ถ้าคุณยืนอยู่บนสะพานลอยข้ามถนนสักแห่ง แล้วถือก้อนหินเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เขวี้ยงมันออกไปสุดแรงเกิด หินก้อนนั้นจะไปจบลงที่ไหน?

หากตัดความเป็นไปได้ส่วนที่หินจะตกลงบนถนนออก แล้วคิดเฉพาะ Probability (ตามหลักวิชาความน่าจะเป็นและสถิติ) ส่วนที่หินจะตกลงบนรถสักคันที่วิ่งผ่านมา รถประเภทไหนกันที่มีโอกาสโดนหินของคุณมากที่สุด?

คำตอบก็คือรถกระบะ..ใช่แล้วครับ ไม่ว่าเราจะตื่นเต้นกับยอดขายรถเก๋งรุ่นใหม่มากแค่ไหน ไม่ว่ารถประเภทครอสโอเวอร์จะมียอดขายเจริญเติบโตเร็วยิ่งกว่าร่างกายของมนุษย์สามี (เทียบช่วงระหว่างก่อนและหลังแต่งงาน) หรือตลาดอีโคคาร์จะ HOT อย่างไร รถที่ขายดีตลอดกาลของประเทศไทยก็คือรถกระบะ 1 ตันเสมอมา ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป รถประเภทนี้จะมียอดขายคิดเป็น 40-45% ของรถใหม่ที่ขายออกในแต่ละปีเสมอ

ผมบอกไว้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปยืนเขวี้ยงหินใส่รถที่ไหนนะครับ นอกเสียจากว่าคุณอยากโดนเจ้าของรถและเพื่อนร่วมอุดมการณ์รุมต่อยจนม้ามแตกก่อนจับตัวส่งตำรวจให้ไปนอนคุกเล่น

อย่างไรก็ตาม คุณคงไม่ปฏิเสธว่า รถกระบะ คือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวิถีชีวิตของชาวไทย  เพราะไม่ว่าคุณจะจนหรือมั่งมี จะตีนผีหรือเท้านุ่มเนียนรักสันติ จะประกอบอาชีพทางการเกษตร ทำฟาร์ม เป็นชาวประมง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือแม้กระทั่งเป็นนักธุรกิจที่ชอบรถยนต์ประเภทสมบุกสมบัน คำตอบในใบจองรถของพวกคุณก็ล้วนแล้วแต่เป็นรถกระบะทั้งนั้น

2017_03_Navara_ext_opening

ในช่วงเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นรถประเภทนี้วิวัฒนาการตัวเองอย่างต่อเนื่อง ในยุค 90s รถกระบะก็เริ่มถูกปรับให้เข้าหาผู้บริโภคส่วนใหญ่และลูกค้าสุภาพสตรีมากขึ้น มีการติดตั้งพวงมาลัยเพาเวอร์เพื่อให้หมุนง่ายเบาแรงในรุ่นท้อปๆ มีสีเมทัลลิค ล้ออัลลอย และตกแต่งแบบเก๋ ทันสมัย เพราะบริษัทรถยนต์ทราบดีว่าลูกค้าที่ซื้อรถกระบะส่วนหนึ่ง ไม่ได้ใช้รถเพื่อการบรรทุกเสมอไป เบรก ABS ก็เริ่มถูกนำมาติดตั้งในช่วงปลายยุค (ใน Ford Ranger)

เข้าสู่ศตวรรษใหม่ กับการปรากฏตัวของเครื่องยนต์คอมมอนเรลโดยมี Toyota เป็นแรงผลักดัน แล้วก็ผลักแรงมากจนยักษ์อย่าง Isuzu ต้องทิ้งสโลแกน “Direct Injection ของแท้ ต้อง Isuzu เท่านั้น” แล้วหันมาคบเครื่องยนต์คอมมอนเรลแบบเดียวกัน กระบะในยุค iPod กับ Hi5 เหล่านี้ถูกพัฒนาให้ประหยัดเชื้อเพลิง อัตราเร่งดี ด้วยระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่แม่นยำ เปลี่ยนควันดำเป็นกำลังขับเคลื่อนมากขึ้น

ในยุคปัจจุบัน รถกระบะหลายรุ่นถูกพัฒนาจนน่าจะมีแต่ช่วงล่างหลังแบบแหนบเท่านั้นแหละที่ยังคล้ายกับรถจากสมัยก่อน เพราะเบาะนั่ง..ก็สบายขึ้น อุปกรณ์ติดรถ..ก็ล่อซะจนรถเก๋งยังอาย เรื่องความปลอดภัย..ก็มีมาให้ครบในหลายคัน แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความที่ประเทศเรายังมีถนนที่ยังไม่เป็นมิตรกับรถเก๋งอยู่เยอะ วิ่งๆไปเดี๋ยวก็เจอหลุมขนาดควายสะดุดขาหัก วิ่งต่อไปอีกก็เจอน้ำท่วมสูงจนรถเก๋งยอมจอด รถกระบะจึงอยู่ในใจของชาวไทยเสมอมา

หรือจะเป็นโหมดกู้ภัย? เอ้า คุณเคยเห็นข่าวที่ไหนถ่ายคลิปน้ำท่วมมาแล้วเจอใครขี่ Range Rover Sport บรรทุกข้าวสารอาหารแห้งไปแจกผู้ประสบภัย หรือมีมูลนิธิกู้ภัยฉุกเฉินที่ไหนใช้ Volvo XC90T8 หรือ Toyota Alphard เอาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล? มันก็มีแต่รถกระบะ ทั้งตัวเตี้ยและรุ่นยกสูงนี่ล่ะครับที่ให้งานบริการประชาชนมาตลอด

ถ้าอีก 40 ปีข้างหน้าผมยังมีชีวิตอยู่และได้มีโอกาสทำรายการสารคดีจดหมายเหตุพุงหมีแล้วเล่าถึงวิถีชีิวิตของคนกับรถในยุคของพวกเรา รถกระบะคือหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่เราจะขาดไม่ได้เลย

2017_03_Navara_hi_story

Nissan เองก็เป็นส่วนสำคัญในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์รถกระบะ (ถ้าไม่ได้นับความสำคัญจากยอดขาย) ไม่ว่าจะเป็นรถดังตั้งแต่สมัยดัทสัน ช้างเหยียบ มาจนถึง Nissan Big M รุ่นยอดนิยม ก่อนจะเข้าสู่ช่วงยุคฟองสบู่แตก ซึ่งรถกระบะของ Nissan กลายเป็นตัวประกอบสำคัญในตลาดด้วยยอดขายระดับที่พอไปได้ แม้ว่าตัวรถจะไม่ได้มีข้อเสียใหญ่หลวง นอกจากมีชื่อเสียเรื่องกินน้ำมันจุกว่าเจ้าตลาด

ผมอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปไว แต่ถ้ามองย้อนไปถึงครั้งแรกที่เว็บไซต์เราได้เขียนบทความทดลองขับกับ Navara นั้น มันก็คือวันที่ 23 กรกฎาคม 2014 หรือย้อนไป 3 ปีมาแล้ว โดยในสมัยนั้นยังใช้ชื่อในการทำตลาดว่า “NP300 Navara” เพื่อกันไม่ให้สับสนกับ Navara ตัวถังเดิมจากปี 2007 ที่ยังทยอยขายไปเรื่อยๆจนหมดสต็อค

การที่เปิดตัวเร็ว ก็เพื่อเป็นการแก้แค้นจากสมัยก่อน ซึ่งแม้จะทำรถมาดี แต่เปิดตัวช้ากว่าตลาดโลกนานถึง 3 ปี จนชาวบ้านและชาวช่องเขาออกรถรุ่นใหม่กว่า ทันสมัยกว่า มาโกยยอดขายกันไปหมด แต่กระนั้นก็อย่านึกว่าครั้งนี้จะง่าย เพราะ Isuzu ก็มี All New D-Max ทาง Mitsubishi ก็เปิดตัว Triton หลังจากนั้นไม่นาน และอย่าลืมว่า Ford Ranger ก็เปิดตัวไปก่อนนั้น รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็เปิดตัวหลังจากการมาของ Navara ไม่นานนัก

อาวุธที่ทำให้ Nissan เชื่อมั่นในรถคันนี้ ก็คือการใช้เวลาและความทุ่มเทในการวิจัย พวกเขารู้ว่าคนไทยชอบรถกระบะที่ดูบึกบึนแข็งแกร่งภายนอก แต่พอเป็นภายในปุ๊บ ทุกอย่างต้องดูสวย ทันสมัย ใช้งานง่าย ยิ่งเป็นยุคหลังๆมานี้ พวกวิทยุจอใหญ่ (2-DIN) และหน้าปัดหลากหลายสีสันเป็นสิ่งที่ลูกค้ารถกระบะอยากได้เหมือนลูกค้ารถเก๋ง คุณจะสังเกตได้ว่าใน Navara นั้นถ้าคุณไม่ได้เล่นรุ่นราคาถูกจริงๆ ก็จะพบภายในที่สวยไม่หยอก

พวกเขารู้ว่าคนไทยชอบวางวัตถุบูชา หรือสิ่งของต่างๆเอาไว้บริเวณแดชบอร์ด มันจึงมีที่สำหรับวางของขนาดใหญ่ตรงกลางด้านบน แล้วก็มีช่องเสียบไฟ ซึ่งถ้าหา Adapter มาเสียบ USB ก็เอาไว้ใช้ชาร์จโทรศัพท์หรือเสียบกับกล้องส่องหน้ารถได้ ..หรือแม้กระทั่งไอ้ฝาท้ายกระบะที่มีลักษณะเหมือนสปอยเลอร์หลังนั่น ไม่ได้ออกแบบเอาไว้สร้างแรงกดอากาศหรอกครับ แต่เอาไว้ให้น้าเชิด อาหมี ป้าศรี ลุงชัย วางเครื่องดื่มหรือชามก๋วยเตี๋ยวที่ท้ายรถเวลากินไปยืนคุยกันไประหว่างทำงาน

ผมอยากบอกว่าทีม Product Planning และ Research ของ Nissan ประเทศไทยเขาไปใช้ชีวิตกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเก็บรายละเอียดกันขนาดนี้จริงๆ แต่อุปกรณ์และสิ่งต่างๆที่ลูกค้าอยากได้จะมาอยู่ในรถหรือเปล่า มันไม่ใช่การตัดสินใจของ 2 ฝ่ายนี้เสมอไป

รถที่เราได้นำมาลองขับกันในวันนี้ มีชื่อเรียกเต็มยศว่า Nissan Navara King Cab Calibre EL Sportech 6M/T ซึ่งมีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 840,500 บาท แพงกว่ารุ่น Calibre EL รุ่นปกติเกียร์ธรรมดาอยู่ 58,500 บาท โดยสิ่งที่คุณจะได้เพิ่มมาจากการสั่งซื้อรุ่น Sportech ประกอบด้วยอุปกรณ์ดังนี้

