อิสระที่แท้จริง เขาว่ามันมักจะมากับการเดินทางสู่โลกกว้างด้วยตัวคนเดียว
แต่ความสนุก ความเฮฮา และหลากหลายอารมณ์สุขสันต์ไปจนถึงแสบเสียว
การเดินทางคนเดียวอาจไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้เหมือนกับการเดินทาง
แบบเป็นหมู่คณะ
นั่นอาจเป็นเพราะในใจของคนเรานั้นมีความต้องการ “การแสดงออกในเชิง
สนับสนุน” อยู่ลึกๆ สังเกตหรือไม่ว่า เวลาเราทำอะไรก็ตาม หากมีเพื่อนๆสัก
2-3 คนคอยเชียร์ หรือพูดจาส่งเสริม ให้กำลังใจ คุณจะมีความกล้าขึ้นชั่วขณะ
มันเป็นเรื่องสนุก หากเราได้ทำสิ่งต่างๆ เดินทางไปทุกๆที่กับคนที่มีทัศนคติ
ในการมองโลกเหมือนๆกัน หัวเราะให้กับสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ
ที่เรายังมีเพื่อนๆหลายคนที่ชอบการเดินทางแบบเป็นหมู่คณะมากกว่าการ
บินเดี่ยวเที่ยวคนเดียวรอบประเทศ
นั่นคือเหตุผลที่เรามีรถ MPV ขนาดใหญ่ให้เลือกในตลาดรถยนต์ประเทศไทย
หลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Toyota Alphard/Vellfire, VW Caravelle/Multivan
หรือ Hyundai H-1/Grand Starex อย่างที่ท่านเห็นอยู่ในบทความนี้ เพราะว่า
ในหลายครั้ง คุณก็อยากเดินทางไปกับคนที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว
เดียวกัน หรือจะเป็นเพื่อนสนิทที่เตะบอลเล่นบาสกันมาตั้งแต่วัยเด็ก
ในรถคันนั้นจะมีความหรรษาหลายอย่างรอคุณอยู่ ทั้งผู้ขับขี้บ่น คนนำทางที่
พาหลงครั้งแล้วครั้งเล่า วัยรุ่นเห่อรักที่ทิ้งเพื่อนในรถเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว
ทางโทรศัพท์กับแฟน มนุษย์จอมหลับที่ขึ้นรถเมื่อไหร่ก็หลับเมื่อนั้น กลายเป็น
เครื่องมือหาความสนุกให้เพื่อนๆเขียนหน้าเขียนตา เอาขวดโค้กยัดใส่มือ เขียน
ป้ายกระดาษด้วยข้อความทะลึ่งๆยัดไปหน้าพุงแล้วถ่ายรูปอัพลงโซเชียล แล้วก็
ยังมีมนุษย์ส้วมที่แวะทุกปั๊มที่ขวางหน้า มีมนุษย์ขาเมาท์เสียงดังที่รู้ทุกเรื่องยกเว้น
เรื่องของตัวเอง แล้วก็มีผู้กำกับ..รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับทริปว่าร้านไหนอร่อย ตรงไหน
น่าแวะ และปิดท้ายด้วยมนุษย์ Anything ถามอะไรก็ตอบ “ยังไงก็ได้” แต่พอ
เลือกกันเสร็จกลับไม่ยอมเอาตามที่คนอื่นเลือกเสียดื้อๆ
หรือมันอาจจะไม่ใช่การเดินทางแบบที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น สำหรับบางท่าน
การนั่ง MPV เดินทางไกล อาจเป็นการไปในลักษณะอื่นเช่นการเดินทางไป
เจรจาธุรกิจ มีคนขับรถ เลขา บอสใหญ่ มีแค่ 3 คนแต่แทนที่จะเดินทางด้วย
รถเก๋งทรงเตี้ยแบบธรรมดา เจ้านายก็เลือกที่จะเดินทางด้วยรถ MPV ที่ตกแต่งมา
ให้หรูสักหน่อย มีเก้าอี้ที่เอนหลังกางขาได้สบาย รถสูง ประตูใหญ่ ขึ้นลงจากรถ
ได้ง่าย แถมในวันหยุดก็สามารถพาสมาชิกครอบครัวทั้งหมดไปเที่ยวในรถคันเดียว
ก็ได้เช่นกัน
ไม่ว่าการเดินทางของคุณจะเป็นแบบเพื่อนเยอะเฮอา หรือสมาชิกไม่เยอะแต่
เน้นสบาย Hyundai ก็พยายามปรับรูปแบบของรถ MPV ที่ตัวเองขายอยู่ให้
รองรับความต้องการที่แตกต่างได้หลากหลาย
Hyundai เผยโฉม H-1 อย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Motor Expo เดือน
พฤศจิกายน ปี 2007 ด้วยราคาเริ่มต้นในระดับไม่เกินล้านบาท นั่นคือจุดเริ่มต้น
ของความสำเร็จทางด้านยอดขายที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่นึกเหมือนกันว่าท่ามกลาง
คู่แข่งที่มีทั้งรถตู้กระแสหลักอย่าง HiAce/Commuter และรถประเภทที่เน้นหรู
อย่าง VW Caravelle และยังมี MPV ญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่เศรษฐี
อย่าง Toyota Alphard อีก..แล้ว H-1 จะมีตำแหน่งให้ยืนตรงไหน? แต่ J!MMY
เชื่อและบอกกับผมในเวลานั้นว่ามันจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของรถเหล่านั้น
ทั้งหมดได้แน่นอน เราได้ทดสอบ H-1 Maesto เอาไว้ในช่วงกลางปี 2009 และ
ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นรถที่ขับดีเอาเรื่องแม้ว่าจะมีแค่บางด้านที่ออกจะ
อยู่หนทางครึ่งๆกลางๆระหว่างรถตู้เชิงพาณิชย์กับรถตู้เน้นหรู นั่นก็เป็นไปตาม
ราคาของตัวรถ
นับจากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไป 7 ปี ตัวรถและโครงสร้างหลักยังเป็น
ของเดิม ดังนั้นการที่จะคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่อไปได้ ก็ต้อง
มีการอัพเดทตัวผลิตภัณฑ์ให้มีจุดที่น่าสนใจมากขึ้น นั่นคือที่มาของการได้เข้า
ไปร่วมทริปทดลองขับ ซึ่งทาง Hyundai ได้จัดให้พวกเราสื่อมวลชน ลองขับจาก
แถบบางนา ไปสู่จังหวัดระยอง นั่ง Speed Boat ไปลงหน้าหาด นอนที่เกาะเสม็ด
1 คืน ก่อนขับกลับในรถอีกคัน
ทำให้ผมคิดได้ว่าทั้ง H-1 กับ Grand Starex และ Speed Boat มีบางจุดที่คล้ายๆกัน
แต่ผมจะเก็บไว้พูดตอนหลังว่าเพราะอะไร
AT BRIEFING
H-1 และ Grand Starex รุ่นใหม่ มีขนาดมิติตัวถัง ยาวxกว้างxสูง เท่ากับ
5,125 x 1,920 x 1,925 มิลลิเมตรตามลำดับ โดยที่ทุกรุ่นจะมีขนาดตัวเท่ากัน
เกือบหมด ยกเว้นรุ่น Touring ที่ใช้กันชนหน้าไม่เหมือนชาวบ้าน ทำให้มีขนาด
ความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 5,150 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร
ความสูงใต้ท้องรถถึงพื้น 190 มิลลิเมตร ถังน้ำมันมีความจุ 75 ลิตร
ถ้าถามว่าใหญ่แค่ไหน ก็บอกได้เลยว่าถ้าอยากได้รถตู้ยาวและโตกว่านี้ก็คงต้อง
ขอเชิญไปซื้อ Commuter หรือ Citroen Jumper ไปเลยดีกว่าเพราะนี่ก็ถือว่า
ตัวโตมากแล้ว ยาวกว่า Vellfire ตัวล่าสุด 195 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวกว่ากัน
ตั้ง 200 มิลลิเมตร ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะ H-1/Grand Starex ถูกออกแบบ
มาเพื่อรองรับการเป็นรถ 4 แถว 11 ที่นั่งอยู่แล้วจึงต้องมีขนาดตัวยาวแบบนี้
ส่วนถ้าเทียบกับ Toyota Ventury ซึ่งเป็นรถตู้เพื่อการพาณิชย์ที่ดัดแปลงมา
เอาดีทางหรูมากขึ้นนั้น H-1/Grand Starex ก็โตกว่าคนละเรื่อง เพราะขนาด
ของ Ventury อยู่ที่ 4,840 x 1,880 x 2,105 ฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร แต่จัด
ที่นั่งเป็นแบบ 4 แถว โดยคนนั่งแถวที่ 2 มี 2 ที่นั่งและแถวสุดท้ายมี 4 ที่นั่ง
มันอาจจะเทียบกันไม่ได้ตรงรุ่นนัก แต่ถ้าดูจากจำนวนที่นั่ง จุดประสงค์การใช้งาน
และราคา..ผมก็เคยมีคนอ่านที่ขอให้เทียบ H-1 กับ Ventury ให้ฟังบ้างแม้
จะไม่กี่คนก็ตาม
รายละเอียดทางด้านวิศวกรรมและระบบขับเคลื่อนต่างๆนั้นจะยังเหมือนกับรุ่นปี
2014-2015 เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนั้น ทุกรุ่นของ H-1 และ Grand Starex
จะใช้เครื่องยนต์และเกียร์แบบเดียวกันหมด โดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล
CRDi VGT รหัส A2-D4CB ขนาดความจุกระบอกสูบ 2.5 ลิตร 2,497 ซีซี.
