เครื่องบิน Airbus A300-400 เที่ยวบิน TG241 ของสายการบินไทย ค่อยๆถอยหลัง เคลื่อนตัวออกจาก
Gate B6 ของสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อไปตามแถวตามคิวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า นำพาผม และบรรดา
สื่อมวลชนอีก 24 ชีวิต มุ่งหน้าสู่สนามบินจังหวัดกระบี่..ตามหน้าที่ประจำของมันในทุกวัน

1 ชั่วโมงบนที่นั่งแถว 43F แฮมเบอร์เกอร์ปลา จากกล่องอาหารว่าง ค่อยๆถูกกัดกร้วมๆ ลงกระเพาะ
สมองผมก็เริ่มทำงาน…อีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งจะนอนได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ความสงสัยต่างๆนาๆ ยังคง
วนเวียนมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมยังนั่งเขียนต้นฉบับอยู่ในห้องพัก ช่วงเย็นๆ

กระบี่อีกแล้วเหรอ? วันพุธ-พฤหัสบดี ที่แล้ว (28 – 29 มิถุนายน 2012) ก็เพิ่งจะมาขับ BMW 3-Series
ใหม่กันหมาดๆ มานอนพักที่โรงแรม Sheraton กระบี่ ยังนอนไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ แต่นี่ยังไม่ทันจะข้าม
พ้น 1 สัปดาห์ไปเลย ผมก็ต้องกลับมานอนที่โรงแรมแห่งเดิมอีกครั้ง แม้จะเป็นคนละห้องก็ตาม

ฟังดูเหมือนจะดีนะ แต่เหนื่อยชะมัด…

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม Ford จะต้องนัดให้ผมตื่นเช้า และไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ทันในเวลา 6.30 น.
ทั้งที่เมื่อดูในตารางกำหนดการแล้ว เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก ไปไหว้พระ 1 วัด กินข้าวเที่ยง
แล้วก็ตรงดิ่งเข้าโรงแรม Sheraton กระบี่ แถวๆ อ่าวนาง ตอนบ่ายโมง อยู่ที่นั่นตลอดจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องวางตารางเวลา Brief เรื่องราวของ Ford Focus ใหม่ ให้ยาวนานมากมาย
ก่ายกองขนาดนี้ ทั้งที่รายละเอียดทั้งหมด ผมก็สามารถหาอ่านได้จากในเว็บไซต์สื่อมวลชนของ Ford
ด้วยตัวเองอยู่แล้ว เพราะ Ford เอง ก็เปิดตัวรถรุ่นนี้ สู่ตลาดโลกมาตั้งแต่ปี 2010 แต่เพิ่งจะมาเปิดตัวใน
ภูมิภาคอาเซียน อย่างเป็นทางการ ก็วันนี้ (2 กรกฎาคม 2012) นี่แหละ

ผมไม่เข้าใจว่า ไหนๆ จะมา Brief กันทั้งที ทำไมเหล่าบรรดาวิศวกรทั้งหลาย ต่างก็ บรรยายด้วยวิธีการ
“อ่านโพย” กันแทบทุกคน ทำตัวเป็น คุณปู ยิ่งลักษณ์ ของเราไปได้! กลัวจะบรรยายพลาดกันหรือไง?
อ่านไป คนฟังนี่แทบจะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ อย่างที่พี่โฉ สาโรช เกียรติเฟื่องฟู ผู้บริหารคนไทยของ
Ford Sales Thailand เอง ก็รู้ดีอยู่ (แม้ว่า ในช่วง Party ตอนเย็น วิศวกรทุกคนก็เป็นกันเองกับข้าพเจ้า
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ คุณ Graham

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม บรรยายไปครึ่งทาง จู่ๆ ก็ต้อนพวกเราให้ออกจากห้องประชุม ไปยืนเหงื่อแตก
พลั่กๆ แขนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ปุดๆ เพื่อดูความสวยงามของรถคันสีแดงที่จอดอยู่บริเวณ
หน้าล็อบบี้โรงแรม ทั้งที่ท้ายสุด ก็ต้องกลับเข้ามานั่งฟัง Brief ต่ออยู่ดี

แถมยังต้องยกวิศวกรจาก Microsoft มาอธิบายเรื่องระบบ SYNC ซึ่งถูกนำมาติดตั้งเป็นครั้งแรกในไทย
โดยเฉพาะ (ซึ่งคุณ Chris ก็มีอัธยาศัยดี) แต่สุดท้าย พี่โฉ ก็รับหน้าที่บรรยายการใช้งานด้วยตัวเอง
ตามเคย (ทั้งที่เพิ่งจะลองเล่นระบบนี้ ในตอนเช้าวันงาน ระหว่างที่ผมยังนั่งบนเครื่องบินมาที่นี่นั่นแหละ)

โอ้ย มันจะอะไรกันนักกันหนา (วะ)!

ถึงแม้ว่าเหตุผลลึกๆ มันก็เป็นเพราะว่า อยากให้สื่อมวลชน ไม่เหนื่อยมาก เดินทางสบายๆ มาพัก
ให้ผ่อนคลาย แล้วค่อยเริ่มลองขับ Focus ใหม่ ในเช้าวันรุ่งขึ้น บนเส้นทาง รอบๆจังหวัดกระบี่
ที่ต้องขอชมคนเลือกเส้นทางว่า สามารถดึงศักยภาพของรถออกมาได้เป็นอย่างดี

แต่…พอได้ลองขับรถคันนี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น สัมผัสต่างๆที่ตัวรถ ถ่ายทอดมาอย่างสรีระร่างของผม
ก็มากพอจะตอบคำถามทุกข้อ ว่าทำไม Ford ถึงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างข้างต้น มาตั้งแต่แรก
พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะบอกว่า Ford Focus ใหม่เนี่ย มันอุดมไปด้วยความตั้งใจในการ
พัฒนา อัดแน่นไปด้วยสารพัดเทคโนโลยี ความปลอดภัย ความสบายในการขับขี่ และเป็นมิตร
ต่อทั้งสิ่งแวดล้อม และต่อกระเป๋าสตางค์ของคุณเวลาจ่ายค่าน้ำมันมากขึ้น ก็แค่นั้นเอง

