคลัตช์ บอกได้ว่า เกือบเพอร์เฟ็คท์ ได้ 9.5
จาก 10 คะแนนเลยด้วยซ้ำ คันเกียร์มีแรงหน่วงพอเหมาะ มีความรู้สึกแบบฟันขบเฟือง
อย่างที่เกียร์ธรรมดาควรจะมีเอาไว้บ้าง ระยะเข้าเกียร์ไม่ยาวเกินไป ส่วนระยะคลัตช์
นั้นออกจะยาวกว่าที่คิด แต่จุดตัดต่อกำลังอยู่ใกล้พื้นช่วงเหยียบสุด ออกตัวง่าย
ขับในเมืองก็น่าจะง่ายด้วย
ระบบ Rev-matching เบิ้ลรอบเครื่องรับเวลาเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ทำงานได้ดี
เดารอบได้ถูกเป๊ะเสมอ เสมือนเป็นเคอิจิ ซุจิยะ Heel-and-toe เอง ช่วงแรกๆ
ผมพยายามเล่นเทคนิกนี้เอง (โดยไม่รู้ว่ามันมีระบบ Matching ให้) ก็เลยตกใจ
เอ๊ะทำไมกูตอกคันเร่งทีเดียวรอบมันเบิ้ลขึ้นสองทีวะ
เครื่องยนต์ ให้สมรรถนะที่คล้าย 911 Carrera S มาก ถ้าไม่ใช้นาฬิกาจับเวลา
อาจจะแยกไม่ออก พอรู้สึกได้ว่า GTS ลากรอบไปจน 7500 ได้ลื่นกว่าอยู่บ้าง
ส่วนลักษณะการมาของแรงบิดที่มาให้ใช้ช้ากว่า Carrera GTS นั้น เอาเข้าจริง
ผมกลับหาความต่างของมันไม่ได้ เพราะทันทีที่รอบเครื่องเกิน 2500 ขึ้นไป
พลังบูสท์ก็มีมาให้ใช้เกินครึ่ง ยิ่งพออยู่ในโหมด Sport Plus แค่แตะคันเร่งเบาๆ
รถก็พุ่งจ๊าดไปอย่างรวดเร็ว เกิน 4,000 รอบขึ้นไป Response ของเครื่องยนต์
ไม่เหมือนเครื่องเทอร์โบเลย มันไวเหมือนกับเราครับรถเครื่อง NA ความจุ 5 ลิตร
เสียมากกว่า..ทันใจ และคุมคันเร่งได้ง่ายสำหรับนักขับมืออาชีพ แต่ถ้าเป็นนักขับ
มือสมัครเล่น อาจจะรู้สึกว่ามันไว “ติดตีน” เกินไปนิด
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ผมไม่มีโอกาสได้จับ แต่ 80-120 นั้น
บอกเลยว่าใช้เวลาแค่ประมาณ 2.75 วินาทีในเกียร์ 3 นี่ถ้าไม่รับพวกรถโมดิฟาย
หรือรถคนอื่นที่ผมขับมา 911 Carrera GTS กลายเป็นรถที่เร่ง 80-120 ได้เร็ว
ที่สุดที่ผมเคยขับตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ Headlightmag มาเลยทีเดียว สูสีกับ AMG
GT-S 510 แรงม้าทั้งๆที่ GTS นั้นมีม้าน้อยกว่ากัน 60 ตัว
และถ้าคุณวิ่งอยู่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ออกจากโค้ง Jaguar Sweep แล้วกด
คันเร่งเต็ม แค่ 5.8 วินาทีต่อมา ความเร็วก็แตะ 180 ไปเรียบร้อย ผมลากยาวต่อ
จนไต่ได้ถึง 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางตรงที่มีระยะกดแค่ประมาณ 800 เมตร
ไม่เกินนั้น พลังของ Porsche นี่น่ากลัวใช้ได้..ไม่ถึงกับทำให้สติแตก แต่ก็ทำให้
เรายิ้มอย่างมีความสุข ในเมื่อม้า 450 ตัว มีบางตัวทำงาน OT ให้พลังมากกว่าที่
ควรจะเป็น..ใช่ครับ ผมว่ามันวิ่งเหมือนรถ 500 ม้ามากกว่า 450 ม้า
