ถึงผมจะเคย เขียนเอาไว้ หรือ บอกไว้ ที่ใดก็ตาม นานแล้วว่า
ผมชอบที่จะติดต่อขอยืมรถยนต์ มาทดลองขับ แล้วทำรีวิว ลงในเว็บเอาเอง
มากกว่าที่จะไปร่วมทริปขับรถยนต์ทดสอบ กับกลุ่มสื่อมวลชนใหญ่ๆ เพราะ
เราได้มีโอกาสทดลองขับรถอย่างเต็มที่ บนเส้นทางที่เราคุ้นเคยมากกว่า ก็ตาม

แต่ เมื่อจู่ๆ Mercedes-Benz Thailand ส่ง E-Mail และโทรมาชวนให้ไปร่วม
ทริปทดลองขับ Mercedes-Benz E300 รหัสรุ่น W212 ใหม่ล่าสุด กันไกลถึงภูเก็ต
ผมรีบตอบตกลงไปแทบจะทันที แบบไม่ต้องคิดมากกันเลย…

เหตุผล?

ข้อแรก ผมไม่มีกำหนดจะติดต่อยืมรถคันไหนมาทดลองขับในช่วงครึ่งแรก
ของเดือนกุมภาพันธ์ และนั่นก็ทำให้ผมพอจะหาเวลาว่างให้กับตัวเองได้บ้าง

ประการต่อมา ระยะทาง จาก ภูเก็ต ขึ้นมานอนพักที่ชุมพร 1 คืน ก่อนจะยิงยาว
ขับเข้า กรุงเทพฯ รวมแล้ว นาน 3 วัน 2 คืน ถือเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะไกล มากพอ
ที่จะทำให้ผู้เข้าร่วมทริป ได้รู้ถึงสมรรถนะ ที่แท้จริงของรถ ได้มากกว่า ทริปอื่นๆ
ซึ่งมักเป็นทริป ประเภท 2 วัน 1 คืน ขับกันแบบ ขำขำ ไปนอนพักไม่ไกลจาก
กรุงเทพฯ หรือว่า บินไปในจังหวัดอื่นๆ แล้วขับวนลูป อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนั้น นั่นละ

แต่ เหนือสิ่งอื่นใด….

ตั้งแต่เกิดมา จนแก่ป่านนี้ อายุอานาม ก็ปาเข้าไป 30 ปี ยังไม่เคยมีโอกาส เดินทาง
ไปเที่ยวยังภาคใต้ของประเทศไทยเลยสักที ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นการขับรถย้อนเส้นทาง
ขึ้นมาจากภูเก็ต มายังกระบี่ ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
และ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก็ตาม แต่ เพราะยังไม่รู้ว่า ปีนี้ จะมีทริปลงใต้ แบบนี้
มาเชิญชวนผม ให้แพ็คกระเป๋าออกจากบ้าน กันอีกหรือไม่ ก็เลยตอบตกลงไปร่วมทริป
เพราะโอกาสดีๆ แบบนี้ หาไม่ได้ง่ายนัก

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงรีบแจ้น ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ตั้งแต่ บ่าย 2 โมง ทั้งที่ตามเวลานัด อยู่ที่ บ่าย 2 โมงครึ่ง
ของวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2010 ที่ผ่านมา

บริการเอื้องหลวง ของการบินไทย นำพาผู้โดยสารทุกคน
ลงอย่าง..เอ่อ..มันก็ไม่ค่อยจะนิ่มนวลนักหรอก ถึงยัง
สนามบินภูเก็ต โดนสวัสดิภาพ…(ฟิ่วววว โล่งอก)

เดินผ่านหน้ากัปตันของไฟลต์นี้ ก่อนออกจากประตูเครื่อง
กำลังจะเปิดปากแซว แต่ สมองฝั่งดุของผม มันเบรกเอาไว้ว่า..
อย่าดีกว่า พี่เขาคงไม่ฮาไปกับเราด้วยแน่ๆ ก็เลยยิ้มขอบคุณ
ที่พาเรามาถึงที่หมายแต่โดยดี ก่อนจะก้มหน้า งุดๆๆ
เดินออกจากตัวเครื่อง เข้า งวงช้าง ต่อไป

สมองฝั่งดุ ถาม “แล้วที่คิดจะแซวหนะ แซวว่าไง?

สมองฝั่ง หลั่นล้า ตอบว่า “ไหนว่า การบินไทย Smooth As Silk ไงครับพี่
ตอนล้อกระแทกพื้นตะกี้นี้ อย่างกับนั่งอยู่บนหลังของเจ้า Dumbo เลย”

สมองฝั่งดุ ตอบ “อืมม ดีแล้วละ อย่าแซวหนะดีแล้ว
มุขก็โคตรฝืด ไม่เห็นจะฮา แถมจะพาทั้งเที่ยวบินเขาเครียดกันเปล่าๆ”

แง๊! (T_T) 

หลังจากรอกระเป๋าของสมาชิกในทริป ผ่านสายพานลำเลียงออกมาเรียบร้อยแล้ว
เราก็เดินออกมาขึ้นรถบัส ที่มารอรับอยู่ ณ ลานจอดรถของสนามบิน อันอุดมไปด้วย
บรรดารถเช่าของบริษัทต่างๆ ทั้งน้อยใหญ่ จอดเรียงกันเป็นตับ กินพื้นที่ราวๆ 2 ใน 3
จากที่สังเกตเห็นด้วยตาเปล่า

(ขนาดรถบัส ที่มารับพวกเรา ยังเป็น Mercedes-Benz เลย คาดว่า คงจะ Request
กับบริษัทรถเช่าแห่งนี้ว่า “ต้องเป็น เบนซ์ เท่านั้นนะ” แหงๆ)

บรรยากาศ 2 ข้างทาง แม้ว่า จะไม่แตกต่างอะไรมากนัก จาก เมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ
ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย มากนัก แต่ สำหรับคนที่ เกิดมา เพิ่งจะเคยเดินทางมาถึง
ก็ ออกจะเป็นการเปิดหูเปิดตา อยู่มากหน่อย เส้นทางเข้าตัวเมืองภูเก็ตนั้น ตัดผ่านภูเขา
และที่สำคัญ เส้นทางค่อนข้างชัน บางจังหวะ เกือบจะเป็นเขาพับผ้า กันเลยทีเดียว
แต่รถเล็กๆ ก็ยังแล่นขึ้นลง ลัดเลาะลดเลี้ยวไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวเหล่านี้ ได้สบายๆ

เราเดินทางผ่าน ถนนเส้นหลัก ผ่านหน้า ป่าตอง 
แล้วก็เลี้ยวเข้าไปยังจุดหมายในค่ำคืนแรก นั่นคือ โรงแรม Mercure ป่าตอง
เหตุผลที่ Mercedes-Benz เลือกพักที่นี่ ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ ทาง Mercure
เป็นลูกค้าอุดหนุน Mercedes-Benz ไปทำรถลีมูซีน ต้อนรับแขกของโรงแรม
ไปหลายคันอยู่

แม้ว่าจะเป็นโรงแรม ในระดับ 3.5 ดาว จากกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมไทย อะไรก็ตามแต่
ผมกลับมองว่า เมอเคียว ป่าตอง ตกแต่งห้องพัก และให้บริการได้ดี ไม่น้อยหน้า โรงแรม
ชั้นนำแห่งอื่นๆที่ผมเคยเข้าพักเลย แม้แต่น้อย

มีเรื่องเดียวที่ผมว่า เมอเคียว ป่าตอง ควรปรับปรุง คือ รสชาติของอาหาร ที่เสริฟให้แขก
โดยเฉพาะ สปาเก็ตตี ที่พวกเราในทริปหลายๆคน ลงความเห็นตรงกันว่า
สุดเหียกที่สุด ตั้งแต่เคยกินมา!! ซอสที่ราดนั้น พ่อครัวของที่นี่ มีความสามารถเป็นเลิศ
ในการนำซอสมะเขือเทศ มาทำซอสสปาเก็ตตีให้มีรสชาติไม่ต่างอะไรกับน้ำล้างจาน!!

(สมองฝั่งดุ ย้อน “แต่เอ็งก็ยังอุตส่าห์ ถ่ายมาให้ดูอีกแหนะว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร”)

ตัวเมืองป่าตองในตอนกลางคืน ก็เหมือนกับ เมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ ที่ชาวต่างชาติ
ชอบมาเยือน เป็นเรื่องปกติ พอดีว่า พอเสร็จงานตอนเที่ยงคืน เดินลงไปวนดู
บรรยากาศผับบาร์ ในป่าตองแล้ว ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนั้นเท่าไหร่
ก็เลย เดินกับขึ้นมาที่ห้องพัก นั่งทำงานต่อ…

ถ้าใครจะมาถามไถ่เชิงเหน็บว่า นี่มันก็แค่การขับรถไปเที่ยว แหละว๊า

ผมก็คงจะสวนกลับไปแบบไม่ต้องเกรงใจกันแหละครับว่า…
ที่ ไปนอนโรงแรมดีๆ แบบที่จะได้เห็นต่อไปนี้นั้นหนะ
ผมได้แค่นอน 2 ชั่วโมง ต่อคืน เท่านั้นเลยนะ…
เวลาที่เหลือ ถูกใช้ไปกับการ นั่งปั่นบทความ อัพเดทเว็บไซต์
ตอบ อีเมล์ เช็คงาน เช็คข่าว อะไรที่เคยทำตอนอยู่บนเตียงนอนที่บ้าน
ก็ทำเหมือนกันหมด แค่เปลี่ยนโลเกชันของ เตียงนอนที่ทำงาน เท่านั้น
ขนาดบทความ เยือนพิพิธภัณฑ์ของ Suzuki ที่ญี่ปุ่น
ซึ่งนั่งเขียนยังไม่จบ ก็ต้องไปนั่งเขียนให้จบ กันที่ภูเก็ต
เสร็จเอาตอนเที่ยงคืนพอดี ลงไปเดินดูโน่นนี่นั่น สักครึ่งชั่วโมง
ก็ขึ้นมานั่งทำงานต่อ

แล้วขับรถไหวเหรอ นอนแค่นั้น?