แต่ในความอุดมสมบูรณ์นั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วมันมีข้อดีข้อเสีย (ในเบื้องต้น) อย่างไร
มากน้อยแค่ไหน ผมก็คงต้องมานั่งแกะ เลคเชอร์ เท่าที่นั่งฟังแล้วจดมาให้ได้อ่านกันก็ตอนนี้ละครับ

Ford Focus ใหม่ ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 3 นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในโลก เมื่องาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคม 1998 เพื่อทำตลาดแทนที่ ตระกูล Ford Escort ที่เคยได้รับความนิยมมาช้านานในยุโรป
เจเนอเรชันล่าสุดนี้ เปิดตัวครั้งแรกในงาน North American International Auto Show หรือ Detroit
Auto Show เมื่อเดือนมกราคม 2010 และเริ่มทะยอยเปิดตัวออกสู่ตลาดยุโรป กับสหรัฐอเมริกาในปี
2011 ที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่ม บินมาเผยโฉมอย่างเป็นทางการในบ้านเรา เมื่องาน Bangkok International
Motor Show วันที่ 26 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา และเมืองไทย ถือเป็นประเทศแรกใน Asean ที่เปิดตัว
รถยนต์รุ่นนี้

Mr.Graham Pearson : Assistant Vehicle Line Director, C-Car ของ Ford Asia Pacific & 
Africa บอกเล่าว่า โครงการพัฒนา Focus ใหม่ เริ่มขึ้นราวๆ ปลายปี 2007 ถึงช่วงต้นปี 2008 โดย Ford
ทุ่มเทการพัฒนาพื้นตัวถัง C-Platform ขึ้นมาใหม่ บนพื้นฐานงานวิศวกรรมเดิม โดยตั้งเป้าให้มีรถยนต์อีกถึง
10 แบบ ที่ใช้พื้นตัวถังเดียวันนี้ ผลิตขึ้นรวมกัน 2 ล้านคัน/ปี โดย Focus ใหม่จะมีจำนวน 850,000 คัน
จาก 2 ล้านคันดังกล่าว

เป้าหมายในการพัฒนา Focus ใหม่นั้น มุ่งเน้นไปที่คุณภาพการขับขี่ ความประหยัดน้ำมันที่ต้องทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม
มีเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อีกทั้งต้องยกระดับความปลอดภัยทั้งเชิงป้องกัน และ
เชิงปกป้อง (Actice & passive Safety) ให้ดียิ่งขึ้น

Focus ใหม่ ถูกผลิตขึ้นในโรงงานทั้งหมด 5 แห่งทั่วโลก แต่สำหรับเวอร์ชันไทย Focus ใหม่จะถูก
ผลิตขึ้นที่โรงงาน แห่งใหม่ Ford Thailand Manufacturing  ณ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ซึ่ง
ใช้เงินลงทุนไปกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 14,000 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานที่มีพื้นที่
220,000 ตารางเมตร มีกำลังการผลิต 150,000 คัน/ปี และยังมีระบบจัดการด้านมลภาวะ ดีเยี่ยม จน
กลายเป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่งของ Ford ทั่วโลก ทำให้ Ford เป็น
นักลงทุน ที่อัดฉีดงบเข้ามาในเมืองไทย มากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และถือ
เป็นโครงการลงทุนที่มีเม็ดเงินลงทุนมากสุดของกลุ่มยานยนต์ นับตั้บแต่ปี 2007 เป็นต้นมา โดย
ในปี 2012 นี้ Ford ต้องลงทุน ต้องลงทุนซื้อชิ้นส่วนอะไหล่และเหล็ก เพื่อการประกอบ Focus
ใหม่ มากถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 26,000 ล้านบาท จ้างพนักงานทั้งกลุ่ม Ford ในกรุงเทพ
และที่ระยอง รวมถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วน ซัพพลายเออร์ และดีลเลอร์ ที่ต้องมาร่วมงานทั้งทางตรง
และทางอ้อม มากถึง 11,000 คน

เป็นไงครับ ทุ่มทุนสร้างมโหฬารเลยมะ?

และเพื่อให้เป็นรถยนต์ระดับโลก หรือ The Real Global Car อย่างแท้จริง Ford จึงออกแบบ และ
พัฒนา Focus ใหม่ โดยใช้ทีมวิศวกรจากทั่วโลก โดยเฉพาะ ใน สหรัฐอเมริกา เยอรมันี ออสเตรเลีย
จีน และรวมทั้งในประเทศไทย เพื่อสร้าง ให้ Focus ใหม่ มีชิ้นส่วนอะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้
ในทุกเวอร์ชัน สำหรับทุกตลาด มากถึง 80% จากทั้งคันรถ อย่างไรก็ตาม  Mr. Trevor Worthington ,
Product Program Director ของ Ford Asia Pacific & Africa บอกว่า ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ใช้ร่วมกับ
Focus รุ่นเดิมน้อยมากๆ โครงสร้างตัวถังและเปลือกนอก ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันไม่ได้เลย ส่วนช่วงล่าง
แม้จะออกแบบมาให้คล้ายกัน แต่ชิ้นส่วนต่างกัน ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ก็คงเป็น ร้อยละ 5 จากทั้งคันรถ

ตัวถังมีความยาว 4,534 มิลลิเมตร กว้าง 1,823 มิลลิเมตร สูง 1,484 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,648
มิลลิเมตร (พอกันกับ Mazda 3 ) สังเกตได้ชัดเจนว่า Focus ใหม่ จะใหญ่ขึ้น ยาวขึ้น เตี้ยลง
และกว้างข้นกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้ขนาดของห้องโดยสาร ควรจะใหญ่โตขึ้น
ตามไปด้วย…แต่ เมื่อเข้าไปนั่งภายในรถแล้ว ผมกลับยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัดพอกันกับ
Focus รุ่นเดิมอยู่ดี