ความสนุกมาสะดุดเอาก็ตอนเบรกอย่างหนักก่อนเข้าโค้ง Cape Town Corner
พื้นถนนที่เป็นหลุมลอนไม่ต่างอะไรกับดินแดนสิบล้อบ้านเราดักอยู่ก่อนเข้าโค้ง
ผมมองไม่เห็นหลุมพรางนี้เพราะเป็นเวลาเที่ยงแดดจัด มาเห็นเอาก็ตอนที่เบรก
ตัวโก่งเตรียมเข้าโค้ง
รถมีอาการดิ้นเหมือนจะเสียการทรงตัว แต่ที่จริง มันแค่ดิ้นไปตามแรงดูดของ
ยางสเป็คแข่ง ผมหักพวงมาลัยแก้ไม่กี่นิ้ว ไฟระบบการทรงตัวกระพริบ 2-3 ครั้ง
แล้วทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ
ที่โค้ง Cape Town เป็นโค้ง U-Turn กลับ ซึ่งตีแบงก์เอียงรับองศาการเลี้ยว
ในโค้งนั้นผม กับ Carrera GTS ขับหลัง ใส่เข้าไปจนได้แรงจีประมาณ 1.2 G
จุดนั้นผมเริ่มรู้สึกอึดอัดและมึนนิดๆแล้ว แต่ตัวรถยังบอกว่าสบาย อยากจะเลี้ยวเหรอ?
ตวัดพวงมาลัยสิ ชั้นก็เลี้ยว อยากจะเร่งเหรอ? กดไปเลยเดี๋ยวชั้นก็ไป สื่อเมืองนอก
รายอื่นรวมถึง Dr. Ian Kuan จากนิตยสาร Excellence แกดันได้ถึง 1.4G และ
อาจารย์ Matthias Hoffsummer ที่มางานนี้ด้วย (นี่คืออาจารย์เยอรมันที่สอนผม
ในด่านสลาลอมสมัยขับ 718) บอกว่า “ถ้าครูขับเองนะ..ครูว่าได้ 1.5G ว่ะ”
กลายเป็นว่าผมใช้ประสิทธิภาพของ Carrera GTS แค่ 70-80% ของมัน ไม่เกินนั้น
แต่ในการขับแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันต่างจากภาพปิศาจ อสูรกายที่เอาเครื่องห้อยตูด
เอาไว้มาก ในโหมด Sport Plus และ PSM Sport นั้น รถจะไม่พยายามฆ่าคุณ
แต่มันจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอสูรกายซ่อนอยู่ในกระโปรงหลังรถ เวลาเข้าโค้ง เบรก
หรือ Trail-brake แล้วเจอถนนไม่เรียบ ก็จะรู้สึกเหมือนกับท้ายรถดิ้นไปดิ้นมา
..มันไม่ใช่ดิ้นแบบรถช่วงล่างแย่นะ แต่เป็นการดิ้นตามลักษณะการวางเครื่องของรถ
ในบางโค้งที่ผมทำพลาด เช่นเข้าเร็วไป ไลน์ผิด หรือหักลึกไป รถจะมีอาการ
ตอบสนองชัดเจน ราวกับรถต้องการจะสอนว่า “เมื่อกี้นี่คุณทำพลาดนะ คุณเห็นใช่มั้ย
ว่าถ้าพลาดแล้วจะเป็นยังไง แต่ผมจะช่วยคุณนิดนึงแล้วกัน” ขับไปกี่โค้งผมรู้ได้หมด
ว่าโค้งไหนผมทำได้ดี โค้งไหนที่ผมพลาด
ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก PCCB ทำงานได้ดีมาก ผมขับโดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือ
เบรกเซรามิก อาการสะท้านแป้น หรือความรู้สึกหยาบเวลาเหยียบ ไม่มีให้เห็น
ผมนึกว่ามันคือจานเหล็กซิ่งธรรมดาจนกระทั่ง Lars มาบอกว่านั่นน่ะ PCCB
ระยะเหยียบของแป้นเบรกสั้น กะน้ำหนักง่ายมากสำหรับการขับในสนามแข่ง
ผมไม่ได้ใช้แรงเบรกเกิน 80% เลยในสนาม..เพราะลำพังเหยียบแค่ 60-70%
ความเร็วก็ร่วงลงในระดับที่น่าพอใจแล้ว เยี่ยม!
