หากพูดถึง Toyota Camry เวอร์ชั่นออสเตรเลีย หลายคนที่ทันในช่วงเวลานั้นจะนึกย้อน
ไปทันทีว่ามันคือ Camry รุ่นแรกที่มาบุกเบิกตลาดในประเทศไทย โดยตอนนั้นมีฉายาที่
เรียกติดปากพวกเราว่า “Camry โฉมหางหงส์ หรือ ท้ายหงส์” (รหัสตัวตัง XV10) ซึ่งเปิด
ตัวในไทยครั้งแรกเมื่อปี 1992 ซึ่ง ถือว่าเป็นรถประกอบนอก นำเข้าจากออสเตรเลียแบบ
ทั้งคัน

และหลังจากหมดอายุตลาดของโฉมท้ายหงส์แล้ว รุ่นต่อมาก็คือ Camry (รหัสตัวถัง XV20)
หรือที่รู้จักกันในนาม “Camry ไฟไม้บรรทัด” (ส่วนตัว Minorchange รุ่นท้ายๆ จะเรียกว่า
“ไฟย้อย หรือ ท้ายย้อย”) ซึ่งในปี 1997 เป็นช่วงแรกๆของการทำตลาดสำหรับโฉมนี้
มันก็ยังคงเป็นรถนำเข้ามาจากออสเตรเลียอีกเช่นกัน แต่พอถึงปี 1999 ก็ได้ย้ายฐาน
การผลิต Camry เข้ามาในประกอบในไทยอย่างเต็มตัว และหลังจากนั้นบ้านเราก็ไม่เคย
นำเข้า Camry จากออสเตรเลียอีกเลย

จนกระทั้ง ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเรื่องหนึ่งทำให้เกิดความประหลาดใจกับทุกคนเป็น
อย่างมาก คือจะมี Camry รุ่นพิเศษซึ่งเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา
แล้วสร้างแปลกใจได้ยังไงน่ะหรอ? ก็เพราะมันคือรถรุ่นที่นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย
อีกครั้ง และหน้าตาจะแตกต่างไปจากรุ่นปัจจุบันที่ผลิตในบ้านเราอย่างสิ้นเชิง!!

ทุกคนรู้สึกแปลกใจไปตามๆกันกับเรื่องนี้ว่า เอ๊ะ… Toyota กำลังคิดทำอะไรอยู่ ทั้งที่รุ่น
Minorchange ของ Camry ตัวปัจจุบันเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเดือน มีนาคม และหลายคน
ก็แอบลุ้นว่าหากเป็นเช่นนี้ เราจะได้เห็นหน้าตาเหมือนเวอร์ชั่นอเมริกาอย่างที่ปรารถนา
กันหรือไม่?

All New Camry Esport Test Drive_072_resize_resize

ปรบมือสิครับ รออะไร! ยินดีด้วยกับคนที่หวังว่ามันจะมีหน้าตาแบบเวอร์ชั่นอเมริกา
วันนี้มันได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วครับ แล้วมันจะมีชื่อรุ่นว่าอะไรละ?

หลังจาก Camry Minorchange รุ่นประกอบในบ้านเราได้ใช้ชื่อ Extremo ที่หน้าตาเหมือน
เขี้ยวอสูรกันไปแล้ว คราวนี้โฉมนำเข้าจากออสเตรเลียจะมีชื่อว่า Camry ESport ฟังแล้ว
มันคุ้นๆกับที่อยู่ใน Altis ไหมครับ?

ขนาดตัวถัง Toyota Camry ESport มีความยาว 4,850 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร
สูง 1,470 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,775 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,580
มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,570 มิลลิเมตร

ตัวเลขมิติหลายๆอย่างดูไปแล้วก็เท่าๆกันกับ Camry รุ่นปัจจุบัน แต่จะมีบางจุดที่ต่างออกไป
เช่น ความกว้างตัวถังของ Camry Esport มากกว่า Camry ปกติ 5 มิลลิเมตร และระยะ
ต่ำสุดจากพื้น Camry Esport (154 มิลลิเมตร) สูงกว่า 4 มิลลิเมตร

IMG_0688_resize

รูปลักษณ์ภายนอกรอบคันเรียกได้ว่าเป็นคนละอย่างกับเวอร์ชั่นที่ขายอยู่ในบ้านเรา
เลยครับ มันก็คือ Camry หน้าตาแบบฝั่งอเมริกา ที่หลายๆคนกำลังโหยหา บอกว่า
เมื่อไร Toyota จะนำหน้าตาแบบนี้มาขายในบ้านเราเสียที!? ถ้ามาแล้วจะซื้อเลย!
ในที่สุดวันนี้มันเดินทางมาถึงแล้วครับ “เอ้า! ซื้อสิครับ รออะไรกันอยู่!”

