ย้อนกลับไปหลายทศวรรษก่อน รถของ Ferrari เปรียบดังม้าป่าผยองที่ไม่ยอมให้ใครต่อใครขึ้นควบได้โดยง่าย นอกเหนือจากความสวยงามกับสมรรถนะแล้ว สิ่งอื่นๆถูกมองว่าไม่จำเป็น น้อยครั้งมากที่ค่ายนี้จะผลิตรถสักรุ่นที่ทำมาเอาใจคนรักความสบาย และเมื่อพวกเขาสร้างรถอย่าง 412 หรือ Mondial T ที่มีโฟกัสเรื่องความสบายออกมา ก็มักจะถูกมองในแง่ลบจากแฟนพันธุ์แท้ของค่ายว่าไม่แสบสันต์พอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากยุคคอมมิวนิสต์ล่มสลายลงและ PC กลายเป็นเรื่องปกติในบ้านเรือน Ferrari ในยุค 90s เริ่มปรับปรุงรถของพวกเขาให้ง่ายต่อการขับในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยมุ่งหวังจะให้เป็นซูเปอร์คาร์ระดับ ELITE ที่เจ้าของสามารถคว้ากุญแจไปขับได้ทุกวัน รถอย่าง California (Type F149) ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2008 คือรถที่ตอบโจทย์นั้น โดยมอบความหรู เทคโนโลยี และพลังกำลังมหาศาลเอาไว้ในเรือนร่างของรถเปิดประทุน ที่มาพร้อมหลังคาแข็งพับได้ กลายเป็นรถ Ferrari เครื่องยนต์วางด้านหน้ารุ่นแรกที่ใช้เครื่องพิกัด V8 ก่อนที่จะปรับปรุงเป็นรุ่น California T ในปี 2014 เลิกคบเครื่อง 4.5 ลิตร NA รอบจัดแล้วหันมาใช้เครื่องยนต์ Twin Turbo F154 ที่มอบแรงม้าเพิ่มจาก 460 บวกไปร้อยตัวเป็น 560 ตัว
ในปี 2017 หลังจากทำตลาดเกือบสิบปี California ก็ถูกแทนที่ด้วย Portofino (Type F164) ที่ดำเนินรอยตามแนวทางเดิม หรู แต่โหด ขับเอาอรรถรส หรือวิ่งในสนามก็ไม่หวั่น น้ำหนักเบาลง 60 กิโลกรัม แต่อัปพลังขึ้นเป็น 600 แรงม้าโดยใช้เครื่องยนต์ V8 3.9 ลิตรทวินเทอร์โบบล็อคเดิมที่ปรับปรุงรายละเอียดปลีกย่อยใหม่ โดยที่ตัวมันเองก็เป็นพื้นฐานให้กับ Ferrari Roma ซึ่งเปรียบเสมือนเวอร์ชั่นหลังคาแข็งน้ำหนักเบากว่าของ Portofino นั่นเอง และในวันนี้ 16 กันยายน 19.30 น. ตามเวลากรุงเทพ Ferrari ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว “Portofino M” ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ ที่คงคุณงามความดีแบบเดิมไว้ แต่บรรจุเทคโนโลยีใหม่ซึ่งถ่ายทอดมาจาก Roma
ชื่อ Ferrari Portofino M โดยตัว “M” ย่อมาจากภาษาอิตาเลียนว่า “Modificata” (Modified) นั่นเอง
ดีไซน์ภายนอก มีการปรับที่ส่วนหน้ารถ เปลี่ยนซี่กระจังหน้าใหม่ เพิ่มช่องดักอากาศที่ระนาบซุ้มล้อเข้ามาใหม่ เป็นช่องทางให้อากาศสามารถไหลผ่านไปข้างหลังรถ ลดแรงเสียดทานอากาศที่ด้านหน้ารถลง ส่วนที่ด้านท้ายนั้น ระบบไอเสียใหม่ของ Portofino M ทำให้ไม่ต้องมีที่เหลือสำหรับหม้อพักไอเสียด้านท้ายรถเพื่อลดเสียง ดีไซน์เนอร์ที่ Ferrari Centro Style จึงออกแบบกันชนใหม่ให้ดูเพรียวขึ้น และยังแยกส่วนที่เป็นดิฟฟิวเซอร์ออกจากกันชนหลัก ซึ่งในส่วนนี้ลูกค้าสามารถสั่งให้ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ได้
เครื่องยนต์ของ Portofino M เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ขนาด 3.9 ลิตร 3,855 ซีซี. เทอร์โบ ข้อเหวี่ยงแบบ Flatplane ปรับปรุงจากเครื่องยนต์ F154 เดิมที่คว้ารางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมตั้งแต่ปี 2016-2019 มีอัตราส่วนกำลังอัด 9.45 : 1 ให้กำลังสูงสุด 620 แรงม้า (PS) ที่ 5,750-7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 5,750 รอบ/นาที เหลือพอสำหรับตัวถังที่มีน้ำหนักไม่รวมของเหลว 1,545 กิโลกรัม (หรือ 1,664 เมื่อรวมของเหลวและอื่นๆตามมาตรฐานยุโรป) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.45 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.8 วินาทีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ของ Portofino M ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในระบบเซ็นเซอร์นับรอบการหมุนของกังหันเทอร์โบ ซึ่งช่วยทำให้กังหันของเทอร์โบใน Portofino M หมุนได้เร็วเพิ่มจาก Portofino รุ่นที่แล้วอีก 5,000 รอบต่อนาที ถือเป็นหนึ่งองค์ประกอบของระบบ Variable Boost Management ที่คอยปรับพลังบูสท์ของเทอร์โบให้เหมาะสม (แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร จะมีให้ใช้ที่เกียร์ 7 กับ 8) และแน่นอนว่าให้การตอบสนองตามแนวคิด “Zero Turbo Lag” เช่นเดียวกับ Roma และ F8 Tributo
