สำหรับฮอนด้า รถยนต์ เค-คาร์ (รถเล็ก เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 660 ซีซี ไม่เกิน 64 แรงม้า) ถือเป็นอีกกลุ่มตลาดที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทรถยนต์นักล่าฝันซึ่งมีฐานบัญชาการอยู่ในย่านอาโอยามะ ใจกลางกรุงโตเกียว อย่างมาก ทุกวันนี้
ฮอนด้ามีรถยนต์ เค-คาร์ทำตลาดเพียง 4 รุ่น หากไม่นับรวมรถเพื่อการพาณิชย์ ทั้งรถตู้อเนกประสงค์ตระกูล วามอส (VAMOS / VAMOS Hobio) รวมทั้งรถกระบะคันจิ๋วรุ่นแอ็คตี้ (ACTY) ที่ยังคงเปลี่ยนโฉมใหม่ทำตลาดต่อเนื่อง มาตั้งแต่ฮอนด้าเริ่มเข้าสู่วงการรถยนต์เมื่อยุคทศวรรษที่ 1960 แล้ว ฮอนด้าจะมีรถยนต์นั่ง เค-คาร์ เพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ ไลฟ์แฮตช์แบ็กหลังคาสูง เอาใจสาวน้อยสาวใหญ่ และ แด๊ตส์ (That’s) กล่องติดล้อคันจิ่วที่ถูกลบเหลี่ยมมุมจนโค้งมนรอบคัน ซึ่งไม่มากพอจะให้ลูกค้าเลือกใช้ตามต้องการ
เพราะฮอนด้ายังขาดรถยนต์ เค-คาร์ แบบครอบครัว ที่จะต้องต่อกรกับเจ้าตลาดหลัก ทั้งซูซูกิ แวกอน อาร์ ไดฮัทสุ มูฟ และมิตซูบิชิ eK / นิสสัน อ็อตติ)
จากเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว เซสต์ สู่ตลาดญี่ปุ่น โดยชื่อรุ่น มีความหมายในภาษาอังกฤษ ถึงความความสนุก ความมัน ความเร่าร้อน ความมีรสชาติ สิ่งที่ทำให้สนุกหรืออร่อยหรือมีรสชาติ ฮอนด้าบอกว่า การนำชื่อ เซสต์มาใช้กับ เค-คาร์รุ่นนี้ ก็เพื่อสื่อถึงความคาดหวังของลูกค้า สู่ประสบการณ์ใหม่ที่เติมเต็มชีวิตประจำวันได้อย่างถึงใจ
NORIO IGARASHI (LAST PROJECT LEADER) ของโครงการนี้ กล่าวว่า เซสต์ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด SWITCH MOVER หมายถึงการสร้างรถยนต์เค-คาร์ ที่สามารถตอบสนองการใช้งานของสมาชิกในครอบครัวได้ครบถ้วน พร้อมๆกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องโดยสาร ให้มีพื้นที่สำหรับบรรจุสัมภาระมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บนพื้นตัวถัง SMALL GLOBAL PLATFORM ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ตั้งแต่ 660-1,500 ซีซี โดยใช้รายละเอียดงานวิศวกรรมต่างๆ ร่วมกับฮอนด้า ไลฟ์ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการพัฒนา โดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากชิ้นส่วนอะไหล่และเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในฮอนด้า ไลฟ์ เพิ่งถูกปรับปรุงต่อเนื่องจากไลฟ์รุ่นที่แล้ว และเพิ่งนำมาใช้เมื่อช่วง 1-2 ปีมานี้เอง
รูปลักษณ์ภายนอกบนขนาดตัวถังที่งยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,635 และ 1,650 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับระบบขับเคลื่อน และมีระยะฐานล้อ 2,420 มิลลิเมตร คราวนี้เป็นฝีมือของนักออกแบบสุภาพสตรีที่ชื่อ ERI NAKAI ใช้แนวเส้นแบบขั้นบันไดบริเวณประตูค่หน้าและประตูคู่หลัง และเสริมเส้นโค้ง เหนือซุ้มล้อ เพื่อเพิ่มความบึกบึนให้ตัวรถในภาพรวม บานประตูคู่หน้า เปิดออกได้ 3 จังหวะ และกางออกได้มากสุด 79 องศา เปิดกว้างเข้าสู่ห้องโดยสารที่มีความกว้าง 1,315 มิลลิเมตร เป็นผลงานของนักออกแบบชายของฮอนด้าที่ชื่อ AKIO HAYASHI