ผมอยากจะเรียนรู้ตัวรถมากกว่านี้ แต่ด้วยความที่เป็นคนเรียนรู้ช้า ประกอบกับ
รอบที่ขับ ใช้เวลารวมกันแค่ไม่กี่นาที ในรอบนี้ผมประทับใจในตัวรถ แต่ปัญหาคือ
ผมยังไม่คุ้นชินกับการสับเกียร์ด้วยมือขวา และตำแหน่งเบาะที่ดีไซน์มาสำหรับ
คนส่วนใหญ่ มันไม่ถนัดสำหรับมนุษย์ไซส์ผิดปกติแบบผม
ตอนแรก ผมคิดว่า “หมดแค่นี้ล่ะวะ ความผิดมึงเอง มัวแต่ยุ่งกับเกียร์ เลยไม่ได้
จัดเรื่องอื่นอย่างที่ควรทำ” ผมเดินไปเปิดน้ำอัดลมท้องถิ่นกินแล้วพิงกำแพงคุย
กับคุณ Elena Storm ซึ่งมีตำแหน่งเป็น Sprecherin Sportwagen หรือโฆษก
ประจำแผนกรถสปอร์ตของ Porsche (ซึ่งคนนี้ ไม่เคยมาไทย แต่อยู่เยอรมันจะชอบ
ให้สามีพาไปกินร้านอาหารไทยตลอด) ผมเล่าให้เธอฟังว่ารถดีนะ ประทับใจ แต่
นั่งเบาะไม่ถนัด และเข้าเกียร์ไม่ถนัด
เธอก็บอกว่า “เอ้า…งั้นจะรออะไรล่ะ ไปขับอีกคันสิคะ!” แล้วก็เดินไปตรงซุ้มจัดคิว
ก็ปรากฏว่ามีนักข่าวบางท่านที่สละสิทธิ์ไม่ขับรถในสนามแข่ง Elena ใช้เวลาแค่
ไม่กี่นาที จัดให้ผมได้ลองรถอีกคัน Danke Schoen, Frauline!
รอบที่สอง 911 Carrera GTS PDK สี Racing Yellow
ออพชั่นพิเศษ: น้ำอัดลมครีมโซดาตรา Sparletta ดื่มแก้เสี้ยน
ผมย้ายมาขับรถสีเหลืองคันนี้ ซึ่งจุดแตกต่างจากรถคันสีฟ้าก็คือเบาะ ซึ่งเป็นแบบ
สปอร์ตปรับ 18 Way เรียกได้ว่าผมสามารถปรับจนเอาตำแหน่งขับที่ถนัดที่สุดได้ล่ะ
ระบบส่งกำลังก็เป็นเกียร์ PDK ทำให้ไม่ต้องพะวงกับการเหยียบคลัตช์เปลี่ยนเกียร์
แต่เบรกของรถคันนี้จะเป็นแบบจานเหล็กธรรมดา..ก็ดีเหมือนกัน ลองดูหน่อยว่า
เบรกสเป็คเดียวกับ Carrera S จะเวิร์กแค่ไหนในสนาม
อาจารย์ Matthias Hoffsummer ควบรถนำ (911 Turbo S) พาออกไปจากพิท
แล้วไปหยุดอยู่ตรงทางร่วมครู่หนึ่ง ก่อนกดออกไปอย่างเร็ว ผมต้องรีบกดคันเร่งตาม
ในทันที เลยได้ลองออกตัว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงจับเวลาได้ประมาณ 4.1 วินาที
ซึ่งไม่เลวเลย ผมใช้แค่ Sport Plus Mode ไม่ได้มีการล็อครอบออกตัว วิ่งตอน
กลางวัน อัตราเร่งออกมาเร็วกว่า AMG GT-S ที่เราเคยทดสอบกันไว้ในเวลากลางคืน
เสียอีก
ส่วนอัตราเร่ง 80-120 นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคาอยู่เกียร์ไหน ถ้าคาเกียร์ 3 ไว้อยู่แล้วกด
ตัวเลขที่ได้จะอยู่ที่ 2.85 วินาที ซึ่งพูดไปแล้วก็ใกล้เคียงหรือเท่ากับตัวเกียร์ธรรมดา
นั่นล่ะครับ แต่ถ้าปล่อยเกียร์ D แล้วมันไปวิ่งอยู่เกียร์ 4 หรือ 5 แล้วค่อยคิกดาวน์