การดีไซน์เน้นความสปอร์ตต่างไปจาก Camry ประกอบในบ้านเราเลยครับ ซึ่งจะเน้น
ความเรียบหรูดูพรีเมี่ยมมากกว่า ไฟหน้า Camry Esport เป็นแบบโคม Projector รมดำ
แต่ทว่าไส้ในเป็นหลอดเหลือง “ฮาโลเจน” นะจ๊ะ! ด้านล่างของกันชนหน้าเป็นตำแหน่ง
ที่อยู่ของไฟ Daytime Running Light รวมถึงกระจังหน้าโครเมี่ยมรมดำเชื่อมต่อเป็น
ชื้นเดียวกันกับช่องดักลมขนาดใหญ่ด้านล่างที่มีลักษณะเป็นซี่ตระแกรงสีดำ ให้ความดุดัน
และอารมณ์สปอร์ต ยิ่งไปกว่านั้น Camry ESport ยังมีสีตัวถังให้เลือกเยอะถึง 7 สี มณี 7
แสงเลยกันเลยทีเดียว

ด้านข้างแตกต่างกับตัวประกอบบ้านเราก็เห็นจะเป็นที่เสา C-Pillar ครับ มีแถบคิ้วสีดำตรง
ขอบประตูด้านหลังเพิ่มเข้ามา รวมถึงเส้นสายที่พาดผ่านประตูนั้น จะดูมนแต่ป่องออกมา
อ้วนๆอูมๆมากกว่า ส่วนบานประตูด้านหลังรูปลักษณ์ต่างกันเล็กน้อย บริเวณจุดหักลงของ
กรอบหน้าต่าง มีลักษณะที่ตัดลงมาคมกว่า

All New Camry Esport Test Drive_078_resize_resize

ท้ายรถลักษณะโคมไฟก็เป็นดีไซน์ที่ต่างไปจาก Camry ตัวบ้านเรา ซึ่งจากที่ได้ยินมา
บางคนก็ไม่ได้ชอบมันสักเท่าไรนัก บ้างก็ว่าเรียบเกินไปดูเชยๆ อย่างไรก็ตามเวอร์ชั่น
อเมริกาก็ดีไซน์แบบเดียวกันนี้ล่ะครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่า Camry อเมริกา ไฟท้ายมัน
ก็ดูไม่ค่อยโดนเท่าไรมาตั้งแต่โฉม XV40 แล้ว (ตัวนั้นเฉิ่มมากก!) จะว่าไปตัว ACV40
โฉมก่อนปัจจุบันที่ขายในบ้านเรายังดูสวยกว่ามาก อันนี้ก็แล้วแต่ในมุมมองของแต่ละ
คนนะครับ ส่วนการตกแต่งอื่นๆ ก็มีสปอยเลอร์หลังรวมไปถึงท่อไอเสียแบบคู่

IMG_0763_resizeIMG_0764_resize

แต่มีสิ่งหนึ่งที่คนไทยเราปรารถนาเป็นยิ่งนัก และหาไม่ได้ใน Camry รุ่นปกติบ้านเรา
ก็คือ ถ่าด๊ามส์ส์ส์!! หลังคา Moonroof! ขนาดตัวท็อป Hybrid ก็ไม่มีมาให้! ซึ่งการทำงาน
จะแยกเป็น 2 แบบ ทั้งเลื่อนเปิด/ปิดปกติหรือต้องการแค่กระดกเผยอขึ้นก็ย่อมได้
รวมถึงออพชั่นกระจกมองขับพับอัตโนมือ!! คุณอ่านไม่ผิดครับ Camry Esport รุ่นนี้ไม่มี
กระจกพับไฟฟ้ามาให้ ก็ต้องลงไปพับกันเอง เพราะออสเตรเลียการจอดรถราเขาไม่
แน่นเบียดเสียดเท่าบ้านเรา ออพชั่นนี้สำหรับต่างประเทศเขาไม่ได้ซีเรียสมากครับ
แต่สำหรับบ้านเรา มันค่อนข้างสำคัญนะเวลาต้องจอดรถในที่แคบๆ

ล้ออัลลอยเป็นขนาด 17 นิ้ว ให้มา 5 วง กันเลย (ล้ออะไหล่ด้วยนะจ๊ะ) ลายแบบเดียวกับ
2.5G และ Hybrid เป๊ะ! มาพร้อมกับยาง Bridgestone Turanza ER33 ขนาด 215/55 R17
ผมได้เข้าไปส่องในเว็บไซต์ของ Toyota ออสเตรเลียมาแล้วครับ แอบเสียดายอยู่เล็กๆ
เหมือนกันว่า ทำไมไม่เอาล้อ 18 นิ้ว ก้านใบพัดสีดำมาาา! พอเป็นลายนี้มันก็เลยดูจืดไปหน่อย
ไม่ใช่ว่ามันไม่สวยนะครับ แต่ถ้าจะเลือกเดินมาในแนวสปอร์ตแล้วก็ไปให้สุดโต่งเลย ล้อนั้น
ดูหล่อลงตัวมากกกจริงๆ

IMG_0747_resize

จะว่าไปก็เข้าใจนะครับเพราะที่ Toyota ประเทศไทยนำรุ่นนี้เข้ามาก็เป็นตัวท็อปของ
Camry ในออสเตรเลียแล้วนะ ก็เลยได้ล้อ 17 นิ้วลายนี้แหละ ส่วนล้อ 18 นิ้วก้านใบพัดนั้น
ดันใส่อยู่ในรุ่นรองท๊อป! ซึ่งกรณีนี้คล้ายๆกันกับ Altis 1.8V และ 1.8E ESport นั่นแหละครับ
ที่ตัวรองได้ล้อใหญ่และลายแจ่มกว่าตัวบน หรือใครอยากเห็นว่าเป็นอย่างไรก็เปิดดูได้ใน
เว็บไซต์ของ Toyota ออสเตรเลียครับ ถ้าเกิดโดนใจเหมือนผมก็ลองถามดีลเลอร์ครับว่า
สามารถเบิกของมาได้ไหม