4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection พร้อมเทอร์โบ
แปรผัน VG-Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 91.0 x 96.0
มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.4 : 1
กำลังสูงสุดที่ได้จากเครื่องรุ่นนี้คือ 175 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ
5 จังหวะ พร้อม Sequential Shift ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือก รวมถึงรุ่น Touring
ที่ราคาถูกที่สุดด้วย
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นคานบิดแบบ 5-Link
รองรับน้ำหนักรถด้วยคอยล์สปริง และมีดิสก์เบรก 4 ล้อ พวงมาลัยเพาเวอร์แบบ
ไฮดรอลิกเหมือนรุ่นเดิม ยังไม่ได้หนีไปคบมอเตอร์ไฟฟ้าแต่อย่างใด
ด้วยพื้นฐานทางตัวถังและกลไกที่เกือบเหมือนกันหมดนั้น ทาง Hyundai ได้ตกแต่ง
รายละเอียดเพิ่มเติม และแตกสไตล์ออกเป็น 5 รุ่น โดยมีรายละเอียดคร่าวๆดังนี้
1. Hyundai H-1 Touring ราคา 1,289,000 บาท (11 ที่นั่ง)
> รุ่นประหยัด กระจังหน้าแนวนอน มีไฟตัดหมอก ล้อกระทะเหล็ก
> เบาะผ้า เครื่องเสียงธรรมดา CD แผ่นเดียว รองรับ MP3 มีช่องเสียบ USB
> มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า และดิสก์เบรก 4 ล้อพร้อมระบบเบรก ABS
> กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า (กระจกพับไฟฟ้านี้แก้ไขเพิ่มเติม
29/08/2016 เนื่องจากข้อมูลในเว็บของ Hyundai บอกว่าไม่มี และทาง
Hyundai ได้แจ้งมาว่าที่จริงรุ่น Touring จะมีพับไฟฟ้าให้)
2. Hyundai H-1 Elite ราคา 1,499,000 บาท (11 ที่นั่ง)
> เอาไฟตัดหมอกออก แทนที่ด้วยไฟ Daytime Running Light
> เบาะหนัง เครื่องเสียงธรรมดาแบบเดียวกับ Touring คอนโซลกลาง
เป็นแบบเดียวกับตัว Touring แต่เพิ่มลำโพงให้จาก 4 เป็น 6 ลำโพง
> เพิ่มปุ่มปรับเครื่องเสียงที่พวงมาลัย
> เพิ่มหน้าปัดแบบมี Trip Computer (ช่อง MID ใหญ่กว่ารุ่น Touring)
> เพิ่มกระจกมองข้างแบบมีไฟเลี้ยว LED
> กระจังหน้าเปลี่ยนจากแนวนอนเป็นแนวตั้ง แถมโครเมียมสลับสีดำ
> เพิ่มล้ออัลลอย 16 นิ้ว กาบข้าง และสปอยเลอร์หลัง
> ติดตั้งเซ็นเซอร์ถอยหลัง
3. Hyundai H-1 Deluxe ราคา 1,679,000 บาท (11 ที่นั่ง)
> เหมือนรุ่น Elite แต่เพิ่มอุปกรณ์เข้าไปเพื่อให้หรูใกล้เคียง Grand Starex
> เบาะหนังมีพนักพิงศีรษะแบบปีกผีเสื้อ เครื่องเสียงแบบจอทัชสกรีน 6 ลำโพง
> เพิ่มจอติดเพดาน
> เพิ่มระบบจอ Smart View กล้องรอบคัน + ระบบนำทาง GPS
> ประตูสไลด์ไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่งพร้อมรีโมตสั่งเปิด/ปิดประตู
> เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติแบบจอดิจิตอล คอนโซลกลางแบบเดียว
กับ Grand Starex แต่ใช้ลายไม้ตกแต่งภายในสีเข้มกว่า
> มี Cruise Control
> มีลูกเล่นไฟส่อง LED ในห้องโดยสาร ปรับได้ 6 สี และไฟส่องพื้นรถ
ข้างนอก Courtesy Lamp
4. Hyundai Grand Starex Premium ราคา 2,349,000 บาท (7 ที่นั่ง)
> เทียบกับรุ่น H-1 Deluxe จะมีลักษณะแดชบอร์ดและหน้าปัดเหมือนกัน
ต่างกันแค่สีลายไม้ และ Grand Starex มีแถบลายไม้คาดที่ประตู
> มีจอหน้า และจอหลังขนาด 8 และ 13.3 นิ้ว มี Smart View +ระบบนำทาง
เหมือนกันทั้งคู่
> เบาะนั่งเป็นหนัง เย็บคนละลาย
> เบาะแถว 2 ปรับพนักพิงหลัง และปรับแท่นรองน่องด้วยไฟฟ้า เลื่อนหน้า/หลัง
ด้วยมือ
> ประตูสไลด์ไฟฟ้าเหมือน H-1 Deluxe
> เปลี่ยนกระจังหน้าเป็นโครเมียม (ไม่มีซี่สีดำสลับแบบของ H-1)
> ล้ออัลลอย 17 นิ้ว
> มีระบบรักษาการทรงตัว ESP
> พรมปูพื้นแบบพิเศษ
5. Hyundai Grand Starex VIP ราคา 2,399,000 บาท (7 ที่นั่ง)
> เหมือนรุ่น Premium แต่เพิ่ม Counter Bar คั่นระหว่างเบาะแถวหน้าสุด
กับเบาะแถวที่ 2 ตัว Counter มีไฟตกแต่งปรับได้ 3 สี
> ใน Counter Bar มีจอ LCD ขนาด 22 นิ้ว ปรับขึ้น/ลงด้วยระบบไฟฟ้า
> เครื่องเสียงที่ Counter ใช้ฟรอนท์ของ Kenwood รองรับ DVD และเพิ่มลำโพง
จาก 6 เป็น 8 ลำโพง
รายละเอียดและรูปรถของแต่ละรุ่น สามารถคลิกดูเพิ่มเติมได้จากบทความแนะนำ
ช่วงเปิดตัวของ Hyundai H-1/Grand Starex MY2016 ที่คุณหมูเขียนไว้ครับ
DAY 1 – บนเบาะหลังใน Grand Starex
เราออกเดินทางจากโรงแรม Novotel บางนา มุ่งหน้าไปที่ร้านแหลมเจริญซีฟู้ด
ที่จังหวัดระยอง โดยรถแต่ละคันที่มีสื่อมวลชนนั่งไป 4 ท่าน แต่ละท่านสามารถ
ตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้ขับหรือผู้โดยสาร หรือจะเปลี่ยนผลัดกันที่ไหนก็ได้
ผมตัดสินใจเลือกเป็นผู้โดยสารแถวที่ 2 เพราะเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าหลักที่จะซื้อ
รถรุ่นนี้ น่าจะมีส่วนหนึ่งที่นั่งโดยสารด้านหลัง และมีโชเฟอร์ขับให้ หรือต่อให้ขับเอง