ให้รถพุ่ง ก็จะได้ตัวเลขประมาณ 3.05 วินาที ซึ่งก็ถือว่าเร็วอยู่ดีในโลกของรถสปอร์ต
ความเร็วช่วงทางตรง Back Straight ทำได้ใกล้เคียงกับรุ่นเกียร์ธรรมดา จุดไหนที่
คันสีฟ้าไต่ถึง 200 คันสีเหลืองก็จะวิ่งอยู่ 198 โดยประมาณ เรียกได้ว่าไม่ต่าง
และสำหรับคนที่ไม่ถนัดการชิฟท์เกียร์เอง รถเกียร์ PDK อาจสร้างความเร็วต่อเนื่อง
ได้ดีกว่าด้วยซ้ำ
ไม่ต้องถามเรื่องความไวในการทำงาน หรือความแสนรู้ของระบบเกียร์ PDK นะครับ
ผมยังยืนยันว่า ถ้าไม่นับ Ferrari (ซึ่งผมไม่เคยได้เทสต์ลงเว็บ) โลกนี้หาค่ายรถที่
ทำเกียร์คลัตช์คู่สู้เครือ Porsche/VW Group ได้ยาก ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววิ
คิกดาวน์ก็เสี้ยววิ เปลี่ยนเกียร์ขึ้นก็เสี้ยววิ และไปอย่างต่อเนื่องไม่มีอาการกระชาก
ถ้าใครชอบเกียร์เปลี่ยนกระชากแรงมากๆ..แนะนำโหมด Corsa ของ Lambo ครับ
ที่มากกว่าความไวในการเปลี่ยน คือความสามารถในการเลือกเกียร์ รถอ่านแรงเหวี่ยง
อ่านค่าการกดเบรกหรือคันเร่ง มันรู้ว่าคนขับกำลังเข้าโค้งช้า/เร็ว ขนาดไหน และ
เลือกเกียร์มาให้อย่างเหมาะสม ผมขับรอบแรกด้วยโหมด Manual และในช่วงหลัง
พอเห็นการทำงานของโหมด Auto แล้ว ผมว่าแม้ความมันส์จะหาย แต่ความไว
ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
ช่วงล่าง PASM Sport ..ไม่ต้องห่วง อาการเหมือนคันสีฟ้าเด๊ะ คือมันจะบ่งบอก
ให้คุณรับรู้ว่ามีอสูรกายท้ายรถ มีอาการดิ้นๆรนๆให้รู้สึกท้าทายบ้าง แต่ตัวรถจะ
ราบไปกับพื้นเวลาเข้าโค้ง ในสนามนี้เราไม่อาจคุยกันเรื่องความนุ่มของช่วงล่าง
แต่เรื่องความมั่นใจ สบายมากครับวิ่งมา 200 โยกเปลี่ยนเลนเร็วๆ ตัวรถยวบ
เพียงนิดเดียว แต่ถ้าถามว่าเทียบอาการของรถเครื่องวางหลังอย่าง 911 กับรถ
เครื่องวางกลางอย่าง 718 Boxster ผมคิดว่าบาลานซ์ของ 718 ดีกว่าชัดเจนและ
อาการท้ายดุ๊ดดิ๊กเวลาเร่งหรือเบรกก็น้อยกว่ากันมาก
การตอบสนองของพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า เมื่อจับคู่กับยาง Corsa แล้วถือว่า
ทำได้ดี แม้จะยังไม่ดีดและส่งอาการพื้นถนนเต็ม 100% แบบ 911 รุ่นเก่าๆ แต่
น้ำหนักพวงมาลัยเซ็ตมาได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ผมเคยขับมาในรถพวงมาลัยไฟฟ้า
ในช่วงระหว่างเข้าโค้งต่างๆ โดยเฉพาะโค้งลึก แรงดีดกลับของพวงมาลัยจะน้อย
เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตพวงมาลัยไฮดรอลิกอื่นๆ แต่เรื่องการถ่ายทอดการเสีย