ภายนอก

  • ชุดแต่งกันชนหน้า แบบสปอร์ต มีลิ้นหน้าเสริมและกรอบไฟตัดหมอกโครเมียมรมดำ
  • กระจังหน้าสปอร์ตลายตาข่าย (รุ่นปกติเป็นลายแนวนอน) โครเมียมรมดำ
  • ล้ออัลลอยลายเฉพาะรุ่น ขอบ 18 นิ้ว ยาง Toyo Open Country A25
  • สปอร์ตบาร์ เสริมกระบะด้านหลัง (ผมเห็นบางท่านเขียนว่าสปอร์ตบรา ไอ้นั่นมันของที่สาวๆเขาใส่ออกกำลังกายกัน)
  • ไฟส่องพื้นกระบะท้าย (Cargo Lamp)
  • ปูพื้นกระบะท้าย
  • กันชนท้ายโครเมียมรมดำ

ภายใน

  • พวงมาลัยหุ้มหนัง
  • เบาะหุ้มหนังสีดำ สลับแถบสีเทา ลาย Sportech

จัดว่าเป็นกระบะยกสูง สายเท่ห์ เพราะกลุ่มเป้าหมายของคนที่ซื้อรถกระบะแบบนี้จะไม่ได้เน้นบรรทุกหนัก แต่ซื้อเพื่อเอาประโยชน์จากความสมบุกสมบันของช่วงล่าง ลูกค้าเหล่านี้อาจจะชอบรถที่ตกแต่งมาจากโรงงานให้เสร็จสรรพ ขับออกไปแล้วเก๋เลยโดยไม่ต้องไปหาอะไรมาเสริมแต่งเพิ่ม

ถ้ามองหารถที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ตกแต่งในลักษณะเดียวกัน ก็น่าจะเป็น Isuzu D-Max 1.9 DDi X-Series Hi-Lander ซึ่งมีราคาอยู่ 825,000 บาท ถือว่าใกล้เคียงกันมาก น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเดินเข้าไปยืมรถทดสอบจาก Isuzu ได้..แต่ว่าโชคดีครับที่ผมได้รถจากเพื่อนคนหนึ่งที่ให้ยืมมาเพื่อทดสอบเกจ์วัด OBDII CAG แม้ว่าจะเป็นรุ่น 1.9Z DVD แต่ก็เป็นเกียร์ธรรมดา และมีลักษณะหลายอย่างคล้ายกับรุ่น X-Series Hi-Lander 2 ประตู ใช้ล้อ 16 นิ้วเหมือนกัน ขุมพลังเดียวกัน น่าจะพอเทียบกันได้

นอกจากนี้ยังมี Toyota HiLux Revo SmartCab Pre-runner TRD Sportivo 2.4 ราคา 839,000 บาทที่น่าจะเป็นคู่แข่งตรงรุ่น แต่เนื่องจากผมยังไม่มีโอกาสได้ลองขับ จึงอาจจะสามารถนำคุณสมบัติมาเทียบได้แค่บางข้อ เรื่องแรงเครื่องกับช่วงล่างนั้นยังไม่สามารถพูดได้

ในด้านมิติตัวถัง Navara King Cab Sportech (ต่อไปนี้ขอเรียกสั้นๆว่า Navara หรือ Sportech) มีความยาว 5,255 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,755 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 3,150 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้าและหลัง 1,570 มิลลิเมตรเท่ากัน ความสูงใต้ท้องรถ 219 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,885 กิโลกรัม หนักกว่ารุ่น Calibre EL ธรรมดา 62 กิโลกรัม ถังน้ำมันจุ 80 ลิตร ล้อและยางขนาด 255/60/18

ถ้าจะลองเทียบกันคู่แข่งอย่าง Isuzu D-Max Hi-Lander 2 Door X-Series (ต่อไปนี้ขอเรียกสั้นๆว่า D-Max หรือ X-Series) จะมีความยาว 5,200 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร สูง 1,790 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,095 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้าและหลัง 1,570 มิลลิเมตรเท่ากัน และเท่ากับ Sportech เลย ความสูงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร มีน้ำหนักตัว 1,750 กิโลกรัม ถังน้ำมันจุ 76 ลิตร ล้อและยางขนาด 245/70/16

และถ้าเทียบกับรถยอดนิยมอีกเจ้าอย่าง Toyota HiLux Revo Pre-runner TRD Sportivo (เช่นกัน..จะขอเรียกว่า Revo TRD เพราะขี้เกียจเขียน) จะพบว่ามันมีขนาดยาว 5,330 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,810 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,085 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้า 1,535 หลัง 1,550 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 216 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 1,880 กิโลกรัม ล้อและยางขนาด 265/65/17

นับว่า Navara มีขนาดอยู่กึ่งกลางระหว่างคู่แข่งทั้ง 2 รุ่น เพียงแต่ว่าเวลาจอดข้างๆกัน มันจะดูเล็กกว่าใครเพื่อน ก็เพราะความสูงของตัวรถที่เตี้ยกว่าชาวบ้าน ยิ่งเวลาไปจอดข้าง Revo ยกสูงจะเห็นได้เลยว่าระนาบของหลังคากับชายล่างประตู Nissan ดูเตี้ยกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด

 

ความเตี้ยที่ว่านี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะนิสัยคนไทยที่ซื้อกระบะยกสูงส่วนมาก มักซื้อก็เพราะต้องการความสูงเอาไว้ลุยน้ำกันนั่นล่ะ แม้ว่าตามสเป็คจะดูเหมือนใต้ท้องรถสูงเท่ากัน แต่นั่นน่าจะเป็นการวัดจากจุดที่ต่ำที่สุดของรถ ซึ่งอาจจะเป็นจุดใดจุดหนึ่งของช่วงล่าง..ไม่ใช่ขอบประตูรถ ดังนั้นหลายคนจึงเลือกรถของคู่แข่งเพราะเรื่องความสูง

แล้วข้อดีล่ะ? ความเตี้ยของ Navara กลับไปพอดีกับความต้องการของคนบางกลุ่ม ซึ่งรู้สึกว่ากระบะแบบมาตรฐานนั้นเตี้ยไป แต่ครั้นจะให้เล่นตัวยกสูงของค่ายอื่น ก็อาจจะสูงไป บางบ้านที่มีผู้สูงอายุ พบว่าคุณลุงคุณป้าสามารถตะกายขึ้นนั่งบน Navara ได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับเรื่องจุดศูนย์ถ่วง และความลู่ลม เพราะในการเปิดตัวเมื่อปี 2014 ใครบางคนบอกไว้ว่าพวกเขาตั้งใจทำ Navara ให้สูงแค่นี้ เพราะไม่อยากให้เปลืองน้ำมัน (โถ..พ่อคุณ มันมีวิธีประหยัดน้ำมันอีกหลายวิธีน่อ)

แต่ถ้าคุณกลัวว่าความเตี้ยและเล็กของรถจะทำให้ Navara ดูแคระแกร็น ก็ไม่ต้องกลัวครับ ตอนผมเห็นมันครั้งแรกยังหลงนึกว่าคันใหญ่เท่า Ranger เสียด้วยซ้ำ เพราะลักษณะการออกแบบที่ยกแก้มหน้าและขอบนอกของฝากระโปรงขึ้นสูง กับโป่งล้อขนาดใหญ่ ทำให้มันดูกำยำกว่าที่คิดเวลาวิ่งอยู่คันเดียว หรือจอดอยู่เดี่ยวๆ

แถมเวลาขับ..ไอ้โหนดขอบฝากระโปรงนี่ยิ่งหลอกตาให้รู้สึกว่ารถมันคันใหญ่กว่าความเป็นจริง ซึ่งผมมองว่าเป็นข้อด้อยในเรื่องทัศวิสัยอย่างหนึ่งโดยเฉพาะเวลาที่ต้องเลี้ยวในซอยแคบๆ

2017_03_Navara_entr_key

การเข้าออกจากรถ ใช้กุญแจ Smart Key ทรงไข่ แบบยอดนิยมของ Nissan ซึ่ง Navara Calibre ทุกรุ่นจะใช้กุญแจลักษณะนี้เหมือนกันหมด มีแค่ปุ่มล็อค กับปลดล็อค เอาไว้ใช้ในกรณีต้องการสั่งจากระยะไกล แต่โดยปกติแล้วคุณสามารถพกกุญแจไว้กับตัว เดินเข้ามาใกล้รถ กดปุ่มสีดำๆ ที่มือจับเปิดประตูเพื่อทำการปลดล็อค แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งได้เลย เวลาออกจากรถแล้วจะล็อค ก็กดปุ่มสีดำตรงนั้นเหมือนกัน

ถือว่าใจดีที่ให้มา..แต่ไม่ได้ถือว่าเจ๋งกว่าคู่แข่ง เพราะ D-Max X-Series ก็มีให้ แต่ Revo TRD จะเป็นกุญแจรีโมตพับดอกเก็บได้แบบธรรมดา

2017_03_Navara_entr_front2

การเข้าไปนั่งในรถ คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะยังไม่มีกระบะ 1 ตันที่ไหนที่แนวกระจกราบเตี้ยจนต้องก้มหัวหลบแบบซูเปอร์คาร์ ดังนั้นพื้นที่ในการเข้าและออกจึงไม่ต่างกันมากจนต้องเอามาคิด แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความสูงของพื้นรถ การที่ Navara ตัวเตี้ยกว่าชาวบ้านอาจจะมีประโยชน์ต่อคนตัวไม่สูงอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้..แต่บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยวอ่ะ ถ้าคุณตัวเตี้ยก็เหยียบบันไดเอาสิ..แล้วแต่จะคิดครับ

สำหรับคนไซส์ผม การขึ้นลงถือว่าสบาย เพราะผมสูง 183 เซนติเมตร เวลาจะเข้าไปนั่งก็แทบจะสไลด์ตัวไปตรงๆ โดยไม่ต้องใช้บันได แต่ถ้าเป็น Revo หรือ D-Max จะต้องยกตัวขึ้นอีกเล็กน้อย หรือปรับตัวเบาะคนขับเอาไว้ต่ำๆ แต่ก็ไม่ได้เปลืองแคลอรี่ในการขึ้นมากกว่ากันมากนัก

2017_03_Navara_seat_front

เบาะหน้ามีขนาดเบาะรองนั่งไม่ใหญ่ ไม่มีการตีปีกขึ้นกันตัวคนนั่งไหลซ้าย/ขวามากนัก เวลานั่งลงไปแล้วจะรู้สึกว่าเบาะแบนราบไปหมด แต่ก็โชคดีที่มันมีความแข็งพอเหมาะ ไม่ได้แข็งแบบเบาะซิ่งรถวัยรุ่น และไม่ได้นุ่มขนาดเบาะรถพรีเมียม แต่อยู่ตรงกลางแบบกำลังดี ส่วนพนักพิงหลังนั้นก็หนาและนุ่มพอสมควร ถ้าวัดความสบายจากสองส่วนนี้ ผมว่ามันสู้คู่แข่งได้ไม่ยาก และออกจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายเวลาขับเดินทางเสียด้วยซ้ำ