ไหวครับ พระอาทิตย์ขึ้น ตื่นเมื่อไหร่ สดใส เมื่อนั้น
และ ถ้านั่งหลังพวงมาลัยแล้ว ผมตื่นตัวเสมอ ขออย่างเดียว
อย่าเป็นทริปขับประหยัดน้ำมันอันชวนหลับก็พอ
นอกนั้น ต่อให้นอนน้อยแค่ไหนก็ตาม กำลังวังชายังพอมี
อะไรที่ทำได้ ทำไหว ต้องรีบทำ เดี๋ยวแก่ตัวขึ้นมา
จะไม่ไหว ก็อดทำ

ดักคอกันไว้ก่อน แต่จริงๆ ก็ไม่ควรทำแหละ นอนน้อยแล้วขับรถนี่

อันตรายอย่างมากโข!

เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นไปตาม สูคร 7 8 9

ตื่น 7 โมงเช้า
ทานข้าว 8 โมงเช้า
ออกเดินทาง หรือล้อหมุน 9 โมงเย็น..เอ้ย เช้า…

กินมื้อเช้า เสร็จ ถ่ายรูปหมู เอ้ย หมู่ เป็นที่ระลึก
แล้วก็ออกเดินทาง

จุดหมายปลายทางแห่งแรกของเรา คือการขับรถ ออกจากตัวเมืองภูเก็ต
ขับข้ามผ่าน สะพานสารสิน แวะพักที่อนุเสาวรีย์ประจำจังหวัดภูเก็ต

พักสักประมาณ 15 นาที ก็ออกเดินทางต่อ
คราวนี้ ผม เปลี่ยนตัวกับ น้อง เต๋า ผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
มาเป็น คนขับ

คณะของเราทำเวลากันน่าดูชม
ทำเวลากันซะจนกระทั่ง หลงทางหลุดเลยไปไกล หลายกิโลเมตร
เป็นอันว่า พวกเราที่ตามขบวนกันมาด้วย
ก็ได้มีโอกาสทดสอบวงเลี้ยว (กลับรถ) ของ E-Class ใหม่
กัน หลายรอบ จนรู้ซึ้งดีว่า วงเลี้ยวหนะ แคบใช้การได้

แต่ แหม พี่คร้าบ
จะทดสอบวงเลี้ยวกันบ่อยๆ ก็ไม่ไหวนะคร้าบบบบ

เรามุ่งหน้ามาถึง อ.กะปง จังหวัด พังงา  
เพื่อแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน โรงเรียน เยาววิทย์
(อ่านว่า เยา-วะ-วิด)

เพื่อมาร่วมเป็นสักขีพยาน ในการมอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ PC
พร้อมระบบ LAN รวม 30 เครื่อง..!

ทำไมต้องมอบให้กับโรงเรียน ที่ดูการตกแต่งแล้ว เหมือนว่าจะไฮโซ แห่งนี้?

อย่าเพิ่งคิดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่คุณเห็นหนะ มันเป็นแค่เปลือกนอก ครับ 

ที่มาที่ไปของ โรงเรียนแห่งนี้ ก็คือ เมื่อครั้งที่เกิด ภัยพิบัติ สึนามิ  ทางภาคใต้ของไทย
ราวๆ 5 ปีก่อน กลุ่มชาวเยอรมัน ที่เดินทางมาร่วมเป็นอาสาสมัคร ก็พบเห็น เด็กๆ
ที่ต้องกำพร้า พ่อแม่ ซึ่งหายสาบสูญ หรือไม่ก็เสียชีวิตไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
เด็กเหล่านี้ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงไปอยู่ในวังวน
ของการค้าแรงงานเด็กผิดกฎหมาย ไปจนถึง การค้าประเวณี อีกด้วย แถมยังรวมถึง
เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจาก การที่พ่อหรือแม่ เป็นโรคร้าย ต่างๆ

เพียง 2-3 สัปดาห์ หลังจาก คลื่นยักษ์สึนามิ เข้าถล่มชายฝั่ง ภูเก็ต และพังงา
มูลนิธิ Stiftung Children’s World Academy ในประเทศเยอรมัน และมูลนิธิ
Children’s World Academy Foundation ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องในประเทศไทย
ราวกลางเดือน มกราคม 2005  ก็เริ่มต้นสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น บนที่ดินขนาด
137.5 ไร่ ห่างออกไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านกะปง ซึ่งทางมูลนิธิ ได้ซื้อเอาไว้
และคราวนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา ที่สูงพอสมควร เพื่อให้สามารถรองรับนักเรียนประจำ
จำนวน 180 คน และนักเรียนไป-กลับปกติ อีก 50 คน

การตั้งโรงเรียนให้ห่างไกลผู้คน ก็เพราะว่า ต้องการให้เด็กๆ เหล่านี้ ห่างไกลจากสังคมภายนอก
ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ และสิ่งเร้ากระตุ้นมากมาย จนกว่าะผ่านพ้นช่วงเวลาที่เหมาะสมไป

เมื่อโรงเรียนแล้วเสร็จบางส่วน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน ในพิธีเปิดใช้พื้นที่ส่วนแรกสำหรับ
นักเรียนประจำ เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2549 จากนั้นในวันที่ 17 ของเดือนถัดมา
โรงเรียน แห่งนี้ก็ได้เปิดดำเนินการ อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันโรงเรียนเยาววิทย์
เปิดสอนทั้งในระดับอนุบาลและชั้นประถม อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยังวางแผน
สำหรับอนาคตไว้ว่าจะเปิดสอน นักเรียนในระดับมัธยม รวมถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีกด้วย

ผมชอบไอเดีย ในการจัดการที่นี่อย่างหนึ่งครับ เพราะว่า พื้นที่ครึ่งหลังของโรงเรียน
ซึ่งลาดชันลงไปตามแนวเขา ถูกจัดเอาไว้เป็นห้องพักรับรอง ซึ่ง ใครจะมาเข้าพัก ก็ได้ทั้งสิ้น
แต่ ทางโรงเรียนจะคิดราคาค่าห้อง คืนละ 600 – 900 บาท แล้วแต่ขนาดของห้อง เงินทุกบาท
ทุกสตางค์ อันเป็นรายได้จากการเปิดพื้นที่ให้บริการห้องพักตรงนี้ จะถูกนำเข้าไปใช้
ในการจัดหาอาหารกลางวันของเด็ก อุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ

อีกทั้งการเปิดพื้นที่ของโรงเรียน ในลักษณะแบบนี้ จะมีส่วนให้เด็กๆ ได้ฝึกการใช้
ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่เด็ก ซึ่งหากยังเป็นเด็กเล็ก ก็จะเรียน
และกินนอน กันที่นี่เลย แต่ ถ้าเป็นเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ก็จะถูกส่งไปเรียน ในโรงเรียน
มัธยม ประจำท้องถิ่นละแวกใกล้เคียง ตอนเช้า ทาง โรงเรียนเยาววิทย์ จะขับรถโดยสาร
ไปส่งน้องๆ เหล่านี้ กันถึงโรงเรียน และตอนเย็น ก็จะไปรับกลับมาพักที่โรงเรียนเยาววิทย์
นั่นเอง ทั้งหมดนี้ กลุ่มผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็คาดหวังกันว่า โรงเรียนแห่งนี้ จะมีส่วนช่วย
ในการเตรียมความพร้อมของเด็กๆ ที่ “รู้สึกว่าตนเองมีบางส่วนที่ขาดหายไปในวัยเด็ก”
ให้ได้รับการเติมเต็ม อย่างเหมาะสม ให้พวกเขา ได้ใช้ชีวิตในสังคม ได้ในอนาคต
ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ และนำพาให้พวกเขา หลุดพ้นจากความยากจน และความไม่รู้หนังสือ
อย่างยั่งยืน ในที่สุด…

โอ้ ไอเดียเขาดีจังแหะ….