แรงยึดเกาะ ทำได้ดี ถ้าเปรียบเทียบการสื่อสารพวงมาลัยเป็นปากคน พวงมาลัย
ของ 911 ยุคใหม่มันก็พูดทุกสิ่งเหมือนที่ 911 ยุคก่อน (เช่น 996) พูด แต่พูดไวกว่า
และพูดด้วยเสียงที่เบากว่า
ระบบเบรกแบบมาตรฐานทำงานได้ดี ระยะเหยียบสั้นไม่ต่างจากรถคันสีฟ้า
ที่ใช้เบรก PCCB แต่ที่ความเร็วเกิน 170 ขึ้นไป ต้องกดลึกกว่ากันประมาณ 1 นิ้ว
เพื่อให้ได้แรงหน่วงจากการเบรกที่เท่ากัน ผมวิ่ง 208 ที่ช่วง Back Straight
แล้วกระทืบลงมาจนเหลือ 80 ผ่านโค้ง Cape Town เร่งผ่าน Straight ก่อนเข้า
KFM Corner จาก 200 เหลือ 60 ระบบเบรกยังทำหน้าชิลยิ่งกว่านางอิจฉา
ในละครไทยตอนจิบน้ำส้มคั้น ผมว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งคนที่คิดจะ
ขับเล่นในสนามแข่ง เบรกชุดนี้เหลือพอครับ..แค่ว่าผมไปเจอของดีมาก่อนหน้า
เท่านั้นเอง น้ำหนักต้านเท้าของแป้นเบรกก็ไม่ได้เยอะมาก แต่ต้องอาศัยแรงบ้าง
ไม่อย่างนั้นมันก็จะเหมือนรถบ้านทั่วไปมากกว่ารถสปอร์ต
เมื่อเสร็จสิ้นการขับ ผมขับรถเข้าพิท แล้วต้องขอโทษอาจารย์ Matthias ที่
ขับตามแกไม่ทัน อาจารย์แกจัดแบบรสเข้มเต็มเม็ด ผมพยายามทำความเร็วตาม
แล้วก็ยังไม่สามารถตามได้ทัน สื่อมวลชนรายที่ขับตามแกนั้นก็ฝีมือเก่งกว่าผมมาก
โดนอาจารย์ ว. เข้ามาบอกว่า “รีบตามมาหน่อย” ก็เลยรู้สึกผิด แต่อาจารย์ก็
ยิ้มให้แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร…สำคัญมันอยู่ที่เราสนุกกับมันหรือเปล่า”
ผมอาจจะเหนื่อยมากกว่าสนุก ..แต่ถ้าให้ย้อนเวลาไป ผมก็จะทำมันอยู่ดี
**สรุปการทดลองขับ**
ถ้าไม่เล่น Carrera ธรรมดา..ก็ข้ามไป GTS เลยเถอะ
ผมเคยได้ยินมาจากภาพยนตร์สักเรื่อง เป็นคำกล่าวที่ชวนให้คิด ผมอาจจะจำ
คำพูดผิด แต่เนื้อหาของมัน ก็คือ
“เพลงดาบนับพันกระบวนท่า ที่เคยถูกใช้แค่ท่าละครั้ง..ไม่อาจเทียบได้กับ
เพลงดาบกระบวนท่าเดียวที่ถูกใช้มาแล้วนับพันครั้ง”
คนที่รู้ในหลายเรื่อง รู้เรื่องของคนหลายคน หรือหลายสิ่ง แต่รู้มาเพียงแค่ 1 ธุลี
ย่อมไม่มีพิษสงร้ายกาจเท่าคนที่ฝึกตัวเองให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างตั้งใจ ทำแล้ว
ทำอีก ทำจนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พอนานวันเข้า
มันก็จะกลายเป็นความถนัด สามารถทำสิ่งนั้นได้ด้วยความเป็นธรรมชาติแล้วยัง
ออกมาลงตัว พอดี เกือบจะไร้ที่ติ
หรือถ้าให้เปรียบเป็นสิ่งใกล้ตัว…คุณเคยเห็นแม่ครัวร้านอาหารตามสั่งไหมครับ?