แต่มันจะมาตายก็ตรงพนักพิงศีรษะ ซึ่งขนาดผมไม่ได้มีความอ่อนไหวเรื่ององศาหัวกบาลมากเท่ากับ J!MMY ผมยังรู้สึกปวดต้นคอ แค่ขับจากกรุงเทพไปคาเฟ่แมวที่ศรีราชาก็เริ่มล้าคอแล้ว เพราะผมมันเป็นคนประเภทที่ชอบพิงหัวไว้กับพนักพิงศีรษะ แต่ถ้าเป็นอย่างคุณหมู เซียนเจาะสเป็คของเว็บเรา เขาก็บอกว่ามันเฉยๆ เพราะร้อยวันพันปีที่ขับรถแทบไม่เคยเอาหัวไปอิงตรงนั้นเลย

วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด และลงตัวสำหรับลูกค้าหลากหลายมากที่สุด ก็คือการทำพนักพิงศีรษะให้เอนโล้หน้า/หลังได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเพิ่มต้นทุนการผลิตเบาะเข้าไปอีก Nissan ก็คงต้องเลือกว่าจะหาทางแก้ไข หรือจะโดนผมด่าต่อไป..ถ้าให้พูดตรงๆ พนักพิงหัวนี่ล่ะคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่านั่งขับ Isuzu แล้วสบายกว่า เพราะองศาพนักพิงหัวของ D-Max จะไม่ดันหัวมาก พิงแล้วขับพอได้ แต่ของ Revo นั้นเด็ดสุด คือเบาะก็สบายทั้งตัว และพนักพิงศีรษะก็ดันแบบกำลังพอดี น่าจะถือว่าดีที่สุดในคลาสเคียงคู่กับ Triton

เบาะนั่งคู่หน้า 2 ตัว จะได้เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ การปรับก็ง่าย ไม่ติดๆขัดๆเหมือนที่ปรับของ Chevrolet ที่ผมเจอมา 3 คันรวด จะกดปรับแล้วปรับไม่ได้

2017_03_Navara_seat_rearcabcargospace

ที่เปิดประตูสำหรับบานแค็บหลังนั้น ต้องล้วงเข้ามาข้างใน และคลำหาค่อนข้างยากเพราะโดนสายเข็มขัดนิรภัยบังเอาไว้ ผมควานหาจนรำคาญต้องชะโงกหัวเข้าไปดูถึงจะหาที่เปิดเจอ ถ้าเป็น D-Max ล่ะก็ ที่เปิดประตูจะอยู่ใกล้ขอบมากๆ เอามือคลำ 3 วิยังไงก็ต้องเจอ

แค็บหลังมีพื้นที่ซึ่งถูกจำกัดด้วยกฎหมายของหน่วยงานรัฐให้มีความยาวเท่ากันหมดทุกค่าย แต่ Navara นั้นส่วนหลังสุดของพื้นที่วางของ (บริเวณใต้กระจกหลังลงมา) จะนูนกินพื้นที่เข้ามาในห้องโดยสารมากกว่ายี่ห้ออื่นๆ ทำให้เสียพื้นที่ในการวางของไป แต่ข้อดีคือมีช่องแอร์ 2 ช่องซึ่งอยู่ส่วนท้ายของส่วนต่อจากคอนโซลกลางเหมือนกับรุ่น 4 ประตูเด๊ะ สามารถปรับทิศทางการเป่าเพื่อความเย็นสบายของสัมภาระด้านหลัง

ผมล้อเล่นน่ะครับ อันที่จริง Product Planning ของ Nissan เขาบอกว่า ถ้าจะต้องมาเลือกทำชุดคอนโซลท่อนกลางแบบมีแอร์หลัง กับไม่มีแอร์หลัง มันก็ต้องแยกพาร์ทเป็น 2 แบบ เพิ่มความยุ่งยากเวลาผลิตกับสต็อคเอาไปอีก ไหนๆก็ทำทั้งที ให้มันมีช่องแอร์ครบทั้งรุ่น 2 และ 4 ประตูไปเลยแล้วกัน

2017_03_Navara_i_cabstorage

ข้างใต้พื้นวางสัมภาระที่แค็บหลัง สามารถเปิดเพื่อใส่ของกระจุกกระจิกได้ แต่เป็นแผ่นเหล็กเปลือย ไม่ได้มีการบุนุ่มแบบ Chevrolet Colorado รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่เราเคยทดลองขับไปเมื่อหลายปีก่อน ที่ตรงนี้มีความสำคัญเพราะบางครั้งคุณอาจจะมีของมูลค่าสูงเช่นพวกกล้องหรือแลปท้อปเล็กๆ ที่คุณขี้เกียจถือไป แต่ครั้นจะวางไว้ในรถก็จะล่อตาโจรซะเปล่าๆ ก็เอามันมายัดไว้ในช่องนี้ได้ เพราะขนาดมันกว้างและลึกพอประมาณ (ในรูป คือเทียบกับน้ำดื่มสิงห์ขวดประมาณ 500 ซี.ซี.)

2017_03_Navara_i_cargospace

สำหรับกระบะด้านท้ายนั้น รุ่น Sportech จะได้พื้นปูกระบะสีดำแบบแข็งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ฝาท้ายเปิดด้วย Handle จุดเดียวตามแบบรถกระบะสมัยใหม่ พื้นที่กระบะด้านท้ายมีขนาดยาว 1,788 มิลลิเมตร กว้าง 1,560 มิลลิเมตร และลึก 474 มิลลิเมตร พื้นที่จุกระบะโดยรวมวัดถึงขอบบนของกระบะเท่ากับ 1,322 ลิตร

ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง D-Max จะมีพื้นที่กระบะด้านท้ายยาว 1,785 มิลลิเมตร กว้าง 1,530 ลึก 465 มิลลิเมตร  พื้นที่จุกระบะโดยรวมวัดถึงขอบบนของกระบะเท่ากับ 1,269 ลิตร ในขณะที่ Revo TRD มีพื้นที่กระบะด้านท้ายยาว 1,840 มิลลิเมตร กว้าง 1,540 ลึก 480 มิลลิเมตร พื้นที่จุกระบะโดยรวมวัดถึงขอบบนของกระบะเท่ากับ 1,360 ลิตร

ในการใช้งานจริงอาจจะต่างกันไม่มาก อย่างเช่นถ้าเทียบกับ Revo กระบะของ Navara จะสั้นกว่า 5.2 เซนติเมตร และกว้างกว่าอยู่ 2 เซนติเมตร ส่วนปริมาตรความจุถึงขอบกระบะบนนั้น ผมคำนวณมาให้เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเดา ว่าสรุปใครใหญ่กว่าใคร แม้ว่าในความเป็นจริง เมื่อคุณต้องบรรทุกของใหญ่และสูงเกินขอบกระบะมากๆก็ต้องมีการรัดเชือกให้ปลอดภัยอยู่แล้ว

บรรยากาศในห้องโดยสาร เป็นการผสานอารมณ์กันระหว่างรถเก๋งกับรถกระบะ มีทั้งเส้นสายส่วนที่ดูอ่อนช่อย และส่วนที่ดูแข็งกร้าว อย่างเช่นช่องแอร์ตรงกลาง 2 ช่อง ซึ่งผมมีความเห็นว่าเป็นส่วนที่ดูโบราณและขัดสายตาที่สุดแล้ว ถ้าอยากทำให้สวยก็ไม่เห็นยากเลยครับ ดูช่องแอร์กลางของ Nissan X-Trail เป็นตัวอย่างซะ แล้ว CTRL+C CTRL+V แปะลงไปได้เลย เพราะเส้นสายด้านบนน่าจะเข้ากับชั้นวางพระเครื่องและจุกนมจ่ายไฟของ Navara ได้ดี แล้วมันจะดูน่ามองขึ้นเยอะ

ส่วนอื่นๆของห้องโดยสาร ก็ดูอุดมสมฐานะดี แม้ว่าสีสันจะไม่ฉูดฉาดวัยรุ่นเหมือน Revo TRD แต่ก็ได้ในเรื่องความหรูเนี๊ยบ ใส่ใจในรายละเอียด พวงมาลัยดูเหมือนของรถเก๋งก็คงไม่แปลก เพราะไปยกพวงมาลัยทรงหน้าแพะมาจาก Teana แต่คุณภาพหนังที่ใช้หุ้มดูหนา แข็ง สากมือ ก็คิดว่าคงทำมาเพื่อความทนทานเจอแดดเจอกรดขี้มือแล้วไม่ลอกง่าย

ด้านบนมีแผงบังแดด ซึ่งเมื่อกางออกมาก็จะพบกระจกแต่งหน้า แล้วยังเซอร์ไพรส์ด้วยการให้ไฟแต่งหน้ามาทั้ง 2 ข้าง! ซึ่งไม่คิดว่าจะพบในรถกระบะราคาระดับนี้เลยครับ ขนาดคู่แข่งรุ่นท้อปๆบางทียังมีกระจกเปล่าๆมาให้แค่ฝั่งคนนั่ง ท่าทาง Nissan จะรู้ว่าผู้ชายสมัยนี้บางคนก็ต้องโบ๊ะแป้งศรีจันทร์ For Men ก่อนไปเจอหน้าสาวๆ..ถือว่าเป็นความน่ารักของรถ ที่น้อยคนจะได้ทราบ

ด้านบนของกระจกมองหลังมีไฟเก๋งตอนหน้า สามารถแยกเปิดได้ 2 ข้าง สามารถกดให้ไฟติดตอนเปิดประตูรถได้ และเวลากดเปิดไฟฝั่งซ้าย ไฟตรงกลางเพดานของรถก็จะติดขึ้นมาให้พร้อมกัน แน่นอนว่าไฟตรงกลางเพดานนั้นก็สามารถกดเลือกให้ติดเฉพาะตอนเปิดประตูได้เช่นกัน

จากซ้ายไปขวา บนแผงประตูมีชุดสวิตช์กระจกไฟฟ้า พร้อมระบบ One-touch กดครั้งเดียวลงหมดที่ฝั่งคนขับ และสวิตช์สำหรับล็อคประตู ต้องบอกไว้ด้วยว่า ประตูของเจ้า Sportech นี่ไม่มีระบบล็อคอัตโนมัติเมื่อปลดเบรกมือลงหรือเมื่อรถเคลื่อนที่ (แต่ D-Max มี) ในบริเวณใกล้กันก็จะมีสวิตช์สำหรับปรับกระจกมองข้าง และสวิตช์พับกระจกมองข้างไฟฟ้า