IMG_0732_resize

การเข้าออกจากรถ ใช้กุญแจรีโมทคอนโทรลแบบ Keyless Smart Entry ซึ่งดีไซน์และ
วัสดุบอกเลยว่า Camry สเป็คบ้านเราไฮโซกว่ามากกก! หน้าตาแบบนี้ทำให้ผมแอบตะหงิดๆ
นึกถึงกุญแจสหกรณ์ของ Toyota 86 และ Subaru BRZ! ส่วนการทำงานนั้นคุณสามารถ
ล็อกและปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องกดรีโมท รวมทั้งฝากระโปรงท้ายรถก็ทำงานในลักษณะ
เดียวกัน และยังมาพร้อมกับระบบกุญแจนิรภัยป้องกันการโจรกรรม Immobilizer

IMG_0709_resize IMG_0728_resize

ช่องเข้าออกจากห้องโดยสารด้านหน้าและหลังทำได้ดีไม่แตกต่างกับ Camry ประกอบ
ในประเทศ แต่สิ่งที่กลับกันอย่างสุดขั้วเลยก็คือ อะฮึ่มมม!! (ขย้อนเสมหะออกสักครู่)
ภายใน!! ผมอยากให้คุณหลับตาแล้วลงมานั่งในรถก่อนแล้วก็ลืมตา และจะให้คุณเดาว่า
มันเป็นคุณภาพของรถระดับประมาณไหน? ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณเกิดบอกว่า
นี่มัน Vios อะไรซักอย่างไม่ใช่หรือ?? ถ้าเซลล์ได้ยินคงได้แต่ยิ้มแหะๆกันถ้วนหน้า

และก็คงเลิกเถียงกันได้แล้วครับว่า “คนไทยใช้รถคุณภาพด้อยกว่าต่างประเทศ” ทั้งนี้ผม
ไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง “เราบ้านเราคุณภาพแย่ สเปค ออพชั่นโดนตัดออกหมด” คนละส่วนกัน
นะครับ 
แต่ผมกำลังพูดถึง “คุณภาพงานประกอบและวัสดุที่นำมาใช้” Camry บ้านเราทำได้
ดีกว่าในทุกๆชิ้นส่วนเลยครับ ทั้งคุณภาพหนังที่นำมาใช้ และพลาสติกต่างๆ Camry Esport
ให้พื้นผิวสัมผัสที่แย่กว่าจริงๆ ดูไม่เหมาะสมกับรถระดับ D-Segment เลย จะว่าไปเกรดวัสดุต่างๆ
เทียบเท่า Vios เป๊ะ ไม่ต่างกันเลย แต่สิ่งที่ทำให้ดึงสติกลับมา ไม่โดนกับมนต์ Vios สะกดจิต
ไปมากกว่านี้เสียก่อน ก็เห็นจะเป็นหลังคา Moonroof นี่แหละ ที่ช่วยให้เราฉุกคิดได้ว่า
“พุทโธ่ๆ ตั้งสติ มันไม่ใช่ Vios นะ”

All New Camry Esport Test Drive_062_resize_resize

เบาะนั่งด้านหน้าเป็นหนังสีดำสลับแดง เดินด้ายสีขาว ด้านคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง
รวมถึงมีปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้ามาให้ และยังมาพร้อมกับหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ
Memory Seat ได้ 2 ตำแหน่ง ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้าเช่นกัน
แต่สามารถควบคุมได้เพียง 4 ทิศทาง (รถรุ่นอื่นๆแม้กระทั่ง 2.0G รุ่นถูกสุดบ้านเรายัง
ปรับได้ 8 ทิศทางตั้งแต่รุ่นก่อน Minorchange แล้ว!) และไม่มีปรับดันหลังกับ Memory Seat

เบาะนั่งด้านคนขับมีความรู้สึกไม่แตกต่างจาก Camry รุ่นปกติ พนักพิงหลังให้การ
ซัพพอร์ทที่ค่อนข้างสบาย ปีกข้างโอบกระชับกำลังดี และผมสามารถนั่งขับเป็นระยะ
เวลาติดต่อกันนานๆรวดเดียวจาก กรุงเทพฯ-ชะอำ โดยไม่รู้สึกปวดหลังแต่อย่างใด
เบาะรองนั่งมีความยาวเหมาะสมกำลังดีแล้ว พนักพิงศรีษะก็อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ไม่ดันหัวสักเท่าไรนัก

ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ทุกอย่างแทบจะเป็นแบบเดียวกับเบาะฝั่งคนขับ แต่มี
สิ่งหนึ่งทำให้ความรู้สึกต่างกันก็คือ พนักพิงดันหลังมากก!! มันเป็นแบบ Fixed ปรับดัน
หลังไม่ได้ หลังจากผมดูทรงเบาะด้วยสายตาแล้ว ผมคิดเลยว่า หลังเดาะแน่ๆ และก็เป็น
อย่างนั้นจริงๆ ลักษณะการดันขนาดนี้ มันทำให้ความสบายแบบด้านคนขับหายไปพอ
สมควร เอาเป็นว่า ถ้าใครกระดูกหลังเริ่มจะงอแล้วมานั่งเบาะนี้ช่วยดัดหลังได้ครับ

All New Camry Esport Test Drive_064_resize_resize

พื้นที่ด้านหลัง มีลักษณะความกว้างต่างๆเท่ากันทุกประการกับตัวประกอบในประเทศ
มาพร้อมกับช่องแอร์หลังด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ที่พนักพิงศรีษะ Camry
ESport เป็นเพียงหมอนหนุนต้นคอเท่านั้น ไม่สามารถปรับเลื่อนสูงต่ำได้ แต่จุดหนึ่งที่
ตัวออสเตรเลียมีไม่เหมือนรุ่นประกอบบ้านเราก็คือ เบาะหลังสามารถแยกพับ 60:40
ทำได้โดยการดึงคันปลดล็อกที่อยู่ใต้ฝากระโปรงท้าย และมีม่านกางด้วยไฟฟ้าที่กระจก
บังลมด้านหลัง โดยการกดปุ่มควบคุมบริเวณเหนือแผงคอนโซลเกียร์ นอกจากนี้ยังให้
ถุงลมนิรภัยมาถึง 7 ใบ (เท่า Revo เลย)

