เมื่อ 4 มีนาคม 2014 หรือเกือบ 1 ปีกว่าๆที่ผ่านมา  Nissan ได้เปิดตัว Pulsar Turbo
เรียกเสียงฮือฮาจากทั้งคนนอกและคนในวงการรถยนต์ ได้อยู่ซักพัก หลังจากที่ห่างหาย
จากรถประกอบในประเทศเครื่องยนต์เบนซินที่พ่วงเทอร์โบมาให้จากครั้ง Vios Turbo

และในปีนี้เอง สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็ได้กลับมาอีกครั้ง ใน Sylphy 1.6 DIG-Turbo
พร้อมๆกันกับโครงการ GT Academy 2015 เหมือนย้อนวันวานเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง
เพราะทุกคนไม่คิดว่า นิสสันจะกล้าส่ง Sylphy Turbo มาขายในไทยอีก หลังจากที่
ส่ง Pulsar Turbo มาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ

แต่…ในวันนี้มันก็มาแล้ว 15 ตุลาคม 2015 นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศราคาขาย
อย่างเป็นทางการ ที่ 999,000 บาท !!!

สเป็คต่างๆของรุ่นนี้สามารถเข้าไปดูแบบละเอียดได้ที่
// เจาะสเป็ค-Option-ราคา Nissan Sylphy 1.6 DIG-Turbo //

 
001_edit

ทำไมทั้ง Pulsar Turbo และ Sylphy Turbo ถึงมาขายในไทยได้ล่ะ ?
อันที่จริง Nissan ต้องประกอบรถทั้ง 2 คัน จากโรงงานย่านบางนา – ตราด กิโลเมตรที่ 22
เพื่อส่งออก สู่ตลาด Australia และ New Zealand กันอยู่แล้ว ก็เลยตัดยอดผลิตบางส่วน
มาขายในไทยบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ ! เพื่อเสริมภาพลักษณ์และเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า
ประกอบกับนิสสันเริ่มโครงการ Nissan GT Academy คัดเลือกเซียนเกม สู่การปั้นเพื่อให้
เป็นนักขับในสนามแข่งแห่งโลกความเป็นจริง ก็เลยประจวบเหมาะ ที่จะแนะนำรถรุ่นนี้
ออกสู่ตลาดให้คนไทยได้ใช้กัน

ความจริงแล้วค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีสเป็คสำหรับส่งออกต่างประเทศอยู่แล้ว
ทุกค่าย ผลิตออกจากโรงงานที่ประเทศไทย มาจากฝีมือการประกอบที่ได้มาตรฐาน
เป็นอันดับต้นๆของโลก จากแรงงานไทยนี่แหละครับ แต่อยู่ที่ว่าจะตัดออกมาขายหรือไม่

เพราะรู้ดีว่าตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าไทยนั้น ไม่ง่ายเลย บางครั้งส่งอะไรดีๆมา
ก็มักจะขายไม่ออก แต่กลับกันเอาอะไรเดิมๆ เปลี่ยนนู่นนิดนี่หน่อย กลับขายดี
เป็นท่อน้ำประปาแตก เอ้าผู้บริหารชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่กระทั่งผู้บริหารชาวไทยเอง
ก็งงไปตามๆกัน งั้นทางเลือกที่ดีกว่า คือ ก็เอาแบบเดิมมันนี่แหละง่ายดี ขายได้ด้วย


002

แต่นิสสันเลือกที่จะต่างออกไป ขอลองเสี่ยงอีกซักครั้งแล้วกัน จึงเป็นที่มาของ
Nissan Sylphy 1.6 DIG-Turbo ที่เห็นอยู่ตอนนี้

มากล่าวถึงเรื่องราวย่อๆของ Sylphy กันเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอครับ
โครงการพัฒนารถยนต์นั่ง Global C-Segment Sedan รหัสการพัฒนา L12F
เปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012
ในงาน ปักกิ่งมอเตอร์โชว์ หรือ Beijing International Automobile Exhibition
ที่ประเทศจีน อันเป็นตลาดเป้าหมายหลักใหญ่ที่สุดของรถยนต์รุ่นนี้ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า
Sylphy ต่อเนื่องมาจาก Nissan Bluebird Sylphy รุ่นก่อนหน้านี้