ป้าม้อย ป้าเล็ก ป้านิ่ม ป้าละไม เวลาพวกป้าทำอาหารให้เรากิน เคยเห็นป้าใช้
ถ้วยตวงหรือช้อนตวงแบบมาตรฐานครัวฝรั่งบ้างไหมครับ? เออ นั่นดิ ก็เห็นป้าจ้วงๆ
ตักๆ หยิบๆ โยนๆ ..แล้วทำไมมันถึงออกมาอร่อยชิบหายเลย กินร้านป้ามาตั้งแต่
มัธยมจนตอนนี้หัวหงอกแล้วป้ายังทำอร่อยเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะเปรียบกับเพลงดาบ..หรือร้านตามสั่ง แต่ “ประสบการณ์ในการสร้างรถสปอร์ต”
คงต้องยกให้ Porsche เขา เพราะนั่นคือสิ่งเดียวกันที่ผมเห็น จากรถสปอร์ตของ
Porsche
พวกเขารู้จักว่า รถสปอร์ตที่ดี..มันไม่ใช่รถที่โรคจิต แตะนู่นก็พุ่งจ๊าด แตะนี่ก็ระเบิดตูม
หักพวงมาลัยนิดๆก็แทบคว่ำ ตอบสนองเหมือนคนไฮเปอร์ที่กินยาเร่งความไฮเปอร์
แต่รถสปอร์ตที่ดี คือความพอดีและการตอบรับกันอย่างลงตัวของรถทั้งคัน..เครื่องยนต์
เบรก เกียร์ และระบบบังคับเลี้ยว
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา คุณเคยเห็นรถสปอร์ตของ Porsche โดนตำหนิเรื่อง
การบังคับควบคุมบ้างหรือไม่? เอาสื่อมวลชนรายไหนในโลกมาดูกันก็ได้ แล้วคุณ
จะเห็นได้ว่ามรดกที่ Ferdinand Porsche และวิศวกรหลายคนทำไว้ให้เรานั้น ส่งผล
ให้ Porsche ทำรถสปอร์ตได้ดีจนมักติดอันดับ Top Ten เวลาจัดศึกรถขับสนุกประจำปี
อยู่เสมอ ไม่ว่าจะกับสื่อประเทศใด
สำหรับ 911 Carrera GTS นั้น มันยิ่งเป็นรถที่ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าทำไม
คนที่รัก Porsche จึงมักจะอยู่กับ Porsche ไปจนวันที่เลิกขับรถ
มันเป็นรถที่มีความพอดี ลงตัวใน 9 จาก 10 ด้านหรือดียิ่งกว่านั้น เมื่อคุณนึกถึง
คำว่า “รถสปอร์ต” นี่คือรถที่จะใช้ในการนิยามคำนั้นได้ดีที่สุด มันไม่ใช่รถที่
มีพลังรุนแรงร้ายกาจ ซีเรียสกับการทำเวลามากเหมือน 911 Turbo หรือ
GT-R Nismo และไม่ใช่รถชนิดที่ทำมาสำหรับการขับเชิงมอเตอร์สปอร์ต
แบบ GT3 RS แต่เป็นรถที่คุณสามารถขับพาแฟนไปกินข้าวได้ แล้วพอถึงวันหยุด
ก็สามารถขับไปสนามแข่ง เล่นกันสนุกๆกับเพื่อนๆที่ขับรถแรงๆด้วยกันสักครึ่งวัน
จากนั้นก็ขับไปรีสอร์ท ทำสปา นอนกุ๊กกิ๊กกับแฟนสักคืน แล้วค่อยขับกลับในวันต่อมา
อรรถรสในการขับ? ไม่ต้องพูดถึง ในยุคแห่ง Everything ไฟฟ้า ขอเพียงคุณจัด
ทุกอย่างไป Sport Plus รถจะให้คุณสนุกได้รสชาติ เรียนรู้ว่าตรงไหนคุณทำพลาด
ได้โดยที่ตัวมันเองจะไม่ฆ่าคุณ เสียงเครื่องยนต์อาจจะไม่แผดกังวานเท่า GT3
หรือ Porsche NA ทำท่อดีๆ แต่อย่างน้อย ผมคิดว่ามันยังมีความคล้าย 911 Turbo
อยู่พอสมควร และเป็นเสียงที่คนรัก 6 สูบนอนแบบผมฟังแล้วรู้สึกพึงพอใจ
ไม่ใช่เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกเสียดายอดีตอย่างเครื่อง 4 สูบของ 718 Boxster
การมาของ Carrera GTS อาจส่งผลอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือทัศนคติที่คนจะมี
ต่อรุ่น Carrera S เพราะถ้าที่เมืองไทยเปิดราคารุ่น GTS มาแล้วแพงกว่า
กันไม่มาก..ความคุ้มค่าในการเล่นรุ่น S จะถูกสั่นคลอน เอ้า แน่สิครับ ในเมื่อ
เพิ่มเงินในอัตราส่วนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่คุณได้ของเล่นความแรงครบกว่า
คุณได้ตัวถัง Wide Body ได้ภายใน Alcantara แล้วยังได้เครื่องยนต์ที่แรงกว่า
ทำไมคุณจะไม่เอา GTS ล่ะ?