IMG_0761_resize

ชุดคอนโซลกลางถูกออกแบบให้แตกต่างจากรุ่นประกอบในประเทศ ใช้โทนสีดำด้าน
ตัดกับแถบพลาสติกลายคาร์บอนสีเงิน บริเวณเหนือช่องเก็บของด้านหน้าและบนแผง
สวิชต์ควบคุมหน้าต่างทั้ง 4 ประตู พร้อมทั้งมีชุดแป้นเบรกและคันเร่งสเตนเลสแบบ
สปอร์ต รวมถึงให้พรมปูพื้นติดสัญลักษณ์ ESport และ Scuff Plate ขอบข้างประตู
วัสดุสเตนเลส

พวงมาลัยขนาดกระชับพอดีมือ แบบ 3 ก้าน หน้าตา/รูปทรงเดียวกันกับ Camry Extremo
เป๊ะ! บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายเป็นปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและวิทยุ ส่วนฝั่งขวาควบ
คุมการแสดงผลต่างๆบนเรือนไมล์และการรับ/วางสายโทรศัพท์ โดยทั้ง 2 ฝั่งบนพวงมาลัย
จะขลิบแถบสีเงินเอาไว้ อีกทั้งด้านหลังของพวงมาลัยมีแป้น Paddle Shift ควบคุมการ
เปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีก้านควบคุมระบบ Cruise Control ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง
ประจำของรถ Toyota ก็คือตรงคอพวงมาลัยด้านล่างขวา

IMG_0720_resize

มาตรวัดเป็นแบบ Optritron โทนสีฟ้า มาพร้อมจอแสดงผล TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ซึ่งหน้าตา
ก็เหมือนกับตัวบ้านเราที่ไม่ใช่รุ่น Hybrid นั่นหล่ะ

IMG_0740_resize

บนแผงคอนโซลฝั่งขวาเป็นที่อยู่ของ ปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Start Button, ปุ่มเปิด/ปิด
การช่วยเตือนขณะถอยรถ Parking Assist, เปิด/ปิดการป้องกันล้อหมุนฟรีและระบบ
ควบคุมการทรงตัว TRC,VSC และปุ่มเปิด/ปิดระบบช่วยเตือนรถที่อยู่ในจุดอับสายตา
ด้านข้าง Blind Spot Monitor โดยจะเป็นไฟสัญญาณอยู่ในมุมกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง
ถ้าไฟเกิดสว่างขึ้นมา นั่นคือระบบได้แจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถคันอื่นมาอยู่ข้างเรานะ
ซึ่งอาจจะอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น

เหนือช่องแอร์ตรงกลาง เป็นที่อยู่ของจอนาฬิกา Digital และฝั่งซ้ายของจอคือไฟ
แสดงสถานะการคาดเข็มขัดนิรภัยของผู้โดยสารหลังทั้ง 3 จุด

หน้าจอชุดเครื่องเสียงนั้นคนละหน้าตากับ Camry ประกอบในประเทศ เป็นแบบ Touch
Screen ขนาด 7 นิ้ว ใช้การสัมผัสด้วยความร้อนบนนิ้วมือ (ไม่ใช่ “จิก Screen”) และสามารถ
สั่งการแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ (Air Gestures) รวมถึงมีรีโมทควบคุมมาให้อีกด้วยน่ะ
มาพร้อมกับวิทยุ FM/AM, CD/MP3 และ DVD 1 แผ่น ขยายเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง
อีกทั้งมีช่องเชื่อมต่อ USB/AUX และระบบ Bluetooth ใส่มาให้ นอกจากนี้ยังมีระบบนำทาง
Navigation System รองรับการทำงาน Smart G-Book (Revo เปลี่ยนไปใช้เวอร์ชั่นใหม่
T-Connect แล้วนะ!)

ถัดลงมาเป็นชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกปรับอุณหภูมิซ้าย/ขวาได้
โดยจะแสดงผลบนจอ Touch Screen และในหน้าจอการทำงานของมันเอง ที่เป็นหลอด
ไฟสีเขียวซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์! แต่พูดถึงการใช้งานค่อนข้างง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน
ส่วนตรงปุ่ม Mode เลือกทิศทางการทำงานของช่องแอร์ และปุ่มปรับความแรงลม มีดีไซน์
ที่ไม่ได้งามเอาเสียเลย และตัวอักษรที่นำมาติดบนปุ่มทั้ง 2 นี้ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้นะครับ
มันเหมือนกับเอาสติ๊กเกอร์ Tattoo ในซองขนม 5 บาท มาละเลงน้ำแล้วเปะติดเข้าไป!!
ผมเดาเลยล่ะว่า ใช้ไปสักพักอักษรลอกหลุดหมดแน่นอน!