จากนั้น เมืองไทยเป็นประเทศที่ 2 ในโลก ที่เปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นนี้ออกสู่ตลาด
และใช้ชื่อรุ่นว่า Sylphy เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2012 ที่โรงแรม Four Season
และลานด้านหน้า ศูนย์การค้าSiam Paragon

โดยในขณะนั้นมี ชมพู่ อารยา เอฮาร์เก็ต เป็น Presenter หลักควบคู่ไปกับ โป๊ป ธนวรรษ
เกาะกระแสจากละครดังแห่งปีดอกส้มสีทอง ที่ดังเปรี้ยงปร้างไปทั่วทั้งประเทศ

 

003_edit

Nissan Sylphy 1.6 DIG-Turbo นั้นมีขนาดตัวถังที่เท่ากันกับ รุ่นเครื่องยนต์ปกติทุกประการ
ตัวถังมีความยาว 4,615 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,495 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,700 มิลลิเมตร เพียงแต่มีการตกแต่งภายนอกที่แตกต่างออกไปจากรุ่น 1.6L และ 1.8L

ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดแตกต่างจากรุ่นปกติคือ

โคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-Xenon พร้อมระบบเปิด – ปิด และ ปรับระดับสูง – ต่ำ
อัตโนมัติ พร้อมแถบไฟหรี่ที่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับไฟ Daytime Running Light รวมทั้งชุด
ฉีดน้ำล้างทำความสะอาดไฟหน้า, กระจังหน้า แถบซี่แนวนอนจากเดิมสีเทาอ่อน เปลี่ยนมาเป็น
สีเทา Gun Metalic และปรับดีไซน์กันชนหน้าใหม่ เปลี่ยนบริเวณชุดไฟตัดหมอก และช่องดักลม
ให้เป็นแบบรังผึ้ง

นอกจากนี้ในส่วนของด้านข้างตัวรถมีการเพิ่มชุดสเกิร์ตข้างมาให้อีกด้วย รวมถึงการหุ้ม
ลายคาร์บอนที่กระจกมองข้างแบบฝังไฟเลี้ยวในตัว และแน่นอนว่า ล้ออัลลอยถูกเพิ่มขนาด
เป็น 17 นิ้ว ลวดลายเดียวกันกับที่อยู่ใน Pulsar Turbo แต่ทำสีรมดำ Gun Metalic มาให้
ยางติดรถจากเดิมเป็นยางใช้งานทั่วไป Bridgestone Ecopia EP150 ขนาด 195/60 R16
ถูกปรับเป็น Continental Premium Contact II ขนาด 205/50 R17

ด้านท้ายเพิ่มสปอยเลอร์ทรงคล้ายแบบตูดเป็ด หรือ Duck Tail พร้อมสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่า
คันนี้ไม่ธรรมดานะ “DIG Turbo” และปรับดีไซน์กันชนหลังเล็กน้อย ให้เป็นลักษณะเหมือนมี
สเกิร์ตในตัว รวมถึงเพิ่มเซนเซอร์กะระยะถอยจอดมาให้ 3 จุด และปลายท่อไอเสียแสตนเลส

 

004

 

เมื่อเปิดประตูเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสารด้วยกุญแจ Smart Keyless Entry เหมือนใน
Sylphy รุ่นย่อย V หน้าตากุญแจนั้นก็เหมือนกันกับนิสสันทุกรุ่นที่ผ่านมา ก็จะพบกับโทนสี
ที่เปลี่ยนไป ภายในใช้โทนสีดำล้วน ตกแต่งด้วยลายคาร์บอนสีเงิน ซึ่งแตกต่างจาก รุ่นปกติ
1.6L และ 1.8L ที่ใช้สีทูโทน สีเทา-เบจตกแต่งด้วยลายไม้ ซึ่งอันที่จริงโทนสีและการตกแต่ง
แบบนี้ก็เห็นได้ใน Pulsar และ Pulsar Turbo รวมถึง Sylphy รุ่นพิเศษ SV Sport Version
ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้แล้วนี่เอง

 

005 006

ชุดเบาะนั่ง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมือนกันกับรุ่นปกติ ยกชุดกันมา ไม่ได้มีอะไร
ที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นในเรื่องของตำแหน่งการนั่ง การลุกเข้าออก ก็สามารถเข้าไป
อ่านได้ที่ รีวิวในรุ่นปกติครับ ทดลองขับ Nissan SYLPHY 1.8 V & 1.6 V CVT