ถัดมา ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวา จะมีที่วางแก้วแบบชักออกมาได้เหมือนของคู่แข่ง และด้านข้างที่วางแก้ว จะมีสวิตช์ Trip Reset กับปุ่มปรับความสว่างไฟหน้าปัด ซึ่งทำมาแบบแอบหรู เพราะใช้แบบปุ่มกด -/+ ไม่ได้ใช้สวิตช์หมุน ซึ่งการทำเป็นปุ่มแบบนี้เข้าใจง่าย ปรับได้รวดเร็ว ในขณะที่ของ D-Max นั้นคุณต้องกดๆเข้าไปในฟังก์ชั่นปรับแสงของหน้าจอ MID ก่อนถึงจะทำได้

ไฟหน้าของ Sportech เป็นแบบ LED Projector (มีมาให้ใน Calibre ทุกรุ่นอยู่แล้ว) ไม่มีสวิตช์ปรับองศาจานฉายจากในรถ และไม่ใช่ระบบที่ปรับตั้งอัตโนมัติ ดังนั้นถ้าคุณต้องบรรทุกหนักจนหน้าเชิดบ่อยๆ อย่าลืมให้ช่างช่วยตั้งไฟหน้าให้ต่ำลงตามสมควรเพื่อไม่ให้แยงตาผู้อื่นที่สัญจรบนถนนด้วยก็ดีครับ

ด้านล่างลงมาเป็นสวิตช์ฝาถังน้ำมัน อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อมถึงง่ายไม่ต้องควักต้องล้วง ส่วนบนพวงมาลัยนั้น ปุ่มบนก้านด้านขวา จะมีไว้สำหรับ Cruise Control ส่วนก้านด้านซ้าย จะมีปุ่มสำหรับควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มสำหรับกดเลือกฟังก์ชั่นบนจอ MID ที่หน้าปัด ส่วนปุ่มสตาร์ท จะหลบมาอยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัย

Navara จะใช้ลิ้นชักแบบชั้นเดียว ไม่มีช่องวางของจุกจิกชั้นบนแบบ D-Max ขนาดลิ้นชักไม่ได้จุของมากนักเอาหนังสือ This is a รถ ที่กว้างไม่ถึงฟุตใส่ลงไปก็จะได้อย่างที่เห็นในภาพ อาจจะเหมาะไว้เก็บเอกสารและของกระจุกกระจิกอีกนิดหน่อยเท่ากัน มีที่วางแก้วตรงใต้ช่องแอร์เหมือนกับฝั่งคนขับ

ที่ส่วนล่างของคอนโซลกลาง จะมีช่อง USB 1 ช่องใกล้กับฐานคันเกียร์ ค่อนมาทางคนขับ ซึ่งถือว่าดีแล้ว อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย ส่วนคันเกียร์หุ้มปลอกหนัง วัสดุดีพอใช้ แต่หัวเกียร์ซึ่งมีส่วนบนเป็นโครเมียมนั้นดูไม่ค่อยสวย และจับจริงก็ไม่ถนัด ยิ่งวันไหนเผลอจอดตากแดดร้อนๆ พอไปจับมือแทบพอง ต้องอ้อมมาจับคอคันเกียร์แทน แล้วยิ่งจะลำบากเวลาถอยหลัง เพราะเวลาเข้าเกียร์ถอย คุณจะต้องกดคันเกียร์ลงหาพื้นโลกก่อนนิดนึง แล้วดันไปทางขวาและหลัง ตาม Pattern บนหัวเกียร์

ชุดเครื่องเสียง จอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้วของ Kenwood ซึ่งไม่ใช่เครื่องเสียงระดับพรีเมียม แถมยังมีลำโพงแค่ 4 ตัว คือที่ประตูหน้าและทวีตเตอร์บนคอนโซลสองข้าง ดังนั้นความละเอียดของเสียงช่วงความถี่กลางๆจะหายไป เสียงเบสจะออกมาแบบบวมๆ หน่อย (ผมทดสอบโดยใช้เพลง Seven days in sunny June ของ Jamiroquai, Wake Up This Day และ Ooh Baby ของ Tom Misch กับ Too early for the sun ของ Kenny Loggins)

การปรับ EQ ไม่ใช่แบบกราฟ ต้องเลือกย่านความถี่ที่ต้องการแล้วกดบวกหรือลบเอา ถ้าเป็นแบบกราฟอย่างวิทยุของ Subaru XV จะเข้าใจง่ายกว่า ถ้าวัดคุณภาพเสียงเทียบกับชุดจอ DVD ใน D-Max ผมคิดว่ามันใกล้เคียงกันมากครับ แต่เครื่องเสียงของ Isuzu จะแยกเสียงดนตรีดีดสีตีเป่าประเภทต่างๆออกจากกันได้ชัดเจนกว่า

นอกจากนี้ตัวเครื่องเสียงยังทำหน้าที่เป็นกล้องมองหลัง ซึ่งไม่ค่อยละเอียดชัดมากนัก แค่พอพึ่งพาได้ ยังดีที่มุมมองกล้องมีความกว้างในระดับที่เหมาะสม เวลาถอยออกจากมุมอับยังพอเห็นรถที่กำลังพุ่งมาจากด้านข้างได้ ส่วนระบบนำทางนั้น ไม่ได้ติดตั้งมาให้ในรุ่นนี้

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบธรรมดา แต่ดีไซน์มาเป็นปุ่มกดที่ดูแล้วเกือบนึกว่าเป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ หน้าตาดูดี แต่ถ้าเป็น Navara รุ่นกระบะตอนเดียวหรือบอดี้ King Cab กับ Double Cab รุ่นล่างๆจะเป็นสวิตช์ลูกบิดที่หน้าตาไม่ไฮโซแบบนี้ และถึงแม้จะไม่ใช่ระบบจอดิจิตอลสวยงามแบบพวกรุ่น V/VL แต่ก็มีฮีทเตอร์มาให้ ถ้าบิดไปทางขวาสุด ต่อให้เป็นช่วงกลางคืนก็ยังได้อารมณ์น้องๆนั่งห้องซาวน่า ใครมาดันทุรังบิดเป็นฮีทเตอร์ตอนกลางวันผมคงชกม้ามแตก

2017_03_Navara_i_centerstorage

ช่องเก็บของตรงกลางมีขนาดไม่โตนัก ออกจะสั้นและกว้าง ถึงกระนั้นก็ยังสามารถใส่กล้อง Compact ประเภทตัวโตๆอย่าง Nikon Coolpix P900 ที่ผมใช้ประจำลงไปแล้วยังสามารถปิดฝาได้ ข้างในช่องเก็บของยังมีช่องเสียบปลั๊กไฟฟ้ารถยนต์มาให้อีก 1 ตำแหน่ง ผมสงสัยมากว่าทำไมไม่ทำมาเป็นช่องเสียบ USB แบบรถเก๋งไปเลย แต่เพื่อนๆที่เป็นสิงห์กระบะบอกว่าให้มาแบบนี้ล่ะดี ชาร์จเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หลายแบบ ถ้าอยากชาร์จอะไรที่เป็น USB ก็จอดแวะเซเว่นซื้ออแดปเตอร์ได้ไม่ยาก

ฝาปิดช่องเก็บของ มีการบุนุ่มและหุ้มหนังมาให้ เหมือนตั้งใจจะให้เป็นที่เท้าแขนได้ แต่มันก็สั้นเกินไป เหมือนรถกระบะเกียร์ธรรมดาอื่นๆนั่นล่ะครับ

ตรงข้างคันเบรกมือ มีที่วางแก้วมาให้ 2 ตำแหน่ง เลยที่วางแก้วไปจะเป็นสวิตช์สำหรับ Cargo Lamp (ไฟส่องไปที่พื้นกระบะด้านหลัง) ซึ่งช่วยให้การขนของตอนกลางคืนสะดวกขึ้นกรณีที่ต้องจอดในมุมมืดๆ แต่ถ้าวันไหนลองเปิดแล้วไฟไม่ติด อย่าเพิ่งตกใจ ไฟนี้จะใช้การได้ก็ต่อเมื่อคุณดึงเบรกมือขึ้นเท่านัั้นครับ

2017_03_Navara_i_instru01 2017_03_Navara_i_instru02 2017_03_Navara_i_instru03

หน้าปัดของรุ่น Sportech เป็นแบบเรืองแสง มีจอกลาง MID เป็นจอสี เป็นสเป็คเดียวกับ Calibre ทุกรุ่น และเกือบเหมือนกับตัวท้อป 4 ประตูขับเคลื่อน 4 ล้อ เพียงแต่ว่าไม่มีฟังก์ชั่นเข็มทิศมาให้ กระนั้นคุณยังสามารถปรับโชว์ค่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, อัตราสิ้นเปลืองแบบ Real-time, แสดงระยะทางที่เหลือซึ่งสามารถวิ่งได้ด้วยน้ำมันในถัง เวลาจะสลับหน้าจอระหว่างฟังก์ชั่นต่างๆ ก็กดปุ่มที่มีรูป 4 เหลี่ยมบนก้านพวงมาลัยทางซ้าย

และถ้าจะ Reset ค่าของ Function ไหน ก็ให้กดปุ่มที่เป็นรูปลูกศรวนกลับค้างเอาไว้ ส่วนมาตรวัดระยะทาง (Trip Meter) นั้นจะแยกสวิตช์สำหรับ Reset เป็น 0 มาอยู่ตรงด้านขวาล่างของหน้าปัด ใกล้กับสวิตช์ปรับความสว่างไฟส่องหน้าปัดนั่นล่ะครับ

ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่านี่คือหน้าปัดที่ออกแบบมาได้ดี ใช้ฟอนต์ตัวเลขแบบที่อ่านค่าได้ง่าย สีสันหน้าปัดไม่เยอะ แต่ก็ดูดีกว่าหน้าปัดของคู่แข่งหลายเจ้า เวลาขับแล้วชำเลืองมองด้วยหางตาสามารถกะได้ว่าวิ่งเร็วเท่าไหร่ ใช้รอบเครื่องสูงประมาณไหน ดูก็ง่าย และยังมีความทันสมัยโดยไม่ต้องพึ่งจอดิจิตอลขนาดใหญ่ๆ

 

***** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ *****

2017_03_Navara_eng_engine

ขุมพลังของ Navara ทั้งในเมืองไทยนั้น นับตั้งแต่วันเปิดตัวในปี 2014 จนถึงปัจจุบัน ก็ยังยืนหยัดอยู่กับบล็อค YD25DDTi ดีเซล 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 2,488 ซี.ซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Common Rail ECCS อัดอากาศด้วยเทอร์โบแปรผัน (VGS) ระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูลเลอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศที่ติดตั้งเอาไว้หลังกันชนหน้า ซ่อนอยู่หลังตำแหน่งพลาสติกของกันชนจนมองจากด้านหน้าแทบไม่เห็น แต่มีช่องดักอากาศจากด้านหน้าไปเป่าที่อินเตอร์คูลเลอร์ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการระบายความร้อน และยังปกป้องจากการกระแทกของหินดีดได้ระดับหนึ่ง