จุดขายสำคัญที่ฮอนด้านำเสนอในภาพยนตร์โฆษณาของเซสต์ในญี่ปุ่น นอกเหนือจากเบาะนั่งคู่หน้าแบบ BENCH SEAT หรือแบบม้านั่ง แต่แยกชิ้นปรับเอน และเลื่อนขึ้นหน้าถอยหลังได้ตามปกติ พร้อมที่วางแขนในตัวแล้ว อีกจุดหนึ่งคือห้องเก็บของด้านหลัง ซึ่งมีความสูงของห้องโดยสาร สูงถึง 1,340 มิลลิเมตร มีพื้นที่จุสัมภาระขนาด 203 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน แต่เมื่อปรับเบาะนั่งแถวหลัง ซึ่งแยกพับได้ในอัตราส่วน 50:50 โดยพับพนักพิงและกดชุดเบาะให้ราบลงกับพื้นได้แบบเดียวกับ ฮอนด้า ฟิต/แจ้ส แล้ว พื้นที่ห้องเก็บของภายในรถจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 739 ลิตร VDA ส่วนในรุ่น W SPORT และ G SPORT จะมีพื้นปูห้องเก็บของ แบบพลาสติกกันน้ำมาให้เป็นอุปกรณ์พิเศษ
รวมทั้งวัสดุในห้องโดยสารยังเป็นแบบแบบ VOC (VOLATILE ORGANIC COMPOUNDS) ตามสมัยนิยม
แผงหน้าปัดออกแบบขึ้นโดยจัดวางตำแหน่งช่องแอร์ คันเกียร์ สวิตช์เคื่องปรัอากาศ และวิทยุ แบบเดียวกับ ซับ-คอมแพกต์มินิแวนรุ่น โมบิลิโอ และโมบิลิโอ สไปก์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สำคัญๆ ได้แก่รีโมทคีย์การ์ด SMART ENTRY เปิด-ปิดประตูได้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ระบบนำร่องผ่านดาวเทียม GPS พร้อมบริการสื่อสารอัจฉริยะ INTERNAVI แจ้งข้อมูลและรับคำสั่งผู้ขับขี่ด้วยเสียง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถอัพเกรดระบบสู่บริการ PREMIUM CLUB พร้อมระบบสื่อสาร QQ CALL ได้อีกด้วย
ขุมพลังยกมาจากฮอนด้า ไลฟ์ เป็นรหัส P07A 3 สูบเรียง SOHC 656 ซีซี 8 วาล์ว หัวฉีด PGM-FI พร้อมเทคโนโลยี 2 หัวเทียน/1สูบ i-DSi เพื่อช่วยจุดระเบิดและเผาไหม้ได้ดีขึ้น หากเป็นรุ่นคุณแม่บ้าน จะมีกำลัง 52 แรงม้า (PS) ที่ 6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดเท่าเดิม 6.2 กก.-ม.ที่ 3,800 รอบ/นาที แต่ในรุ่นสปอร์ต เมื่อเพิ่มระบบอัดอากาศเทอร์โบ เข้าไป จะแรงขึ้นเป็น 64 แรงม้า (PS)ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.5 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ซึ่งเป็นครั้งที่สองของฮอนด้า ในการติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบให้กับเครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี i-DSi นอกจากนี้ยังได้รับการปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน เพื่อให้รบกวนผู้โดยสารน้อยที่สุด
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ PROSMATEC ถูกปรับปรุงโซลินอยด์ เพื่อให้ช่วยลดอาการกระตุกขณะเปลี่ยนเกียร์ได้ดีขึ้น เพียงแบบเดียว ไม่มีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะให้เลือก แต่เลือกได้ว่าจะใช้ระบบขับล้อหน้าหรือขับ 4 ล้อแบบ REAL TIME หลักการทำงานเหมือนกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในซีอาร์-วี คือเมื่ออยู่บนถนนแห้งธรรมดา ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าจะทำงานเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเข้าสู่ถนนขรุขระ หรือมีสภาพลื่น เพลาขับเคลื่อนล้อคู่หลังจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระทันที
ระบบกันสะเทือนยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนล้อหลังมี 2 แบบ หากเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า จะใช้แบบคานแข็งธรรมดา แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเปลี่ยนมาเป็นแบบ เดอ ดิออง ทั้งคู่ไม่มีเหล็กกันโคลงมาให้พวงมาลัยแรคแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์แบบธรรมดาช่วยเท่านั้น ไม่มีระบบเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS มาช่วย ส่วนระบบเบรก ทุกรุ่นเป็นแบบหน้าดิสก์-หลังดรัม เสริมด้วย ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเพิ่มแรงดันเบรกในภาวะฉุกเฉิน BREAK ASSIST