เบาะคู่หน้าด้านคนขับเป็นแบบปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง ยังไม่มีระบบไฟฟ้ามาให้แต่อย่างใด
ส่วนเบาะผู้โดยสารตอนหน้าเป็นแบบปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง ส่วนเบาะด้านหลัง มีพนักวางแขน
พับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง แบบไม่มีฝาปิด สามารถเปิดทะลุไปยังห้องเก็บของ
ด้านหลังได้ ที่ยังคงความดีงามไว้เหมือนเช่นเคยก็คือ ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

 

007

นอกเหนือจากการตกแต่งภายในที่แตกต่างจากรุ่นปกติ และชุดเครื่องปรับอากาศ
เป็นแบบอัตโนมัติ Digital แยกฝั่งซ้าย -ขวา รวมถึงชุดเครื่องเสียงที่ยกมาจาก
Sylphy รุ่น 1.8V และ SV ซึ่งเป็น วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 1 แผ่น
พร้อมช่องเสียบเชื่อม AUX กับ USB มาให้ หน้าจอมอนิเตอร์ สี LCD ขนาด 5.8 นิ้ว
พ่วงด้วย ระบบ นำทางผ่านดาวเทียม GPS พร้อมข้อมูลแผนที่ ใส่ไว้ใน SD Card
จาก NAVTEQ และ Bosch รองรับ Nissan Connect และ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
Push Start Button

นอกจากนี้ก็จะมีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใส่เข้ามาอีก ขอสรุปให้ฟัง
กันแบบง่ายๆเลย ว่ามีอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง เอ้าเริ่มกันเลยครับ…..

1. ชุดหลังคา Sunroof เลื่อนเข้า – ออกได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้ามาให้ การทำงานก็เพียงแค่
กดสวิชต์สีดำ ใกล้ไฟอ่านแผนที่ฝั่งซ้ายเพียงชิ้นเดียว ควบคุมได้ครบทั้ง เลื่อนเปิด-ปิด
ยกกระดก ระบายอากาศ กระจกด้านบน

2. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ก็ใส่มาให้แล้วเช่นเดียวกัน จากเดิมที่
สงวนลิขสิทธิ์ไว้ในเฉพาะ Pulsar 1.8V วันนี้สิ่งที่ชาวผู้ใช้งาน Sylphy ต้องการก็มีมาให้ซะที !
นอกเหนือจากความสะดวกที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ชุดสวิตซ์ที่ติดตั้งมาให้บนพวงมาลัยฝั่งขวา
ก็ทำให้อะไรๆบนพวงมาลัย มันดูสมบูรณ์มากขึ้นจากเดิมที่เป็นแค่แผงปิดสีเงินโล้นๆ

3. ชุดเหยียบแป้นคันเร่ง และแป้นเบรก แบบแสตนเลส อันนี้แม้แต่ Pulsar Turbo ก็ไม่ได้ให้มา

4. คันเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT เปลี่ยนจากแบบ มาตรฐาน พร้อมปุ่ม
Sport บนคันเกียร์ มาเป็นแบบมี Mode บวก – ลบ ให้ผู้ขับขี่ สามารถผลัก
และเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ (อีกนัยหนึ่ง คือ ตำแหน่งล็อกอัตราทดของพูเลย์)
ได้ด้วยตัวเอง

008
 009
.
5. ชุดมาตรวัด ความเร็ว เปลี่ยนจากแบบเดิม ซึ่งระบุความเร็วสุดเข็มวัดไว้
ที่ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มเป็น 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง

6. ระบบควบคุมการทรงตัว VDC ( Vehicle Dynamic Control ) และระบบป้องกัน
การลื่นไถล TCS ที่มีสวิตซ์เปิด – ปิด ระบบมาให้อยู่บริเวณใต้ชุดสวิตซ์ปรับและ
พับกระจกมองข้างไฟฟ้านั่นเอง

7. ถุงลมนิรภัยจากเดิมในรุ่นปกติ มีแค่ 2 จุด ก็คือ คู่หน้า ในรุ่น Turbo ก็ใส่เพิ่มมาอีก 4 จุด
ได้แก่ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 จุด และม่านถุงลมนิรภัยทั้ง 2 ข้าง รวมทั้งหมดเป็น 6 จุด


010

 