เครื่องยนต์ YD25DDTi จะถูกปรับจูนแบ่งความแรงออกเป็น 2 ระดับ คือ Mid Power และ High Power

ถ้าจูนมาในแบบ Mid Power  จะมีกำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร (41.09 กก.-ม.) ที่ 2,000  รอบ/นาที  ได้มาตรฐานไอเสีย Euro 4 ปล่อย CO2 194 กรัม/กิโลเมตร (ในบอดี้ King Cab Calibre EL)

ส่วนรุ่น High Power จะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการจูนที่ต่างกัน (ที่แน่ๆคือเทอร์โบเป็นคนละ Part No. กันกับรุ่น Mid Power) ทำให้มีกำลังสูงสุดเป็น 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (45.88 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที ได้มาตรฐานไอเสีย Euro 4 ปล่อย CO2 196 กรัม/กิโลเมตร (ในบอดี้ King Cab V 4WD)

เจ้า Sportech คันที่เราทดสอบ จะมีขุมพลังเพียงแบบเดียวคือ Mid Power 163 แรงม้า ถ้าใครอยากได้เครื่องสเป็ค 190 แรงม้า คุณจะต้องไปเล่น Sportech รุ่นที่เป็น 4 ประตูเท่านั้นครับ

ระบบกำลังสำหรับ King Cab Sportech จะมีเพียงแบบเดียวคือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.685
เกียร์ 2 ………………………..2.479
เกียร์ 3 ………………………..1.624
เกียร์ 4 ………………………..1.208
เกียร์ 5 ………………………..1.000
เกียร์ 6 ………………………..0.809
เกียร์ถอยหลัง ……………….4.709
อัตราทดเฟืองท้าย………….3.917

Navara King Cab เกียร์ธรรมดาทุกรุ่นย่อย รวมถึงรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีอัตราทดเกียร์ 1-6 และเกียร์ถอยหลังเท่ากันหมด แต่จะมีเฟืองท้าย 3 เบอร์ คือ 3.539 เฉพาะรุ่น S 6MT ตัวเตี้ย เบอร์ 3.692 สำหรับรุ่น E และ V ตัวเตี้ย กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และท้ายสุดก็คือเบอร์ 3.917 ซึ่งจะมีเฉพาะพวก Calibre ยกสูงขับหลังเท่านั้นที่ได้ใช้ (และต้องเป็นรุ่น King Cab Calibre เท่านั้น เพราะถ้าเป็น Calibre 4 ประตู ก็จะใช้เบอร์ 3.692 แทน)

ทำไมจึงมีแต่ King Cab Calibre ที่ใช้เบอร์ทดจัดกว่าชาวบ้าน..ผมเดาไม่ถูกเหมือนกันครับ ถ้ากลัวเรื่องบรรทุกหนักแล้ววิ่งไม่ออก ผมก็งง เพราะรุ่น S กับรุ่น V ตัวเตี้ยน่าจะถูกใช้บรรทุกหนักกว่า Calibre ยังได้เฟืองท้ายยาวกว่านี้ หรือว่าถ้าทำเพื่อชดเรื่องน้ำหนักตัวถังกับขนาดล้อ..แล้วทำไมรุ่น 4WD ล้อเท่ากัน ตัวหนักกว่า ยังใช้เบอร์ 3.692 ได้ล่ะ?

ผลจากการลองขับจริง ผมลองจับเวลาในช่วงต่างๆเอง โดยไม่ได้ทำตามมาตรฐานเว็บเราตามปกติ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเจ้าของเว็บป่วยเป็นโรค Snake Hello และมีไข้สูงนานติดต่อกันหลายสิบวัน ผมจึงต้องลองทำอัตราเร่งคนเดียว และไม่ได้วัดอัตราสิ้นเปลืองในโหมดปกติ 110 วิ่งนิ่งของเรา

อย่างไรก็ตาม อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบบเปิดแอร์ ผมลองจับเวลาหลายต่อหลายครั้ง อยู่ที่ 12.44 วินาทีโดยเฉลี่ย

ตัวเลขที่ดีที่สุดคือ 12.3 วินาที และทำได้โดยสับขึ้นเกียร์สูงที่ 3,800-4,000 รอบต่อนาที ถ้าลากจนยัน 4,900 รอบต่อนาที ผมไม่เคยได้ดีไปกว่า 12.6 วินาที แถมถ้าออกตัวไม่ดีมีโผล่ไป 13 วินาทีด้วยซ้ำ

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่สามารถใช้เกียร์ 3 ได้ เนื่องจากสุดที่ 102 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและถึงจะเอาเกียร์ 3 มาทรมานเล่น รอบเครื่องก็กวาดเลยจุด “Sweet Spot” ที่เครื่องมีพละกำลังดีมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้เกียร์ 4 หรือเกียร์ 5 ในการทำอัตราเร่งช่วงนี้ หากใช้เกียร์ 4 ก็จะใช้เวลา 8.4 วินาทีโดยเฉลี่ย ในขณะที่ใช้เกียร์ 5 ก็ได้เวลาแทบไม่ต่างกัน (8.2 วินาที) 

ส่วนความเร็วสูงสุด ล็อคแน่นอนครับ..ที่ 178 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนหน้านั้นกำลังไต่ความเร็วเนิบๆงามๆ แล้วจู่ๆก็จบตรงนั้น ซึ่งผมว่าสำหรับรถกระบะ วิ่งได้เท่านี้ก็ไม่ได้ถือว่าแย่ครับ บางคนขับช้ากว่านี้หลายสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงยังเกือบตายมาแล้ว ที่ผมขับให้ดูนี่ก็เพื่อให้ทุกท่านทราบว่ามันได้เท่านี้จริงๆ ดังนั้นถ้าท่านจะลองเอง..ผมคงห้ามไม่ได้แต่อย่าให้เจ็บให้ตายก็แล้วกันครับ

จากผลของอัตราเร่งที่ได้นั้น….

ผมสังเกตว่า 0-100, 80-120 หรือความเร็วสูงสุด ถ้าทำตามเงื่อนไขสับเกียร์ที่รอบการทำงานสูงเกือบสุดแบบที่ J!MMY ทำ ผมไม่สามารถทำเวลาให้ดีเท่ากับ Navara King Cab ตัวเตี้ย 2.5E 6M/T ที่เขาเคยทดสอบเอาไว้ได้เลย แม้ว่าน้ำหนักตัวของผมคนเดียว จะเท่ากับ J!MMY บวกกับเจ้าหน้าที่จับเวลาแล้วก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่แปลก ผมมองว่าเฟืองท้ายของ Calibre King Cab อาจจะจัดเกินจนใช้กำลังเครื่องยนต์ไม่คุ้ม นอกจากนี้ KC ตัว 2.5E ยังตัวเบากว่ากันอยู่ 93 กิโลกรัม ล้อก็เล็กและเบากว่า ยิ่งอัตราเร่งแซง 80-120 ในเกียร์เดียวกัน รุ่น Calibre จะช้ากว่าแบบรู้สึกได้ (7.71 vs 8.2 วินาที)

ส่วนถ้าให้เทียบกับ Isuzu D-Max 1.9 ที่เป็นบอดี้ยกสูง เกียร์ธรรมดา และใช้ล้อ 16 นิ้ว พบว่าถ้าตั้งใจเค้นจริงๆ D-Max ก็ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใกล้เคียงกันมาก แต่โอกาสที่จะได้เลขสวยๆจะยากเพราะต้องออกตัวล้อฟรีไม่ให้รอบหล่นต่ำกว่า 2,000 และต้องตบๆคันเร่งก่อนออกตัวด้วยถึงจะได้ 12.6 วินาที แต่ส่วนใหญ่จะเจออาการรอบห้อย คันเร่งตอบสนองช้า และไปจบที่ 13.1 วินาทีมากกว่า ส่วน 80-120 นั้น ผมต้องใช้วิธีลากเกียร์ 3 ให้สุดแล้วสับต่อ 4 อย่างรวดเร็ว ถึงจะได้ 8.85 วินาที ถ้าใช้เกียร์ 4 อย่างเดียว จะได้ 9.36 วินาที และถ้าเกียร์ 5 เครื่องจะหลุดจากรอบที่มีพลัง ทำให้ใช้เวลาถึง 13.3 วินาที

ส่วนในการขับขี่ทั่วไปนั้น Navara มีการตอบสนองคันเร่งที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ กดเท่าไหร่ได้เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกประเภท “กดนิดเดียวรถพุ่ง” แบบที่วัยรุ่นชอบ คันเร่งมีอาการหน่วงประมาณ 0.5-1 วินาทีก่อนปลดปล่อยพลัง เทอร์โบติดบูสท์ไวพอสมควร เข้าเกียร์ 3 ที่ 1,600 รอบกดคันเร่ง 70% ก็มีแรงดึงจากเทอร์โบมาแล้ว

ในการขับ ทั้งแบบบู๊และแบบทั่วไป ผมชอบนิสัยเครื่องยนต์กับคันเร่งของเจ้า YD25 นี้มากกว่า RZ4E-TC ของ D-Max เพราะความเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับการขับดีเซลปั๊มสมัยก่อน กำหนดพลังรถด้วยคันเร่งได้ง่าย ในขณะที่ Isuzu จะมีอาการหน่วงของคันเร่งมากเกินไปเหมือนจงใจให้คันเร่งนิ่งเพื่อความประหยัด บางทีกดไปก็รอนานกว่าจะมา และบทพลังจะมาก็พุ่งแรงจนเกินงาม เวลาขับบนภูเขาที่โค้งเยอะและชัน ผมจะไม่อยากยุ่งกับเจ้า 1.9DDi นี่เลย

คันเกียร์ของ Sportech มีระยะเข้าที่ค่อนข้างยาว สมัยนี้กระบะเจ้าอื่นเขาหันไปทำคันเกียร์ระยะเข้าสั้นๆแบบรถเก๋งกันหมดแล้ว เหลือแค่ Nissan กับ Chevrolet เท่านั้นที่ยังปรับน้ำหนักและบุคลิกของคันเกียร์มาเหมือนรถกระบะจาก 15 ปีที่แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะถูกใจคนที่ชอบ Feeling แบบรถกระบะดั้งเดิมซึ่งร่องเกียร์แต่ละร่องอยู่ห่าง มีโอกาสเข้าพลาดได้ยาก

แต่สำหรับผมเองนั้นชอบคันเกียร์ที่เข้าง่าย กระชับและสัมพันธ์กับระยะคลัตช์อย่างของ Ford Ranger มากกว่า ส่วน Isuzu D-Max และ Mitsubishi Triton หรือแม้กระทั่ง Toyota HiLux Revo ก็มีระยะเข้าเกียร์ที่กระชับสับได้สะดวกมือกว่า Nissan