ทันทีที่เปิดประตูจะก้าวเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร พลันที่ผมหย่อนก้นลงไป หัวผมก็โขกโป๊ก
กับขอบช่องทางเข้าด้านบนพอดี! ก็เจ็บสิครับ ช่องทางเข้าประตูคู่หน้า มีพื้นที่สำหรับให้ศีรษะ
ลอดเข้าไปได้ ไม่เยอะนัก เมื่อเทียบกับรถยนต์อื่นๆ ผมเข้าใจดีกว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องเลือกว่า
จะยอมให้รถมีเส้นสายตัวถังภายนอกที่สวย แต่เข้า-ออกยากกว่าปกตินิดหน่อย หรือยอมให้
เสาหลังคาคู่หน้าตั้งชันขึ้น เพื่อรองรับการเข้า – ออก ที่ดีกว่าแทน? คือมันกลายเป็นเรื่องที่ต้อง
ยอม Trade-off กัน ระหว่าง การออกแบบตัวรถให้สวยงาม กับการเข้า-ออกได้สะดวก ทั้งที่
จริงๆแล้ว ไม่เห็นต้องเป็นเช่นนี้เลยก็ได้

วัสดุหุ้มเบาะ ในรุ่น 1.6 Ambiente และ 1.6 Trend ทั้ง 2 ตัวถัง เป็นเบาะผ้า ส่วนรุ่น Sedan
Titanium กับ Titanium Plus ตกแต่งด้วยโทนสีเบจ พร้อมหนังแท้สีเบจ ขณะที่รุ่น Sport กับ
Sport Plus จะตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ และหุ้มเบาะด้วยเบาะผ้ากึ่งหนัง ลายพิเศษ

เบาะนั่งฝั่งคนขับทุกรุ่น ปรับระดับสูง – ต่ำ เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังและปรับเอน รวมแล้ว
ได้ 6 ทิศทาง ด้วยก้านโยกมือจับต่างๆ แต่ในรุ่น Titanium และ Titanium Plus เท่านั้น ที่จะ
มีสวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะนั่งคนขับมาให้ 8 ทิศทาง

เบาะหน้านั่งพอได้ เบาะรองนั่งสั้นไปหน่อย พนักพิงมาในแนวแน่นมากกว่านุ่มสบาย
การวางแขนทั้งบน แผงประตูด้านข้าง หรือฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง ทำได้ค่อนข้างดี
แต่บรรยากาศภายในรถ ชวนให้เกิดความรู้สึกอึดอัด จากความแน่นหนาไปเสียทุกส่วน

เบาะหน้าฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย ขึ้นไปนั่งแล้ว สังเกตว่า ตำแหน่งความสูงของเบาะ และ
ตำแหน่งอื่นๆ มันช่างใกล้เคียงกับเบาะผู้โดยสารฝั่งซ้าย ของ Toyota Corolla ALTIS
รุ่น Minorchange มากๆ ราวกับแกะแม่พิมพ์กันมาเลย

ขณะที่การเข้า – ออกจาก พื้นที่ผู้โดยสารด้านหลัง ก็ยังให้ประสบการณ์ที่พอกันกับรถรุ่นก่อน
แม้ว่า ช่องทางเข้าจะกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยก็ตาม แต่การนั่งบนเบาะหลัง ที่หนา และมี
พนักศีรษะรูปตัว L ซึ่งต้องยกขึ้นมาใช้งาน จึงจะไม่โดนปลายล่างของพนักศีรษะดันต้นคอ
ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ผมยกขึ้นเป็นประเด็นเสมอมา

เบาะรองนั่ง ดีขึ้น นั่งได้สบายขึ้น แต่บรรยากาศกลับคงไว้ซึ่งความอึดอัด จากความเบียดเสียด
เยียดยัด ของทั้ง เบาะคู่หน้า ที่หนาเกินไป ซึ่งถ้าทำพนักพิงเบาะหน้าให้บางลงอีกนิด แต่คง
ความปลอดภัยไว้เท่ากัน จะได้พื้นที่วางขา ที่โปร่งโล่งกว่านี้ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ก็เพิ่มขึ้น
จากเดิมไม่มากนัก ดีที่ว่า เข็มขัดนิรภัย ให้มาเป็นแบบ ELR 3 จุด ทุกที่นั่ง

แผงหน้าปัดออกแบบขึ้นใหม่ ใช้วัสดุต่างๆที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็จริง และตั้งใจออกแบบให้คล้ายคลึงกับ
Cockpit เครื่องบิน แต่ผมก็พบว่า การออกแบบให้มันดู พราวพร่างพรายราวกับดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ยามค่ำคืน กันขนาดนี้ มันใช้งานยากลำบากมาก และผมต้องใช้เวลา ในการละสายตาจากพื้นถนน
เกินกว่า 2 วินาที จนถึง 5-6 วินาที เพื่อที่จะคลำหาว่า ผมจะเปลี่ยน Folder เพลง ด้วยสวิชต์บน
ชุดเครื่องเสียง Premium จาก SONY กันอย่างไร? ยังไม่นับกับการมองหา แลเลือกใช้สารพัดปุ่ม
บนพวงมาลัย ที่ผมต้องมาเรียนรู้ใหม่ว่า สวิชต์ เพิ่มหรือลดเสียงวิทยุ ติดต่างอยู่ด้านข้างแป้นแตร
ฝั่งซ้าย ซึ่งใช้งานไม่สะดวก แล้วจะต้องมีปุ่ม เลือกเมนู ที่ก้านด้านบนทั้ง 2 ฝั่งของพวงมาลัย เยอะ
มากมายอะไรกันขนาดนี้? นี่ถือเป็นเรื่องที่ผมขอตำหนิเลยว่า ควรหาทางออกแบบให้แผงหน้าปัด
ดูเหมือนมีปุ่มเยอะ แต่จริงๆแล้ว มีปุ่มน้อยๆกำลังดี และใช้งานง่าย ให้มัน “More User Friendly
than this one” กว่านี้จะดีกว่า

