นับถอยหลังสู่วันที่รถของค่ายม้าป่าผยองจะเข้าสู่เทรนด์แห่งการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ แม้ว่าในปัจจุบัน รถส่วนใหญ่ที่ Ferrari ขายจะเป็นรถเครื่องเบนซิน แต่อีกไม่นาน รถเหล่านี้ก็จะถูกแทนที่ด้วยซูเปอร์คาร์พลังไฮบริด SF90 Stradale คือรถที่ออกมาก่อนหน้านี้และพิสูจน์ให้เห็นว่าม้าป่าแบกถ่าน ไม่ใช่อุปสรรคต่อสมรรถนะ แถมยังเป็นตัวกวักมือเรียกลูกค้าหน้าใหม่ชั้นเลิศ ทำให้ Ferrari มั่นใจที่จะผลิตรถ Plug-in Hybrid ออกมาขายมากขึ้น

ต่อไปนี้..ขอเชิญพบกับ 296 GTB ซูเปอร์คาร์หลังคาแข็งพิกัดกลาง ซึ่งมีตำแหน่งทางการตลาดเท่ากับ Ferrari F8 Tributo ขุมพลัง V8 ซึ่งหลังจากทยอยส่งมอบให้ลูกค้าที่จองไว้ครบ ก็จะเลิกผลิตในปี 2022 ดังนั้น จะกล่าวว่า 296 GTB มาแทน F8 ก็คงจะไม่ผิดนัก

ชื่อ “296 GTB” นั้น มีความหมายที่ตรงตัว GTB คือ Gran Turismo Berlinetta ซึ่งก็คือรถ GT หลังคาแข็ง เปรียบเหมือนนามสกุลย่อยๆของค่ายนี้ ส่วน 296 ก็มาจากเครื่องยนต์ สองตัวแรกคือ 2.9 ลิตร ส่วน 6 ตัวหลัง ก็คือจำนวนลูกสูบ ใช่แล้วครับ หากไม่นับบรรดารถแข่ง นี่คือ Ferrari รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ V6 สูบแล้วแปะโลโก้ Ferrari ขาย ที่ต้องเขียนว่า “แปะโลโก้ Ferrari” เพราะในยุค 60s-70s นั้น Ferrari ก็ผลิตรถ V6 เช่นกัน แต่จำหน่ายในแบรนด์ย่อย “Dino” ซึ่งตั้งชื่อตามลูกชายของท่าน Enzo Ferrari ผู้ก่อตั้งนั่นเอง

แต่เห็นคำว่า V6 แล้ว สาวกม้าป่าอย่าเพิ่งเบือนหน้าหนีครับ เพราะอย่าลืมว่ามันไม่ใช่แหล่งกำลังเดียวของรถคันนี้ และ..ถึงเป็น V6 แต่กำลังจากเครื่องยนต์อย่างเดียวก็แรงกว่าเครื่อง V8 ของ Ferrari Roma แล้ว

สไตล์ตัวถัง เป็นงานของแผนกดีไซน์ Centro Stile Ferrari ภายใต้การควบคุมดูแลของบอส Flavio Manzoni เจ้าเก่า จะเห็นได้ว่าเส้นสายหลายส่วน โดยเฉพาะไฟหน้า และช่องดักลมเป่าเบรกหน้านั้นมีทรวดทรงทำให้นึกถึง Ferrari SF90 Stradale ไฟท้ายที่มองผ่านๆเหมือนโดนัทแต่ก็มีความแบนลีบ คล้ายไฟท้ายของ Roma ส่วนเอกลักษณ์คลาสสิคอย่างหนึ่งที่เห็น คือเสา B-pillar และความโค้งส่วนโป่งท้ายรถและหางหลังตูดเป็ด ซึ่ง Manzoni บอกว่า เอาดีไซน์ของรถแข่งคลาสสิคอย่าง Ferrari 250 LM มาประยุกต์

ทางด้านแอโร่ไดนามิกส์ ก็เห็นร่องรอยท่วมคันตามสไตล์ Ferrari แต่ที่ผ่านมา กับ Ferrari ส่วนใหญ่ ชุด Active Aeropart ที่ขยับได้ มักจะเอาไว้ใช้หวังผลในการจัดกระแสลมให้รถแหวกอากาศไปได้ดีขึ้น แต่กับ 296 GTB นั้น ส่วนที่ขยับได้ จะออกแบบมาเพื่อสร้างแรงกดอากาศโดยเฉพาะ เช่นสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมทือๆ ซุกตัวอยู่เหนือโลโก้ม้าป่าที่ด้านท้ายรถ และเมื่อกางออกมา ก็จะสามารถสร้างแรงกดที่ความเร็ว 250kmh ได้มากกว่า F8 ถึง 100 กิโลกรัม ยิ่งถ้าเป็นรุ่นตกแต่ง Assetto Fiorano หางหลังของมันสามารถสร้างแรงกดรวมได้ถึง 360 กิโลกรัมที่ความเร็วเท่ากัน