ก็คงต้องให้ความสำคัญกับความสบายของผู้โดยสารด้านหลังมากพอควร มิเช่นนั้น
ก็ไม่น่าจะเพิ่มเงินหลายแสนบาทเพื่อมาเล่น Grand Starex
อย่างไรก็ตาม ผมจะพาชมรายละเอียดส่วนต่างๆของรถก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่อง
ความสบายในการโดยสารนะครับ รถคันที่ผมได้มาสำหรับการเดินทางในวันนี้
จะเป็น Grand Starex รุ่น Premium ที่ไม่มี Counter ตรงกลางรถ
เบาะนั่งด้านหน้าเป็นแบบ 2 ชิ้น กึ่ง Bench Seat ตรงกลางสามารถพับลงเพื่อ
เป็นที่ไว้ของได้ ตัวเบาะให้ความสบายพอประมาณแม้ว่าสำหรับคนตัวใหญ่พิเศษ
อย่างผมจะพบว่าเบาะรองนั่งมันสั้นไปนิดเดียว การนั่งขับทางไกลสามารถให้
ความสบายได้พอประมาณ แต่ต้องปรับความสูงของเบาะให้นั่งได้ถนัดเพราะ
จะมีผลต่อความเมื่อยส่วนขา ตัวเบาะปรับสูง/ต่ำได้ สามารถดันไปจนสูงชนิดที่
ขับแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บนตึก แต่พอดันลงต่ำก็ได้ตำแหน่งการขับที่ลงตัวสำหรับผม
พนักพิงศีรษะดันหัวแต่ไม่มากนัก ยังดีที่พนักพิงมีความนุ่มนวล สามารถอิงหัว
เวลาขับทางไกลเพื่อความผ่อนคลายได้บ้าง
ส่วนเบาะหลัง VIP แถว 2 ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่น Grand Starex สามารถ
ปรับเดินหน้า/ถอยหลังได้ด้วยมือ แต่ปรับเอนและปรับแท่นรองน่องละขาได้
ด้วยระบบไฟฟ้า ลักษณะของเบาะดูคล้าย Grand Starex ปี 2010 อยู่มากในเรื่อง
โครงเบาะและสวิตช์ต่างๆ แต่หนังที่หุ้มเบาะนั้นเป็นลายใหม่ และพนักพิงศีรษะ
เป็นแบบปีกผีเสื้อ ความสบายของตัวเบาะเวลานั่ง ผมมีความรู้สึกว่าทำได้ดี
ใกล้เคียงกับ Toyota Vellfire แต่ยังไม่สบายสุดๆแบบเบาะของ Alphard V6 3.5
ซึ่งเป็นรถที่ราคาโดดไปอีกระดับ ซื้อ Grand Starex ได้ 2 คันไปแล้ว
ส่วนรองรับก้น มีความนุ่มนวล ลองนั่งดูนานๆก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนัก
และพนักพิงหลังก็รองรับแผ่นหลังของผมได้ค่อนข้างพอดี ตัวเบาะกั้นคอก
ขึ้นมาเป็นพนักเท้าแขน 2 ข้าง ซึ่งก็เหมือนกันกับรถ MPV ระดับ VIP ทั้งหลาย
อาจจะพอดีตัวกับมนุษย์เอว 62 นิ้วแบบผมแบบรัดนิดๆ แต่กับคนส่วนใหญ่ถือว่า
สบายมีที่เหลือมากพอ
ทำไมผมถึงเทียบกับ Vellfire เป็นหลักทั้งๆที่ราคาของรถคนละเรื่องกัน? ผมคิดว่า
Vellfire เป็นรถสำหรับการเทียบวัด (Benchmark) ที่ดีและเป็นรถที่คนใช้รถหรู
นิยมกัน น่าจะเอามาเป็นแบบอย่างในการเทียบวัดรอยกันได้ ซึ่งเท่าที่สัมผัสมา
เบาะของ Grand Starex จะสู้เบาะของ Vellfire ไม่ได้ก็คือพนักพิงศีรษะ ซึ่งของ
Hyundai จะมีลักษณะเอนไปด้านหลังมาก เวลานั่งหลังตรง หัวก็เอนไปด้านหลัง
เวลาเอนนอน หัวก็ยิ่งเอนไปข้างหลังมากกว่าตัว ชวนให้นึกถึงเก้าอี้ทำฟัน
ถ้าให้ผมโดยสารรถคันนี้ไป 5-600 กิโลเมตร คงต้องขอตัวช่วยเป็นหมอนเสริม
ตรากระดูก หรือหมอนคิตตี้ก็ได้แล้วชีวิตจะสบายขึ้น
แผงแดชบอร์ดของรถเวอร์ชั่น 2016 มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปชัดเจนคือคอนโซลกลาง
ชิ้นตั้งแต่แผงเครื่องปรับอากาศ ไล่มาจนถึงด้านบน ช่องลมปรับอากาศออกแบบ
มาให้ดูทันสมัยมากกว่าเดิม ในรุ่น H-1 Deluxe, Grand Starex ทั้ง Premium
และ VIP จะมีแดชบอร์ดแบบเดียวกันเด๊ะ ชุดปรับอากาศและจอกลาง 8 นิ้ว
แบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างคือลายไม้ของ H-1 จะมีสีที่เข้มกว่า เท่านั้นเองครับ
แผงควบคุมต่างๆยังมาในทรงเดิม ไล่จากทางขวาสุด แผงปรับกระจกต่างๆ
และสวิตช์พับกระจกมองข้างไฟฟ้า สวิตช์ฝาถังน้ำมันจะแยกออกมาอยู่ที่
ประตูด้านล่างในขณะที่คันโยกเปิดฝากระโปรงหน้าจะอยู่ที่ส่วนล่างขวาสุด
ของแดชบอร์ด ซึ่งทำให้ใช้งานได้ง่าย เพราะบางยี่ห้อจะชอบติดตั้งคันโยก
สองอย่างนี้ไว้ชิดกัน แล้วมองจากตำแหน่งคนขับก็ไม่เห็นว่าอันไหนคือคัน
โยกอะไร จะเปิดฝาถังน้ำมันก็เผลอไปเปิดฝากระโปรงหน้าบ่อยๆ
ข้างใต้ช่องปรับอากาศด้านขวาสุด จะประกอบด้วยชุดสวิตช์สำหรับเปิดปิด
การทำงานของประตูสไลด์ รวมถึงมีสวิตช์กดเพื่อเปิด/ปิดประตูสไลด์
ข้างซ้ายและขวา สวิตช์ปิดไฟ Daytime Running Light (ในรุ่น Touring
จะเป็นสวิตช์ไฟตัดหมอก) สวิตช์เปิดไฟกลางเก๋ง สวิตช์สำหรับปรับความ
สว่างของไฟหน้าปัด และในรุ่น Grand Starex ก็จะมีสวิตช์สำหรับ ESP
มาอยู่ตรงนี้ด้วย
พวงมาลัยหุ้มหนัง เป็นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ก้านด้านซ้ายใช้ควบคุม
ระบบเครื่องเสียง ส่วนด้านขวานั้น คือ Cruise Control อันเป็นสิ่งที่ลูกค้า
เรียกร้องอยากจะได้กันมาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ตั้งแต่รุ่น H-1 Deluxe ขึ้นไป
แผงมาตรวัดหน้าตาคล้ายของเดิม เพิ่มการเดินขอบสีเงินรอบมาตรวัดความเร็ว
เปลี่ยนจอตรงกลางที่เป็น Odometer ธรรมดาให้กลายเป็น Trip Computer