แป้นคลัตช์ มีระยะปล่อย-เหยียบสุดค่อนข้างสั้นกว่าชาวบ้าน แรงต้านเท้าก็ดูจะมากกว่าใครอื่นเขา มีลักษณะจุดตัด/ต่อกำลังเครื่องคล้ายรถเก๋งมากกว่ารถกระบะ ซึ่งในจุดนี้ เป็นดาบสองคมในตัวมันเอง เวลาขับแบบวัยรุ่นรีบๆ มันให้ความรู้สึกคล่องตัว เล่นง่าย น้ำหนักต้านเท้าก็ไม่ได้หนักเหมือนรถเก๋งคลัตช์ทองแดงเสริมหวีที่ผมขับเป็นประจำ มันแค่หนักกว่ากระบะเจ้าอื่น แต่พอไปถามคนอื่นที่ต้องขับรถทั้งวัน ใช้รถในเชิงพาณิชย์หรือต้องขับแบบไกลๆ หลายคนบอกว่าคลัตช์ของ Isuzu นั้นเบาและสบายกว่า ขับนานๆไม่เมื่อย ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่เถียงเลยครับ

 

2017_03_Navara_eng_suspension

ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแนบแผ่นซ้อน โดยวางแหนบไว้ใต้เพลา ในขณะที่ D-Max Hi-Lander จะวางแหนบไว้เหนือเพลา ซึ่งทำให้ง่ายเวลาต้องการดัดแปลงยกความสูงรถเพิ่มมากๆ

โครงสร้างตัวถังเป็นแบบบอดี้รถวางบนเฟรม ตัวเฟรมมีโครงสร้างหลักเป็นเหล็กกล้า Full Boxed Ladder Frame ชิ้นเดียวตลอดคัน ซึ่ง Nissan ดูจะภาคภูมิใจกับความแกร่งของแชสซีส์แบบนี้ ตั้งแต่สมัย Big M/Frontier แล้ว และพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัมเบรก มาพร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อค (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรง
เบรกในภาวะฉุกเฉิน BA (Brake Assist)

ส่วนพวงมาลัยยังเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฮดรอลิกเหมือนกับเพื่อนญี่ปุ่นร่วมชาติทุกคัน ในขณะที่กระบะฝั่งอเมริกันอย่าง Ford กับ Chevrolet ในขณะนี้ หนีไปใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้ากันหมดแล้ว รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 6.3 เมตร

อุปนิสัยการตอบสนองของช่วงล่างและการขับขี่นั้น…

บอกตรงๆเลยว่า Navara ไม่ได้ถูกจูนช่วงล่างมาให้มีความรู้สึกสบายแบบรถเก๋งเลยแม้แต่น้อย มันคือรถกระบะที่พยายามรักษาสไตล์แบบกระบะยุคดั้งเดิมไว้ แต่ให้ความมั่นใจมากขึ้น มีเสถียรภาพที่ดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอันตราย

ที่ความเร็วต่ำ คุณจะสัมผัสได้ถึงอุปนิสัยแบบรถกระบะแหนบที่แข็ง และใช้โช้คที่แข็งพอกัน มันส่งความสะเทือนมาเร้าประสาททวารและหลังเหมือนมีเด็กตัวเล็กๆมาถีบก้นเราเบาๆตลอดเวลา ผมลองวิ่งบนถนนลูกรังปากทางซอยร่มเกล้า 25 เข้าไปยังอู่ของเพื่อน ตรงนั้นถ้าวิ่งด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวถังของ Navara จะส่งแรงสะเทือนมาค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ D-Max ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า

จากนั้น ผมลองมาวิ่งบนมอเตอร์เวย์ ใช้ความเร็วตั้งแต่ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังพบว่าช่วงล่าง Navara มีอาการดิ้นตามถนนเบาๆแบบ ดุดๆๆๆ เป็นลูกๆ เหมือนกระบะโลกเก่าที่เอามาใส่โช้คแข็งมากๆ มีลักษณะคล้ายกับ Navara รุ่นอื่นๆ แต่แปลกตรงที่อาการดีดดุดๆๆนั้นกลับเบากว่า Navara รุ่น 4 ประตูนิดๆ และเบากว่า King Cab 2.5 E ตัวเตี้ยแบบรู้สึกได้ ผมเดาว่าสปอร์ตบาร์ที่ใส่เข้าไปบนกระบะหลังอาจจะมีส่วนช่วย หรือไม่มันก็อาจเป็นเพราะรถทดสอบวิ่งมาตั้ง 18,000 กิโลเมตรแล้ว โช้คมันคงถูกนวดจนเข้าที่ไปชาติเศษแล้ว

ดูเหมือนว่าช่วงล่างจะถูกจูนมาเผื่อการบรรทุกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เน้นบรรทุกหนักแบบ Revo รุ่นมาตรฐานทั่วไป เพราะแค่ผมเอาอาหารสุนัขถุงใหญ่หลายๆถุงใส่ไว้กระบะท้าย น้ำหนักรวมน่าจะไม่ถึง 200 กิโลกรัม วิ่งทางด่วนกับมอเตอร์เวย์ท้ายนิ่งขึ้นคนละเรื่อง

ที่ความเร็วสูงระดับ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป..สิ่งที่น่าตลกก็คืออาการดิ้นดุดๆกลับน้อยลง ตัวรถกลับนิ่งขึ้น นั่งสบายขึ้น (หมายถึงตอนวิ่งตัวเปล่านะครับ) เหมือนว่าช่วงล่างถูกปรับมาให้ใช้กับความเร็วสูงด้วย การหักหลบรถตัดหน้าที่ความเร็วระดับนี้ Navara เอาอยู่อย่างสบายๆ

ถ้าเทียบกับ D-Max ล่ะก็..เจ้านั้นจะให้ช่วงล่างที่ปรับมาเน้นนุ่มนวล วิ่งบนถนนขรุขระกับลูกรังสบายกว่า แต่พอออกมอเตอร์เวย์ ยิ่งความเร็วเกิน 120 ไปเท่าไหร่ D-Max ยิ่งโคลงส่ายมากขึ้น กระโดดสะพานโหดๆทีนึงรถส่ายมากจนผมเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ ไอ้คอสะพานเดียวกันนี้แหละครับ Navara ควบกระโดดผ่านที่ 140 ได้ แม้จะสะเทือน แต่ก็ไม่โคลง

ส่วนการขับขี่บนถนนแบบภูเขา มีโค้งเยอะๆ ก็ให้ความมั่นใจได้ดี โช้คอัพสามารถควบคุมการยวบของตัวถังได้ดีและดีดคืนกลับไม่แรงเกิน เวลาเข้าโค้งมาด้วยความเร็วที่สูงเกินกำหนด หรือถนนลื่น ตัวรถจะมีอาการอันเดอร์สเตียร์ (หน้าไม่หันไปตามโค้ง) ซึ่งก็พอๆกับ Ford และ Mazda ส่วนการทำให้ท้ายปัดออกนั้นยาก ถ้าไม่ใช่ว่าคุณทะเล่อทะล่ากดคันเร่ง แต่ถ้าอยากกวาดท้ายเล่น ก็เลี้ยงรอบให้อยู่แถวๆ 2000-2500 แล้วกดให้สุดเลยครับ กวาดบ้านสมใจอยาก

ถ้ามีอะไรที่ทำให้ขับเล่นโค้งไม่สนุก..ก็คงจะเป็นพวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดเฉื่อยมากกว่ารถกระบะที่ขายอยู่ในปัจจุบันเกือบทุกรุ่น เวลากลับรถ หรือถอยเข้าซองจะหมุนกันเยอะ ยิ่งถ้าเทียบการเข้าโค้งกับกระบะพวงมาลัยไวยุคใหม่อย่าง Triton หรือ Ranger MC โค้งเดียวกัน ผมไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย แต่กับ Navara ผมต้องปล่อยมือมาสาวพวงมาลัยไขว้

พอนำรถไปวิ่งบนทางตรง ก็พบว่าพวงมาลัยมีระยะฟรีเยอะ (ไม่แปลกสำหรับรถกระบะ) ไม่ค่อยมีน้ำหนักหน่วงกลาง แต่ที่ขับแล้วไม่เกร็งก็เพราะความเฉื่อยของอัตราทดพวงมาลัย ต่อให้ถนนสะเทือนแล้วมือเราขยับขึ้นๆลงๆ 1-2 นิ้ว รถก็ยังไม่เป๋..นับเป็นเรื่องดีที่อยู่ในเรื่องที่ไม่ดี

ผมยังรู้สึกว่าพวงมาลัยของ Navara นี้คือจุดที่ควรปรับ ไม่ต้องทำให้มันไวเหมือน Triton แต่ให้ได้ประมาณ Revo กับ D-Max แค่นั้นก็ทำให้รถขับคล่อง และยังสามารถใช้ขับบรรทุกของหนัก ประคองตัวรถได้ไม่ยากเกินไป มีน้ำหนักหน่วงกลางมากกว่านี้อีกหน่อย มันจะทำให้ขับสบาย ทั้งในเมือง และนอกเมือง

ระบบเบรกนั้น  แป้นเบรกจะมีระยะฟรีช่วงแรกนิดหน่อย แต่พอกดไปสักพักแรงเบรกจะเริ่มมา และมาแบบค่อยเป็นค่อยไป เบรกแล้วหัวไม่ทิ่ม แล้วก็ไม่ได้เบรกลึกจนต้องกดเยอะๆแบบ Ford กับ Chevrolet แต่พูดตามตรงว่าถ้าดูเรื่องน้ำหนักและการตอบสนองของแป้นเบรกโดยรวมๆแล้ว วินาทีนี้ HiLux Revo คือรถที่เซ็ตมาได้เป็นกลาง และเป็นธรรมชาติ ให้การควบคุมแรงเบรกที่ง่ายที่สุด

การเบรกจากความเร็วสูง เช่น 160 เหลือ 80 คุณสามารถทำได้ 1 ครั้ง หลังจากนั้นเมื่อลองเร่งกลับไป 160 แล้วเบรกครั้งที่ 2 อาการเฟด เสียง ความสะท้านจะเริ่มมา ประสิทธิภาพเบรกจะเริ่มลดลง และครั้งที่ 3 อาการเฟดจะออกชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับกระบะระดับนี้ แม้แต่ Ranger เองถ้าเจอแบบเดียวกันอาการก็ออกเหมือนกัน

ถ้ายืนมองจากข้างนอกคุณอาจจะเห็นขนาดจานกับคาลิเปอร์แล้วรู้สึกเล็กกว่าคนอื่น แต่ประสิทธิภาพการเบรกไม่ได้แย่ ผมคาดว่าน่าจะเป็นเพราะการเลือกวัสดุที่มาทำผ้าเบรก ไม่ใช่เรื่องโหงวเฮ้งหรือขนาดของจานและคาลิเปอร์ แต่ถ้าคุณเป็นสายบ้าพลัง ผมยังแนะนำว่าอย่างน้อยเปลี่ยนจานเบรกกับหาผ้าเบรกดีๆมาใส่เถอะครับ กระบะหนักตันเก้าพุ่งมาเร็วๆแล้วเบรกเฟดนี่เสียวร่องทวารกว่าพวกรถเก๋งตัวเล็กๆเบาๆเยอะนะครับ

ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น น่าเสียดายว่าเราไม่ได้นำมาวัดเทียบกับรุ่นอื่นๆตามมาตรฐานปกติของเว็บ เนื่องจากคนรับหน้าที่ทดสอบป่วยเป็นโรค Snake Hello อยู่ ผมจึงทำได้แค่ลองใช้มันตามปกติ แต่จับอัตราการสิ้นเปลืองให้ทุกถัง

เมื่อใช้แบบเดินทางไกล 90-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมทำได้ 12 กิโลเมตร/ลิตร และจะได้ตัวเลขน้อยลงตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ต่างกันจนน่าตกใจ เช่น ถ้าขับเดินทาง 110-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จะเหลือ 11.8 กิโลเมตร/ลิตร ต่างกันแค่นี้ ถ้าเป็นในชีวิตจริง ผมยอมจ่ายส่วนต่างค่าน้ำมันแล้ววิ่ง 110-120 ดีกว่า

ส่วนการใช้งานแบบขับในเมืองและขับแบบเค้นทำอัตราเร่ง ใช้ความเร็วสูงมากๆ ผมลองทดสอบเอาไว้ได้ 8.56 กิโลเมตร/ลิตร และสำหรับการใช้งานแบบวิ่งไปมาในเมือง มีรถติดแบบปกติ ไม่ถึงกับวันสิ้นโลก ฟ้าโศกฝนตกเงินเดือนออก สลับกับวิ่งทางด่วนเข้า/ออกจากตัวเมืองบ้าง ผมทำได้ 10.2 กิโลเมตร/ลิตร

จากที่ลองพยายามขับ Isuzu D-Max 1.9 DDi บนสภาพการจราจรที่เกือบเหมือนกัน วิ่งเส้นเดียวกัน ใช้เวลาในการเดินทางเท่าๆกัน แต่แค่ต่างวันกัน ผมรู้สึกว่า Isuzu จะเห็นตัวเลขหลักเดียวยากกว่า Nissan มาก ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางแบบ 90-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงบนบูรพาวิถีไป/กลับนั้น ผมทำได้ถึง 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนในสภาวะอื่นๆ ขับ Isuzu ผมต้องขับแบบหนีนักฆ่าอย่างในภาพยนตร์ ถึงจะเห็นเลข 9.5 กิโลลิตรโผล่มา

ก็ทำไงได้ล่ะครับ เวลาวิ่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบเครื่องของ Navara สูงถึง 2,200 รอบต่อนาทีในเกียร์ 6 ในขณะที่ Revo กับ D-Max วิ่งอยู่แถว 1,600-1,700 รอบต่อนาทีเท่านั้น

ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น เจ้า King Cab Sportech ถือว่าไม่เด่นอะไรมาก เพราะมีถุงลมนิรภัยมาให้แค่คู่หน้า และมีเบรก ABS/EBD เท่านั้น รถกระบะยกสูงเกียร์ธรรมดาของหลายเจ้าก็จะให้อุปกรณ์ความปลอดภัยมาแค่นี้ เช่นเดียวกับ D-Max X-Series 2 ประตู ส่วน Revo TRD นั้นจะมีถุงลมนิรภัยที่หัวเข่าคนขับเพิ่มมาให้อีกอย่าง

ส่วนเรื่องระบบควบคุมการทรงตัว กระบะแค็บในบ้านเรายังให้มากันไม่กี่รุ่น Toyota, Ford, Mazda, Mitsubishi ไม่มีกระบะแค็บยกสูงที่มีระบบนี้จำหน่ายเลย ส่วน Isuzu นั้น ถ้าอยากได้จะต้องซื้อรุ่น Z หรือ Z Prestige ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติถึงจะมี ในปัจจุบัน มีเพียง Chevrolet Colorado 2.5 VGT LTZ Z71 M/T  กับ Navara 2.5 V M/T 4×4 เท่านั้นที่เป็นกระบะแค็บยกสูงเกียร์ธรรมดาที่มีระบบช่วยเหลือเรื่องการทรงตัวมาให้

ก็ถือว่า Sportech มีอุปกรณ์ความปลอดภัยอยู่ในระดับมาตรฐานเฉลี่ยของรถระดับนี้ แต่ผมไม่อยากให้เรามองว่ามันเป็นมาตรฐานที่เราจะต้องอยู่ด้วยตลอดไป ถ้าจะให้ดี มันควรเริ่มเอามาติดตั้งกันให้ครบทุกรุ่นย่อยนั่นล่ะ เพื่อให้อัตราส่วนอุบัติเหตุจากรถกระบะบนท้องถนนมันลดน้อยลง อย่าทะนงตัวว่าขับรถมาล้านกิโลเมตรแล้วไม่ต้องพึ่งพาระบบก็ได้ ถ้าคุณเข้าใจการทำงานของมันก็จะรู้ว่ามันเซฟชีวิตคนได้ระดับหนึ่ง มีไว้ ดีกว่าไม่มี

(อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก บทความของคุณหมู เรื่องรถกระบะแค็บรุ่นไหนบ้างที่มีระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว)

********** สรุป **********
นิสัยรถกระบะยังอยู่เยอะ ขับมั่น คุมแรงง่าย อุปกรณ์น่าสน แต่ยังไม่จับใจลูกค้าได้ดีเท่าเจ้าตลาด

สิ่งที่ผมมักพูดเสมอกับเพื่อน พี่และน้องในวงการรถยนต์บ่อยๆก็คือ

“โดยธรรมชาติลูกค้าชาวไทย จะเลือกแบรนด์เจ้าตลาดก่อนเสมอ ถ้าเขาไม่มีตัวเลือกอื่นในหัว หรือไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องรถ เพราะการเล่นแบรนด์เจ้าตลาด จะหาซื้อก็ง่าย จะขายก็หาย แม้แต่ตอนจะหาย (ถูกขโมย) ก็ง่ายเหมือนกัน…ดังนั้นแบรนด์รองจึงต้องมีไม้ตายที่เหนือกว่ารถของเจ้าตลาด (เช่นเทคโนโลยีสูงกว่า รูปทรงสวยกว่า แรงกว่ามากๆ) หรือไม่ก็มีราคาที่ถูกจนยั่วยวนใจ หาไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกค้าจะไม่ยอมมาเสี่ยง”

Navara Sportech มีจุดดีและจุดด้อยของมัน แต่ในภาพรวมที่ออกมา โดยเฉพาะเมื่อมองจากสายตาของคนที่ใช้รถกระบะตัวจริง (ไม่ใช่คนทดสอบ หรือพวกบ้าตัวเลข Specification) ผมถามเลยว่าถ้า Navara Sportech แพงกว่า D-Max X-Series อะไรจะทำให้คุณยอมเมินตรีเพชรมาคบกับ Nissan?

ผมช่วยคุณคิดทีละอย่างแล้วกันนะครับ

อย่างแรกที่นึกออก เครื่องยนต์ YD25DDTi นั้น ถึงแม้จะเก่า เสียงดัง และไม่ได้มีแรงปลายลื่นแบบรถกระบะ 180-180 ม้าของค่ายอื่น แต่มันเป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดเป็นช่วงกว้าง เรียกกำลังจากรอบต่ำได้ดีกว่าเครื่อง 1.9 ของ Isuzu และมีคันเร่งที่ไม่หน่วงเวอร์เกินเหตุ กดแล้วไม่ต้องรอนาน ทำให้ขับขึ้นลงเขาได้ไม่ยาก

อย่างที่สอง..ช่วงล่างของ Navara นั้น ถึงแม้จะมีเอกลักษณ์แบบกระบะยุคก่อนหลงเหลืออยู่ แถมยังมีอาการดีดดุดๆเบาๆเหมือนทารกถีบตูดไปตลอดทาง แต่มันก็ไม่เด้งและดิ้นจนชวนอาเจียนแบบ Revo (ที่ไม่ใช่รุ่น TRD) และพอนำไปวิ่งมอเตอร์เวย์กระโดดสะพานสูงๆก็มั่นใจกว่า D-Max มาก ยิ่งเป็นการหักหลบที่ความเร็วสูง ผมบอกได้เลยว่าคุณต้องใช้ Mazda หรือ Ford เท่านั้นถึงจะชนะ Nissan ได้

อย่างที่สาม…หน้าปัดและอุปกรณ์ มันอาจจะไม่ได้ล้ำเลิศไปกว่า Isuzu มากนัก แต่อย่างน้อย คุณได้หน้าปัดมาตรวัดที่ดูไฮโซเหมือนถอดมาจากรถเก๋ง เป็นจอสี มีระบบปรับอากาศพร้อมฮีทเตอร์เผื่อวันที่คุณอยากขึ้นดอย มี Cruise Control มาให้สำหรับการเดินทางไกล มีช่องเสียบ USB กับ Power Outlet ในตำแหน่งที่จำเป็นหลายจุด ส่วนภายนอกนั้น Navara Sportech ได้ล้อ 18 นิ้ว แต่ X-Series 2 Door จะให้ล้อ 16 นิ้ว

ปัญหาคือ…ผมนึกออกแค่ 3 อย่างนี้ แล้วเรื่องอื่นๆล่ะ?

เรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากอัตราเร่ง การทรงตัว และอุปกรณ์…อาจมีความสำคัญในสายตาของคนใช้กระบะตัวจริงมากกว่า

เรื่องอื่นๆ ที่คนอ่าน Headlightmag อาจจะให้ความสำคัญไม่มากเท่าตัวเลขดัชนีความมันส์ทั้งหลาย

เช่นเรื่องอัตราสิ้นเปลือง จุดนี้ Isuzu ที่ใช้เครื่องยนต์พัฒนามาใหม่แถมใช้อัตราทดรวมเกียร์ 4,5,6 ที่ต่ำกว่า Nissan มาก ทำให้ได้ใจผู้บริโภคเรื่องความประหยัด และในโลกของคนใช้กระบะ เมื่อคุณทำรถที่ประหยัดน้ำมันติดต่อกันมาหลายเจนเนอเรชั่น ผู้คนก็จะให้ความเชื่อถืออยู่แล้ว ในขณะที่ Nissan นั้นไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านนี้ (ทั้งๆที่ความจริงมันก็กินพอๆกับ Mitsubishi นั่นล่ะครับ)

เช่น..เรื่องการบริการหลังการขาย ซึ่งในขณะที่ Isuzu รักษามาตรฐานคงเส้นคงวามาตลอดในเรื่องความประทับใจจากการใช้บริการ ศูนย์ของ Nissan นั้นผีเข้าผีออก มีดีและไม่ดีปะปนกันไป คุณลองค้นดูเอาเองก็ได้ว่าทำไมต้องมีคนถามว่า Nissan ไปเข้าศูนย์ที่ไหนดีที่สุด ในขณะที่ถ้าเป็น Isuzu เขาจะถามแค่ว่า บ้านฉัน/ผมอยู่แถวนี้ มีศูนย์อะไรใกล้ๆบ้าง

หรือแม้กระทั่งการควบคุมคุณภาพในเชิง Proactive (ปฏิบัติก่อนให้ลูกค้าบ่นด่า) อย่างกรณีชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องยนต์บางจุดของ 1.9 DDi ซึ่งทางบริษัทเขาตรวจพบเอง เจอเอง ออกจดหมายเชิญลูกค้าเอง โดยที่ไม่ต้องให้ใครด่าออกสื่อ แถมมีการให้บัตรกำนัลตอบแทนลูกค้าที่ต้องเสียเวลาเอารถเข้ามาเปลี่ยนอะไหล่ส่วนดังกล่าว

สำหรับคนไทยที่ไม่ได้ติดตามอ่านข่าวหรือเสพย์สารรถยนต์เป็นประจำ เรื่องพวกนี้มีความสำคัญในสายตาพวกเขามาก มากจนพวกเขาไม่ได้สนแรงบิดที่รอบต่ำ ช่วงล่างหนึบๆ หรือหน้าปัด 3 มิติอะไรทั้งสิ้น

มันไม่ใช่ว่า Nissan บริการแย่มากๆในภาพรวม เพียงแต่ถ้าลูกค้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แล้วเจ้าที่บริการดีกว่าเขาดันขายรถให้ลูกค้าได้ในราคาเท่ากันหรือถูกกว่านิดๆ ลูกค้าเขาจะเลือกทางไหนล่ะครับ

ถ้ารถเราไม่ได้สวยแบบเกินหน้าเกินตาคนอื่น ไม่ได้มีวิศวกรรมเลิศ ช่วงล่างเจ๋งมากๆ หรือไม่ได้ราคาถูกมากจนน่าลิ้มลอง ไม่มีใครอยากเลิกคบเจ้าตลาดหรอกครับ

แต่ถ้า Nissan แน่วแน่ในตัวเองว่าจะไม่สนยอดขาย แต่จะเน้นการทำรถไปจับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างอย่างเต็มที่ ใช้ความอินดี้สร้างชื่อเสียงบนโลกไซเบอร์แทนรายได้จากยอดขาย แบบนี้มันก็มีจุดที่ยังพอปรับปรุง (ในเจนเนอเรชั่นต่อไป) ได้ เพื่อให้ Navara รุ่นใหม่เป็นรถที่ดีกว่าคู่แข่งสายอินดี้ที่เหลือ

  • เครื่องยนต์ใหม่ ที่เงียบขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น แต่อย่าเสียข้อดีเรื่องแรงบิดและการคุมพลังที่ปรับเท้าง่าย สม่ำเสมอ
  • อัตราทดเกียร์ 5 กับ 6 อาจต้องลดลงเพื่อให้เดินทางไกลด้วยรอบที่ต่ำลงและอาจประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
  • ระบบพวงมาลัย ตั้งความไวเวลาหมุนให้เท่ากับ Isuzu กับ Toyota ซึ่งไม่ไวหรือเฉื่อยเกิน ครอบคลุมลูกค้าได้หลายกลุ่ม
  • ช่วงล่าง อาจหาวิธีลดความดีดเบาๆถี่ๆ ดุดๆๆๆของมันลงบ้างก็น่าจะพอใช้ได้แล้ว อย่าให้มันแข็งหรือดีดมากไปกว่านี้
  • คันเกียร์ของรุ่นเกียร์ธรรมดา ควรปรับให้ระยะเข้าเกียร์ซ้าย/ขวา ขึ้น/ลงมีระยะน้อยลง ปัจจุบันระยะเข้าเกียร์ของ Revo ถือว่าเป็นตัวอย่างที่กำลังดีสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าจะเอาใจสายซิ่ง ต้องทำให้สั้นกระชับแบบ Ford/Mazda
  • ปรับรูปดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในให้ทันสมัยกว่าคู่แข่งมากจนลูกค้าเห็นความต่างแบบไม่ต้องจอดเทียบ
  • แล้วก็เอาพนักพิงศีรษะแบบที่ปรับองศาการเอนได้มาใส่ด้วย
  • ที่สำคัญ…เลิกใช้ล้อ PCD แปลกๆอย่าง 6 รู 114.3 ได้แล้วครับ คุณรู้ไหมว่าบางคนที่เขากำลังชั่งน้ำหนักระหว่างรถกระบะ 2 คัน เขาไม่เอา Navara ด้วยเหตุผลเพราะ PCD รูน็อตทำให้หาล้อแม็กสวยๆใส่ยากกว่าชาวบ้าน!!

ที่เขียนนี่ ไม่ได้พยายามด่าแบบกดหัวจมเลน แต่หลังจากที่ใช้เวลากับรถคันนี้นานพอสมควร ผมรู้สึกว่า Navara เป็นเพชรที่ยังเจียรไม่เสร็จมากกว่าเป็นก้อนดินธรรมดา มันมีจุดที่ยังพัฒนาต่อเพื่อสร้างจุดเด่นที่ยั่งยืนได้อีก

 

แต่ถ้าคุณเป็นคนรัก Navara อย่างจริงจัง และกำลังมองหากระบะมีแค็บ ยกสูง เกียร์ธรรมดาเอาไว้ใช้ รุ่น King Cab Calibre EL Sportech นี่คือทางเลือกที่คุ้มที่สุดหรือเปล่า? ฟันธงยาก แต่ถ้ามองรายละเอียดทีละจุด อาจจะง่าย

ถ้าคุณอยากได้รถที่แต่งสำเร็จ เก๋ไก๋จากโรงงานโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ก็ยังมีรุ่น  King Cab Calibre E Black Edition ราคา 798,500 บาท ไม่มีสปอร์ตบาร์ ไม่มีกันชนหน้าแต่ง ไม่มีเบาะหนังและเครื่องเสียงแบบจอ 7 นิ้ว แต่ได้ล้อ 18 ลายเหมือนรุ่นปกติ แล้วเอามาพ่นสีดำ มีโป่งล้อสีดำ ตกแต่งสติกเกอร์รอบคันและเสาอากาศแบบ Shark Fin ราคาถูกกว่า Sportech แต่มาดของรถจะเป็นแนววัยรุ่นจี๊ดจ๊าดจอมลุย ในขณะที่ Sportech จะสปอร์ตแบบผู้ใหญ่ขรึมกว่า

หรือถ้าคุณอยากเล่นรถที่มีระบบความปลอดภัยครบครันขึ้น และแรงขึ้น ก็ดู King Cab 2.5V 4WD ซึ่งราคาจะโดดขึ้นไปไกลหน่อย เป็น 894,000 บาท คุณเสียเบาะกับพวงมาลัยหุ้มหนัง เสียชุดแต่งเท่ห์ๆ กระจังหน้ากับล้อลายสปอร์ตไป แต่ได้เครื่องยนต์ 190 แรงม้า แอร์ออโต้ พร้อมระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว แทร็คชั่นคอนโทรล กันไถลสารพัด คุณคงต้องไปหาชุดแต่งหรือติดตั้งเพิ่มเอาเอง แต่นี่คือทางเลือกที่เหมาะสมกว่า Sportech ในกรณีที่คุณขับรถทางไกลบ่อย ขับเร็ว และต้องเร็วในทุกสภาพอากาศ

ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหนก็ตาม ขอให้คุณเข้าใจไว้เลยว่า Navara รุ่นปัจจุบัน มันคือรถกระบะวิถีดั้งเดิมที่คุณคุ้นเคยมานาน เพียงแต่แค่ปรับให้มีความปลอดภัยและมีความทันสมัยมากขึ้นตามยุคสมัย พวงมาลัยทดยาวสาวกันเป็นลิง เหมือนกระบะยุคก่อน คันเกียร์ยาว ระยะเข้าเกียร์ห่างๆ เหมือนกระบะยุคก่อน ช่วงล่างก็ไม่ได้พยายามนุ่มแบบ Triton หรือสปอร์ตแบบ Ford มันอาจจะแข็ง ดีดบ้าง แต่ให้ความมั่นใจในการเดินทาง และหักหลบฉุกเฉินได้โดยไม่เสียวสันหลังมากนัก

มันเป็นรถที่สะท้อนแนวคิดของ Nissan ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการอะไรจากรถกระบะ และถ้ามันเกิดตรงกับสิ่งที่คุณต้องการจากรถคันต่อไปของคุณ ก็ถือว่าโชคเป็นของทั้งคุณ และ Nissan และถ้ามันไม่ตรง..เราก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน แค่นั้น ยังมีตัวเลือกอีกมากที่รอเราอยู่

แต่ขอให้คุณศึกษาให้ดี ไม่ต้องเชื่อบทความที่ผมเขียนก็ได้ แต่ให้อ่านจากหลายๆแหล่ง และลองถามคนที่เขาใช้มาแล้วเป็นแสนๆกิโลดูบ้างว่ามีอะไรที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางบ้าง ตัวรถมีปัญหาในระยะยาวอย่างไรบ้าง ซึ่งคนทดสอบรถอย่างผม อย่างมากก็ได้อยู่กับรถไม่นาน เราบอกประสิทธิภาพรถ บอกอุปกรณ์ บอกข้อดีข้อเสีย ณ เวลาจุดหนึ่งได้ แต่ในเรื่องการใช้งานระยะยาว คนที่ใช้มาแล้วมากกว่าแสนกิโลเมตรย่อมได้ประสบการณ์จริงมากกว่าเรา

รถเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเสื้อผ้าที่เราใส่เยอะ ต้องคิดให้มาก ทำการบ้านให้เยอะ โดยเฉพาะกับคนใช้รถกระบะหลายคน ในขณะที่รถเก๋งนั้น รถจะเปรียบเสมือนสิ่งเชิดหน้าชูตา เป็นอีโก้เล็กๆ ที่ได้แตกต่างจากคนอื่น แต่กับโลกของคนใช้รถกระบะทำมาหากิน ต่อให้เน้นใช้งานอย่างเดียว หรือใช้งานด้วยแล้วโชว์สาวด้วย รถก็มีความสำคัญเหมือนแขนและขา ชีวิตแทบดำเนินไม่ได้โดยปราศจากมัน

คุณให้ความสำคัญกับแขนและขาขนาดไหน ก็จงให้ความสำคัญกับการเลือก “เพื่อนคู่ใจ” คันใหม่แบบนั้นแล้วกันนะครับ

———————————///———————————-

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆอย่างดียิ่ง

Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายเป็นผลงานของผู้เขียน
ภาพถ่ายรถยนต์จากต่างประเทศ ภาพวาด หรือ ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค
Illustration เป็นของ Nissan Motor Co.Ltd.

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
22 สิงหาคม 2017

Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission
is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com

22 August 2017

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!