ผมนึกเหตุผลไม่ออกครับ
ใครที่ซื้อ Carrera S ไปก่อนหน้านี้แล้ว ได้โปรดอย่าเพิ่งสั่งตื้บผมนะครับ
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ใครซื้อก่อน ก็ได้เท่ก่อน คนที่หัวเราะทีหลังก็ดังกว่า แค่นั้น
ผมเรียนไปตามตรงอย่างที่มันเป็น ว่าในวินาทีนี้ ถ้าคุณจะซื้อ 911 มาขับ ให้ดู
พฤติกรรมการใช้งานของตัวเองได้เลย ถ้าคุณขับ 911 เพราะต้องการรูปโฉม
ชอบวิธีของรถขับสนุกที่เอนเบาะนอนรอภรรยาได้ ขับในเมืองไม่ต้องเลื้อยมาก
แบบซูเปอร์คาร์พันธุ์แท้ แต่ไม่คิดจะแข่งกับใครและไม่คิดจะอัดรถในสนาม
ซื้อ Carrera รุ่นธรรมดาแล้วเอาเงินส่วนต่างไปอัดออพชั่นเรื่องความสบาย
ให้เต็มที่เถอะครับ
ที่พูดว่าให้เอาเงินไปอัดออพชั่น…เพราะพูดตามตรง แม้ Porsche จะมีลิสต์
รายการของเล่นให้เลือกเยอะแค่ไหน แต่อย่าแปลกใจถ้าพบว่าอุปกรณ์พื้นฐาน
บางอย่างที่คุณคิดว่ารถราคาเกิน 10 ล้านมันน่าจะมีมาให้..แต่ก็กลับไม่มี ไม่ว่า
จะเป็น Smart Key, กระจกมองข้างพับได้ หรือแม้กระทั่ง Cruise Control
นั่นก็น่าจะเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบใน 911 ใหม่
แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ไปได้ และคุณตัดสินใจว่าจะเลือก Carrera GTS เป็นคู่ใจ
ไม่ว่าจะเน้นสนุกขับสับเกียร์เองกับรุ่นเกียร์ธรรมดา หรือเล่นในเมืองก็ได้ ซิ่งเล่น
ในสนามก็มันส์แบบ PDK คุณมั่นใจได้เลยว่ามันจะตอบสนองอย่างที่รถสปอร์ต
ควรเป็น สร้างรอยยิ้มให้คุณได้ทั้งในวันซิ่ง และวันที่ไม่ซิ่ง
สนุก เสียว มีบทท้าทาย เสียงได้ แรงดี อยู่กับเราได้ทุกวัน คำว่านิยามของ
รถสปอร์ตถนนในวันนี้..Carrera GTS นี่ล่ะครับ คู่ควรที่สุด
เท่าที่ผมเคยทดสอบมา
ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท AAS Auto Service จำกัด
ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
Porsche AG [Germany]
Porsche Asia/Pacific of Singapore
PAN PAITOONPONG
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Porsche Germany
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration ทั้งหมด เป็นของ Porsche AG เยอรมนี
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
2 กุมภาพันธ์ 2017
Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
2 February 2017
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!