เปลี่ยนโทนสีอักษรเป็นสีขาวบนพื้นทำ และเปลี่ยนแสงไฟหน้าปัดจากเดิมที่
เป็นสีเขียว กลายเป็นแสงสีขาว ทำให้อ่านค่าหน้าปัดได้ง่ายขึ้นในยามค่ำขึ้น
อาจจะไม่ใช่หน้าปัดที่หรูอลังการงานสร้าง รถกระบะใหม่ๆสมัยนี้อาจจะดูมีสีสัน
สวยงามกว่าด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดถึงแง่การใช้งาน ความชัดเจนเวลาชำเลืองมอง
ด้วยหางตาแบบรีบๆเร็วๆ หน้าปัดแบบของ H-1/Grand Starex ถือว่าทำได้จบ
โดยทุกรุ่นที่จำหน่ายจะมีหน้าปัดแบบเดียวกันหมด ยกเว้นรุ่น Touring ที่ไม่มี
Trip Computer จอตรงกลางก็จะเล็กลงกว่ารุ่นอื่น
ลูกเล่นอีกอย่างที่พบใน Grand Starex (และ H-1 Deluxe ก็มี) คือจอติดเพดาน
ขนาด 13.3 นิ้ว ซึ่งเชื่อมการทำงานกับจอทัชสกรีน 8 นิ้วข้างหน้า นั่นหมายความว่า
เวลาที่เปิดใช้ระบบ Smart View เพื่อสังเกตสิ่งต่างๆรอบรถ คนนั่งหลังก็จะสามารถ
เห็นและ “ลุ้น” การถอยในซอยแคบไปได้พร้อมๆกันกับคนขับ (ชะรอย Hyundai
จะรู้นิสัยเจ้านายทั้งหลายในบ้านเราดี โดยเฉพาะพวก “ผู้กำกับ”)
นอกจากนี้ จอบนเพดานยังสามารถโชว์ระบบนำทางเหมือนจอหน้าได้อีกด้วย
ไม่เลว..ความรู้สึกคล้ายเวลานั่งเครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศที่มีจอใหญ่ๆ
แขวนอยู่บนเพดานคอยบอกว่าตอนนี้บินข้ามมหาสมุทรอะไรหรืออยู่บนประเทศไหน
แน่นอนว่าสำหรับยุคมัลติมีเดียครองเมือง รถสมัยนี้ก็ต้องสามารถเชื่อมต่อ
อินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกได้ อย่างที่เจ้ากล้วยในภาพกำลังอธิบายวิธีการ
เชื่อมต่อระบบ Infotainment ของรถ เข้ากับสมาร์ทโฟนของตัวเอง ซึ่งเมื่อ
เชื่อมต่อเสร็จคุณก็สามารถค้น Google หาร้านอาหารทะเลอร่อยๆบนเส้นทาง
หรือเปิดคลิป Youtube ดูคลิปน้องอิมเมจ สุธิตาร้องเพลงหรือคลิปสารคดี
แมวตุรกีก็ตามแต่ใจจะสั่ง
สำหรับเส้นทางวิ่งของเรา จากโรงแรม Novotel บางนา ก็วิ่งไปตามเส้นบางนา
ข้างใต้ทางด่วนบูรพาวิถี ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอยกับมอเตอร์เวย์เส้นหลัก จากนั้น
วิ่งเข้าสู่จังหวัดระยองไปที่ร้านแหลมเจริญซีฟู้ด ถนนเลียบชายฝั่ง อำเภอเมือง
ผมเลือกเป็นผู้โดยสารบนเบาะแถวที่สอง นั่งฝั่งซ้าย และพยายามจับอาการต่างๆ
ของรถ ในช่วงแรกที่วิ่งบนถนนบางนาเส้นใต้ทางด่วนนั้น พบว่าช่วงล่างของ
Grand Starex ค่อนข้างแข็งสะเทือน โดยเฉพาะเวลาเจอกับคอสะพานที่ไม่เรียบ
แม้ตัวรถจะไม่ได้มีอาการส่ายโคลงให้เสียวสันหลัง แต่ความสะเทือนที่ผ่านเข้ามา
ถึงตัวคนนั่งนั้น ออกจะมากกว่า H-1 เสียด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะว่า Grand Starex นั้นใช้ยาง Achilles รุ่น Desert Hawk H/T
ซึ่งมีขนาด 235/60 ขอบ 17 ทำให้แก้มยางมีเนื้อที่สำหรับซับแรงกระแทกน้อยกว่า
H-1 รุ่นธรรมดาที่ใช้ขนาด 215/70/16 (โดยที่ Touring/Elite/Deluxe ใช้ยาง
คนละยี่ห้อกันอีกด้วยเอ้า- Deluxe ใช้ Achilles Desert Hawk H/T ส่วน Elite
ใช้ยาง Nexen CP521 ส่วน Touring เป็น Hankook)
เมื่อถามคนที่นั่งแถวหน้า ก็เป็นไปตามคาด ช่วงล่างด้านหน้าของ Grand
Starex มีความมั่นคงและนุ่มนวลอยู่ในระดับค่อนข้างดีแล้ว แต่ด้านหลังนั้น
มีความสะเทือนส่งไปถึงด้านหน้าเลยทีเดียว ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาด เพราะเราเคย
ลองขับ H-1 มากันก่อนหน้านี้แล้ว ทราบดีว่ามันไม่ใช่รถที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวล
ถ้าเทียบความสบายกับ MPV ญี่ปุ่นอย่าง Vellfire บอกได้เลยว่ายังต่างกันลิบลับ
เพราะ Vellfire รุ่นปัจจุบันนั้นใช้ช่วงล่างหลังแบบอิสระแล้ว อีกทั้งยังมีการปรับ
ช่วงล่างให้มีความนุ่มนวล และส่ายโคลงน้อยลงจนน่าจะเป็นช่วงล่างแบบที่
เหมาะสมกับ MPV 7 ที่นั่งมากที่สุด
ส่วนกรณีของ Grand Starex นั้น ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะช่วงล่างแบบเดิมจูนมา
สำหรับการเป็นรถ 11 ที่นั่งและบรรทุกเต็มอัตราจึงมีความสะเทือนค่อนข้างมาก
เวลาที่เบาะหลังมีผู้โดยสารเพียง 2 คน แม้ว่าน้ำหนักจริงจะเท่าผู้โดยสาร 3 คน
ก็ตามที
ถ้านั่นยังไม่พอ ระหว่างที่รถกำลังสะเทือนไปกับถนนบางนา-ตราดขาออก
ที่สภาพไม่ค่อยดีนั้น เสียงจากชุดม่านบังแดดด้านข้างก็ดังรบกวนราวกับมี
มิกกี้เมาส์มาเปิดแดนซ์ปาร์ตี้รำลึกยุค 90s อยู่ตลอดเวลา เป็นเสียงสั่นทุกโทน
ไม่ว่าจะเป็นเอี๊ยดอ๊าด ก็อกแก็ก หรือจี๊ดๆ คงต้องหาวิธีที่อะไรสักอย่างกับม่าน
ชุดนี้ เพราะไม่แน่ใจว่ารถที่ส่งให้ลูกค้าจะเจอปัญหาเดียวกันหรือไม่ หากเป็น
รถผมเอง ผมคงขอถอดม่านออกทั้งราว เพราะทนเสียงรบกวนประเภทนั้นไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงมอเตอร์เวย์ที่ใช้ความเร็วได้สูงขึ้น สิ่งต่างๆก็ดูจะ
เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ช่วงล่างที่เคยสะเทือนน่ารำคาญที่ความเร็วต่ำ กลับมี