ต่อให้ Ford จะติดตั้ง ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร และสั่งการด้วยเสียงพูดแบบ Voice Recognition
ในชื่อ Ford SYNC By Microsoft ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ ออกคำสั่งด้วยเสียงพูด ให้โทรศัพท์เคลื่อนที่
และเครื่องเสียง เล่นเพลง หรือเปลี่ยนคลื่นวิทยุ รวมทั้ง อ่าน ข้อความ Message จากโทรศัพท์
เคลื่อนที่ ซึ่งมีระบบ Bluetooth อัจฉริยะ หาสัญญาณ แล้วจับ Pair เชื่อมต่อให้เองทันที พร้อม
กับใช้งานพูดคุย ด้วยระบบ Hands-free (ติดตั้งเฉพาะรุ่น Titanium Plus และ Sport Plus) แต่
นั่นก็มิได้ช่วยให้ใช้งานระบบนี้ง่ายขึ้น เพราะคุณจำเป็นจะต้องนึกคำสั่งให้ออก

Ford บอกว่า กำลังอบรมพนักงานขาย ให้สอนลูกค้า ใช้งานระบบนี้ ในวันส่งมอบรถ ซึงจะ
รวมคำสั่ง Top Hit 10 รายการ ตั้งแต่ Radio USB CD Call อะไรต่อมิอะไร แต่ในวันทดลองขับ
ผมไม่ได้รับการอบรมว่า ต้องเรียกใช้ระบบนี้อย่างไร ก็เลยไม่รู้จะใช้งานมันยังไง นอกจาก
จจับเสียบ iPod ของพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แห่ง ไทยรัฐออนไลน์ ซึ่งเต็มไปด้วยเพลงแนว
Trance และดนตรีเต้นรำมากมาย เข้ากับช่องเสียบ USB ซึ่งซ่อนอยู่ในช่องเก็บของพร้อมฝาปิด
และต้องใช้เวลาคลำหาพักหนึ่ง ถึงจะเจอ ตำแหน่งติดตั้ง USB นี่ผมว่า หายากลำบาก พอกันกับ
Mitsubishi หลายๆรุ่น เลยทีเดียว
       
แต่อย่างน้อย ถ้าคุณปรับระดับพวงมาลัย (ซึ่งปรับสูง -ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวเราได้) จน
มีบางส่วนของพวงมาลัย ไปซ้อนเหลื่อมล้ำกับบางส่วนของชุดมาตรวัด แสดงว่า คุณปรับพวงมาลัย
ผิดตำแหน่งปจากที่ควรจะเป็นแล้ว

ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้กับ Focus เวอร์ชันไทยนั้น ทุกรุ่นย่อย มีสัญญาณ
เตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะคู่หน้า กุญแจนิรภัย Immobilizer ระบบเปิดไฟฉุกเฉิน
เองโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ผู้ขับขี่กระทืบเบรกกระทันหัน และถุงลมนิรภัยคู่หน้า (ฝั่งคนขับ
และผู้โดยสารด้านหน้าซ้าย) มาให้ ถุงลมนิรภัยด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง มีตั้งแต่รุ่นTitanium กับ
Titanium Plus และ Sport กับ Sport Plus ขณะที่ม่านลมนิรภัย ทำงานเร็วกว่าเดิม 30% จะ
มีเฉพาะรุ่น Titanium Plus และ Sport Plus เซ็นเซอร์กะระยะสำหรับถอยเข้าจอดที่กันชน
หลัง มีมาให้ตั้งแต่ Titanium กับ Titanium Plus และ Sport กับ Sport Plus แต่ถ้าอยากได้
เซ็นเซอร์ที่เปลือกกันชนด้านหน้าด้วย ต้องมองรุ่น Titanium Plus และ Sport Plus เข้าไว้

โดยรุ่นท็อป ของทั้ง 2 ตัวถัง ก็จะติดตั้ง 3 ระบบสุดไฮเทค ที่เหมือนกับระบบใน Volvo รุ่นใหม่ๆ
รุ่นใหม่ๆ ทั้งระบบสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้าง หากมีรถแล่นมาจากด้านข้าง BLIS (Blind
Spot Information System มีเฉพาะรุ่น Sedan Titanium Plus เท่านั้น) ระบบช่วย
ถอยหลังเข้าจอดตามแนวยาวอัจฉริยะ Auto Park Assist ซึ่งมีหลักการทำงานไม่ต่างไป
จากระบบที่เราเคยลองใน Skoda Superb กันเลยแม้แต้น้อย คือ เปิดสวิชต์ของระบบไว้
ขับเดินหน้าไปตามริมถนน เซ็นเซอร์ จะคำนวนว่า ถ้ามีพื้นที่ว่างมากพอ ก็จะบอกให้ผู้ขับขี่
เดินหน้าไปอีกแป๊บนึง ก่อนจะบอกหยุด เข้าเกียร์ R เพื่อปล่อยให้รถถอยหลัง แล้วต้องคุม
แป้นเบรกกันอย่างไม่ต้องรีบร้อน พวงมาลัยผีสิงจะหมุนเอง รถจะค่อยๆ ถอยเข้าจอดในแนว
Pararell Parking อย่างปลอดภัย แต่คุณต้องเหยียบเบรกเสมอ (มีครบทั้งรุ่น Sport Plus
และ Titanium Plus) และระบบ Active city Stop ช่วยเบรกเองได้ในความเร็วต่ำกว่า
15 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเรดาห์ตรวจจับการขัดขวางของรถคันข้างหน้า (Volvo ทำได้
ที่ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

สำหรับขุมพลังของ Focus ใหม่เวอร์ชันไทย ในช่วงแรกที่เปิดตัว ต้องขอแสดงความเสียใจ
กับใครก็ตาม ที่กำลังรอเครื่องยนต์ Diesel TDCi ด้วยเหตุผลที่ว่า ในตลาดโลก ยังไม่อาจหา
เกียร์อัตโนมัติ ที่จะทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ TDCi รุ่นใหม่ล่าสุดได้ ในยุโรปเอง ก็ขายพ่วง
เฉพาะเกียร์ธรรมดาเท่านั้น อาจต้องรอกันสักพัก