ขุมพลังของ Sylphy Turbo เวอร์ชันออสเตรเลีย เป็นเครื่องยนต์ MR16DDT
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,618 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.7 x 81.1 มิลลิเมตร
กำลังอัด 9.5 : 1 เห็นตัวเลขแล้วอาจจะคุ้นๆ ใช่แล้วครับ มันก็คือเครื่อง MR18DE
ที่ถูกนำมาทำขนาดกระบอกสูบให้เล็กลงนั่นเอง โดยแม้ความจุที่ได้จะน้อยลง
แต่ผนังลูกสูบและเนื้อที่ระหว่างลูกสูบแต่ละลูกจะหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น เหมาะกับ
การอัดด้วยเทอร์โบนั่นเอง

พร้อมเทคโนโลยีเคลือบผิวนาโน (Nano-Finish Coat) ช่วยลดแรงเสียดทาน
ระหว่างผิวเพลาลูกเบี้ยวและตัวยกวาล์ว และ วาล์วไอเสียหล่อโซเดียม
(Sodium Filled Valve) เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของห้องเครื่อง
ผ่านวาล์วไอเสีย รวมถึงลูกสูบออกแบบให้มีช่องหล่อเย็นพิเศษ (Position with
Cooling Channel) ลดอุณหภูมิของลูกสูบ ลดการน็อคของเครื่องยนต์

กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร
(24.4 กก.-ม.) ที่ 2,400 – 5,200 รอบ/นาที แรงบิดจะหลั่งไหลออกมาต่อเนื่อง
ในแบบ Flat Torque ถือได้ว่ามีพละกำลังสูงยิ่งกว่าเครื่อง 2,500 ซีซี (QR25DE)
ของ Nissan Teana เสียด้วยซ้ำ

 

011

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Xtronic CVT แบบมี
Mode บวก – ลบ ล็อกอัตราทดและตำแหน่งพูเลย์ได้ 6 จังหวะ อัตราทดเกียร์
D อยู่ที่ 2.3490 – 0.394 เกียร์ถอยหลัง 3.750 : 1 อัตราทดเฟืองท้าย 5.798 : 1

เกียร์ลูกนี้ ถูกพัฒนาขึ้นโดยพันธมิตรเจ้าเก่าอย่าง Jatco ที่สำคัญก็คือ เป็น
เกียร์คนละลูกกันกับเกียร์ CVT ซึ่งประจำการอยู่ใน Sylphy และ Pulsar
รุ่นมาตรฐาน อย่าเข้าใจผิดว่า เป็นลูกเดียวกับพี่น้องร่วมตระกูลเด็ดขาด!


012

 

สนามที่นิสสันให้เราทดสอบ Nissan Sylphy 1.6 DIG-Turbo ในครั้งนี้ก็คือ
สนามปทุมธานี สปีดเวย์ ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม Nissan GT Academy SS2
Thailand National Final 2015 นั่นเอง

โดยจัดรถทดสอบด้วยกัน 2 คัน ก็คือ Sylphy รุ่น 1.8V (คันสีขาว) และ Sylphy
1.6 DIG-Turbo (คันสีดำ) ให้เราได้ลองกัน โดยให้ขับรุ่นเครื่องยนต์ปกติ 1.8L ก่อน
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาขับรุ่น 1.6 DIG-Turbo จะได้จับความรู้สึกต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
ยิ่งขึ้น ขับคันละ 2 รอบสนาม โดย Track ที่จัดไว้ให้ มีช่วงทางตรงยาวๆ ให้ได้ลองกัน
ทั้งอัตราเร่ง และประสิทธิภาพของเบรก มีรูปแบบโค้งแคบลองฟีลลิ่งของพวงมาลัย
และโค้งตัว S และ ตัว U เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของช่วงล่าง

 

013

 

ในส่วนของอัตราเร่งในรุ่น 1.6 DIG-Turbo ในช่วงออกตัว เหยียบคันเร่งจมมิด
เมื่อเทียบกับรุ่น 1.8L จะมีลักษณะของความหน่วงกว่าเล็กน้อย อาจจะด้วยเหตุผล
ของการเซฟเกียร์ด้วย เพราะแรงบิดในรุ่นเทอร์โบนั้นมีถึง 240 นิวตันเมตร และเป็นแบบ
Flat Torque การออกตัวนั้นอย่าคาดหวังว่าจะมีแรงดึงแบบหลังติดเบาะ ช่วงออกตัวของ
Sylphy Turbo จึงอาจดูเหมือนว่าไม่ค่อยแรง ในความรู้สึกของคนทั่วไปนัก