โรงเรียนแห่งนี้ ยังต้องการความช่วยเหลือจากคุณๆ อยู่อีกมากนะครับ
จะติดต่อพวกเขาได้อย่างไร เชิญได้ที่นี่ ครับ หากใคร สนใจ อยากจะสนับสนุน
หรือบริจาคเงิน สำหรับน้องๆเหล่านี้ เป็นจำนวนเงินเท่าใดก็ตาม
ติดต่อไปยังพวกเขาได้ที่ [email protected]

ออกจากโรงเรียนเยาววิทย์ เราก็ขับรถ่อเนื่อง ออกมารับประทานอหารกัน
ที่ร้านอาหารในจังหวัดกระบี่ โปรดอย่าถามว่า ชื่อร้านอะไร เพราะสารภาพว่า
จำไม่ได้จริงๆ รู้แต่ว่า เจ้าของร้านเป็นชาวเหนือ แต่มาทำร้านอาหารที่กระบี่

ร้านไหนที่รสชาติไม่ค่อยจะถูกปาก ผมมักจะจำไม่ได้หนะครับ
รู้แต่ว่า เมนูเทียงวันนั้นมี “หอยชักตีน”

ผมก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีหอยชนิดนี้ ก็ในทริปนี้เองนั่นละครับ
พี่อภิชัย นักข่าวที่ไปด้วยกันบอกว่า หอยชนิดนี้ จะมีให้กินกัน
ที่ในกระบี่ ไม่ค่อยจะเห็นในที่อื่นๆเท่าใดนัก

เมื่ออาหารทุกจานลงสู่กระเพาะอาหารของทุกคนเรียบร้อย
ก็ได้เวลาแห่งความหฤหรรษ์ เราจะเร่งทำเวลา บึ่งรถเข้าไปยัง
จังหวัดชุมพรกัน ผ่าน เส้นทาง เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด
ดังนั้น ต่อให้ ท้องอิ่ม หนังท้องตึง แต่หนังตาไม่หย่อนแน่ๆ

(ภาพจาก ช่างภาพของ Grand Prix International)

ก็แหงละ จะให้หนังตาหย่อนได้ยังไง ก็ดูถนนเอาสิครับ
โล่ง ว่าง สุดลูกหูลูกตา ไม่ต้องกลัวว่า จะมีใครขับสวนเลนมา
ให้หวาดผวาเล่น อาจจะต้องระวังกันบ้าง ก็แค่จุดกลับรถ ขนาดกว้าง
เท่ากับวงเลี้ยวของรถหัวลากคันมหึมา ที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ ก็แค่นั้นเอง
บางช่วง อาจจะมีรถกระบะ ของชาวบ้าน ทะเล่อทะล่า เลี้ยวกลับมา
ทั้งที่ รถในขบวนของเรา ก็เหยียบคันเร่งกันเต็มที่ แทบไม่ได้ยั้ง ไม่ได้ผ่อน
ทางผู้จัด (กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชันแนล กับพวกเรา ก็พยายามจัดช็อตถ่ายรูป
ให้ได้ออกมาอย่างที่เห็น กันนั่นละ

เราเดินทางกันด้วยความเร็ว ที่ สารภาพเลยว่า เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้ไปไกล
แต่ นั่นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงสมรรถนะ และการทรงตัว ในย่านความเร็วสูง
ของ E-Class ใหม่ ได้อย่างปลอดภัยเพียงพอ เพราะแทบจะทั้งถนน ดูจะมีแค่เพียง
กลุ่มของพวกเราเท่านั้น ที่ห้อตะบึงกันไปเป็นขบวน

แต่แน่นอนว่า ไม่มีคันไหน ในขบวน ที่ขับเข้าใกล้ ความเร็วสูงสุด
หรือ Top Speed ของรถรุ่นนี้ เลยแม้แต่น้อย

เหตุที่ต้องเหยียบกันจน เกือบจะเต็มมิดซะขนาดนั้น
ก็ลองคิดดูแล้วกันครับ ขนาด เราเร่งทำความเร็วในขบวนกันมาขนาดนี้
เราก็ยังมาถึง ศาลกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อกราบไหว้สักการะกันในยาม
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ไปได้สัก ชั่วโมงกว่าๆ (ประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง) กันแล้ว
ถ้าขืนใช้ความเร็ว ตามกฎหมายกำหนด เราน่าจะมาถึงชุมพรกันตอน 4 ทุ่ม
ยังไม่ทันจะได้ ตักข้าวเย็นเข้าปาก ก็ถึงเวลานอนกันแล้ว

ที่พักของเราในคืนที่ 2 ก็คือ โรงแรม Novotel ชุมพร
ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ ติดชายหาด แค่เพียงมีถนนกั้นแค่นั้น
แล้วเราก็ปิดท้ายคืนนั้นกันด้วย การรับประทานอาหารร่วมกัน ในบรรยากาศริมสระน้ำ
ซึ่ง หลายๆคน ก็พูดคุยสารพัดเรื่องราว หยอกล้อ คอเป็นเอ็น กันออกอรรถรส สนุกสนาน
ราวกับว่าไม่ได้เจอกันมา หลายปี ราวกับว่า เมาจนหัวราน้ำ ทั้งที่ แอลกอฮอลล์
ยังไม่ได้เข้าปากเลยสักหยดเดียว!

หลายคน อาจนอนพักผ่อนกันอย่างสบายๆ
บางคน หลับไปโดยไม่รู้เรื่อง บางคน หลับไปหวาดผวา สิ่งเร้นลับ กันไป
แต่ ข้าพเจ้า ยังคงนั่งหัวขวิด หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน รวมถึงการ ไรท์ CD เพลง
แจกให้กับพี่ๆ ในทริป ด้วยรายชื่อเพลงที่ ผมซื้อแผ่น CD ลิขสิทธิ์แท้
แล้วก็ลากลง โน้ตบุ๊ค เอา

เพราะว่า ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ที่จะต้อง ขับ E-Class ใหม่
โดยที่ มีเพลงในรถ เป็น ลาบานูน ซีลลีฟูล ยุคเก่า และ Big Ass

ไม่ใช่ว่า 3 วงนี้ เพลงไม่ดีนะครับ
ผมชอบเพลงของทั้ง 3 วง หลายเพลงเลยทีเดียว
โดยเฉพาะ Big Ass นั้น ชอบมากจนซื้อ CD ลิขสิทธิ์แท้ เก็บไว้เลย
(ตอนนี้ หายไปในกอง CD ที่บ้าน ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้)

แต่มันไม่เข้ากับบรรยากาศ ในการขับรถหรู อย่าง E-Class ใหม่ ในระดับรุนแรงมากกกก!

อีก 1 วันที่เหลือ ที่เราจะต้องขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ผ่าน กุยบุรี
ปราณบุรี ขึ้นมาถึง หัวหิน แวะพักรับประทานอาหารที่ร้าน สุพัตรา ตรงเขาหลัก
แล้วยิงยาวผ่านเพชรบุรี เข้าถนนพระราม 2 และขึ้นทางด่วน มาลงคลองตัน
เพื่อส่งคืนรถ ณ จุดหมายปลายทาง ที่ โชว์รูม Benz TTC ศรีนครินทร์

ผมคงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วแน่ๆ

ว่าแล้ว ก็เลยต้องขอแผ่น CD เปล่าๆ จากทาง PR ของ MBTh นั่นแหละ
แล้วก็ ไรท์ แจกกันไปเลย…แล้วข้าพเจ้า ก็ขับรถกลับถึง กรุงเทพฯ อย่างมีความสุข…

เฮ้อ ทำไมทริปนี้ ข้าพเจ้าทำแต่เรื่องผิดกฎหมายทั้งนั้นเลยเนี่ย?

เอาละ ข้างบนทั้งหมดที่คุณๆ เพิ่งอ่าน (หรือไม่ก็ Scroll ข้ามลงมา) จนจบไปนั้น หนะ
คือ เรื่องราวตลอดการเดินทาง อันผิดไปจากที่คาดนิดหน่อย

ตอนแรกหนะ เกรงว่า งานระดับ Mercedes-Benz นี่
จะมาในแนวหรูหรา อลังการงานสร้าง จนเรากลายเป็นคนตัวเล็ก

แต่พอเอาเข้าจริง กลับเป็นความรู้สึก เป็นกันเอง รื่นเริง
เฮฮากำลังดี และแถมจะออกลั่นล้า หน่อยๆด้วยซ้ำ

บรรยากาศประมาณนี้แหละ ที่ชอบชะมัด!!

ได้ความรู้สึกดีๆ กลับมา พะเรอเกวียน แม้จะมีเหตุเข้าใจผิด
ในช่วงท้ายๆของทริปนิดหน่อย แต่ทุกอย่าง ก็เรียบร้อย และผ่านไปด้วยดี

ถึงตอนนี้ ก็ได้เวลาที่เราจะมาทำความรู้จักในเบื้องต้น กับ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน  
ครั้งล่าสุด จากตระกูล ที่ถือว่าสำคัญที่สุด ของ Mercedes-Benz กันได้แล้ว…ซะที

ที่บอกว่าเป็นรุ่นสำคัญ ก็เพราะว่า E-Class เป็นรถยนต์รุ่นหลัก
ซึ่งทำตลาดอยู่ในทุกประเทศที่มี Mercedes-Benz ไปทำมาค้าขายอยู่
นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก เมื่อ 8 กันยายน 1947 ปัจจุบัน
รถยนต์ตระกูล E-Class ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วถึงเกือบ 60 ปี
ในอีก 3 ปีข้างหน้า และ Mercedes-Benz ก็สามารถผลิต และทำยอดขาย
ของ E-Class ทุกรุ่น รวมทั้งหมด ได้มากกว่า 12 ล้านคันทั่วโลก นี่แหละ
คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า E-Class ยังคงเป็น Premium Mid-size Saloon
ที่ชนะใจูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี มาตลอด