IMG_0757_resize

มองยาวมาถึงคอนโซลกลาง มีระบบที่ชาร์จโทรศัพท์แบบ Wireless (แบบเดียวกับ
Camry บ้านเรา) พร้อมทั้งช่องเก็บของตรงกลางใหญ่สะใจ และยังสามารถเลื่อนที่
วางแขนเข้า/ออก ได้อีกด้วย

IMG_0743_resize

ด้านขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AR-FE บล๊อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด
2,494 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 90.0 x 98.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.4 : 1 จ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI มาพร้อมกับระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด
184 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบ/นาที
รองรับน้ำมันสูงสุด E20

คุ้นๆกันไหมล่ะครับ? มันก็คือเครื่องตัวเดียวกับ Camry 2.5G รุ่นไม่ใช่ Hybrid นั่นแหละ
แต่ความต่างมันมีในเรื่องของกำลังแรงม้าและแรงบิดที่ Camry Esport ผลิตออกได้มาก
กว่านิดหน่อย อานิสงส์ได้มาจากชุดท่อทางเดินระบบไอเสียแบบคู่นี่แหละครับ
ซึ่งระบายไอเสียได้ดีกว่า จึงทำให้ตัวเลขออกมาเยอะกว่า 2.5G ตัวบ้านเราที่มีกำลังสูงสุด
181 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 231 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบ/นาที

All New Camry Esport Test Drive_056_resize_resize

จับมาชนกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมด +,- Sequential Shift ให้ผู้ขับขี่สามารถ
ล็อกตำแหน่งเกียร์ได้เอง สำหรับอัตราทดในแต่ละเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1   3.300
เกียร์ 2   1.900
เกียร์ 3   1.420
เกียร์ 4   1.000
เกียร์ 5   0.713
เกียร์ 6   0.608
เกียร์ถอยหลัง   4.148
อัตราทดเฟืองท้าย   3.815

All New Camry Esport Test Drive_096_resize_resize

ทริปการขับทดสอบไปกลับ กรุงเทพฯ-ชะอำ จากโรงแรม The Okura Prestige ถนนเพลินจิต
เส้นทางส่วนใหญ่จะอยู่บนถนนทางหลวง ในช่วงแรกก่อนจะหลุดออกจากตัวเมือง
ได้ทดลองทั้งวิ่งลัดเลาะเผชิญกับสภาพการจราจรที่ค่อนข้างหน้าแน่นบนถนนวิทยุ
และพระราม 4 ก่อนเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานคร มุ่งหน้าสู่ถนนพระราม 2
หลังจากนั้นเลี้ยวซ้ายที่แยกวังมะนาวเข้าถนนหมายเลข 4 เดินทางต่อไปจนถึงจุดหมาย
ที่ โรงแรม Hotel De LA Paix ชะอำ พักผ่อน รับประทานอาหารกลางวันกันสักครู่หนึ่ง
ขากลับก็เราใช้เส้นทางเดิมเดินทางกลับมายัง โรงแรม The Okura Prestige ถนนเพลินจิต
เป็นอันสิ้นสุดการทดลองขับ

ระยะทางไปกลับเกินกว่า 300 กิโลเมตร ผมได้เห็นอะไรหลายอย่างจากรถคันนี้เลยหล่ะ!

IMG_0683_resize

การขับลัดเลาะไปในเมืองคันเร่งตอบสนอง Lag บ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำเอาผมหงุดหงิด
อยู่บ้างก็คือ เมื่อรถจอดอยู่กับที่และต้องการออกตัว ผมแตะคันเร่งไปเพียง 5% เท่านั้น
รถกลับพุ่งกระโจนเหมือนกบกระโดดมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ผมนึกถึง Altis หน้าแบน
คันเก่าที่เคยขับเลย ซึ่งผมไม่ชอบการตอบสนองแบบนี้เท่าไรนัก

อัตราเร่งช่วงออกตัว ในฐานะที่เคยลองขับรุ่น Hybrid มาก่อน ซึ่งมันตอบสนองดีมาก
ดึงหลังติดเบาะตั้งแต่กดคันเร่ง (เป็นธรรมชาติของนิสัยรถ Hybrid อยู่แล้ว) และความเร็ว
ก็ไต่ขึ้นได้ต่อเนื่องและไหลลื่นมาก ส่วน Camry Esport ที่ใช้กำลังเครื่องล้วนๆ ไม่มีระบบ
มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องล่ะ? การตอบสนองค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร ช่วงระหว่าง
รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 4,000 มันไม่ต่างอะไรไปจากรถยนต์ C-Segment เครื่อง 1,600-
1,800 ซีซี มากนัก ถึงแม้ความเร็วไต่ขึ้นเรื่อยๆก็จริงแต่มันไม่ได้ ตอบสนองไวอย่างที่คาด
ไว้ในตอนแรก ถ้าจะให้รู้ความรู้สึกเปลี่ยนไป คุณต้องกดคันเร่งจนรอบไต่ขึ้นไปถึง 4,000
เสียก่อน คราวนี้มันตอบสนองได้ดีจนแอบคิดว่า อย่างกับนั่งอยู่ในรถเครื่องเทอร์โบ
เหมือนกันนะ!

การทำงานของเกียร์อัตโนมัติค่อนข้างดี เปลี่ยนเกียร์ได้นิ่มนวล แต่มีอยู่จุดนึง ที่ผมค่อน
ข้างงุนงงกับ Logic ของมันในโหมดเกียร์ +,- Sequential คือถ้าสมมุติว่าคุณจอดรถอยู่
และกำลังจะออกตัว รถส่วนใหญ่ถ้าเข้าโหมด +,- อยู่ๆอยากจะชิพจากเกียร์ 1 ไป 5 เองเลย
ยังไงระบบสมองกลมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ให้ใช่ไหมล่ะครับ? หรือถ้าเกิดโยกคันเกียร์
บวกเพิ่มไปยังไง มันก็เพียงแค่กระพริบไฟตัวเลขบนเรือนไมล์ว่าไม่สามารถเข้าเกียร์
ให้ได้ แล้วตัวเลขก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมใช่ไหมละครับ?