ช่วงความเร็ว 0-40 km/h ออกตัวตามสไตล์รถเกียร์ CVT คือค่อยๆพุ่งทะยานขึ้นไปแบบสุภาพ
แต่หลังจากพ้นช่วง 40 km/h ไปแล้วนั้น ขอบอกได้เลยว่า แรงที่เพิ่มขึ้นมานั้นค่อนข้างมหาศาล
ไต่ความเร็วขึ้นไปอย่างรวดเร็วกว่ารุ่น 1.8L แบบเห็นได้ชัด รวมถึงเร็วกว่าคู่แข่งอย่าง Ford Focus
2.0L, Mazda3 2.0L และ Corolla Altis 1.8L อย่างแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย

ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 km/h และ 80-120 km/h ยังไม่ได้มีโอกาสจับเวลามาให้
แต่เนื่องจาก Sylphy DIG-Turbo ใช้เครื่องยนต์และเกียร์ลูกเดียวกันกับ Pulsar Turbo
ก็น่าจะพออ้างอิงในส่วนของตัวเลขได้ ซึ่งใน Sylphy Turbo นั้นในการจับเวลาจริง
ตามมาตรฐานการทดสอบของ Headlightmag มีแนวโน้มว่าน่าจะทำเวลาได้ดีกว่า
Pulsar Turbo เล็กน้อยตามสไตล์ตัวถังรถ ที่รุ่น Sedan มักจะทำเวลาได้ดีกว่า Hatchback
อันเนื่องมาจากหลักอากาศพลศาสตร์

 

003_cseg

 

ระบบเบรกเท่าที่ได้ลองหน่วงความเร็วจาก 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง – 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เพื่อเค้าโค้งรูปตัว U ถือว่าทำงานได้ค่อนข้างดี สามารถหน่วงความเร็วได้ไว ระยะแป้นเบรก
กำลังดี ไม่ตื้นหรือไม่ลึกเกินไป ผ้าเบรกนั้นประสิทธิภาพไว้ใจได้ ลองหน่วงความเร็วลักษณะนี้
หลายๆครั้ง รวมถึงรอบการทดสอบก็ขับต่อๆกัน ไม่ได้พัก พบว่าผ้าเบรกก็ไม่ได้มีอาการ
เฟดหรือมีกลิ่นไหม้แต่อย่างใด อยู่ในเกณฑ์ไว้ใจได้ ปลอดภัย

ฟีลลิ่งของพวงมาลัยในรุ่น 1.6 DIG-Turbo ต่างจากรุ่น 1.8L เพียงเล็กน้อย ยังแอบรู้สึกว่า
น้ำหนักยังเบาไปอยู่ และมีระยะฟรีที่มากไปนิดนึง ถ้าปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้หนืดหรือ
หนักขึ้นกว่านี้อีกก็จะดีมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Ford Focus และ Mazda3 ยังถือว่า
คู่แข่งทั้งสอง ยังทำได้ดีกว่า พวงมาลัยมีระยะที่คมกว่า แม่นยำกว่า น้ำหนักกำลังดี แต่เมื่อ
เทียบกับ Altis ESport ถือว่าในภาพรวมเรื่องของพวงมาลัยให้คะแนนใกล้เคียงกัน

014

ช่วงล่างนั้น ทางนิสสันเคลมว่า มีการปรับปรุงค่าสปริงและความแข็งของโช็คอัพมากขึ้น
จากรุ่นปกติ เมื่อขับทดสอบพบว่ามีความต่าง แต่ไม่มากขนาดพลิกบุคลิกเป็นคนละคัน
เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว มีอาการ Understeer ให้เห็นอยู่บ้าง คือ มีอาการเข้าโค้งแล้ว
หน้าไม่เข้าตาม แต่อาการนี้ก็แก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่ลดความเร็วลง ส่วนอาการท้ายปัดนั้น
ไม่ค่อยมีให้เห็น

สิ่งที่ค่อนข้างประทับใจคือ ระบบควบคุมการทรงตัว VDC (Vehicle Dynamic Control)
ทำงานได้ค่อนข้างไว สามารถควบคุมอาการรถได้ดีกว่า รุ่น 1.8L ที่ไม่มีระบบนี้มาให้
อาการของช่วงล่างนั้นเมื่อเทียบกับ Focus และ Mazda3 ยังเป็นรองอยู่ แต่ถ้าเทียบกับ
Altis ESport ผมกลับชอบช่วงล่างของ Sylphy DIG-Turbo มากกว่า เพราะใน Altis
นั้นเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วมีอาการท้ายกวาดให้เห็นอยู่บ้าง