เกียร์คลัตช์คู่ 8 จังหวะลูกใหม่ ยกมาจากเกียร์ของ Ferrari Roma ซึ่งเป็นเทคโนโลยีถ่ายทอดมาจาก Ferrari SF-90 Stradale เคสเกียร์มีขนาดเล็กลง 20% เมื่อเทียบกับเกียร์ 7 จังหวะของ Portofino แต่ยังสามารถรับแรงบิดได้สูงกว่าเดิม 35% โดยสามารถรับแรงบิดกระชากระหว่างเปลี่ยนเกียร์ได้ 1,200 นิวตันเมตร Ferrari เลือกอัตราทดรวมของเกียร์ 1-7 ให้จัดขึ้นกว่าของ Portofino แล้วเพิ่มเกียร์ 8 มาช่วยลดรอบเวลาเดินทางไกล อย่างไรก็ตามอัตราทดแต่ละเกียร์จะยังยาวกว่าของ SF-90 รวมถึงต้องมีเกียร์ถอยหลังเพิ่มเข้ามา (SF-90 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการถอยหลัง จึงไม่มีเฟือง Reverse ในเกียร์)
ในด้านการขับขี่ ระบบ SSC-Side Slip Control เจนเนอเรชั่นที่หก ได้รับการปรับปรุงเพิ่มในหลายด้าน และยังมี FDE-Ferrari Dynamic Enhancer ซึ่งสามารถปรับการตอบสนองของรถด้วยการควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกที่ส่งไปยังคาลิเปอร์ทั้งสี่ล้อ สามารถปรับแรงในการเบรกแต่ละล้อให้ต่างกันได้อย่างอิสระเพื่อการเลี้ยวรถที่คล่องตัวรวดเร็ว โดยระบบนี้จะทำงาน ก็ต่อเมื่อผู้ขับบิดสวิตช์โหมด Manettino ไปที่ “RACE” เท่านั้น นอกจากนี้ Ferrari ยังปรับลดระยะเหยียบของแป้นเบรกลงจากรุ่นเดิม 10% และปรับจูนการตอบสนองของเบรกทั้งระบบ เพื่อให้ควบคุมแรงเบรกมาก/น้อยได้ดังใจผู้ขับ
สำหรับการใช้งานสวิตช์ Manettino ใหม่ที่มี 5 Mode นั้น เลือกได้ตามความต้องการดังนี้
- WET – เปิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด และปล่อยให้ทำงานเต็มที่ สำหรับขับบนถนนลื่น
- COMFORT – ใช้สำหรับขับแบบปกติบนถนนแห้ง
- SPORT – ลดความไวและดีกรีในการทำงานของระบบช่วยเหลือ เพิ่มความคมของคันเร่ง พวงมาลัย
- RACE – ลดการทำงานของระบบรักษาการทรงตัวและแทร็คชั่นคอนโทรล เปิดใช้ระบบ FDE ตัวรถพยศมากขึ้น ขับยากท้าทายขึ้นแต่ยังปลอดภัย
- ESC OFF – ปิดระบบรักษาการทรงตัวและแทร็คชั่นคอนโทรลทั้งหมด เชิญรับผิดชอบชีวิตตัวเองตามความสามารถ
นอกจากระบบสมองกลเพื่อการขับแบบทำเวลาแล้ว ใน Ferrari Portofino M ใหม่นี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกสั่งออพชั่น ADAS เพิ่มเติมได้ ซึ่ง ADAS-Advance Driver Assistance Systems นี้จะประกอบไปด้วย
- Adaptive Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go
- Blind Spot Monitoring
- Lane Departure Warning
- Automatic High Beam
- Traffic Sign Recognition
- Surround View with 3D Display
- Rear Cross-Traffic Alert
และนี่ก็คือ Ferrari Portofino M ใหม่ ซึ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ สำหรับประเทศไทย คาดว่าภายใน 4-8 เดือนข้างหน้านี้ ทาง Cavallino Motors Co. Ltd, ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Ferrari อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก็จะนำเข้ามาขายให้ลูกค้าชาวไทย และแม้ว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าราคาเท่าไหร่ แต่คาดว่าไม่น่าจะหนีจากค่าตัวเริ่มต้น 21.23 ล้านบาทของ Ferrari Roma คู่แฝดหลังคาแข็งไปมากนัก Headlightmag จะนำเสนอท่านทันทีเมื่อทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ที่มา : Ferrari