แต่ใน Camry Esport และผมว่ามันก็เหมือนกันด้วยแน่ๆกับ Camry ตัวประกอบใน
ประเทศที่ใช้เกียร์ลูกนี้อยู่ การทำงานของมันค่อนข้างแปลกและน่ารำคาญ คือคุณสามารถ
ชิพเกียร์ขึ้น/ลง แล้วตัวเลขที่แสดงบนเรือนไมล์ก็เปลี่ยนไปตามตำแหน่งที่คุณโยกคัน
เกียร์กันสนุกเลยครับ ไม่มีการกระพริบอยู่ในตำแหน่งเดิมแต่อย่างใด

หากคุณกำลังจะออกรถจากจุดหยุดนิ่ง และบนเรือนไมล์แสดงตัวเลขสมมุติว่าเป็น
ตำแหน่ง S5 ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมครับที่จะออกรถด้วยเกียร์ 5? แต่มันไม่ได้ดีด
ตัวเลขนั้นมาอยู่ที่ S1 ให้นะครับ คุณต้องชิพลดเกียร์ ปั่กๆๆ! จนกว่าตำแหน่งเกียร์จะไล่
ลงมาที่ S1 ด้วยตัวเองครับ!

และถ้าเราปล่อยเอาไว้ไม่ได้ชิพไปที่ S1 เองล่ะ? การทำงานไม่ได้แตกต่างไปจากการ
เข้าเกียร์ D ปกติๆเลยครับ เปลี่ยนตำแหน่งเองอัตโนมัติขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึง
ตำแหน่ง S5 ที่เราได้ล็อกไว้ครับ โหมด +,- มันถึงจะกลับมาทำงานอีกครั้งในตำแหน่ง
เกียร์นั้น!

การทำงานแบบนี้เป็นเช่นเดียวกับระบบ Paddle Shift ด้วยละครับ แต่มีข้อดีที่สามารถ
เปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงด้วยการกดแป้นหลังพวงมาลัยได้เลย ไม่ต้องผลักคันเกียร์ไปที่โหมด
+,- ก่อนแต่อย่างใด ทว่าหลังจากเล่นกับ Paddle Shift จนเบื่อแล้ว จะกลับมาสู่โหมด
D ปกติอย่างไรล่ะ? โดยในรถยนต์ส่วนใหญ่ หลังจากคุณไม่เล่นกับแป้น Paddle Shift
แล้ว มันก็จะดีดกลับมาที่ตำแหน่ง D ปกติ ใช่ไหมล่ะครับ? แต่ใน Camry คันนี้ คุณต้อง
กดแป้นบวก ปั่กๆๆ! จนกว่าเลขข้างหลังตัว D ที่แสดงบนเรือนไมล์นั้นหายไป!

และถ้าเกิดคุณกำลังค้างมันในตำแหน่ง D1 อยู่ละ? โชคร้ายหน่อยครับ คุณต้องกดแป้น
บวก ให้เลขไล่ขึ้นมาเป็น D2 D3 D4 D5 แล้วกดอีก 1 ครั้งตัวเลขนั้นจะหายไปครับ
ซึ่งก็คือการกลับเข้ามาสู่โหมด D ปกติ อย่างเดิม!

ซึ่งผมได้ทราบข้อมูลมาภายหลังว่า “นี่แหละคือ Pattern การเปลี่ยนเกียร์ในโหมด
Sequential 
บวก,ลบ ของ Toyota เขาหล่ะ” ทำเอาผมงงๆไปเหมือนกัน เพราะไม่เคยเจอ
ลูกเล่นแบบนี้ในรถยี่ห้ออื่นมาก่อน

All New Camry Esport Test Drive_099_resize_resize

การเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ผมจะเปรียบเทียบกับตัว Hybrid รุ่นปัจจุบันนะครับ
เสียงช่วงขอบประตูนั้นมีเสียงลมเข้ามาอยู่บ้างเมื่อใช้ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งผมว่าก็พอๆกับ Hybrid ละครับ

แต่สิ่งที่ Camry Esport ทำได้แย่กว่า นั่นก็คือ เสียงจากยางและพื้นผิวถนน ดังเข้ามาใน
ห้องโดยสารมากกว่า Hybrid เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แม้จะวิ่งอยู่ในความเร็วเดินทางปกติ
ตามกฎหมายกำหนด (120 กิโลเมตร/ชั่วโมง) มันก็ทำให้ผมต้องเพิ่มเสียงในการสนทนา
ขึ้นมาบ้างแล้วหล่ะ

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ถูกเซ็ตออกมาหนักและหนืดขึ้น
กว่าตัว Hybrid พอสมควร ในย่านทุกย่านความเร็ว ระยะฟรีช่วง On-Center ค่อนข้างน้อย
แต่กระชับ ไม่โหวงเหวงเมื่อต้องถือพวงมาลัยนิ่งๆโดยใช้ความเร็วสูง ใจก็นึกว่าจะเป็นรถ
ที่เซ็ตเน้นการขับสนุกอย่างที่ Toyota บอกไว้ ทว่าพอผมลองเปลี่ยนเลนดูเท่านั้นล่ะครับ
รู้เลย!! พวงมาลัยตอบสนองไม่ไวอย่างที่คิด อัตราทดแทบไม่ต่างจากรุ่น Hybrid เลย
ทำให้รถไม่กระฉับกระเฉงเท่าที่ควร ซึ่งมันดูค่อนข้างจะสวนทางกับสไตล์ของรถคันนี้