(แต่ถ้าเป็นไปตามคำกล่าวอ้างนี้จริง ทำไมในเว็บไซต์ www.Ford.com.au อันเป็นเว็บไซต์
สำหรับตลาดออสเตรเลีย ถึงได้ระบุในช่องสเป็กว่า เครื่องยนต์ 2.0 TDCi จึงมีเกียร์อัตโนมัติ
PowerShift 6 จังหวะมาให้เลือกด้วยละเนี่ย? หรือจะบอกว่า เป็นเครื่อง TDCi ตัวเก่า จับคู่
กับเกียร์ลูกเดิมที่ใส่ในรุ่นปัจจุบัน?

แล้วใครจะตอบคำถามนี้กับผมได้ละเนี่ย?)

ดังนั้น ลูกค้าชาวไทย จึงมีทางเลือกในแบบเบนซิน แค่เพียง 2 ทาง ทั้งเครื่องยนต์ Duratec
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ด้วยเทคโนโลยี GDi
(Gasoline Direct Injection) พร้อมระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์อิสระ Ti-VCT (แปรผันทั้งฝั่ง
ไอดี และไอเสีย) ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 202
นิวตันเมตร หรือ 20.5 กก.-ม. ที่ 4,450 รอบ/นาที เครื่องยนต์นี้ นำเข้าจาก สหราชอาณาจักร

ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ PowerShift ลูกใหม่ ชุดคลัชชต์เป็นแบบแห้ง
พร้อมปุ่มบวก – ลบ ที่ติดตั้ง บนคันเกียร์ SelectShift Automatic เพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกเกียร์ได้เอง
วางอยู่ในรุ่น Sedan Titanium กับ Titanium Plus และ Hatchback 5 ประตู Sport กับ 
Sport Plus

เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง Ford เคลมว่า ทำได้ 14.9 กิโลเมตร/ลิตร แต่ไม่ได้บอกว่า ใช้การ
ทดสอบแบบไหน คาดว่าน่าจะเป็นแบบ EU Mode (ทดสอบในห้องแล็ป วน Loop ตามรูปแบบ
การขับขี่ที่กำหนดไว้ บน Dynamo Meter ตามเคย)

แต่ถ้าคิดว่า เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มันเกินจำเป็น Ford ก็มีทางเลือกมาให้ โดยจับเอาเครื่องยนต์
Duratec บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT จากน้องเล็ก
รุ่น Fiesta มายกระดับความแรงเพิ่มขึ้นเป็น 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
159 นิวตันเมตร หรือ 16.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ผลิตจากโรงงานในอินเดีย

ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วย 2 ระบบส่งกำลังให้เลือก หากเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ PowerShift
(ลูกเดียวกันกับ Fiesta คนละลุกกับ Focus 2.0 แต่มีเปลือกนอก และใช้ไส้ในบางชิ้นร่วมกัน) ทั้ง
รุ่น Ambiente กับ Trend Ford ระบุมาว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 15.4 กิโลเมตร/ลิตร ถ้า
เป็นรุ่นเกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะ ในรุ่น Ambiente จะประหยัดน้ำมันได้ถึง 16.1 กิโลเมตร/ลิตร
อ้างอิงตามตัวเลขจากทางโรงงานผู้ผลิต)

ที่สำคัญ ยังมีการออกแบบ กระจังหน้า ให้สามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติ โดยใช้ช่องลมควบคุมการ
ไหลเวียนของอากาศแบบอัตโนมัติ ผ่านกระจังหน้าไปยังระบบทำความเย็นและเครื่องยนต์
ช่วยลดแรงเสียดทานและเสียงรบกวนจากลม และเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน
ในทางอ้อม

อย่างไรก็ตาม Focus รุ่นใหม่ที่ Ford จัดมาให้เราลองขับกันนั้น เป็นรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทั้งหมด
ดังนั้น เราจึงยังไม่มีโอกาสทดลองขับรุ่น 1.6 ลิตร กันจนกว่าจะถึงเวลาที่ Ford จะจัดปล่อยรถรุ่นนี้
ให้สื่อมวลชน แยกย้ายกันไปติดต่อขอยืมทำการทดลองขับกัน หลังจากเดือนสิงหาคมนี้ ดังนั้น
ผมคงจะพอเล่าให้อ่านกันได้แค่เฉพาะ ความรู้สึก 1 วัน หลังพวงมาลัย

ทันทีที่ออกรถ พวงมาลัยเแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS (Electronic
Power Assist Steering) ก็ทำหน้าที่ของมันในช่วงเริ่มต้นได้อย่างดี การขับขี่ด้วยความเร็วต่ำในเมือง
บังคับง่าย เบา และเลี้ยวได้คล่องมือ กระชับกำลังดี คือ หนืดกว่า Mazda 3 ใหม่ นิดนึง แต่เบาพอกัน
เมื่เทียบกับรถยุโรป ที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า คันอื่นๆ ถือว่า เบาดีในความเร็วต่ำ และหนืดมั่นใจ
ในย่านความเร็วสูง ยังพอให้สัมผัสได้ว่าเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าเกลียด เหมือนบรรดา
พวงมาลัยไฟฟ้า แบบเก่าๆ แล้ว

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัต มีปีกนก Lower Control Arm พร้อม
ซับเฟรมแบบ มีบุชยาง hydro-bushing isolated subframe และเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ
Control-Blade Multi-Link พร้อซับเฟรม และเหล็กกันโคลง ที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ แม้จะ
คล้ายคลึงกับเดิม แต่ชิ้นส่วนไม่อาจใช้ร่วมกับรถรุ่นเดิมได้อย่างแน่นอน

บนทางหลวงลาดยางมะตอย Focus ใหม่ทั้ง Sedan และ Hatchback นิ่ง แน่น หนึบ มั่นใจ ขับสบาย
ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีมากเกินกว่าที่รถรุ่นเดิมเคยทำผลงานเอาไว้ ยิ่งประสานการทำงานกับระบบ
พวงมาลัย EPAS ที่รับส่งหน้าที่กันอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการบังคับรถกว่าเดิม
ขณะขับผ่านรอยต่อถนนที่ค่อนข้างสาหัส ช่วงล่าง และยาง ก็พยายามจะเก็บแรงสะเทือน ให้เข้ามา
ยังห้องโดยสารน้อยที่สุด พอให้รู้ว่าคุณกำลังขับผ่านเส้นทางที่พื้นผิวไม่เรียบ

ช่วงล่าง หนึบแน่น มั่นใจ แม้ว่าทางโค้ง ช่วง เขานางหงส์  ที่เต็มไปด้วยเขาแบบพับผ้า เป็นทางโค้ง
ที่คดเคี้ยว แฝงอันตรายทั้งจากพื้นยางมะตอยที่เสื่อมสภาพ โชคดีที่ฝนไม่ตก ไม่เช่นนั้น คงลื่นกว่านี้
แถมก่อนหน้าวันที่เราจะเดินทางมาถึง มีดินถล่มรวมแล้ว 8 จุด ต้องใช้รถเกลี่ยดิน มาช่วยเคลียร์พื้น
เส้นทาง จนเรียบร้อย ถึงขั้นที่ว่า บางช่วงที่ผมเข้าโค้งเร็วไป จนพบว่าในโค้งนั้น ยังต่อเนื่อง แถมมี
องศาโค้งเล็กและแคบลงจนเกือบจะหลุด และยางก็เริ่มร้องเอี๊ยดดังกว่าปกติแล้ว แต่ Focus ทั้งตัวถัง
Sedan และ Hatchback ก็ยัง “ช่วยเหลือตัวเอง” ให้เรา “เอาอยู่”  ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย โดยเฉพาะ
รุ่น Hatchback Sport Plus ที่ใส่ยางล้อ 17 นิ้วจากโรงงาน ยิ่งช่วยให้การขับขี่ มี Dynamic ที่ดีขึ้นอีก

เรียกได้ว่า ช่วงล่างของ Focus ใหม่ ทั้งนุ่มนวล และหนึบแน่น รวมทั้งซับแรงสะเทือนได้ดีสุด แถม
ยังให้ความมั่นใจในการขับขี่ มากที่สุด ในบรรดารถยนต์ Compact C-Segment ประกอบในบ้านเรา
ไปเรียบร้อยแล้ว (เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ณ เดือนกรกฎาคม 2012 ซึ่ง Nissan Sylphy ยังไม่
เปิดตัวในบ้านเรา) เพียงแต่ ขณะขับขี่ ไปทางเส้นทางคดเคี้ยว ผมอาจจะมีอาการมึนหัวนิดๆ ซึ่ง
ก็หวังว่า คงจะมาจากอาการนอนไม่พอ เพราะสื่อมวลชนหลายคนที่ร่วมทริปไปด้วยกัน ก็บ่นว่า
รู้สึกเวียนหัวเล็กๆ แม้จะไม่มากนักก็ตาม

ส่วนการตอบสนองของระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ทำงานร่วมกับ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti
Lock Braking System มีให้ครบทุกรุ่นย่อย) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD
(Electronic Brake Force Distribution) กับระบบ เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน EBA (Emergency
Brake Assist  มีทุกรุ่นย่อย ยกเว้น 1.6 S เกียร์ธรรมดา) และระบบ ควบคุมเสถียรภาพขณะเข้า
โค้ง หรืออยุ่บนถนนลื่น ESP (Electronic Stability Program มีทุกรุ่นย่อย ยกเว้นเกียร์ธรรมดา)  
ถือว่าทำได้ดีมาก หน่วงความเร็วได้อย่างดี แป้นเบรก ตอบสนองได้ต่อเนื่อง Linear ดี ไม่ว่าจะ
ใช้ความเร็วในย่านไหน และต้องการชะลอ หรือหน่วงความเร็วลงมาเท่าใด จะสั่งให้ชะลอรถ
หยุดอย่างนุ่มนวลก็เป็นเรื่องง่ายดายขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีระบบ HLA (Hill Launch
Assist) ช่วยออกตัวขณะจอดบนทางชัน เมื่อถอนเบรกแล้ว รถยังค้างบนทางลาดอีกราวๆ
2 วินาที เพื่อให้ผู้ขับออกรถต่อไปได้ โดยไม่ไหลลงจากทางลาดชัน อีกด้วย

อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างมั่นใจขึ้น และหนักแน่นขึ้น อยู่ที่การเลือกใช้โครงสร้าง ตัวถัง
ที่ใช้เหล็กแบบ High Strength Steel มากถึง 55% ของ โครงสร้างทั้งคัน รวมทั้งการเลือกใช้เหล็ก
Boron ที่หลายคนคงได้สัมผัสมาแล้วในน้องเล็กรุ่น Fiesta ให้กับโครงสร้างเสาหลังคากลาง B-Pillar
และตามจุดต่างๆ ทำให้โครงสร้างตัวถังที่ใหญ่โตขึ้น ยิ่งแน่นหนาขึ้นไปอีก

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ถึงจะขับสนุกขึ้นในแบบผู้ใหญ่ ช่วงล่างดีสุดในกลุ่ม แต่ผมยังถวิลหา TDCi อยู่นะ

16.00 น. โดยประมาณ เรากลับมาถึงโรงแรมที่พัก Sheraton กระบี่ กันอีกครั้ง และนั่นคือเวลาที่เรา
ต้องลาจาก Ford Focus และทีมงานของ Ford เพื่อเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน ของการบินไทย กลับ
มายังสนามบินสุวรรณภูมิ…ไฟลต์หัวค่ำวันนั้น…