ความหนืดที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการวิ่งด้วยความเร็วสูง ยิ่งถ้าช่วงเกิน
110 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ช่วงล่างจะรูดผ่านถนนส่วนที่ไม่เรียบได้บางส่วน
ทำให้อาการสะเทือนไม่เข้ามามากนัก การกระโดดคอสะพานมอเตอร์เวย์ก็
เป็นในลักษณะ ดีดทีเดียวแล้วนิ่ง ขาลงสะพานแรงๆตัวรถไม่มีอาการโซเซ
โยกเยก ถ้าจะมีบ้างก็เพราะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของช่วงล่างหลังแบบคานบิด
ที่เวลาเจอคอสะพานที่สันทำแนวเอียงๆ ซึ่งถ้าเป็น Alphard/Vellfire รุ่นก่อน
นี้ก็จะมีอาการเหมือนกัน แถมจะโยกเยกน่ากลัวกว่า Grand Starex เสียด้วยซ้ำ
บางคนอาจจะสงสัยว่าที่ผมบอกว่าช่วงล่างค่อนข้างแข็งนั้น มันแข็งขนาดไหน
เผื่อบางคนอาจจะมีภูมิต้านทานความแข็งกระด้างมากกว่าคนอื่น ผมจึงจะ
ขอเสริมว่า ถ้าหากว่าปกติคุณนั่งรถตู้อย่าง HiAce/Commuter หรือเคยนั่ง
เบาะหลังของ Toyota Fortuner รุ่นเก่าโฉมแรกมาก่อน คุณจะโอเคกับการ
โดยสารเบาะหลังของ Grand Starex มากครับ แต่ถ้าปกติคุณนั่งแต่รถเก๋งยุโรป
หรือนั่ง Vellfire มาก่อน ก็จะรู้สึกแข็ง
ส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นรถที่วิ่งทางไกลเร็วๆแล้วมั่นคงดี แต่เรื่องความนุ่มนวล
บนถนนขรุขระ เนินลูกระนาด และคอสะพานที่ความเร็วต่ำ อาจยังต้องปรับอีกนิด
หลังจากที่โดยสารมาเป็นระยะทางไกลพอสมควร เบาะนั่งของ Grand Starex
ยังไม่ทำให้ผมรู้สึกปวดหลังหรือรำคาญแต่อย่างใด ผมเคยนั่งโดยสารบนเบาะ
แถวสองของรถ MPV มาเยอะแล้ว คิดว่า Grand Starex ให้ความสบายสู้คนอื่นได้
ขาดแค่เรื่องพนักพิงศีรษะที่ราบลู่ไปข้างหลังมากไปเพียงเรื่องเดียว ซึ่งแก้ได้ไม่ยาก
เราอิ่มเอมกับอาหารกลางวันที่ร้านแหลมเจริญ ในอำเภอเมือง ก่อนที่จะพากันขับรถ
ไปท่าเรือสู่เกาะเสม็ดที่บ้านเพ โดยมีฝนตกไล่พอให้มีความเปียกชื้นบนตัวบ้าง
แต่ไม่ถึงขนาดหมดอารมณ์ในการเดินทาง..ผมไม่เคยไปเกาะเสม็ดมา 14 ปีแล้ว
และการเดินทางครั้งก่อนก็ไม่ได้มียานพาหนะดีๆอย่างนี้ และสมัยนั้นผมต้องนั่ง
เรือลำใหญ่ไปเกาะ ซึ่งใช้เวลานานมาก แต่เดี๋ยวนี้ขึ้น Speed Boat ไปแป๊บเดียว
ก็ถึงแล้ว
เราไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากรับประทานมื้อเย็น และนั่งสังสรรค์กันในยามดึก
ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ไม่มีเรื่องตื่นเต้นนอกจากห้องของผม ซึ่งมีมุ้งแขวน
ห้อยเป็นทรงกลมตรงกลางหลังคาห้อง แล้วค่อยสยายผ้ามุ้งไปยังขอบทั้งสี่ของ
เตียง ผมเข้านอนไปด้วยอารมณ์มึนน้ำสรรพรส+อาการ Sugar Hyper ประจำตัว
บวกอารมณ์ง่วงที่ไม่ได้นอนหลับดีๆติดๆกันหลายคืน พอตกดึกนอนคว่ำอยู่แล้ว
รู้สึกตัวก็พลิกตัวมาเจอไอ้มุ้งบ้านั่นสยายอยู่ราวกับผีสาวในชุดนอนซาบีน่า
จะเหลือเหรอครับ..ก็กรี๊ดลั่นห้องไปหนึ่งรอบ
โชคดีว่าตอนเช้าตื่นมาสอบถามสื่อมวลชนท่านอื่นๆ ดูจะหลับสนิทดี ไม่ได้ยิน
เสียงรบกวนอะไรยามค่ำคืน
DAY 2 – บนที่นั่งคนขับ ใน H-1 ELITE
เรารับประทานข้าวเช้า และนั่งเรือกลับเข้าฝั่ง โดยคนที่มาพร้อมกับเราในรถ
Grand Starex ขามา ก็เปลี่ยนผลัดไปทำหน้าที่ผู้โดยสารแทน ผมกับคุณจุ๊บ
จาก AutoworldThailand ย้ายมานั่งข้างหน้า โดยคุณจุ๊บรับเป็นสารถีมือแรก
วิ่งออกจากบ้านเพ ไปที่ร้านอาหารระหว่างทางในจังหวัดระยองก่อน
Elite คือรุ่นที่เกือบถูกที่สุด ด้วยราคาค่าตัว 1,499,000 บาท จะว่าไปแล้วมันก็คือ
รุ่น Touring ที่ถูกเสริมโฉมภายนอกให้ดูมีความเก๋เท่ากับรุ่น Deluxe ที่เป็นตัวท้อป
ของเวอร์ชั่น 11 ที่นั่งด้วยล้ออัลลอย 16 นิ้วกับกระจังหน้าลายเดียวกัน ส่วนภายในนั้น
Elite จะไม่มีจอกลาง และจอที่หลังคา เครื่องเสียงจะเป็นแบบธรรมดาเหมือนกับ
ตัว Touring แต่เพิ่มลำโพงให้จาก 4 เป็น 6 ตัว ไม่มี Cruise Control มาให้
พูดง่ายๆคือ Elite ในวันนี้ มันก็มีอุปกรณ์ติดรถให้มากพอกับ H-1 รุ่นแรกที่มาบุก
ตลาดบ้านเรานั่นล่ะครับ แต่ทุกวันนี้เกมการแข่งขันมันเปลี่ยนแปลงไปมาก Hyundai
ก็ต้องคงรุ่นที่มีอุปกรณ์แค่พอเพียงเอาไว้ทำราคา แล้วก็เพิ่มรุ่นที่อุปกรณ์เยอะขึ้น
มาเอาใจคนที่ชอบความสะดวกสบาย
ประตูในรุ่น Elite จะเป็นแบบสไลด์เปิดด้วยแรงมือ ถูกใจคนใช้รถหัวเก่าที่ไม่ชอบ
ให้มีอุปกรณ์ไฟฟ้าเยอะๆในรถ แต่คนยุคใหม่ชอบ Everything Electric อาจจะ
เบ้ปากมองบนนิดๆ เบาะนั่งที่เห็นในภาพนี้เป็นของรุ่น Deluxe ซึ่งมีหน้าตาเหมือน
กับของ Elite เพียงแต่ว่าพนักพิงศีรษะจะต่างกัน กล่าวคือ Deluxe จะได้พนักพิง
แบบปีกผีเสื้อ ส่วน Elite เป็นพนักพิงแบบธรรมดาอย่างในรูปข้างล่างนี้
นี่ล่ะครับคือเบาะของ Elite ซึ่งคุณต้นและเพื่อนร่วมทริปอีกคน (ผมจำชื่อไม่ได้