แล้วช่วงล่างละ? ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่หลายคนรอคอยอยู่ว่ามันจะเป็นอย่างไร? จากข้อมูล
ของ Toyota ทีมวิศวกรได้ปรับค่า Spring Rate ด้านหน้าและหลังเพิ่มขึ้น 4.55% และลด
ขนาดของเหล็กกันโคลงหน้าและหลังลงไป 4% ผลออกมาชัดเจนครับ แข็งเป๊ก!! วิ่งใน
เมืองลุยผ่านฝาท่อระบายน้ำนั่งโยกกันหัวคลอน! กระด้างเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมก็ไม่
ทราบว่าทีมงานเติมลมยางมากี่ปอนด์ ไม่มีเวลาได้เช็คครับ แต่ถ้าซื้อมาเน้นเป็นรถให้บรรดา
ญาติผู้ใหญ่นั่งควรหลีกเลี่ยงเถอะครับ ถ้าให้เทียบกับรุ่น Hybrid ราวกับพลิกหน้ามือเป็น
หลังมือเรื่องความสุนทรีย์ในการเดินทางเลยหล่ะ!

นอกจากนี้ช่วงล่างที่แข็งขึ้น ข้อดีคือ การทรงตัวในทางตรงช่วงความเร็วสูง ทำได้ค่อน
ข้างนิ่งครับ แต่พอเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงกว่าปกติมากเข้าเท่านั้นแหละ มีเรื่องต้องให้
กังวลใจอยู่กับการยุบตัวช่วงแรกๆของรถ ผมแปลกใจเลยว่า มันแข็งขนาดนี้แต่ทำไม
รถยุบและโยนออกข้างมากอย่างนี้ละ? ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการลดขนาด
ของเหล็กกันโคลงลงไป และยังสามารถพบเจออาการแบบนี้อยู่บ้างในการเปลี่ยนเลน
ปกติธรรมดาๆ ทำให้ความเชื่อที่ว่า แข็งแล้วทุกอย่างต้องมั่นคง มันไม่จริงเสมอไปแล้ว
รึเปล่า?

เรื่องการขับบู๊ในสภาพพื้นถนนต่างๆ แน่นอนครับว่า ช่วงล่างที่แข็งกว่ามากสำหรับ Camry
ESport ให้คุณสามารถซนได้มากกว่าตัว Hybrid อยู่แล้วล่ะ แต่ความมั่นใจในการควบคุม
ต่างกันเยอะมั๊ยนะหรอ? ผมตอบเลยว่าไม่เท่าไร เพราะอาการยุบและโยนของเรานี่แหละ
ทำเอาความรู้สึกมันส์ๆหายไปพอสมควร

ระบบเบรก ดิสก์ทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบช่วยเหลือมากมาย ทั้ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก
ABS, ระบบกระจากแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมการทรงตัว
VSC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC

การตอบสนองทำได้ดีพอสมควร แป้นเบรกถึงแม้จะมีระยะเหยียบสั้นก็จริง แต่มีช่วงของ
การจับเบรกไม่ตื้นเกินไปแบบตัว Hybrid และเมื่อกดแป้นเบรกลงไปช่วงแรกๆน้ำหนัก
ค่อนข้างเบา แต่พอเหยียบเกิน 40% กลับแอบหนักสู้เท้าอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามยัง
อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ไม่มีปัญหาอะไร

All New Camry Esport Test Drive_093_resize_resize

———-//สรุป//———-
จะสปอร์ตก็ขาดๆเกินๆ จะหรูก็ไม่ขนาดนั้น เอาทางไหนดีละ คุณผู้โช๊มมม!!

Toyota ได้ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนว่า Camry Esport จะเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็น
Young Executive อายุไม่เกิน 35 ปี ซึ่งความคิดตรงกันเป๊ะ! ต้องเป็นแนวนักธุรกิจ
หนุ่มแต่งตัวเนี๊ยบๆหน่อย ชอบท่องราตรีพอตัว Playboy นิดๆ

อย่ากระนั้นเลย หลังจากผมขึ้นไปขับยังคับข้องใจไม่หายว่า “เห้ย รถใหญ่เน้นความ
สปอร์ตสำหรับผู้บริหารหนุ่ม 
แต่มันแข็งแบบวัยรุ่นมหาลัยเกินไปหรือเปล่า?!”

การขับทางไกลๆถือพวงมาลัยนิ่งๆ มันทำได้ดีครับ ทรงตัวเยี่ยม แต่ถ้าเกิดวิ่งอยู่ในเมือง
แล้วล่ะก็ ลองนึกภาพ ช่วงล่างออกแนวกระด้างน้องๆรถ Hot Hatch ซ่าส์ๆ ที่ทำช่วงล่าง
แล้วมานิดๆสิครับ! ถนนเมืองไทยก็อย่างที่เราๆทราบกันดี หลุมเอย คอสะพานทรุดๆเอย
ฝาท่อระบายน้ำเอย ผู้บริหารหนุ่มคนนั้นก็อาจแหยงเหมือนกันครับ แต่รถมันก็ให้ลักษณะ
อารมณ์ประมาณว่า เชื้อเชิญอยากคุณซัดและสนุกกับมันอยู่ตลอดเวลา ทว่าพอคุณหลวม
ตัวไปเล่นด้วยเท่านั้นแหละภาพก็เหมือน ฟรื้บบบ!! ราวกับหายไปในสายลมมันไม่ได้สนุก
อย่างที่รถอยากให้เราเล่นกับมันในตอนแรกจริงๆนี่ เพราะพวงมาลัยยังเชื่องช้าเกินไป
สำหรับสไตล์ของรถที่มันเป็นอยู่ การซอกแซกไปตามสภาพการจราจรในเมืองก็ไม่ได้
กระฉับกระเฉงมากนัก

รวมถึงการเล่นกับโค้ง ช่วงล่างยุบและโยนออกข้างมากกว่าที่คิด ดูสวนทางกับสิ่งที่มัน
ควรจะเป็น ซึ่งน่าแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นละ? ก็เลยทำให้การตอบสนอง
ที่ได้กลับมานั้น สะท้อนออกมาในรูปแบบรถคันใหญ่อย่างเดิมนั่นหล่ะ

ทางตรงมาอย่างสิงห์ ทิ้งโค้งไปอย่างแมว!