ผมนั่งพักอยู่บนเบาะนั่ง ใน Martini Lounge ได้พักใหญ่ คุณ Trevor และ คุณ Graham พาผองเพื่อน
ร่วมทีมวิศวกร เดินเข้ามาสบายๆ ตรงเข้ามาหาผม และ พวกเขาก็เริ่มอยากรู้ถึง Feedback ของผม ที่
มีต่อ  ผลงานล่าสุดของพวกเขา ลูกรักที่ทุกคนฟูมฟักปลุกปั้นด้วยความยากลำบากเหน็ดเหนื่อยกันมา
โดยตลอด บางช่วง ผมเกิดนึกศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ออกดื้อๆ ก็ได้ พี่เดือน PR จาก Hill & Knowlton
Agency ที่ Ford ว่าจ้างมาแบ่งเบาภาระนี่ละครับ ช่วยรับมือ ในฐานะล่าม ให้

แล้วผมก็เริ่มบรรเลง…

พวงมาลัยเป็นสิ่งแรกที่ผมเป็นห่วงว่า พวกเขาจะทำได้ดีหรืไม่ จากการเปลี่ยนมาใช้ระบบเพาเวอร์
ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPAS และการขับขี่ตลอดทั้วัน ก็เห็นได้ชัดว่า ทีมวิศวกรของ Ford ขจัดความ
กังวลของผมในประเด็นนี้หมดไปเสียเกือบหมดสิ้น คือยังพอมีบางอาการให้รับรู้อยู่ว่า มันคือ
พวงมาลัยไฟฟ้า แต่ สัมผัสได้เจือจางมากๆ จนเกือบจะเนียนและกลายเป็นสัมผัสที่ใกล้เคียง
กับพวงมาลัยของ Volkswagen Golf GTi และ Scirocco ที่ผมเคยขับมา เลยทีเดียว (คู่นี้ ยังไง
ก็ต้องยกเขาไว้ในฐานะ เทพ ละครับ ขนาด วิศวกรของ Ford ยังพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับผม
ในเรื่องนี้เลยแหละ) สรปว่า สอบผ่านละ มีคะแนน 9 ต้นๆ เต็ม 10 โผล่มา

เรื่องอัตราเร่ง ผมยืนยันไปกับ Mr. Trevor ว่า ยังไงๆ ผมก็ยังขอเครื่องยนต์ TDCi อยู่ดี เพราะว่า
แม้ในช่วงรอบกลาง และรอบปลาย จะสามารถเรียกพละกำลังออกมาได้ไหลลื่น และต่อเนื่องดี
แถมเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 จังหวะ ลูกใหม่ ก็ยังทำงานราบรื่น ฉลาด และ ทันต่อเท้าขวา
ของผม กระนั้น แรงดึงในช่วงออกตัว รวมทั้ง อัตราเร่ง ในช่วง ออกตัว จนถึงราวๆ 3,000 รอบ/
นาที ยังไม่เร้าใจผมมากพอ เมื่อเทียบกับ TDCi (แต่ถ้าวัดตัวเลขกัน เผลอๆ2.0 ลิตร GDI อาจจะ
ทำตัวเลขได้ดีกว่า 2.0 TDCi เดิมก็ได้ ใครจะไปรู้?) ผมยังให้คะแนนแถวๆ 8 ต้นๆ เต็ม 10

ช่วงล่าง ประเสริฐมาก! เอาไป 9 กลางๆ เต็ม 10 เลย มันให้ทั้งความมั่นใจ ความนุ่มสบายสำหรับ
การเดินทางไกลที่ดีมาก และในความเร็วต่ำ มันก็แทบไม่ค่อยจะตึงตังเลย ซับแรงสะเทือนดีมาก
จากหลุมบ่อ และพื้นผิวไม่เรียบในทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้น ยืนยันได้เลยว่า นี่คือช่วงล่างของ
รถเก๋งระดับ C-Segment Compact Class ประกอบในเมืองไทย ที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ (กรกฎาคม
2012)

การตอบสนองของเบรก ก็ถือว่าทำได้ดี Linear ดี และในบางโค้ง การกระจายแรงบิด ของระบบ
Torque Vector Conering ช่วยส่งให้ผมสามารถรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกา จาการหลุดโค้งไปได้
แบบสบายๆ ตรงนี้เอาไป 9 คะแนนต้นๆ

แต่ในเรื่องห้องโดยสารนั้น ผมยืนยันว่า ถึงจะกระชับ แต่นั่งแล้วอึดอัด ตำแหน่งเบาะฝั่งซ้าย
คู่หน้า  ติดตั้งมาในตำแหน่งที่เหมือนกับ Toyota Corolla Altis เลยด้วยซ้ำ (แหงละ พวกเขา
ใช้ Corolla เป็นหนึ่งในรถยนต์ Benchmark ร่วมกับ VW Golf และ Honda Civic ในระหว่าง
การพัฒนา Focus รุ่นนี้ นี่หว่า)

อีกทั้งแผงหน้าปัด ก็ยังใช้งานยากลำบาก Less User friendly ผมต้องละสายตาจากพื้นถนนมาก
เกินกว่า 2 วินาที ซึ่งถือว่า ไม่ผ่านในประเด็นนี้ แม้ว่าจะมีระบบ SYNC By Microsoft ซึ่งใช้งาน
ง่ายดาย และฉลาดกว่าระบบ Voice recognition แบบเดิมที่มีอยู่ใน Fiesta กับ Ranger บ้านเรา
ก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่รู้วิธีใช้คำสั่งของระบบเท่าไหร่  กลุ้มจริงๆ คือภายในร ไฮเทคมากเกินไป
จนตาสี ตาสา ยายมา ยายมี ใช้งานคงจะไม่ได้ นี่มันยากใกล้เคียงกับระบบ i-Drive ของ BMW
และ COMMAND ของ Mercedes-Benz กันแล้วเลยนะ! ข้อนี้ ผมไม่แฮปปี้