ขออภัยครับ) จัดแจงปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะให้กลายเป็นแบบหันหน้าชนกัน
แล้วเอนเบาะนอน พาดเท้าลงบนเบาะคู่ที่หันกลับอย่างสบายใจเฉิบ
“รถมันไม่ได้มาเป็น VIP เราก็ทำให้มันเป็น VIP ซะเลย ฮ่าๆ” คุณต้นบอกผมเอาไว้
เรื่องความสบายของเบาะนั่งตอนหน้า บอกได้เลยว่า มันก็เหมือนกับ Grand
Starex ที่จัดทรงมาได้โอเค แต่ผมรู้สึกว่าเบาะรองนั่งมันสั้นไปนิด วัสดุหนังและ
วิธีการตัดเย็บตัวเบาะที่ต่างกันส่งผลเรื่องความนุ่มนวลเพียงแค่นิดเดียวจนผม
ไม่เอามาเป็นสาระ แต่เบาะหลังนั้น แน่นอนว่ามันต้องต่างกันบ้างเพราะหัวใจ
ในการออกแบบ คันหนึ่งทำมาเพื่อบรรทุกคน อีกคันทำมาเพื่อให้ผู้บริหารได้
เอกเขนกสบายใจบนเบาะแถวสอง ความสบายก็ย่อมต่างกัน เบาะรองนั่งมีขนาด
ค่อนข้างเล็กเหมือนด้านหน้า และตำแหน่งที่เท้าแขน ก็แล้วแต่ว่าใครจะได้
เบาะหลังตัวไหนไปครอง เพราะบางทีมีที่เท้าแขนครบซ้ายขวา แต่บางตัวก็
มีให้ข้างเดียว บางตัวก็ไม่มีเลย ซึ่งเป็นเพราะการออกแบบที่ต้องเผื่อที่นั่ง
ตรงกลางให้พับได้ ทำให้มันเป็นอย่างนั้น
ถ้าคุณก้าวลงมาจากพวกรถตู้ VIP แน่นอนว่าความสบายจะหายไปเยอะครับ
แต่ถ้าคุณเพิ่งย้ายมาจากรถตู้หลายที่นั่งเชิงพาณิชย์อย่าง HiAce/Commuter
ผมบอกได้เลยว่าเบาะของ H-1 นี่สบายกว่ากันมาก และถ้าคุณเป็นคนอายุไม่มาก
ยังไม่มีปัญหาปวดก้นปวดหลัง แล้วเดินทางกันเป็นหมู่คณะ คุณก็อาจจะเม้าท์
กับเพื่อนจนไม่มีเวลาสังเกตเบาะว่ามันเป็นอย่างไร
หรือถ้าเน้นง่ายก็เอาแบบคุณต้นว่า..มันไม่มาเป็น VIP เราก็ปรับให้มันได้ตำแหน่ง
VIP ตามที่เราคิดซะ ก็สิ้นเรื่อง
หลังจากรับประทานอาการกลางวันเสร็จ เราก็ออกมาจากร้าน ความซวย
ของเพื่อนร่วมทริปอยู่ตรงที่ พอออกจากร้านมาได้ 15-20 นาที ผมคลำหา
มือถือ LG G2 เครื่องเก่า แล้วพบว่า..ไม่พบ..มันหายไปไหน ก็เลยเอาโทรศัพท์
อีกเครื่องโทรเข้า เผื่อมันหล่นอยู่ในรถ จะได้ไม่ต้องระแวงรับประทาน
ปรากฏว่ามีคนรับ..และคนที่รับก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในรถ ก็เลยต้องระเห็จกลับไป
ที่ร้านเพื่อไปเอาโทรศัพท์คืน ทำให้เสียเวลาโดยใช้เหตุไปครึ่งชั่วโมง ซึ่งผม
ขอยอมรับผิด และต้องขออภัยผู้ร่วมทริปทุกคนที่ทำให้เรากลับไปถึงโรงแรม
Novotel บางนาเป็นคนสุดท้ายด้วยครับ แต่มันก็กลายเป็นสถานการณ์บังคับ
ทำให้ผมต้องขับแบบทำเวลาพอสมควรบนมอเตอร์เวย์
ในฐานะคนขับ H-1 ดูจะเป็นรถที่มอบความสุขให้ผมได้มากพอควร พวงมาลัย
เพาเวอร์แบบไฮดรอลิก จะค่อนข้างเบาไปนิดในช่วงขยับซ้าย/ขวาออกจาก
ช่วงถือศูนย์ตรง (ลักษณะแบบนี้ผมไม่ค่อยชอบ แต่ตาหมู Moo Cnoe ชอบ)
แต่น้ำหนักของพวงมาลัยในช่วงอื่น ถือว่าเบาพอให้ผู้หญิงที่เคยขับรถพวงมาลัย
เพาเวอร์ไฮดรอลิกยุค 90s สามารถขับมันได้สบายมือ ลักษณะการทดพวงมาลัย
ไม่ไวมากนัก ซึ่งเหมาะดีแล้วกับรถทรงสูงแบบนี้
ช่วงล่างของ H-1 รุ่น Elite คันนี้ให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้นมากกว่า Grand Starex
ซึ่งแม้ไม่ได้ต่างกันแบบฟ้ากับเหวแต่ก็น่าจะเป็นมิตรกับก้นของผู้ใหญ่อายุเยอะ
มากกว่า คาดว่าน่าจะเป็นเพราะยางแก้มหนาต่างกัน 9 มิลลิเมตรน้อยๆนั้นที่ช่วย
ดูเอาแรงกระแทกเอาไว้บางส่วน พอจับอาการอีกที ค่อนข้างมั่นใจว่าการตอบ
สนองของช่วงล่างด้านหน้านั้นคล้ายกัน แต่ด้านหลังต่างหากที่ต่างกันและส่งผล
ไปถึงความรู้สึกของรถทั้งคัน
แต่ในด้านความมั่นใจในการขับขี่ ผมคิดว่านั่นล่ะคือจุดเด่นของ H-1 เพราะแม้
เรือนร่างจะใหญ่โตยาว 5 เมตรกว่าและสูงเกือบ 2 เมตร แต่ผมสามารถขับหลบ
รถช้าบนมอเตอร์เวย์ รวมถึงเบรกและหักหลบรถคันข้างหน้าที่จู่ๆนึกจะเบรกก็เบรก
ได้อย่างทันท่วงที ความคล่องตัวของ H-1 นั้นได้มาจากความแน่นแข็งของ
ช่วงล่างที่ยับยั้งอาการโยนตัวของบอดี้รถได้ดี และสามารถวิ่งได้อย่างมั่นคงแม้
จะใช้ความเร็วสูงระดับ 150-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งที่ความเร็วขนาดนั้น
Alphard/Vellfire รุ่นใหม่จะเริ่มออกอาการให้เห็นมากกว่า..ไม่ต้องไปพูดถึงรุ่น
เก่าซึ่งเทคนิคช่วงล่างไม่ได้ล้ำหน้ากว่า H-1 มากนักแถมยังจูนมาเน้นนุ่ม
พ่อตานั่งได้แม่ยายนั่งไม่บ่น
พละกำลังและการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตรเทอร์โบแปรผันกับ
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ จัดว่าเข้าคู่กันได้ดี ในช่วงเปิดตัวครั้งแรก แรงบิดของมัน
อยู่ที่ 392 นิวตัน-เมตร ในขณะที่ตัวปัจจุบันมี 441 นิวตัน-เมตร
ในการขับแบบเท้าเบาราวส่งแม่ยายไปจ่ายตลาดนั้น คุณจะไม่รู้สึกเลยว่ามันต่าง
จากเครื่องเดิมยังไง ทั้งเสียงเครื่อง ความสั่นสะเทือน และการตอบสนอง แต่ถ้า
เมื่อไหร่ที่ส่งแม่ยายเข้าบ้านเสร็จแล้วคุณคิดอยากจะลองปลดปล่อยพลัง
ของมันเล่นๆ ก็จะรู้สึกได้เลยว่า กดคันเร่งแค่ 50% ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความต่าง