สำหรับขนาดตัวนั้น มีตัวเลขสเป็คดังนี้

Dimension มิติตัวรถ

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,565 x 1,958 x 1,187 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ wheelbase : 2,600 มิลลิเมตร
  • ระยะแทร็คล้อหน้า/หลัง เท่ากับ 1,665 และ 1,632 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ Dry Weight 1,470 กิโลกรัม อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก หน้า 40.5% หลัง 59.5%
  • ถังน้ำมันมีความจุ 65 ลิตร

ดังนั้น ขนาดตัวรถจึงเล็กกว่า F8 ในทุกมิติ รวมถึงระยะฐานล้อ ที่ถูกหดสั้นลง 50 มิลลิเมตร ซึ่ง Ferrari ให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการให้รถ Plug-in Hybrid คันนี้มีสมรรถนะการขับที่ดียิ่งกว่า F8 ขึ้นไปอีก ดังนั้น ตัวถังที่เล็กลงก็จะมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก เช่นเดียวกับการใช้เครื่องยนต์ที่เล็กลงนั่นเอง ซึ่งก็ไม่แปลกที่เมื่อขึ้นแท่นชั่งแล้ว 296 GTB จะหนักกว่า F8 Tributo แค่ 35 กิโลกรัมเท่านั้น และส่วนที่มีน้ำหนักเยอะ ก็ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าของ F8

สำหรับพลังขับเคลื่อนตัวรถ ในส่วนของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทีมวิศวกร Ferrari มีชื่อเล่นให้เครื่องบล็อคนี้ว่า “Little V12” เนื่องจากในขั้นตอนการสร้าง มีความพยายามในการจูนเสียงเครื่องยนต์ให้คล้ายเสียง V12 ของ 812 Superfast มากที่สุดเท่าที่เครื่อง V6 จะทำได้

เครื่องยนต์ V6 รหัส F163 นี้ ถ้าดูเผินๆหลายคนคงนึกว่าพัฒนามาด้วยกันกับเครื่อง Nettuno ของ Maserati MC20 แต่ผิด! เพราะเสื้อสูบก็คนละตัวกันแล้ว เครื่องยนต์ของ Maserati เป็น V6 กาง 90 องศา แต่ Ferrari จะกางมากถึง 120 องศา ทำให้เป็นเครื่องยนต์ V6 Production รุ่นที่สองของโลกที่เลือกเสื้อสูบลักษณะนี้ โดยรถรุ่นก่อนหน้านี้ก็คือ McLaren Artura PHEV นั่นเอง เหตุผลที่เลือกใช้ก็คล้ายกัน

  • เนื่องจากต้องแบกน้ำหนักชุดขับเคลื่อนไฮบริดเพิ่ม การใช้เครื่อง V6 ที่ขนาดเล็กและเบาลงย่อมคุมบาลานซ์น้ำหนักได้ดีกว่า
  • กาง 120 องศา ทำให้สามารถวางเทอร์โบ IHI เอาไว้ตรงกลางระหว่างเสื้อสูบได้อย่างพอดี
  • ลักษณะของเครื่องยนต์มีส่วนทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ เมื่อรวมกับระบบไฮบริดและแบตเตอรี่ที่ติดตั้งไว้ต่ำ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำลงไปกว่ารถ V8 ชดเชยจุดด้อยในเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้สบาย (เพราะน้ำหนักรถจริงก็เพิ่มขึ้นไม่เยอะ)

พลังจากเครื่องยนต์ มีมาให้ 663 แรงม้า (PS) ส่วนพลังจากมอเตอร์นั้น มี 167 แรงม้า เมื่อระบบทั้งสองทำงานร่วมกัน Ferrari เคลมว่าจะได้กำลังทั้งหมด 830 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 740 Nm ที่ 6,250 รอบต่อนาที สามารถใช้รอบสูงสุดได้ 8,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่เกียร์คลัตช์คู่ F1 DCT 8 จังหวะ

ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 kmh  2.9 วินาที
  • อัตราเร่ง 0-200 kmh 7.3 วินาที
  • Top Speed ความเร็วสูงสุด  330 kmh
  • ความเร็วสูงสุดในโหมด EV 134 kmh
  • EV Range = 25 กิโลเมตร (จากแบตเตอรี่ความจุไฟ 7.45 kWh)