ส่วนโครงสร้างตัวถังนิรภัย ออกแบบขึ้นตามแนวทางกระจายแรงปะทะแบบใหม่ ACE (ADVANCED COMPATIBILITY ENGINEERING) ด้วยการเสริมเหล็กแบบ HI-TENSILE ตามจุดต่างๆถึง 70% โดยเฉพาะบริเวณโครงสร้างห้องโดยสารและชิ้นส่วนตัวถังด้านท้ายรถ อีกทั้งยังมีการออกแบบให้โครงสร้างบริเวณห้องเครื่องยนต์ด้านหน้าและด้านล่าง สามารถส่งกระจายแรงปะทะจากการชนได้ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัย มากันพร้อมหน้า ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัย รวม 6 ใบ ตามแต่ละรุ่นย่อย เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติพร้อมระบบลดแรงปะทะ และเบาะรองนั่งป้องกันการลื่นไถลไปข้างหน้าไฟหน้า HID พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX
เซสต์ใหม่ถูกส่งขึ้นโชว์รูมทุกแห่งของฮอนด้าในญี่ปุ่นแล้ว ด้วยราคาตั้งแต่ 363,830 – 551,250 บาท รวมทั้งยังมีรุ่นติดตั้งเบาะแบบพิเศษ และทางเลื่อนสำหรับรถเข็น เพื่อผู้ทุพลภาพ ให้เลือกอีกด้วย ฮอนด้าตั้งเป้ายอดขายไว้ 5,000 คัน/เดือน และแน่นอนว่า ทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
เซสต์ถือเป็น เค-คาร์ คันที่ 5 ที่ผมเคยลองขับมา และสมรรถนะ ก้ไม่ได้ต่างจาก เค-คาร์ คันอื่นๆเท่าใดนัก
คือไม่ต้องไปคาดหวังมากจากรถยนต์ที่ทำออกมาเพื่อใช้ในการเดินทางในเมืองเป็นหลักอย่างนี้
เพียงแต่บรรยากาศในห้องโดยสาร และการเลือกใช้วัสดุนั้น อยู่ใน mood & tone เดียวกับ ฮอนด้ารุ่นใหม่ๆ ในยุคเดียวกันนี้
จากที่จับเวลาในสนามโตชิกิ เบื้องต้น และเป็นวันฝนพรำ
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 20.13 วินาที
อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 23.91 วินาที
ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 140 กิโลเมตร / ชั่วโมง ถือเป็น K-Car ที่เซ็ตรถมาในแนวสปอร์ต กว่า ฮอนด้า ไลฟ์ ที่ผมเคยสัมผัสมา
พวงมาลัย ให้อารมณ์กระเดียดไปในทางซีวิค มากกว่าแจ้ส
อย่างไรก็ตาม แม้จะเข้าโค้งที่ความเร็ว 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้มั่นใจตามแบบที่รถเล็กสมควรจะเป็นก็ตาม
แต่แป้นเบรก ยังต่ำไปสักหน่อย สำหรับรถที่ขับในเมืองแบบนี้
ถ้าถามว่า น่าใช้หรือไม่ ก็ตอบได้ว่า น่าใช้ แต่ถ้าจะถามว่า ถ้าคิดจะซื้อ K-Car สักคัน เซสต์ ถึงขั้นน่าประทับใจจนต้องจ่ายเงินซื้อหรือไม่ ผมยังไม่แน่ใจนัก
————————————————-///—————————————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์
www.headlightmag.com
(หมายเหตุ : การทดลองขับ เกิดขึ้นที่ สนามทดสอบ Honda R&D ในเมือง Utsunomiya จังหวัด Tochigi ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนตุลาคม 2007
ภาพประกอบทั้งหมดในบทความนี้ เป็นภาพถ่าย จากช่างภาพชาวญี่ปุ่น ที่ฮอนด้า มอเตอร์ เป็นผู้จัดจ้างมา
และเป็นภาพถ่ายสำหรับแจกจ่ายสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางในทริปนั้น
ส่วนเนื้อหาประกอบในบทความ เป็นต้นฉบับที่เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสาร THAIDRiVER ในช่วงต้นปี 2007 มาก่อนแล้ว)