เมื่อเทียบกับรถรุ่นแรกที่เราทดสอบไว้นานมาแล้ว เครื่องยนต์รุ่นเทอร์โบแปรผัน
สามารถสร้างบูสท์ได้เร็วกว่า ไม่ต้องลากไปถึง 2,000 เพื่อสัมผัสแรงดึงหรอกครับ
แค่กดคันเร่ง 50% แล้วมองเข็มวัดรอบให้ไต่อยู่แถวๆ 1,600 รอบต่อนาที ตรงนั้น
ก็เริ่มมีพลังให้สัมผัสกันแล้ว แค่ว่าเมื่อตอกคันเร่งเต็มๆ จุดที่จะเริ่มมีแรงดึงจริงๆ
ก็ยังอยู่ประมาณ 1,800 รอบต่อนาที
ด้วยน้ำหนักบรรทุก 4 ท่านรวมสัมภาระ น้ำมันมีอยู่เกือบ 3/4 ถัง วิ่งในสภาพ
อากาศร้อน H-1 เทอร์โบแปรผันสามารถเร่งจาก 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้
ภายในเวลา 10.5-10.8 วินาที ซึ่งถ้าหากไปทดสอบใน J!MMY Mode ที่
น้ำหนักผู้โดยสารแค่ 160 กิโลกรัมและวิ่งทดสอบกลางคืน ตัวเลขน่าจะมีลุ้น
9 วิปลายๆกันด้วยซ้ำ ถือว่าไม่ได้ไวไปกว่า Vellfire 2.5 เบนซิน CVT (8.92 วิ)
แต่ Vellfire จะไวได้ก็ต้องกดคันเร่งลึกๆเพื่อให้เกียร์ทดพูลเลย์จัดๆดึงกำลัง
ออกมามากขึ้น ในขณะที่ H-1 นั้นจะมีแรงบิดดีตามประสาดีเซลเทอร์โบ เวลา
เจอช่วงขึ้นสะพานยาวๆ กดคันเร่งไม่ต้องเยอะรถก็ยังทะยานขึ้นเนินได้
ถ้าอัตราเร่งแบบนี้ยังไม่พอ..สงสัยคงต้องหา Speed Shop ข้างนอก Reflash
กล่องเอาแล้วล่ะครับ เท่าที่ทราบ คุณสามารถเรียกแรงม้าเพิ่มได้ประมาณ
32 แรงม้า แรงบิดได้อีก 100 นิวตัน-เมตร อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้แล้วแต่
สถานที่ไป แต่ทำแล้วหลุดประกันคุณภาพศูนย์หรือเปล่าต้องไปคุยกับคนทำ
เอาเองนะครับ
จบจากเรื่องอัตราเร่งและโหมดบ้าพลัง หันมาลองดูการขับในเมืองกันบ้าง
เนื่องจากสภาพการจราจรเส้นบางนา กับศรีนครินทร์ในช่วงบ่ายวันนั้นค่อนข้าง
แย่ เราเลยพยายามหาทางลัด โชคดีที่เพื่อนร่วมทริปของผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ถนนในแถบบางนา-ศรีนครินทร์ และซอยอุดมสุขเขาพยายามหาทางลัดจาก
เส้นบางนา ไปยังโรงแรมให้ได้ผมอย่างรวดเร็ว และทำให้มีโอกาสขับเข้าตรอก
ซอกซอยเล็กๆ และค้นพบความสามารถของ H-1 ในอีกแง่หนึ่งด้วย
H-1 เป็นรถที่คันใหญ่มาก แต่พอทำความคุ้นชินกับความกว้างและฐานล้อ
ของตัวรถได้แล้ว กลับรู้สึกขับคล่องกว่า Vellfire ที่ตัวเล็กกว่าเสียด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะการกลับรถ ผมวิ่งตามน้ำเข้าซอยอุดมสุข แล้วจะกลับรถเพื่อ
เข้าเส้นศรีนครินทร์ ผมเลือกช่วงกลับรถที่ฝั่งตรงข้ามเป็นทางราบเรียบ
และเป็นช่วงที่ไม่มีทางเท้า ..จากเลนขวา ผมหักพวงมาลัยสุดแล้วเริ่มกลับรถ
ในใจเตรียมไว้แล้วว่ารถใหญ่ขนาดนี้อาจจะต้องมีการกลับรถ 2 ขยัก..
ซอยอุดมสุขไม่ได้กว้างขนาดนั้น แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริง ผมสามารถกลับรถ
ทีเดียวอยู่เลย ส่วนหนึ่งเพราะบริเวณนั้นไม่มีขอบทางเท้าชันขึ้นมา แต่ต่อให้มี
ผมก็คิดว่าหากตอนเริ่มต้นกลับรถ ชิดไปทางซ้ายมากกว่าเดิมแค่นิดเดียว
ก็สามารถกลับรถแบบทีเดียวอยู่ได้เช่นกัน
สร้างความประหลาดใจพอสมควร..แต่ก็นึกขึ้นได้ มันก็เหมือนๆกับการที่เราขับ
Volvo 940 ซึ่งตัวใหญ่ยาว แต่วงเลี้ยวในการกลับรถนั้นแคบกว่า Honda
Accord ตาเพชรที่เล็กกว่ามาก..ขนาดของซุ้มล้อที่อนุญาตให้ทำมุมหักเลี้ยว
ได้มากกว่าน่าจะส่งผลเรื่องนี้พอสมควรครับ
เรื่องอัตราสิ้นเปลือง เราไม่มีโอกาสได้เติมเต็มถัง จึงไม่ได้วัดกันเป็นตัวเลข
แต่ผมสังเกตจากรถทดสอบแต่ละคัน เมื่อวิ่งไปได้ระยะทางประมาณ
260-265 กิโลเมตร เข็มน้ำมันบางคันจะหล่นลงมา 1/4 มีส่วนน้อยที่ลดมาก
กว่า 1/4 แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น เท่าที่ดู หากไม่เจอรถติดและวิ่งด้วย
ความเร็วคงที่ H-1 น่าจะรับประทานน้ำมันราว 11-12 กิโลเมตรต่อลิตร
แต่ถ้ากดคันเร่งบ่อยๆขับดุๆ น่าจะลงมาเหลือ 10 กิโลเมตรต่อลิตรแบบไม่ต้องเดา
+++สรุปจากสัมผัสแรก+++
Hyndai Grand-Starex Premium ราคา 2,349,000 บาท
- เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากได้รถตู้ VIP-MPV แต่ไม่อยาก
จ่ายเงินเกิน 2 ล้านกลางๆ หรือไม่ชอบเกียร์ CVT - อุปกรณ์ที่ติดรถมานั้นถือว่าดีพอแล้ว คงไม่ต้องไปซื้อรุ่น VIP ที่มีเคาน์เตอร์
แต่บางอย่างยังหรูไม่สุด เช่นกุญแจ ซึ่งคุณต้องห้อยดอกที่ไว้เปิดประตูสไลด์
เพิ่มจากกุญแจชุดปกติไปอีก - เบาะนั่งสบายใกล้เคียง Toyota Vellfire ยกเว้นส่วนพนักพิงศีรษะที่พออิงแล้ว
หัวจะเอนไปข้างหลังมากไปนิด..ลองไปนั่งดูก่อนเผื่อคุณอาจจะชอบแบบนั้น - ช่วงล่างออกไปทางแข็งสะเทือน ผมได้รับการชี้แจงว่าอาจเป็นเพราะลมยาง
เติมมาแข็ง แต่คิดว่าต่อให้ลดลมยางลงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนรถให้นุ่มแบบ Alphard
หรือ Vellfire เพราะขนาด H-1 ตัวล้อ 16 ยางแก้มหนายังติดแข็งสะเทือนเลย - แม้ราคาจะถูกกว่า Vellfire ของ Toyota Motor Thailand เป็นล้านบาทแต่