นับว่าทำอัตราเร่ง 0-200 ได้เร็วกว่า F8 เสียอีก แม้ว่าความเร็วสูงสุดจะน้อยกว่ากันอยู่ 10 kmh ก็ตาม แถมท้ายด้วยสถิติที่บันทึกไว้จากสนามทดสอบ Fiorano Track ซึ่ง 296 GTB ทำเวลาได้ 1 นาที 21 วินาที เร็วกว่า F8 อยู่ 1.5 วินาที

ภายในของรถ รับสไตล์มาจาก SF90 Stradale ส่วนหนึ่ง โดย Flavio Manzoni อธิบายว่า ใน SF90 นั้น เขาออกแบบมาเพื่อให้มันดูต่างจาก Ferrari ทุกรุ่นที่มีมาในอดีตอย่างสุดขั้ว แต่สำหรับ 296 GTB นั้น จะลดโทนลง และพยายามที่จะเอาเส้นสายจาก 458 และ Ferrari รุ่นอื่นในอดีตที่คุ้นตากลับมาประยุกต์ในจุดต่างๆมากขึ้น คอนโซลออกแบบให้โน้มเข้าหาคนขับ และมีสวิตช์แบบ Touch-capacitive หน้าเรียบ เอานิ้วแตะ สำหรับใช้ควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ

ส่วนฟังก์ชั่นที่จำเป็นต่อการขับขี่นั้น จะยังใช้ปุ่มแบบกดหรือหมุน เช่นสวิตช์เลือกโหมดการขับ e-Manettino ซึ่งจะประกอบด้วยโหมด eDrive, Hybrid, Performance และ Qualify ซึ่งทุกองค์ประกอบของรถจะปรับตามการเลือกในแต่ละโหมดโดยอัตโนมัติ eDrive จะล็อคให้ใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความจำเป็น เพราะในยุโรปบางเขตตัวเมืองจะห้ามรถที่มีมลพิษสูงเข้า ส่วนโหมด Hybrid จะมีไว้สำหรับการขับขี่ทั่วไปโดยเปิดระบบรักษาเสถียรภาพรถเต็มพิกัด ในขณะที่ Performance จะปรับลดการ์ดของระบบลง เพิ่มความคมของคันเร่ง น้ำหนักพวงมาลัย ให้ขับได้แรง และสนุก แต่ยังเหลือการป้องกันในระดับที่ “ยอมให้หลุด แต่ไม่ยอมให้ตาย” ส่วน Qualify คือโหมดเค้นสมรรถนะสูงสุด

นอกจาก 296 GTB รุ่นปกติแล้ว ถ้าใครต้องการแพ็คเกจเสริมสมรรถนะ ก็ยังมี 296 GTB Assetto Fiorano ให้เลือก

โดยในแพ็คเกจนี้ จะเพิ่มอุปกรณ์ประเภทลดน้ำหนัก เพิ่มส่วนที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ เช่นที่กันชนหน้า และภายในของรถ ช่วงล่าง Multimatic เปลี่ยนจากแบบปรับความหนืดได้ เป็นสเป็คแข่งที่ปรับไม่ได้แทน แผงประตูออกแบบใหม่เพื่อให้ลดน้ำหนักลงได้อีกข้างละ 12 กิโลกรัม ลูกค้าสามารถเลือกสั่งออพชั่นกระจกหลังทำจากวัสดุ Lexan ที่น้ำหนักเบาได้ และสามารถสั่งคาดแถบสีที่เอามาจากรถแข่ง 250LM ได้อีกด้วย

Ferrari เปิดรับจอง 296 GTB แล้วในวันนี้ โดยกำหนดส่งมอบรถคันแรกถึงมือลูกค้า จะเริ่มในไตรมาสแรกของปี 2022

นับว่า นี่คืออีกก้าวหนึ่งของความพยายามในการอยู่รอดของผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากฝั่งสิ่งแวดล้อม ที่ต้องทำรถให้ CO2 น้อยลง หรือเตรียมผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้พร้อมสำหรับตลาดในหลายประเทศที่กำลังทยอยแบนรถที่ใช้เครื่องสันดาปภายในเพียงอย่างเดียวในไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง ก็ต้องพยายามเอาใจลูกค้าประจำแบรนด์ ซึ่งซื้อรถเพราะสมรรถนะการขับ และความเพลินหูที่ได้จากการฟังเสียงเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่ง Ferrari ก็แก้โจทย์สองข้อนี้ได้สำเร็จไปแล้วใน SF90

ส่วนใน 296 GTB ก็นับเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่มีค่าตัวย่อมเยากว่า แต่พลังและความเร็วก็สามารถแทนที่ F8 Tributo ได้อย่างสบาย เป็นตัวเลือกที่สำคัญมากสำหรับการเดินยอดขายสำหรับตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็ว และกวักมือเรียกลูกค้าเศรษฐีใหม่ได้ง่ายขึ้น

ที่มา : Ferrari.com