ส่วนรุ่นที่เห็นอยู่นี้ ถือเป็นรุ่นที่ 8 เผยโฉมครั้งแรก อย่างเป็นทางการ
ในงาน ดีทรอยต์ออโตโชว์ วันที่ 10 มกราคม 2009 และเริ่มเปิดรับจอง
ในวันที่ 12 มกราคม หรืออีก 2 วันหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม E-Class รุ่นนี้ ใช้เวลาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล มาถึงเมืองไทย
ค่อนข้างล่าช้า ไม่ทันใจเศรษฐีเมืองไทยกันเท่าใดนัก  จนผู้นำเข้ารายย่อย
ทั้ง TSL และ BRG ต่างแข่งกัน เปิดตัว E-Class พวงมาลัยขวา ตัดหน้า
Mercedes-Benz Thailand ไปก่อน แต่ถึงกระนั้น ทาง บริษัทแม่เอง
ก็ออกมาบอกว่า รถที่ผู้นำเข้ารายย่อย หรือ เกรย์มาร์เก็ต นำเข้ามานั้น
อาจมีปัญหากับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายในบ้านเรา เพราะมาตรฐานมลพิษ
รดับ Euro 5 นั้น ต้องการน้ำมันที่มีความสะอาดสูงมาก อดใจรออีกนิด
เวอร์ชันไทย กำลังเตรียมขึ้นสายการผลิตอยู่

และเพื่อไม่ให้ล่าช้าจนลูกค้าบ่นอุบไปกว่านี้ 24 สิงหาคม 2009 Mercedes-Benz Thailand
เลยขนเอา E500 คันสีช็อกโกแล็ต ที่เห็นอยู่ในภาพข้างล่าง ลงเรือมา เรียกน้ำย่อยกันก่อน
เป็นการเปิดตัวรอบ Pre-Launch ที่โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ จัดกันตั้งแต่เช้าตรู่
จำได้ว่า เช้าวันนั้น ข้าพเจ้า ต้องรีบบึ่งมาที่โรงแรม ในสภาพ กึ่งยิ้มกึ่งสัปหงก (ฮา)

เมื่อการเตรียมตัว ทั้งฝึกอบรมช่าง พนักงานขาย ผู้จำหน่าย และเตรียมเรื่องอะไหล่
กับบริการหลังการขาย พร้อมแล้ว 13 พฤศจิกายน 2009 Mercedes-Benz Thailand
ก็จัดงาน เปิดตัว E-Class ใหม่อย่างเป็นทางการ (ซะที) ที่ ลานมรกต เซ็นทรัล ชิดลม
พร้อมไปกับการเตรียมรุ่นประกอบในประเทศ

ในช่วงแรก หากไม่นับรุ่น E-Class Coupe ที่เปิดตัวรุ่นพวงมาลัยขวา ครั้งแรกของโลก
ที่งาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2009 แล้วนั้น ตัวถัง Saloon
จะมีเฉพาะรุ่น E250 CGI นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ด้วยราคา 4,649,000 บาท (แต่ถ้ามี
Panoramic Glass Roof  ราคาก็เพิ่มเข้าไปเป็น 4,799,000 บาท

แล้วจู่ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว หลังปีใหม่มาได้ 2 สัปดาห์ Mercedes-Benz ก็เปิดตัว
E300 Avantgarde ประกอบในประเทศ อย่างเป็นทางการเมื่อ 21 มกราคม 2010
พร้อมกับ S-Class Minorchange ประกอบ ในประเทศ

ครับ คันสีเงิน ในรูปข้างบนนี้แหละ รถประกอบในประเทศ รุ่นแรก ของ ตัวถัง W212

มิติตัวถังของ E-Class รหัสรุ่น W212 ใหม่ มีความยาว 4,868 มิลลิเมตร
กว้าง 1,854 มิลลิเมตร (หากรวมกระจกมองข้าง ความกว้าง จะอยู่ที่ 2,071 มิลลิเมตร)
สูง 1,471 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,874 มิลลิเมตร

ถ้าเปรียบเทียบกับรถรุ่นเก่า ที่มีความยาว 4,856 มิลลิเมตร กว้าง 1,822 มิลลิเมตร
สูง 1,483 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,854 มิลลิเมตร แล้ว รถรุ่นใหม่จะมี
ความยาวเพิ่มขึ้น 12 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 31 มิลลิเมตร เตี้ยลง 8 มิลลิเมตร
และมีระยะฐษนล้อยาวกว่าเดิม 20 มิลลิเมตร

รุ่น E300 จะมีน้ำหนักรถเปล่า 1,735 กิโลกรัม ส่วน รุ่น E500 จะมีน้ำหนักรถเปล่า 1,830 กิโลกรัม
น้ำหนักบรรทุก 545 กิโลกรัม น้ำหนักรวมผู้โดยสาร ผู้ขับขี่ และของเหลวต่างๆ จะอยู่ที่ 2,375 กิโลกรัม

รูปลักษณ์ภายนอก มาในสไตล์เฉียบคมยิ่งขึ้น ชุดไฟหน้า เปลี่ยนจากแบบกลม มาเป็นเหลี่ยม ในที่สุด
ความแตกต่างที่พอจะบอกได้ จากภายนอก ระหว่างทั้ง 2 รุ่น มีอยู่ 3 จุด ก็คือ สัญลักษณ์บอกรุ่น
ที่ฝั่งซ้ายของฝากระโปรงหลัง (แหงละ ข้อนี้ ถ้าเหมือนกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว) ต่อมา คือ ปลายท่อไอเสีย
ของรุ่น E300 แม้จะมาเป็นแบบ ปลายท่อ คู่ แยกฝั่งซ้าย-ขวา เหมือน E500 แต่รุ่น E300 ปลายท่อ
จะเป็นแบบวงรี ขณะที่ E500 จะใช้ปลายท่อแบบเหลี่ยม แนวสปอร์ต

และข้อที่ 3 คือ ลายของกระทะล้อ รุ่น E300 คันสีเงิน สวมล้ออัลอย 5 ก้านคู่ ขนาด 17 นิ้ว
สวมด้วยยาง 245/45 R17 แต่ในรุ่น E500 จะสวมล้ออัลลอย ลาย 5 ก้าน ขนาด 18 นิ้ว
ยางคู่หน้าเป็นขนาด 245/40 R 18  ส่วนยางคู่หลัง เป็นขนาด 265/50 R 18

ชุดไฟหน้า เต็มไปด้วยของเล่นไฮเทคมากมาย ตั้งแต่ ไฟหน้า Bi-Xenon ไฟ LED ที่ด้านล่างของเปลือกกันชนหน้า
สำหรับส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lght), ระบบทำความสะอาดไฟหน้าและระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
(Adaptive Main Beam Assist) ซึ่งมีโหมดการทำงาน extra-urban พร้อมเพิ่มความส่องสว่างริมถนนด้านข้าง
โหมด motorway พร้อมไฟหน้าที่ขยายขอบเขตการทำงานขึ้นซึ่งทำงานเป็นสองจังหวะ มีระบบ active light
เพิ่มการส่องสว่างในทางโค้ง ขณะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวและเข้าโค้งด้วยความเร็วต่ำ

พิเศษกว่ารถอื่นตรงที่ มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Main Beam Assist) หากในขณะที่คุณเปิดไฟสูง
ขับรถในตอนกลางคืน แล้วมีรถสวนมา หรือว่า เข้าใกล้บั้นท้ายของรถคันข้างหน้ามากไป กล้องที่ติดตั้งไว้ด้านหน้ารถ
จะตรวจจับรถ หรือวัตถุเหล่านั้น และจะปรับระดับขอบเขตการทำงานของไฟสูงในระยะห่าง 70 ถึง 300 เมตร
โดยอัตโนมัติ ทำให้ ไฟสูงจะถูกปรับลดเป็นไฟต่ำ อย่างนุ่มนวล เมื่อรถคันข้างหน้าพ้นจากการเร่งแซงไปแล้ว
ไฟหน้า จะถูกยกขึ้นกลับเป็นไฟสูงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ถ้าความเร็วของรถ ต่ำกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบนี้จะไม่ทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม ระบบจะยังคงทำงานจนกว่าความเร็วของรถ จะลดลงถึงระดับ
45 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเราต้องเซ็ตให้ทำงานเองก่อน บนสวิชต์ที่พวงมาลัย และหน้าจอ Multi Information
บนชุดมาตรวัด

ส่วนชุดไฟท้าย เป็นแบบ LED เรืองแสง สวยงามในเวลากลางคืน และชวนให้คุณเข้าใจผิดว่า
เป็นรถคันอื่น ที่ไม่ใช่ Mercedes-Benz แต่พอขับเข้าไปใกล้ๆแล้ว ไฟท้ายค่อนข้างสวยครับ

พื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหน้า มีการปรับปรุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ผิวสัมผัสวัสดุ ดูดีขึ้น
โดยเพิ่มพื้นที่ช่องประตูเข้าออกจากเบาะหน้าและเบาะหลังให้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย  
บรรยากาศอันอบอุ่น และดูโค้งมนร่วมสมัยจากรถรุ่นเดิม เริ่มเปลี่ยนไป เป็นแบบเหลี่ยมสัน