ก็ต้องยอมรับว่าในโลกแห่งความจริง ลูกค้าที่นิยมความหรูหราทันสมัยและ
ภาพลักษณ์ทางสังคมอาจมองว่าราคานี้ใกล้เคียงกับ Vellfire ของเกรย์มาร์เก็ต
หรือบางท่านที่ไม่กลัวรถมือสอง อาจจะหันไปคบ Alphard/Vellfire มือสอง
Hyundai H-1 ELITE ราคา 1,499,000 บาท
- ในบรรดา MPV ที่นั่งได้มากกว่า 8 คนขึ้นไป ยังคงเป็นตัวเลือกที่มีความคุ้มค่า
เมื่อประเมินจากคุณสมบัติทุกๆด้านของตัวรถแบบเท่าเทียมกัน อย่างที่มันเป็น
มาตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา - เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน กดคันเร่งเต็มอาจไม่ไวเท่า Vellfire 2.5 ตัวใหม่
แต่เวลาขึ้นเนินหรือกด 50% แรงบิดจากเครื่องดีเซลพาตัวรถไปได้ไวแบบมี
พลังลากเหลือเฟือกว่า เกียร์ทำงานได้ดีพอสมควร ไม่ช้าหรือกระตุกมากนัก - เบาะนั่งให้ความสบายได้ดีเท่าที่รูปแบบ 11 ที่นั่งจะให้ได้ แม้จะสบายไม่เท่า
Grand Starex แต่ถ้าคนนั่งไม่เต็ม 11 ที่ ก็ยังพอจัดที่นั่งปรับเป็นรูปแบบต่างๆ
แล้วจัดท่านั่งท่านอนเอาตามใจชอบ เรียกความสบายได้ระดับหนึ่ง - สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการเอารถ MPV ไว้โชว์หรูโชว์ป๋า รุ่น Elite ก็ใช้การได้ดี
ประหยัดเงินกว่ารุ่น Deluxe 180,000 บาทเอาไปติดจอติดเครื่องเสียงหรือ
ทำอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ แต่ถ้าคิดจะทำมากกว่านั้น บางทีเพิ่มเงินเอา
รุ่น Deluxe ไปเลย คุณได้จอหน้า/หลัง/Smart View และประตูสไลด์ 2 ข้าง
เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติและ Cruise Control มาด้วย ทีเดียวจบ - อย่างไรก็ตาม ผมอยากเสนอให้ Hyundai พิจารณาติดตั้งระบบรักษาเสถียรภาพ
การทรงตัวลงใน H-1 บ้าง อย่าเก็บไว้แต่กับรุ่น Grand Starex เพราะด้วยกำลัง
และช่วงล่างของ H-1 จะเห็นได้ว่าหลายคันขับบนถนนเร็วจนน่ากลัว น่าจะมี
อุปกรณ์ตัวนี้เอาไว้บ้างเหมือนหลักประกันชีวิตที่ดีกว่าพอจะใช้แล้วไม่มี
มาถึงตรงนี้ คุณคงสงสัยแล้วว่าทำไมผมถึงตั้งชื่อบทความของรถ 2 รุ่นนี้ว่า
“Speed Boat ทะยานบก”
ผมคิดว่า Speed Boat ที่เรานั่งไปเกาะเสม็ด หรือลำอื่นๆที่แล่นอยู่บนผิวน้ำ
ทั้งโลกมีลักษณะร่วมกันกับ H-1 และ Grand Starex อยู่บ้าง บางคนอาจจะ
บอกว่า “รถคันเท่า 1/4 ของบ้านแบบนี้มันต้องเทียบกับเรือเดินสมุทรแล้ว มันจะ
เป็น Speed Boat ไปได้อย่างไร?” ..ถ้านี่เป็นเรือเดินสมุทรแล้วรถบัสนครชัย
จะเหลืออะไรให้เทียบล่ะครับ?
และในขณะที่รถบัสนครชัยแอร์จะวิ่งด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
บางครั้งบนเลนกลาง บางครั้งแช่ขวายาวไปบ้างเพื่อไม่ให้ผู้โดยสารเมากับการ
สับเปลี่ยนเลน..เจ้า H-1/Grand Starex นี่ล่ะคือ Speed Boat ที่สามารถบรรทุก
ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งทะยานแซงเรือเดินสมุทรลำอื่นๆ มันคือรถประเภทที่ทำให้
การเดินทางที่ยาวนานสั้นลง ทั้งด้วยประสิทธิภาพการทรงตัวของมัน และความ
สามารถในการจุผู้โดยสารซึ่งทำให้คุณมีเพื่อนคุย เพื่อนหลับ เพื่อนชวนกินไปได้
ตลอดทาง
และเรือ Speed Boat เองก็มีหลากหลายรูปแบบ..คุณสามารถพบได้ทั้งเรือประเภท
ที่เน้นการบรรทุกคนจำนวนมาก โดยยอมลดความสบายในการโดยสารลง หรือเรือ
ประเภทที่บรรทุกคนได้มากก็จริง แต่ตกแต่งมาแบบทันสมัย มีลูกเล่น ไปจนถึง
Luxurious Speed Boat แบบที่ขนาดลำตัวเรือยาวเท่ากัน แต่ดัดแปลงภายใน
ให้หรูหรา มีโต๊ะ มีโซฟา มีเคาน์เตอร์บาร์ โดยยอมและเนื้อที่สำหรับการบรรทุก
ผู้โดยสารไปบ้าง Hyundai ก็ทำมาทั้งแบบ 11 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง VIP ให้คุณเลือก
ดุลยภาพระหว่างจำนวนคนกับความสบายและกำลังทรัพย์เอาเอง
Speed Boat บรรทุกคนจำนวนมากๆ แล่นผ่านผืนน้ำไปได้อย่างรวดเร็ว..และจะ
มีจังหวะสะเทือนบ้างเวลาเจอคลื่นใหญ่ที่คุณต้องปรับตัว
H-1/Grand Starex ก็บรรทุกคนจำนวนมากๆ แล่นผ่านถนนไปได้อย่างรวดเร็ว
และจะมีจังหวะสะเทือนบ้างเวลาเจอถนนขรุขระหรือคอสะพานใหญ่ๆ
ความต่างมันอยู่ตรงที่ คุณไม่สามารถขับรถ MPV ของ Hyundai ลุยน้ำจากบ้านเพ
ไปเกยหาดฮาเฮบนพื้นทรายของเกาะเสม็ดได้ในทันที ก็เท่านั้น
ขอขอบคุณ / Special Thanks to
บริษัท Hyundai Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆอย่างดียิ่ง
—————————————————–
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียนและ
Hyundai Motor (Thailand)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
23 สิงหาคม 2016
Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August 23rd, 2016
แสดงความเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click here!