แต่สรุป รวมแล้ว ผมให้คะแนน Focus ใหม่ ในด้านการขับขี่ภาพรวมทั้งคัน อยู่ที่ 9.1 เต็ม 10 คะแนน

ว่ากันแต่ตัวรถล้วนๆ อย่างเดียว ไม่นับประเด็นศูนย์บริการ (ไม่เช่นนั้น คะแนนจะดร็อปกว่านี้เยอะแน่ๆ)

คือมันจะไม่ใช่รถที่จะให้ความสนุกกับคุณในแบบเด็กวัยรุ่นที่เคยเป็นมา แต่เป็นความสนุกในแบบ
ผู้ใหญ่ อายุ 30 กลางๆ ถึง 40 ต้นๆ มากกว่า เพราะนั่นคือแนวทางที่รถยนต์ C-Segment ทุกคัน จำเป็น
ต้องมุ่งไปเพื่อจะรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ส่วนเรื่องค่าบำรุงรักษา ตลอดอายุการรับประกัน 100,000 กิโลเมตรนั้น Ford มั่นใจว่า Focusใหม่
จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า Civic และ Altis ใหม่ ซึ่งเขาบอกว่าจะมีตารางเปรียบเทียบให้ดูกันที่โชว์รูม

เรื่องนั้นหนะ ไม่น่าห่วงเท่าไหร่หรอก แต่ที่น่ากังวลมากกว่าก็คือ ผมได้เห็นความพยายามของ
ทีมวิศวกรชาวต่างชาติ ที่ตั้งใจ และพยายามพัฒนา Focus ใหม่ อย่างหนักมาก ตั้งใจทำรถออกมา
ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และเหนือกว่าคู่แข่งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งความพยายามทุ่มทุนของ
Ford เพื่อให้ Focus ใหม่ กลายเป็นรถยนต์ระดับ Global Car ที่สามารถครองใจคนทั่วโลก รวมทั้ง
คนไทย ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทีมการตลาดเอง กวางแผนมาถูกทาง อัดออพชันใส่ทุกรุ่น
มาซะแน่นเปรี๊ยะ และวางราคายขายปลีกต่อคันไว้อย่างเหมาะสมแล้ว (อาจจะมีบ้างก็แค่ว่า ทำไม
ไม่ยอมใส่ระบบ BLIS มาให้ในรุ่นท็อป Sport Plus แค่นั้น ที่ผมยังกังขา?)

ราคาขายของ Ford Focus ใหม่ ทั้ง 9 รุ่นย่อย มีดังนี้
– 4 ประตู 1.6 ลิตร Ti-VCT Ambiente เกียร์ธรรมดา  759,000 บาท
– 4 ประตู 1.6 ลิตร Ti-VCT Ambiente เกียร์อัตโนมัติ 799,000 บาท
– 4 ประตู 1.6 ลิตร Ti-VCT Trend เกียร์อัตโนมัติ       829,000 บาท
– 5 ประตู 1.6 ลิตร Ti-VCT Ambient เกียร์อัตโนมัติ   809,000 บาท
– 5 ประตู 1.6 ลิตร Ti-VCT Trend เกียร์อัตโนมัติ       839,000 บาท
– 4 ประตู 2.0 ลิตร Ti-VCT GDi Titanium              959,000 บาท
– 5 ประตู 2.0 ลิตร Ti-VCT GDi Sport                   969,000 บาท
– 4 ประตู 2.0 ลิตร Ti-VCT GDi Titanium Plus   1,069,000 บาท
– 5 ประตู 2.0 ลิตร Ti-VCT GDi Sport Plus        1,079,000 บาท

ดังนั้น ผมจึงได้แต่หวังว่า ทีมลูกค้าสัมพันธ์ ฝ่ายบริการ และฝ่ายเทคนิค ทั้งของสำนักงานใหญ่
และผู้จำหน่ายในแต่ละราย จะช่วยกันสร้างความพึงพอใจสูงสุดใก้แก่ลูกค้า ด้วยความเต็มใจ
เพื่อจะให้แนวทาง One Ford บรรลุเป้าหมาย ในเมืองไทย อย่างที่มันควรจะเป็นกันเสียที
ไม่ใช่ทำแต่เรื่องแย่ๆ ออกมาให้ผมต้องได้ยิน และมานั่งกุมขมับและปวดกบาล แทนลูกค้า
กันอยู่อย่างทุกวันนี้

เพราะปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันไมได้อยู่ที่รถ เพราะตัวรถ เจ๋งขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
แต่อยู่ที่ Attitude ของคนทำงานในองค์กรของคุณแล้วละ! ผู้บริหารใหญ่เองก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
ก็ได้แต่หวังว่าจะรีบปรับเปลี่ยนกันซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ส่วนคำถามที่เกี่ยวข้องว่า อัตราเร่ง เป็นอย่างไร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะดีแค่ไหน สมดังที่
Ford แจ้งตัวเลขจากการทดสอบของทางโรงงานเอาไว้หรือเปล่า?

รออ่าน Full Review เช่นเคยครับ…คาดว่า ไม่น่าจะนานเกิน 3 เดือนนับจากนี้

เผลอๆ Full Review ของ Focus อาจเสร็จก่อน Full Review ของ Ranger ด้วยซ้ำ เพราะป่านนี้
รถรุ่น 3.2 ลิตร เพิ่งจะถูกตัดออกมาให้ลองขับแบบ Individual ได้สำเร็จซะที ทั้งที่รถเปิดตัวมา
ปาเข้าไป จะครบขวบปีแล้วมั้ง

นี่แหละครับ Ford !

———————————-///————————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to :
ทีมวิศวกรจาก Ford Motor Company / Ford Asia pacific & Africa
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Ford Sales (Thailand) จำกัด
และบริษัท Hill & Knowlton Thailand จำกัด
รวมทั้งทีมงานของ พี่โด่ง ผู้จัดเส้นทาง
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และการต้อนรับที่ดียิ่งในครั้งนี้

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Ford (คุณนก และทีมงาน)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
12 มิถุนายน 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
June 12th,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome Click Here!