แม้ทั้งคู่ จะเป็น E-Class ใหม่ W212 เหมือนกัน แต่สัมผัสแรก จากการเปิดประตูคู่หน้า
ของ E500 กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก E300 อยู่นิดนึงเหมือนกัน อาจเป็นเพราะโทนสี
ในการตกแต่งห้องโดยสาร รุ่น E300 จะใช้โทนสีดำ แต่เบาะกับแผงประตู สีเทาอ่อน
ขณะที่รุ่น E500 จะเน้นโทนดำ แต่เบาะเป็นสีน้ำตาล

รูปทรงของเบาะนั่ง ดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกัน แต่อันที่จริงแล้ว มันไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียว
เบาะคู่หน้าของรุ่น E300 สามารถปรับ ระดับสูง-ต่ำ เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ปรับเอนนอน
หรือแม้แต่ ปรับที่ดันหลัง ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ซึ่งก็น่าแปลกว่า ปกติ สวิชต์ปรับระดับเบาะนั่งไฟฟ้า
ของ Mercedes-Benz ตระกูล Saloon แทบทุกรุ่น จะฝังตัวอยู่ที่แผงประตูด้านข้าง ครบทุกตำแหน่ง
แต่ใน E-Class ใหม่ สวิชต์ปรับดันหลัง ดันทะลึ่งย้ายลงมาอยู่ ณ ฐานรองเบาะ พลาสติก อย่างที่เห็น
ตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตูด้านข้าง และบนกล่องเก็บของ คอนโซลกลาง ซึ่งทำเป็นที่วางแขน
พร้อมฝาปิด 2 ฝั่งในตัว ก็ยังวางได้จริงอยู่ ถ้าปรับเบาะให้อยู่ในระดับต่ำๆหน่อย พื้นที่เหนือศีรษะ
ก็ยังมีเหลือสบายๆ แถมหนังหุ้มเบาะ ก็ยังนุ่มและเนียนมือมากกว่าหนัง Dakota ของ BMW
อีกทั้งยังมีหน่วยความจำสำหรับเบาะนั่ง กระจกมองข้าง และพวงมาลัย ร่วมกัน 3 ตำแหน่งมาให้อีกด้วย

แต่เบาะคู่หน้าของ E500 นั้น จะมีปีกข้างของพนักพิงหลัง ที่สามารถหุบเข้า หรือกางออกได้
จากการสั่งงานด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และมีระบบนวดมาให้อีกด้วย!! โอ้ว! เอาเข้าไป กะให้พลิดเพลิน
กับการขับขี่ ราวกับนั่งอยู่ใน สปานวดแผนโบราณกันเลยใช่ไหมเนี่ย? สวิชต์ควบคุมระบบนวด
จะถูกติดตั้งอยู่ข้างๆ เบาะรองนั่ง ด้านใน ติดกับกล่องคอนโซลเก็บของครับ

เมื่อเปิดประตูด้านหลัง จะพบว่า ขนาดของทางเข้าห้องโดยสารด้านหลัง ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนิดนึง
พื้นที่วางเท้าด้านหลังยาวขึ้น 11 มม. ในรุ่น E300 การมีระบบรับอากาศ แยกฝั่งซ้าย-ขวา สำหรับ
ผู้โดยสารด้านหลัง ก็นับว่าหรูพอแล้ว…

แต่พอเปิดประตูบานหลังของ E500 เข้าไป โอ้ แม่เจ้า! ตกลงนี่มัน E500 หรือ S500 กันแน่ละเนี่ย
มีจอมอนิเตอร์ ติดตั้งอยู่ในระดับสายตา กำลังดี สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมช่องเสียบ AUX-in 
ที่ด้านข้างจอ สำหรับเสียบเชื่อมต่ออุปกรณ์ ทั้งเครื่องเล่นเพลง หรือ เครื่องเล่นเกมต่างๆ มาให้ด้วย
อุปกรณ์ชุดนี้ ต้องสั่งติดตั้งพิเศษหนะครับ Mercedes-Benz Thailand เขาสั่งรถคันนี้เข้ามา เพื่อให้เรา
ได้ดูว่า ถ้า E-Class ใหม่ จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ แบบเต็มพิกัด มันจะออกมามีหน้าตาอย่างไร

เบาะนั่ง เย็บตะเข็บแนวนอน ทำให้เกิดมิติ จนเห็นถึงคุณภาพ และความละเอียดละออก
อีกทั้งยังทำให้เบาะนั่งมีความนุ่มนวลสะดวกสบายและมีความทนทานมากขึ้น พื้นที่เหนือศีรษะ
คราวนี้มีเยอะ และไม่ต้องเป็นข้อถกเถียงกัน ว่าหัวใครจะเฉี่ยวเพดานกันอีกหรือไม่ อีกต่อไป
ที่วางแขน ใช้งานได้จริง มีที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง พับเก็บซ่อนเอาไว้ กางออกอย่างไร ดูได้จาก
รูปของ E500 ข้างล่างนี้ครับ

เบาะหลังของ E500 ในภาพรวม ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก E300 เท่าใดนัก อาจจะมีตรงบริเวณ
ตรงกลางเบาะเพียงนิดหน่อยเท่านั้น รวมทั้งหนังที่ใช้หุ้มเบาะ ที่เหลือหนะ เหมือนกันเกือบจะทั้งหมด
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบ ดึงกลับอัดโนมัติ Pretensioner & Loadlimiter
มาให้ทั้ง 3 ที่นั่ง เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

ฝากระโปรงหลัง ยังคง เปิดแล้ว ดีดเด้ง ฟึ่บ! ในจังหวะเดียว เหมือนกับ E-Class W211 รุ่นก่อนไม่มีผิด
หลายคนอาจแปลกใจว่า ทำไม Mercedes-Benz ถึงไม่ยอมทำฝากระโปรงหลัง ให้ปิดลงได้นุ่มนวลกว่านี้

เปล่าหรอกครับ พวกเขาทำแล้ว แต่ทำเฉพาะรุ่น E500 นะครับ เพราะมีสวิชต์ สั่งเปิด หรือ ปิดฝากระโปรงหลัง
ได้ในจังหวะเดียว ควบคุมด้วยสวิชต์ไฟฟ้า จะสั่งให้ปิดลงไปธรรมดา หรือ ปิดแล้ว ล็อกเลย ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
ของดีๆ แบบนี้ น่าจะใส่มาในรุ่นล่างๆ ด้วยสักหน่อย เนาะ…

แผงหน้าปัด ของ E-Class ใหม่ พยายามจัดวางอุปกรณ์ ในแนวทางใกล้เคียงกับ S-Class รุ่นปัจจุบัน
อยู่พอสมควร แต่มาในรูปลักษณ์ ที่ดูเอาใจคนชอบขับรถมากกว่ากันนิดหน่อย กาย้ายตำแหน่งคันเกียร์
ไปอยู่ที่คอพวงมาลัย แบบ S-Class ก็ทำให้ในบางจังหวะ ผมเองก็เผลอเรอ เอามือควานหาคันเกียร์
ขณะขับขี่ อยู่บ้าง แล้วก็ได้แต่หัวเราะ กลบเกลื่อนความเฟอะฟะป้ำเป๋อของตัวเอง กันดื้อๆ
ตกแต่งด้วยลายไม้ ชื่อน่าหวาดเสียว ว่า Dark Ash Wood (ถ้าเขียนผิดนิดเดียว อาจฮาแตกได้)

ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้ง ระบบ COMAND APS Multimedia System อันประกอบด้วยจอมอนิเตอร์ 7 นิ้ว
พร้อมระบบนำทาง Navigation System ระบบโทรศัพท์ แบบมี Bluetooth ในตัว ควบคุมความบันเทิง
ได้ ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เครื่องเล่น CD/DVD 6 แผ่น หน่วยความจำ 40-GB
สล็อดสำหรับ SD memory cards รวมถึงยังมี ช่องเสียบ Aux-in ในกล่องเก็บสัมภาระ ควบคุม
การทำงานได้จาก สวิชต์ MultiFunction บนพวงมาลัย เช่นเดียวกับระบบ Cruise Control

รวมทั้งระบบเตือนผู้ัขับขี่ ให้อดพัก ATTENTION ASSIST ถ้าขับรถมาไกลๆ โดยไม่ได้แวะพักเลย
บนหน้าปัดจะขึ้นรูป แก้วกาแฟ มาให้ดูเล่นๆ เพื่อบอกว่า พักได้แล้วนะครับพี่

ส่วนแผงหน้าปัดของ E500 มีความแตกต่างจาก E300 อยู่บ้าง ก็ตรงพวงมาลัย หุ้มหนัง แซมด้วยลายไม้ด้านบน
ชุดเครื่องเสียง Upgrade ขึ้นเป็นแบบ Hi-End Logic7 โดย Harman Kardon ซึ่ง ผมว่า คุณภาพเสียงก็ยัง
มีอะไรให้กังขาอยู่นิดนึงเหมือนกัน หรือว่าผมปรับเสียงไม่ถูกเองก็ไม่แน่ใจ

Interface ของระบบ COMAND APS ยังไม่เปลี่ยนไป จากเดิม นั่นทำให้ ระบบ iDrive เจเนอเรชันล่าสุด
ของ BMW ดูจะใช้งานง่ายกว่า เข้าถึงเมนูต่างๆ ได้ง่ายกว่า อย่างชัดเจน แต่เรื่องนี้ ก็แล้วแต่ความถนัด
ของแต่ละบุคคลอีกนั่นละ บางคนอาจจะถนัด COMAND มากกว่า บางคนถนัด iDrive มากกว่า ก็ว่ากันไป