 

015

 

แล้วในทางกลับกัน ถ้าเทียบกับ Pulsar Turbo ล่ะ ช่วงล่างของ Sylphy DIG-Turbo
เป็นอย่างไร? ช่วงล่างใน Sylphy DIG-Turbo นั้นจะมีความนุ่มนวลมากกว่า Pulsar
อยู่ประมาณนึงพอให้สัมผัสได้ ถ้าขับแบบปกตินั้นเชื่อว่าผู้โดยสารน่าจะรู้สึกสบายกว่า
เพราะความกระด้างใน Pulsar Turbo นั้นสัมผัสได้มากกว่า อาจจะด้วยพื้นฐานของ Sylphy
รุ่นปกติที่เซ็ตมาให้นุ่มนวลกว่า Pulsar อยู่แล้วโดยพื้นฐาน เลยทำให้การนั่งโดยสาร
Sylphy DIG-Turbo มีความนุ่มนวลมากกว่าเล็กน้อย

 

016

>>> สรุปรวบรัดตัดความ <<<

ถ้าคุณอยากได้รถซีดานซักคันที่นั่งสบายอันดับต้นๆของ Class และน่าจะมีความ
เป็นไปได้ว่าจะแรงที่สุดในกลุ่ม Compact Car เช่นเดียวกัน Sylphy DIG-Turbo
คันนี้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้อยากได้เซตติ้งช่วงล่างที่เฟิร์มมากกว่านี้อีกนิด แบบเดียวกันกับ
น้องกบร่วมค่ายอย่าง Nissan Juke หรือรุ่นพี่อย่าง Nissan Teana ก็จะลงตัวมากๆ
พวงมาลัยน่าจะแก้ได้ไม่ยาก เพิ่มน้ำหนักอีกหน่อย ความหนืดอีกนิด รถคันนี้ก็จะเป็น
อะไรที่เกือบจะสมบูรณ์เลยทีเดียว โดยส่วนตัวผมมองว่ามันน่าใช้กว่า Pulsar Turbo
อีกนะ ทั้งรูปทรงความสวยงาม เส้นสายต่างๆ รวมถึงความนุ่มนวลของช่วงล่าง

รถคันนี้จะเป็นอีก 1 คันที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้สบายๆ ทุกคนในครอบครัว
สามารถนั่งโดยสารไปกันได้อย่างสบายใจไม่หงุดหงิด พื้นที่ในห้องโดยสารกว้าง
สะดวกสบาย ในบางครั้งถ้าพ่อบ้าน อยากแอบซิ่งก็มีพละกำลังให้สนุกได้ ทำได้อย่าง
ไม่เคอะเขิน และแรงเหลือเฟือ Sylphy DIG-Turbo เป็นเหมือน Sleeper อีกคันที่
มองภายนอกดูบ้านๆแสนจะธรรมดา แต่ภายในซ่อนของเด็ดไว้เยอะ สามารถที่จะฉีก
หนีกระบะบ้าพลัง หรือพวกแต่งซิ่ง วิ่งไม่พ้นที่คอยมาระรานใจบนท้องถนนอยู่บ่อยๆ

ราคาจะเป็นอีกส่วนที่จะกำหนดชีวิตของมัน คราวนี้นิสสัน ทำการบ้านมาดี ต่อสู้อย่างหนัก
กับการตั้งราคา เคาะออกมาที่ 999,000 บาท ในราคานี้คุณจะได้อะไรบ้าง ? หลักๆก็มี
ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย), หลังคา Sunroof เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า,
ระบบควบคุมการทรงตัว VDC, ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS, ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Xenon
ที่กว่าจะมาได้ ในที่สุดก็มาแล้ว ตั้งราคาถูกกว่า Pulsar DIG-Turbo ถึง 71,000 บาท
แต่ได้ Sunroof มาด้วย