ตอนนี้มันขาดๆเกินๆไปหน่อยสำหรับช่วงล่าง แต่ถ้า Toyota ลองปรับใหม่จูนให้
ความแข็ง
ของสปริงลดลงมานิด และเพิ่มขนาดเหล็กกันโคลงไปหน่อย หรืออาจจะอัพเกรด
โช๊คอัพให้เหมาะสมขึ้นละ? อยากรู้จริงๆว่ารถจะสามารถลง
ตัวได้มากกว่านี้รึเปล่า?
ส่วนพวงมาลัยภาพรวมต่างๆโอเคแล้ว แต่มีอย่างเดียวคือ อยากให้ทดไวกว่ารุ่นประกอบ
บ้านเราซักนิด มันน่าจะขับสนุกขึ้นพอตัวเลยละ!

มาถึงเรื่องราคา 1,639,000 บาท สูงกว่า Camry 2.5G บ้านเรา 70,000 บาท และต่ำกว่า
Camry Hybrid ตัวเริ่มต้น 40,000 บาท ตอนประกาศออกมาทีแรกดูเหมือนจะโอเค๊!
ไม่สูงไปอย่างที่คิด! เพราะไทยเรามีสัญญาความตกลงเขตการค้าเสรีกับออสเตรเลีย
(FTA) จึงทำให้ราคาไม่ได้พุ่งสูงเป็น 2 ล้านกว่า โดยเป้าหมายของ Toyota วางไว้ 1 ปี
จะนำเข้ามาขาย 700 คัน ซึ่งคิดเฉลี่ยแล้วตกเดือนละเกือบ 60 คัน

อย่างไรก็ตามพอได้สัมผัสกับตัว และไตร่ตรองกันทุกสิ่งอย่างแล้ว ถ้าเทียบกับตัวประกอบ
บ้านเรา บอกได้ว่าภายในมันห่วยกว่ากันในทุกๆจุด วัสดุที่ใช้ในรถ Perceive Quality
ด้อยกว่า Camry ประกอบในประเทศทุกรุ่นชัดเจน ก็นี่ละครับ รถนำเข้าจากออสเตรเลีย
ใช่ว่าจะเหนือกว่าบ้านเรา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก บ้านเขาใช้รถกันไม่ได้ซีเรียสเท่าเราครับ
ใช้จนพังหรือจนกว่าจะพอใจค่อยขาย เอาไปทิ้งรอเข้าเครื่องทำลาย มันง่ายต่อการจัดการ
สิ่งแวดล้อมครับ วัสดุที่นำมาใช้ก็เลยไม่ได้คำนึงถึงระยะยาวมากสักเท่าไรนัก

และมีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงกำลังคิดวิตกกังวลอยู่ไม่น้อยนั่นก็คือ ระยะยาวจะมี
อะไหล่ไหมละ? ในส่วนของเครื่องยนต์กับช่วงล่างยังไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไร เพราะหลาย
อย่างยังแชร์กับรุ่นประกอบบ้านเราได้ แต่ชิ้นส่วนภายนอกและภายในนี่สิ แทบจะไม่
เหมือนกันซักอันเลย! ก็ต้องดูกันครับว่าทาง Toyota จะอุปถัมภ์รุ่นนี้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่?

ถ้าคุณเป็นคนซีเรียสเรื่องภายใน และคิดไม่ตกเกี่ยวกับการซื้อมาใช้ในระยะยาวแล้วละก็
มองข้ามไปเถอะครับ เพิ่มเงินอีกหน่อยไปเล่น Camry Hybrid ตัวเริ่มต้น ยังดูน่าสนใจกว่า
แต่ถ้าหากคุณไม่ต้องการรถ Hybrid ล่ะ? ก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและให้อารมณ์
คล้ายๆกับ Camry ESport ได้ ซึ่งนั่นก็หนีไม่พ้น Camry 2.5G นี่ล่ะครับ อีกทั้งราคายังต่ำ
กว่าถึง 70,000 บาท ส่วนต่างขนาดนี้สามารถไปหาชุดช่วงล่างแต่งมาใส่ให้ดีกว่ายังได้
เลยครับ และก็ได้ภายในเนี๊ยบอย่างที่ต้องการ กรณีสุดท้ายหากคุณรอมานานแสนนาน
แล้วล่ะ Camry หน้าแบบอเมริกา ในที่สุดมันก็มาเสียที!! ตาเป็นประกาย วิ๊งๆๆ

มันคงไม่มีเหตุผลอะไรจะมาเปลี่ยนใจคุณได้แล้วใช่ไหมละครับ?

 

————–///————–

 

All New Camry Esport Test Drive_079_resize_resize


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และการประสานงานต่างๆ อย่างดียิ่ง

Aum_555 (Chonthawatch Aum Meepasanee)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน / Toyota
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
24 กรกฏาคม 2558

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
24th July ,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!