ในรุ่น E500 จะมีอุปกรณ์ติดตั้งพิเศษ ที่เยอะแยะมากมายก่ายกอง เกินหน้าเกินตาพี่น้องร่วมตระกูลรุ่นอื่นอยู่มากโข
จนขี้เกียจจาระไนให้อ่านกันทั้งหมด เลยทีเดียว ที่แน่ๆ ก็มี เจ้าซันรูฟ ไฟฟ้า พร้อมระบบดีดกลับอัตโนมัติ
เมื่อมีสิ่งกีดขวาง ทำงานร่วมกับระบบ PRE-SAFE เช่นเดียวกับกระจกหน้าต่างไฟฟ้าทุกบาน ที่จะปีดกลับทันที
หากเซ็นเซอร์เริมจับอาการได้ว่ารถเริ่มเสียการทรงตัว

ทัศนวิสัยด้านหน้า อยู่ในเกณฑ์ ดี ไม่มีปัญหาอะไร ขับๆไป ดวงดาวก็ยังคงนำทางให้เห็นอยู่เช่นเดิม

ส่วนด้านข้างนั้น อยากให้สังเกตที่กระจกมองข้าง
คุณจะเห็นว่ามีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีส้มๆโผล่ขึ้นมา

จำ Volvo S80 ได้ไหมครับ รถที่มีระบบเตือนเมื่อมี รถคันข้างๆ แล่นมา
ขนาบใกล้ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณไปเผลอเบียดเขา

เทคโนโลยีของ Mercedes-Benz ก็เหมือนต่อยอดระบบที่ว่าอยู่เหมือนกัน
คือมีการเตือนด้วยไฟสามเหลี่ยมสีส้มอย่างที่เห็น แต่ถ้าในกรณีที่คุณเผลอ
ออกนอกเลน หรือหลับใน หรืออะไรก็ตาม พวงมาลัย จะแอบสั่น
ให้คุณรู้สึกตัว และควบคุมรถให้กลับเข้าสู่ในเลนอย่างเดิม!!

ทัศนวิสัยในมุม ซ้ายรถค่อนข้างดี แต่กระจกมองข้างเล็กไปนิดนึงแหะ ยาวกว่านี้อีกนิดจะดีกว่าครับ

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง จัดอยู่ในเกณฑ์ ใข้ได้ ไม่บดบังการมองมากนัก

เครื่องยนต์ของรุ่น E300 เวอร์ชันไทย ประกอบในประเทศไทย นั้นเป็นบล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว
2,996 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ กำลังอัด 11.3 : 1 กำลังสูงสุด 219 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,000 รอบต่อนาที

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC พร้อมคันเกียร์ แบบ DIRECT SELECT เป็นก้านเล็กๆ
ติดตั้งอยู่บนคอพวงมาลัย และใช้วิธีการกระดิกนิ้ว เพื่อเปลี่ยนเกียร์ เนื่องจาก ณ วันที่บทความชิ้นนี้
เผยแพร่ ยังไม่มีการปรับปรุงข้อมูล อัตราทดของเกียร์ 7G-Tronic ในเว็บไซต์ของ Mercedes-Benz
Thailand แต่อย่างใด จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่แน่ชัด แต่คิดว่า อัตราทดเกียร์ ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก

ตัวเลขที่ทางโรงงาน เคลมไว้คือ อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7.4 วินาที
ความเร็วสูงสุดที่ 247 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ส่วนรุ่น E500 มาพร้อมขุมพลัง ขนาดมหึมา บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 5,462 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์
ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive By Wire กำลังอัด 10.7 : 1 กำลังสูงสุด มากถึง 388 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด สูงถึง 530 นิวตันเมตร (54.007 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,800 – 4,800 รอบ/นาที
เห็นตัวเลขแล้ว แทบไม่ต้องนึกถึงเลยว่า แรงดึงจากการออกตัวมันจะเร้าใจแค่ไหน

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แบบใหม่ 7G-TRONIC
พร้อมคันเกียร์ แบบ Direct Select  เช่นกัน มีเกียร์ถอยหลัง 2 จังหวะ

อัตราทดเกียร์ลูกนี้ ใน E500 คันนี้ มีดังนี้
เกียร์ 1           4.38
เกียร์ 2           2.86
เกียร์ 3           1.92
เกียร์ 4           1.37
เกียร์5            1.00
เกียร์ 6           0.82
เกียร์ 7           0.73
เกียร์ R1         3.42
เกียร์ R2         2.23
เฟืองท้าย        2.47

ทีนี้แหละ..เชื่อว่า คุณๆ คงอยากจะรู้แล้วละสิว่า รุ่นล่าสุดของ E-Class ใหม่เนี่ย มันเป็นอย่างไร
ดีพอไหมถ้าจะซื้อหามาใช้งานสักคันหนึ่ง

เนื่องจาก เราไม่ได้จับเวลาของ E300 มาให้ เนื่องจากว่า เรายังพอหาโอกาสยืมมา
ทำรีวิวกันอีกครั้งหนึ่งได้ จึงต้องขอเปิดทางให้กับ E500 รถซึ่งเราไม่อาจจะขอยืม
มาทดลองขับหลังจากนี้ได้อีก จะดีกว่า

ลองดูตัวเลข อัตราเร่ง ที่ผม กับน้องเต๋า อยู่ นสพ.สยามธุรกิจ ในฐานะบัดดี้ประจำรถ
จับเวลากันมานะครับโดยตัวเลขที่ได้นี้ มาจาก รถ สีช็อกโกแล็ต เติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ 95
จากปั้มน้ำมัน ปตท.ในตัวเมืองชุมพร (เพราะ เราไม่มีปั้มอื่นให้เติมนอกเหนือจากในเส้นทาง
ที่กำหนดให้ และเป็นการเติมน้ำมัน โดยทางทีมงาน ไม่ใช่ผม) โดย เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
กันตามสภาพเดียวกับที่เราทดลองรถกัน และตัวเลขที่ได้ ของ E500 มีดังนี้…

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ครั้งที่ 1     7.11  วินาที
ครั้งที่ 2     6.92  วินาที
ครั้งที่ 3     7.09  วินาที
ครั้งที่ 4     7.12  วินาที
เฉลี่ย        7.06  วินาที

อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ครั้งที่ 1     5.10  วินาที
ครั้งที่ 2     5.41  วินาที
ครั้งที่ 3     5.08  วินาที
ครั้งที่ 4     5.24  วินาที
เฉลี่ย        5.20  วินาที

ผมยังคิดว่า ตัวเลขอัตราเร่งน่าจะดีกว่านี้ หากเปลี่ยนมาเป็นน้ำมันเบนซิน 95 สูตรปกติ
ของปั้มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ ปตท. แต่เพียงแค่นี้ ก็พอจะบอกให้เราได้รับรู้ถึงศักยภาพของ
เครื่องยนต์ V8 บล็อกนี้กันได้แล้วเป็นอย่างดี

บุคลิกการขับขี่ในภาพรวมของ ทั้ง E300 และ E500 ใหม่ไม่นั้น แทบจะเหมือนกัน
แตกต่างตรงแค่ว่า E500 แรงกว่าชนิดทิ้งห่างกันเป็นทุ่ง ก็ดูแรงบิดสูงสุดเอาสิครับ
มากถึงขนาด 530 นิวตันเมตร มันฉุดกระชากร่างของคนขับ ให้พุ่งออกไป
อย่างนุ่มนวล แต่รวดเร็ว และร้อนแรง ราวกับเสียงของฟ้าคำราม ที่ออกจะดังยาวนาน
ไปสักนิด จากจุดหยดนิ่ง ไต่ขึ้นไปยังความเร็วระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ต่อเนื่อง
และใช้เวลาไม่นานเลย แทบไม่ถึง 30 วินาทีด้วยซ้ำ ถ้านับกันคร่าวๆ

แต่ E300 เอง ก็ให้แรงดึงขณะออกตัว ราวๆ 50-60 % ของแรงดึง ใน E500 ขณะออกตัว
ด้วยวิธีกดคันเร่งเต็มมิด ซึ่งถามว่าเพียงพอไหม? ผมมองว่า แค่นั้น ก็ดีมากแล้วละครับ

เกียร์ ค่อนข้างฉลาด เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ราบเรียบลื่นไหลแบบ CVT
แต่ นุ่มนวลมากๆๆๆ และพอจะจับอาการจากการเปลี่ยนเกียร์ได้นิดเดียว จริงๆ
การเรียกแรงบิดมาใช้ ทั้งในช่วงเวลาปกติ และในยามคับขัน นั้น ทำได้ดี และอย่างต่อเนื่อง
ดังที่ใจต้องการเลยจริงๆ ทั้งคู่

(ภาพนี้ โดยช่างภาพของ Grand Prix International)

ระบบกันสะเทือนหน้า แบบ 3 จุดยึด หลัง แบบ อิสระ MB มัลติลิงค์
ในรุ่น E300 ใช้คอยล์สปริง มาตรฐาน แต่ในรุ่น E500 ใช้ Air Spring
พร้อมระบบปรับความสูง-ต่ำ ของตัวรถได้ ที่สวิชต์ ณ แผงควบคุมกลาง

ผมแทบไม่รู้สึกความแตกต่าง ของระบบกันสะเทือน ในทั้ง 2 รุ่นนี้มากนัก
จนกระทั่งได้เห็การทำงานของระบบปรับสูง-ต่ำ นั่นละครับ จึงจะเริ่ม
ตระหนักได้ว่า มีความแตกต่างกันจริง

เพราะในช่วงเข้าโค้ง บนสภาพถนนขาขึ้นจากทางภาคใต้นั้น สภาพเส้นทาง
ไม่ถึงกับดีนัก และ ช่วงล่างของ E300 ให้ความมั่นคง แม่นยำ และตอบสนองดีขึ้น
กว่ารถรุ่นเดิมอย่างชัดเจน กระชับ แต่ยังคงความนุ่มนวล เอาไว้ในแบบที่ กำลังดี
ไม่มากไม่น้อยเกินไป ส่วนหนึ่งเราต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 2 รุ่นที่เราขับนั้น เป็นรุ่น
Avantgarde ที่มักจะมีช่วงล่าง แข็งกว่า รถรุ่น Elegance หรือ Classic เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

และระบบกันสะเทือนนี่ละ เป็นอีกจุดหนึ่ง ที่ทำให้ E-Class ใหม่ ขับสนุกมากขึ้นกว่าเดิมนิดนึง
การซับแรงสะเทือนทำได้ดี แต่ก็เป็นธรรมดา ที่ในบางรูปแบบของหลุมบ่อ ก็อาจจะส่งผลกระทบให้กับ
ระบบกันสะเทือน จนผู้ขับสัมผัสได้บ้าง กำลังดี ไม่ใช่นุ่มย้วยจนเกินเหตุ หรือ แข็งโป๊ก จนเกินจะทน

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ของ Mercedes-Benz รุ่นต่างๆ ที่ผมเคยทดลองขับ
ไปก่อนหน้านี้ ผมมักจะบ่นในเรื่องความแม่นยำของการบังคับเลี้ยว ที่เมื่อ
ต้องการเลี้ยว หักพวงมาลัยตามที่ต้องการ รถก็ยังไม่ยอมจะเลี้ยว แต่พอหักเพิ่มอีกนิดนึง
รถก็จะเลี้ยวมากเกินกว่าที่ต้องการ

แต่ใน E-Class ใหม่ ทั้ง E300 และ E500 พวงมาลัย เป็นไปตามสั่งแล้วครับ
อยากให้เลี้ยวแค่ไหน รถก็ไปตามนั้น ไม่มีอิดออด หรือเอาแต่ใจตัวเอง
อย่างที่เคยเจอใน SLK กับ C-Class W204 ใหม่ (ทั้งที่เป็นรถคนละประเภทกัน)
น้ำหนักในช่วงความเร็วต่ำ กำลังดีครับ ผู้ใหญ่น่าจะชอบ ออกแนว เบา แต่ไม่หนืดมาก
และไม่เบาโหวง

แต่สิ่งที่ถ้าปรับปรุงได้อีกนิด ก็จะดี อยู่ที่ ความหนืดของพวงมาลัย ในช่วงความเร็วสูง
มันควรจะมากกว่านี้ เพราะเมื่อ ใช้ความเร็ว เกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางหลวง
เมืองไทยซึ่งหลายท่านก็คงจะรู้อยู่ว่า พื้นผิวถนนเหล่านั้น มันน่าส่ายหัวแค่ไหน
ล้อ จะส่ง”เกือบ”ทุกเนินเว้าของพื้นผิวถนนที่ได้รับ ขึ้นมาให้มือที่จับพวงมาลัยได้รับรู้
และ สิ่งที่ส่งมา มักเป็นสภาพพื้นผิวแบบลอนคลื่น (เพราะพวกหลุมบ่อต่างๆ
ระบบกันสะเทือน ดูดซับไว้ให้แล้วเป็นส่วนใหญ่) ดังนั้น หลายคนจึงอาจรู้สึกว่า
รถมันส่าย ทั้งที่จริงแล้ว E-Class ใหม่ นิ่งมาก และไม่ส่าย

แต่ถ้าสงสัยว่า มันเบาหวิวจนน่าเป็นห่วงเลยหรือไม่?
ตอบเลยว่า “ไม่ต้องไปวิตกจริตมากขนาดนั้นครับ” เพราะยังไงๆ  
พวงมาลัยของ E-Class ใหม่ ทั้ง E300 และ E500 ก็ยังตอบสนอง
ต่อพื้นผิวถนน และการบังคับควบคุม เหมือนกัน “เป๊ะ”
และ เอาเข้าจริงแล้ว มันนิ่งสนิทดีมาก บนพื้นถนนที่เรียบสนิท
เพียงแต่ว่า อาจจะมีอาการดีดดิ้น ไปตามสภาพผิวถนน แบบที่
เป็นลอนคลื่น หรือมีการทรุดตัวของชั้นดินไม่สม่ำเสมอ ก็เท่านั้นเลย
เอาเป็นว่า วิ่ง 120 ลองปล่อยมือสั้นๆ รถก็ยังวิ่งตรงไปในเลนได้ดี
เพียงแต่ พวงมาลัย รับความเปลี่ยนแปลงจากพื้นถนนขึ้นมาพอสมควร
ตามหน้ากว้างของยางด้วย ก็เท่านั้น

(ภาพนี้ โดย ช่างภาพของ Grand Prix International)

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยนั้น มันเยอะมาก จนเขียนเล่าได้ไม่หมด
และถ้าเขียนจนหมด ผมก็แทบจะไม่เหลืออะไร เอาไว้ให้เขียนถึงอีกเลย
หากจะต้อง ทำบทความ Full Review ของ E300 ในครั้งต่อไป

แต่ ไหนๆก็ไหนๆ ก็อยากให้รับรู้คร่าวๆไปก่อนแล้วกันนะครับว่า
E-Class ใหม่ มีสารพัดเทคโนโลยี บนพื้นฐานของระบบ PRE-SAFE
ที่จะช่วยให้คุณปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้มากขึ้น

ระบบเบรกของ E-Class ใหม่ เป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อหมดแล้วก็ตาม
แต่ ในรุ่น E300 จะมีรูระบายความร้อนที่จานเบรกมาให้เฉพาะคู่หน้าเท่านั้น
ขณะที่ E500 ให้มาครบทั้ง 4 ล้อ นอกจากจะติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS
และระบบกระจายแรงเบรก EBD แล้ว ยังมีระบบ Adaptive Brake และ
ระบบช่วยเบรก BAS Break Assist ทำงานประสานกับ โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ESP Electronics Stability Control เจ้าเก่า เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์คับขัน ทันทีที่เซ็นเซอร์
ของระบบช่วยเบรก BAS รับรู้ว่า มีการเหยียบเบรกกระทันหัน หรือเมื่อ ESP
ตรวจจับได้ว่ารถเริ่มสูญเสียการทรงตัว การทำงานของระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุต่างๆ
จะเริ่มขึ้นทันที ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

ขั้นแรกเข็มขัดนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า แบบ Pretensioner & Load Limiter
ผ่อนแรง และรั้งกลับอัตโนมัติ จะปรับตัวกระชับเข้ากับร่างกาย ผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับพนักพิง
ของเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า จะถูกปรับให้ตั้งตรงขึ้น ซันรูฟและกระจกหน้าต่างทุกบาน
จะเลื่อนปิดเองทันทีโดยอัตโนมัติ

และถ้าเกิดอุบัติเหตุ โครงสร้างตัวถังนิรภัย Crumple Zone ถุงลมนิรภัย คู่หน้า (หรือด้านข้าง)
ม่านลมนิรภัยด้านข้าง พนักพิงศีรษะแบบ NECK-PRO head restraints รวมถึงอุปกรณ์นิรภัยต่าง ๆ
จะทำงานร่วมกันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้

หลังเกิดอุบัติเหตุ หากมันร้ายแรงมาก ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของชุดควบคุมจะตัดการจ่ายเชื้อเพลิง
โดยอัตโนมัติ พร้อม ๆ กับสั่งการให้เครื่องยนต์หยุดทำงานในทันที ขณะเดียวกันประตูทุกบาน
จะถูกปลดล็อกโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกระจกหน้าต่างจะถูกปรับเลื่อนลงเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้ ฝุ่นควันจากถุงลมนิรภัยระบายออกได้รวดเร็ว ช่วยให้อากาศภายในห้องโดยสารถ่ายเท
ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ บนกระจกรถยนต์ยังมีเครื่องหมายบอกตำแหน่งของการตัดตัวถัง
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่กู้ภัยให้สามารถเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ได้อย่างทันท่วงที

ดู วิศวกร ของ Mercedes-Benz เขาคิดสิครับ..!!!! ละเอียดแม้กระทั่ง คิดเผื่อเรื่องการตัดตัวถังด้วย!

แต่ทั้งหมดข้างบนนี้ เราไม่ได้ลองหรอกครับ และไม่อยากจะลองด้วย ไม่ว่าจะที่ไหน และเมื่อไหร่ก็ตาม

สิ่งเดียวที่เราได้ทดลองคือ ระบบเบรกของทั้ง E300 และ E500 ให้ความมั่นใจดี
ทั้งในสภาวะปกติ และสภาวะกระทันหัน กรณีมีวัตถุตัดหน้า ขณะขับด้วยความเร็วสูง
แต่รุ่น E500 จะหน่วงความเร็วของรถลงมาได้อย่างรวดเร็ว และฉับไวกว่า
แม้ว่าตอนนั้น คุณจะใช้ความเร็วอยู่ที่ระดับ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ตาม
แต่ก็ควรจะเผื่อระยะเบรกเอาไว้ให้เยอะนิดนึง หากใช้ความเร็วสูงเท่าใด
ก็ต้องเผื่อระยะเบรกให้เยอะตาม เป็นปกติ ของการขับรถ ส่วนสัมผัสจาก
แป้นเบรกของทั้งคู่ นุ่มนวล และให้น้ำหนักเหยียบลงบนแป้นเบรกที่ดี

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง?

เนื่องจาก การเดินทางครั้งนี้ ขับไปกันเป็นหมู่คณะ แถมยังต้องทำเวลา ตีรถเข้ากรุงเทพฯ
กันจ้าละหวั่นอีกต่างหาก อีกทั้ง รีวิว คราวนี้ ยังเป็น แค่แบบ First Impression ก็จึงยัง
ไม่ได้ทดลองจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอย่างจริงจัง มาให้แต่อย่างใด ยังเป็นแค่
การลองลิ้มชิมรส ก่อนจะตักข้าวปากจนหมดจาน ถ้าเขียนให้อ่านกันเต็มๆ
ผมก็คงไม่เหลือเรื่องราวไว้เล่าให้คุณผู้อ่านได้ฟังต่อกันพอดี ตัวเลขของรถรุ่น E300
ยังพอจะหาจังหวะทดลองได้อยู่ แม้จะยังไม่ใช่ในเร็ววันนี้ก็ตาม

แต่กับรุ่น E500 นั้น แม้จะไม่มีโอกาส จับตัวเลขอย่างจริงจัง แต่การวางขุมพลัง V8
ก็อย่าหวังว่ามันจะประหยัดน้ำมันได้มากมายนักครับ เอาเป็นว่า จากปั้มน้ำมัน ปตท.
ในตัวจังหวัดชุมพร ที่ทางทีมงาน ให้เราแวะเติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ 95 กัน

หลายคนขับ พลัดกันขับ มือสุดท้าย ของทริปนี้ที่ได้ขับ E500 ก็คือผม ซึ่งต้องเร่งตาม
ขบวนที่นำหน้าไปก่อน ราวๆ 30 นาที ให้ทัน งานนี้ พอพ้นตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่ง
การจราจรหนาแน่น ได้แล้ว คราวนี้ อัดกันมาแทบจะเรียกได้ว่า ตีนมิดติดเหล็กรถ
กันเลยทีเดียว เพื่อจะให้ทันส่งคืนรถ ก่อน 5 โมงเย็น เข้าสู่พระราม 2 ได้
เกินครึ่งทาง ก็เจอรถติด ทั้งอุบัติเหตุ และรถจะเบี่ยงเข้าคู่ขนาน พอจะขึ้นทางด่วน
รถติดที่หน้าด่านเก็บเงินอีก สิบกว่านาที

มาลงทางด่วนคลองตัน เลี้ยวกลับที่สี่แยกคลองตัน มุ่งหน้าไปยัง โชว์รูม Benz TTC
อันเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ก่อนหน้านั้น ทางทีมงาน แจ้งให้เราเลี้ยวเข้าไปเติมน้ำมัน
ที่ปั้มเชลล์ ใกล้กันนั้น ก่อน…และ ปริมาณน้ำมันที่เติมกลับเข้าไปนั้น…

แหะๆๆ

71 ลิตรกว่าๆ ครับ!!! เกือบเต็มความจุถังน้ำมันขนาด 80 ลิตร (บวกถังสำรองอีก 9 ลิตร)

เอาละ หวดกันมาขนาดนี้ ต้องทำเวลากันแบบนี้ กับน้ำมันที่ต้องเติมเข้ามาประมาณนี้
ก็เป็นเรื่องที่ตรงตามความคาดหมายไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ที่ Mercedes-Benz แจ้งเอาไว้ สำหรับ E500 นั้น

ตัวเลขวิ่งในเมืองอยู่ที่  16.4 – 16.7 ลิตร / 100 กิโลเมตร
ตัวเลขวิ่งนอกเมืองอยู่ที่ 7.7 – 8.0 ลิตร / 100 กิโลเมตร
เฉลี่ย รวมทั้งในเมืองและนอกเมือง 10.9 – 11.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร

แต่สำหรับ E300 เราขอแปะโป้ง จำนำ คำถาม เอาไว้ก่อน
เดี๋ยวถึงเวลา ได้รับรถ มาทดลองขับเพื่อทำ Full Review กันเมื่อใด
ก็คงจะรีบไถ่ถอนคำถาม มาตอบให้คุณผู้อ่านกันอีกครั้ง

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
แม้อยากจะขอพวงมาลัย ให้หนืดในย่านความเร็วสูงอีกนิดเดียวจริงๆ
แต่นี่ก็เป็น E-Class ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่เคยมีมา

ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหารของ Mercedes-Benz Thailand
บอกกับพวกเราว่า E-Class ใหม่ คือรถรุ่นที่ ทุกคนในบริษัทของเขาภาคภูมิใจมาก
เพราะมันได้รวมเอาสุดยอดเทคโนโลยี ต่างๆ ที่ดีที่สุดของ Mercedes-Benz
เอาไว้ด้วยกัน จนได้รับการยอมรับว่า เป็น “World’s Best Bussiness Sedan”

ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะ ผมเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยว่า
นอกจากจะยังคงจุดเด่นในการเอาใจลูกค้าประเภทนักบริหาร เจ้าของกิจการ
ที่ชอบขับรถเอง มากขึ้นแล้ว E-Class ใหม่ ก็ยังให้สมดุลในการขับขี่ ที่ดี
เกินกว่าที่จะคาดหวังกันไปด้วยซ้ำ

ในเบื้องต้น สิ่งที่อยากจะขอให้ปรับปรุงหนะ มีเพียงแค่น้ำหนักพวงมาลัย
ที่เบาไปหน่อย แม้ว่าจะมีการปรับความหนืดตามความเร็วของรถแล้ว แต่ก็
ยังถือว่า เบาไปนิดนึงสำหรับ ถนนเมืองไทย ที่มีเนินหลุมบ่อ มากมาย
และส่งอาการขึ้นมาให้ผู้ขับขี่หลายคน เป็นกังวลเล่นๆได้เหมือนกัน
ทั้งที่รถก็ยังคงนิ่ง และมั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นอะไรแน่ๆ ก็ตาม

ทีนี้ บางคนคงอยากรู้ว่า E300 จะมีดี เพียงพอ ที่จะทดแทนความรู้สึก
อันสนุกสนาน และรื่นรมณ์ของ E500 ได้มากน้อยแค่ไหน

ผมคงบอกได้เลยว่า คุณไม่จำเป็นต้องมองไปยัง E500 ที่แปะป้ายราคาคันละ 10,890,000 บาท 
ที่มาพร้อมความแรงระดับพาคุณพุ่งจากจุดหยุดนิ่ง ถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา
ไม่น่าเกิน 30 วินาที แต่ขับสบาย ด้วยเบาะคู่หน้า ที่มาพร้อมระบบนวดระดับวิลิศมาหรา
และชุดเครื่องเสียง Logic 7 จาก Harman Kardon พร้อมจอความบันเทิงด้านหลัง
และระบบนำทาง GPS อะไรนั่นให้มันสิ้นเปลืองเลย

ถ้าในเมื่อ คุณจ่ายเงินถูกกว่ากัน ครึ่งหนึ่ง แต่คุณได้ความเร้าใจในระดับที่
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก กับ E300 ในราคา 4,999,000 บาท

ดังนั้น สำหรับคำถามที่ว่า E300 จะให้สมรรถนะ เพียงพอต่อความต้องการไหม
ถ้าไม่มีเงินมากพอจะปีนขึ้นไปเล่น E500 คำตอบของผมก็คือ ถ้าคำนึงถึงการใช้เงิน
อย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ละทิ้งความสบายในการเดินทาง  ตอบสั้นๆว่า

“E300 ก็พอแล้วครับ”

ทีนี้ ก็เหลือเพียงคำถามเดียว
เป็นคำถามที่ตอบยากชะมัด ในตอนนี้

คำถามที่ว่า ระหว่าง E300 กับ E250 CGI ละ? ในเมื่อ แรงม้า และแรงบิด
ใกล้เคียงกันมากขนาดนี้ ควรจะเลือกรุ่นไหน ดีกว่ากัน?

จะให้ผมตอบเลยตอนนี้ เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เลยอยากจะขอแปะโป้ง
จำนำคำถาม เอาไว้ก่อน ไว้ทาง Mercedes-Benz Thailand พร้อมส่ง ทั้ง 2 รุ่น
มาให้เราทำ Full Review กันเต็มที่อีกรอบ เสียก่อน (ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า จะเป็นเมื่อใด
แต่ที่แน่ๆ คงยังไม่ใช่ เดือนมีนาคม นี้หรอก)

เมื่อถึงเวลานั้น ความสงสัย น่าจะหายไปหมดสิ้น จากห้วงความคิดของผม เสียที

———————————————–///—————————————————

ขอขอบคุณ
บริษัท Mercedes-Benz Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพที่ระบุเอาไว้ว่า ถ่ายโดย กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชันแนล
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
26 กุมภาพันธ์ 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures 
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 26th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่