แต่สิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ จะตัดสินใจซื้อคือเรื่องของภาพลักษณ์และรูปลักษณ์ภายนอกก่อน
เป็นอันดับต้นๆ แม้รถจะแรงแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่ดึงดูดให้ชวนมอง หรือชวนซื้อ ก็ไม่สามารถ
จะมัดใจลูกค้าไว้ได้ ดูอย่างกรณีศึกษาอย่าง Altis ESport ได้เป็นอย่างดี ภายนอกให้ชุดแต่ง
ที่ดูดีทำให้รถดูสปอร์ต แตกต่างจากรุ่นธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ล้อแม็กที่สวย สปอยเลอร์ท้าย
ทุกอย่างดูลงตัวหมด ยอดขายก็ไปได้ดี ขายดีเป็นเทน้ำ เทท่าเลยทีเดียว เพราะมีลูกค้า
จำนวนไม่น้อยที่ต้องการรถที่สวยจบจากโรงงาน โดยไม่ต้องไปแต่งหรือไปทำอะไรต่อ

ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแตกต่างจากตัวปกติ แต่…ต้องแตกต่างแบบมีเหตุผลและลงตัว
ไม่ใช่แค่การแปะสติ๊กเกอร์ Turbo คาดตัวรถที่ไม่ค่อยสวย อย่างที่ทำใน Pulsar Turbo นะ !
แค่นี้ก็ทำให้ลูกค้าหันกลับมามองได้แล้ว

รวมถึงการตลาดที่ผ่านมาของนิสสัน ไม่ค่อยโปรโมทสินค้า หรือโชว์ของดีที่มีอยู่ อย่างที่ควร
ปัจจัยหนึ่งที่พอจะเข้าใจคือ งบการตลาดที่ตัดมาได้นั้นมีน้อย ในความคิดส่วนตัวของผม ยุคนี้
ไม่จำเป็นต้องโฆษณาทาง TV หรือหนังสือพิมพ์ แล้วก็ได้เพราะต้องใช้งบค่อนข้างสูง แต่เลือก
โปรโมททางสื่อสังคมออนไลน์ Social Media แทนก็ได้ ใช้งบไม่สูงเท่าสื่อหลักเพราะลูกค้า
กลุ่มนี้คาดว่าน่าจะเป็นวัยรุ่นหรือคนทำงานที่อายุไม่มาก หรือกลุ่มครอบครัวขนาดเล็กที่คุณพ่อ
คุณแม่ยังสาว ยังไฟแรงอยู่ ใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นแบบก้าวกระโดด

และอีกอย่างคือการสื่อสารภายในองค์กร อย่างครั้งของ Pulsar Turbo นั้นก็มีลูกค้าพูดกันเยอะ
ว่าตัวที่ปรึกษาการขาย หรือ เซลล์เอง ยังไม่รู้เลยว่ามีรุ่นนี้ !!!! อย่าให้เป็นแบบนั้นอีกเลยครับ
ผมเอาใจช่วยนิสสันอยู่ ในความกล้าที่จะเอารุ่น Turbo มาขาย ถึงแม้จะรู้ว่า ยอดมันคงไม่ได้มาก
ซักเท่าไหร่ แต่ก็ยังตั้งใจเอามาเพิ่มทางเลือกใหม่ๆให้ลูกค้ามากขึ้น

แต่การตั้งราคามาแบบนี้ ให้ Option มาแบบนี้ ถือว่าครั้งนี้ นิสสัน กล้ามากครับ หลายๆคน
ที่มองคู่แข่ง C-Segment อยู่มีงบประมาณไม่เกิน 1 ล้านบาท เชื่อว่าต้องมีไขว้เขวกันบ้างล่ะ
คราวนี้หลายๆอย่างดูจะเหมาะสมกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา เอาใจช่วยให้ขายได้ในระดับที่น่าพอใจครับ

ปล.ได้ข่าวแว่วๆมาว่าบอร์ดผู้บริหารนิสสัน เซ็นอนุมัติให้เริ่มที่จะมีโครงการประกอบเครื่องยนต์
DIG-Turbo ในไทยแล้วนะครับ ในอนาคตอันใกล้นี้น่าจะได้เห็นเครื่อง Down Sizing พ่วงเทอร์โบ
ในรถรุ่นอื่นๆของนิสสันมากขึ้นครับ

 

017

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
ที่จัดการทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆเป็นอย่างดี

MoO Cnoe
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
2 กรกฎาคม 2558

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 2nd,2015

————————————————————————————————————-

บทความที่น่าสนใจในการอ่านเพิ่มเติม
ทดลองขับ Nissan SYLPHY 1.8 V & 1.6 V CVT
ทดลองขับ Nissan Pulsar 1.6 DIG TURBO CVT M6 (190 PS)

————————————————————————————————————-

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE