ในขณะที่กระแสการเปิดตัว Mazda 2 ในบ้านเรา เริ่มทำให้ตลาดรถยนต์ซับคอมแพกต์
B-Segment ร้อนฉ่าขึ้นมา เล่นเอาหลายค่าย ที่เตรียมแผนเปิดตัวรถยนต์ กลุ่มนี้
ต้องปรับแผนรับมือกระแสของ Mazda 2 กันเป็นการใหญ่
แต่ท่ามกลาง ฝุ่นควันตลบอบอวน ดูเหมือนว่า จะมีรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่เราอาจจะหลงลืมไป
วันนี้ เขาบอกว่า เขาพร้อมแล้ว ที่จะกลับเข้าสู่สังเวียนรถยนต์นั่งในเมืองไทยกันอีกครั้ง
และ…อย่างจริงจัง ในระยะยาว เสียด้วย!
ช่วงเที่ยงๆของวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้รับโทรศัพท์ จากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดี กลุ่มเดิม
ที่ชักชวนผม กับเจ้ากล้วย ไปดูโตเกียวมอเตอร์โชว์กันมานั่นแหละ
เขาโทรมาชวนว่า ตอนนี้ Suzuki SWIFT เวอร์ชันที่จะเปิดตัวอีกครั้ง อย่างเอาจริงเอาจัง
ในเมืองไทย ในราคาที่ถูกกว่า เวอร์ชันที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ถึง 1 ล้านบาท ถูกส่งลงเรือ
จากโรงงานของซูซูกิ ในอินโดนีเซีย มาถึง กรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะ
เปิดตัวใน Motor EXPO อีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า สนใจจะมาดูไหม?
มีหรือ ที่ไอ้จิมมี่ มันจะยอมพลาด? หึหึหึ
ผมกับเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา ก็เลยพุ่งพรวด ไปยังจุดนัดพบ
ย่านเอกมัย – ทองหล่อ เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา นั่นแหละครับ! เพื่อจะไปดูให้เห็นกับตา
ว่า รถคันที่จะขายในบ้านเรา มันจะต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่น เยอะแยะแค่ไหน
เอาละ จะบอกว่า Headlightmag.com ทำรีวิว Swift เป็นรายแรกในเมืองไทย ก็คงพูดไม่ได้อย่างนั้น
เนื่องจาก มีลูกค้าชาวเชียงใหม่ ท่านหนึ่ง อุดหนุน เวอร์ชัน Made in Japan ไป แล้วก็ทำรีวิว
ในลักษณะ User’s Report เอาไว้อย่างดีเลยทีเดียว
งั้นเอาเป็นว่า ต่อไปจากนี้ คือความเห็นเบื้องต้น ในฐานะ ของคนที่เคยจับสัมผัส
สวิฟต์ มาเรียบร้อยแล้ว ทั้งเวอร์ชัน Made in Japan และ เวอร์ชัน Made in Indonesia
ก็แล้วกันนะครับ
อันที่จริง นี่ไม่ใช่การเปิดตัวครั้แรกในเมืองไทยของ สวิฟต์ แต่อย่างใด
เพราะว่าก่อนหน้านี้ ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อราวๆปี 2006
Suziki Automobile Thailand ในฐานะ ผู้ทำตลาด รถยนต์ ซูซูกิ ในไทย อย่างเป็นทางการ
เคยสั่ง สวิฟต์ เวอร์ชัน Made in Japan เข้ามาขาย แบบว่า พอให้โชว์รูม ที่พญาไท
ดูมีรถเก๋ง ไว้ขายกับเขาบ้าง ไม่ดูอัดแน่นไปด้วย APV และ SUV รุ่น Grand Vitara จนเกินไป
แต่อย่างว่าครับ ราคาในตอนนั้น 1.5 ล้านบาท ก็เป็นราคา ที่ตั้งขึ้น โดยใช้อัตราพิกัดภาษี
ที่ไม่มี ข้อตกลงทางการค้า FTA ใดๆ มาช่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายลงไปได้กว่าที่เป็นอยู่
จนกระทั่ง เวลาผ่านไปหลายปี ซูซูกิ จึงมองเห็นว่า ในเมื่อ ตอนนี้ อินโดนีเซีย ก็ประกอบ
สวิฟต์ใหม่ ขายมาได้สักพักแล้ว เอากลับมาขายในเมืองไทยอีกครั้ง น่าจะดีกว่า
และนี่คือ ที่มา ว่าทำไม ซูซูกิ ถึงจับสวิฟต์ กลับมาเปิดตัวใหม่อีกครั้ง ในบ้านเรา
ถือเป็นการ Re-Launch ที่ต้องลุ้นกันละว่า เสียงตอบรับจะเป็นอย่างไร
. . . . . . . . . . .
ทันทีที่เราเลี้ยวรถเข้าไปจอดยังจุดนัดหมาย รถคันสีขาวนี้ ก็จอดเด่นเป็นสง่า
จนดูราวกับรถราคาแพงกันเลย สีตัวถัง Pearl White หรือ ขาวมุก นั้น ทำให้
เส้นตัวถังที่โฉบเฉี่ยว และมีเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว มันเด่นชัดยิ่งขึ้นไปอีก
ใครจะไปเชื่อว่ารถคันนี้ ยังไม่ผ่านการตรวจสอบก่อนส่งมอบ หรือ PDI (Pre-Delivery Inspection)
ด้วยซ้ำ ลงท่าเรือมาปุ๊บ ก็ถูกยกขึ้นรถยก Slide-on มาที่จุดนัดพบของเราเลย แต่ เท่าที่ดูแล้ว
มันแทบไม่ต้องเข้ากระบวนการดังกล่าวด้วยซ้ำ เพราะสภาพของรถนั้น การประกอบ เนี้ยบมากๆ!
ช่องไฟต่างๆ ระยะห่าง เท่ากันทั้ง ซ้ายขวา เปลือกกันชนหน้า แนบสนิทชิดกับตัวถังที่เกี่ยวข้อง
เสียงปิดประตูทั้ง 4 บาน ก็ยังธรรมดา แต่เสียงดีกว่า ประตูของ Lancer EX ล็อต Pre-Production เห็นๆ
ก็แน่ละ ออกแบบขอบประตูให้เลยเถิดขึ้นไปถึงขอบหลังคาด้านบน แบบรถกระบะ Nissan Big-M
สมัยก่อน หรือไม่ก็ Nissan Sunny/Sentra B13 และ B14 รวมทั้ง Sunny NEO กันเลยนี่นา
กางสเป็กดูกันดีกว่า ในตารางเขาเขียนไว้ว่า ความยาวตัวถัง 3,755 มิลลิเมตร กว้าง 1,690 มิลลิเมตร
สูง 1,510 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,390 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนน ถึงพื้นตัวภัง 145 มิลลิเมตร
เริ่มมองเห็นจุดที่ด้อยกว่าคู่แข่งมาแล้ว 1 รายการ ระยะฐานล้อที่สั้นเท่ากับ Toyota Soluna นั่นไง
เพราะรถคู่แข่งส่วนใหญ่ ระยะฐานล้อ ยาวกว่านี้ กันนิดหน่อย ไปหมดแล้ว
เรื่องนี้ จะส่งผลไปถึงขนาดห้องโดยสารหรือไม่ อันนี้ ต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งสำรวจกันจะดีที่สุด
บอกไว้ก่อนว่า สำหรับผม การขึ้นไปนั่งในสวิฟต์ นั้น ทุกอย่าง มันกระชับพอดีๆกำลังดี
แต่ เชื่อแน่ว่า จะมีบางคน อาจจะขึ้นไปนั่ง ในสวิฟต์ คันนี้แล้วรู้สึกอึดอัด อย่าแปลกใจครับ
มันมี 2 สาเหตุ
1. อย่าลืมว่าตัวรถ มีความกว้าง 1,690 มิลลิเมตร ส่วนJazz Yaris Vios City กลุ่มนี้
เขากว้างกันที่ 1,695 มิลลิเมตร ครับ
เพียง 5 มิลลิเมตร มันมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน?
จะว่ามาก ก็มาก แต่เอาเข้าจริง มันไม่เยอะเลย กับอีแค่ 5 มิลลิเมตร เนี่ย
ทั้งที่ความจริงแล้ว ความกว้าง ของ สวิฟต์ มันก็เทียบเท่ากับ Toyota Corolla
รุ่น AE-101 กับ รุ่น AE-111 นั่นแหละครับ! ถ้าชีวิตคุณ เคยใช้รถ 2 รุ่นนี้มาก่อน
ก็น่าจะจำได้ว่า ความกว้างจากซ้าย ไป ขวา ของห้องโดยสาร สวิฟต์นั้น
มันก็เท่ารถคันเก่าคุณนั่นแหละ
แค่ถ้าความกว้างของ สวิฟต์ ซึ่งกว้างเท่ากันเป๊ะ กับ Corolla รุ่นเก่า
หากคุณยังบ่นว่าแคบ ก็คงเพราะ ข้อ 2 แล้วละ
2. การออกแบบแผงประตู ที่จะต้องมีแนวเส้นด้านบนแผง ให้มันดูหนา
เพราะต้องมีแนวเส้นต่อเนื่องจากแผงหน้าปัด นั่นเอง และความหนาตรงนั้น
แม้เพียงแนวเส้นบางๆนิดเดียว แต่ก็อาจก่อความรู้สึกให้กับหายๆคนได้
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ผมมองห้องโดยสารของ สวิฟต์ใหม่ ว่า JUST SIZE
ขนาด เหมาะสมกับรถเล็ก B-segment (แต่ถ้ารุ่นต่อไป จะกว้างขึ้นอีก 5 มิลลิเมตร
ได้ก็น่าจะดีนะครับ
ตำแหน่งเบาะนั่งคู่หน้า พอกันกับ คู่แข่งในตลาด แต่ดูเหมือนว่า จะเตี้ยกว่า
คู่แข่งคันอื่นๆ อยู่นิดนึง ต้องเอาตลับเมตร มาวัดกันอีกที ว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่า
ผ้าเบาะ สากๆ ไม่เก็บฝุ่น มาในสไตล์รถยุโรปสมัยนี้ เป๊ะๆ ฟองน้ำข้างล่าง ช่วยทำให้เบาะนั่งนุ่มสบาย
แต่ผ้าที่บุแผงประตูด้านข้าง ผิวสัมผัส แข็งไปหน่อย
ส่วนทางเข้าเบาะหลังนั้น มีชนาดภาพรวม กว้างกว่า บานประตูคู่หลัง
ของทั้ง Mazda 2 และ Yaris ไปพร้อมกัน แต่ อย่างว่าครับ ระยะฐานล้อ
สั้นกว่า รถทั้ง 2 คันที่ว่า คือ 2,390 มิลลิเมตร ดังนั้น การก้าวขวาเข้ารถ
แม้ว่าทำได้ดี แต่การก้าวขาออกมา จึงยังอาจมีติดขัดกับโคนเสาหลังคากลาง
B-Pillar นิดนึง แต่จะว่าไป มันก็พอกันกับ รถทั้ง 2 คัน คู่แข่ง นั่นละครับ
ไม่ได้ต่างกันจนห่างไกลนักหรอก
เบาะหลัง มีเบาะรองนั่ง ที่สั้น ตามสไตล์ของรถประเภทท้ายตัดขนาดเล็ก
ที่มักทำเบาะเอาไว้ รองรับผู้โดยสาร เพื่อการเดินทางระยะสั้นๆ แต่เบาะนั่งด้านหลัง
ของ สวิฟต์ นั้น ฟองน้ำ ของทั้งเบาะรองนั่ง และพนักพิงหลัง จะนุ่ม พอกันกับ
Mazda 2 และนุ่มกว่าเบาะของ Yaris รุ่นแรก แต่พนักศีรษะ รูปตัว L ก็ต้อง
ยกขึ้นมาใช้งานจริง ถึงจะโอเคหน่อย ไม่เช่นนั้น จะก่อความรำคาญบริเวณท้ายทอย
และต้นคอ เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น นั่นแหละครับ
พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วงได้เลย มีเหลือเยอะมากกกกกก ดังนั้น แม้จะดู
เหมือนแคบนิดๆ แต่รถจะโปร่ง สบายพอสมควรเลยทีเดียว
ห้องเก็บของด้านหลังนั้น ใช้งานได้อเนกประสงค์กว่า Yaris นิดหน่อย
แต่ไม่มีทางเทียบได้กับ Jazz เลยแน่นอน อันนี้ คนออกแบบชาวญี่ปุ่นเขาก็รู้ตัวดี
ว่าเขายอมแลกประเด็นนี้ กับสมรรถนะการขับขี่ของรถในภาพรวมดีกว่า
กระนั้น พื้นห้องเก็บของด้านหลัง ที่เราเห็นอยู่ สามารถยกออก หรือพับแบบหงายขึ้น
เพื่อเปิดให้เห็นพื้นที่ว่าง ด้านใต้ ที่ยังมีอีกเยอะ สำหรับทั้งเก็บอาหารสด หรือทุเรียน
ไม่ให้มีกลิ่นคละคลุ้งขึ้นมา แผฝพร้อมฝาปิดได้อันนี้ คือสิ่งที่พอจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้
สวิชต์ฝากระโปรงหลัง เป็นแบบกลอนไฟฟ้า เหมือน ใน Nissan TIIDA
และเสียงปิดฝากระโปรงหลัง ก็แน่นหนา และเป็นเสียงเดียวกับ สวิฟต์เวอร์ชันญี่ปุ่นเป๊ะ
พื้นผิววัสดุบนแผงหน้าปัด+คอนโซลกลาง นั้น อย่างกับรถเก๋งราคาแพงกว่านี้ วัสดุที่ใช้ถือว่าดีสมราคาครับ
อุปกรณ์ติดรถ ที่ทำเอาเจ้ากล้วยถึงกับกรี๊ดไปเลย คือ แอร์ดิจิตอล ซึ่งถือเป็น
รายที่ 2 ของกลุ่ม B-segment ในเมืองไทย ที่ให้สวิชต์แอร์แบบนี้มา พวงมาลัยหุ้มหนัง
พร้อม สวิชต์ Multi Function ไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง (เล่น CD ได้แค่ แผ่นเดียว
น่าจะเล่นได้ 6 แผ่นไปเลยนะ จะดีกว่า)
คุณภาพเสียงหนะ หายห่วงเลย ดีกว่า ทุกคันในกลุ่ม B-Segment ทั้งหมด ยกเว้น City
เพราะตอนที่ลอง ผมก็เอา CD เพลงญี่ปุ่น แผ่นญี่ปุ่น ที่ซื้อมาจาก โตเกียว และนาโกยา
ทั้ง Daichi Dance อัลบั้มล่าสุด กับ Kazuhito Murata เพลงที่ผมตามหามานาน ใส่เข้าไป
ตอนทดลองฟัง นั่นละ!
ที่ผมชอบ ก็คือ จอ Multi Information ย้ายไปไว้ตรงกลาง ด้านบน แผงหน้าปัดนั่นละ มองเห็นง่ายดี
เครื่องยนต์ ที่ติดตั้งใน สวิฟต์ เวอร์ชัน Made in Indonesia นี้ เป็นรหัส M15A
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT
ตัวเลขในแค็ตตาล็อก บอกเอาไว้ว่า มีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร (14.57 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที
เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ถึงตอนที่บทความนี้ โพสต์ลงใน Headlightmag.com เรายังไม่รู้ว่า
มีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ให้เลือก กันหรือไม่? (แต่ควรจะมีนะ)
ก่อนอื่น บอกกันตรงนี้เลยว่า ในญี่ปุ่น หากเราไม่นับ Swift Sport เวอร์ชันร้อนแรงที่สุด
ของ สวิฟต์ ที่แยกทำตลาดออกไป เหมือนกับ เป็นเวอร์ชันดุแบบ Lancer Evolution
หรือ Impreza WRX ของ สวิฟต์แล้ว รุ่นมาตรฐานของ สวิฟต์ในญี่ปุ่น ตอนนี้
จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก เพียงแค่ 1,200 และ 1,300 ซีซี เท่านั้น
ก็อาจจะถือได้ว่า เมืองไทยเรา ได้ใช้เครื่องยนต์ ที่ใหญ่กว่า สวิฟต์ รุ่นบ้านๆ ของญี่ปุ่นกัน
ดูไปดูมา ผู้ใหญ่ใจดี เจ้าเก่า ก็ถามเราตรงๆ เลยว่า “ไปลองขับกันไหม?”
โอ้ นี่ผมคิดแค่ว่า จะแวะมาดูคันจริงเฉยๆนะเนี่ย จู่ๆ จะได้ลองขับแล้วด้วย
5 นาทีต่อมา รถคันสีขาว ป้ายแดงเถือก ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัด
ท่ามกลางสายตาของผู้คน ที่มองมายังรถ ด้วยความแปลกใจ สายตาของพวกเขา ราวกับ
มีคำถามผุดขึ้นในใจว่า
นี่เหรอ ซูซูกิ!?
ครับ นี่แหละ! ซูซูกิ มันไม่ใช่ ซูซูกิ ทั่วๆไปที่คุณเคยรู้จัก เลยละ!
จริงอยู่ ว่า ลมยางที่เติมมาให้รถคันนี้ มันแข็งมากถึง 45 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ทำให้การขับผ่านรองรอยขรุขระ และฝาท่อ บนถนนในซอยทองหล่อ เอกมัย
และสุขุมวิท ถึงกับแข็งกระด้าง แต่ชัดเจนเลยว่า หากปล่อยลมยาง ตามค่ามาตรฐาน
ที่โรงงานกำหนดมา เราจะได้พบกับความน่าอัศจรรย์ ของช่วงล่างเจ้าสวิฟต์นี้แน่ๆ
เพราะในช่วงที่ ทางเข้าซอยเอกมัย ค่อนข้างโล่ง
ผมลองเหยียบคันเร่ง ไป 2 ใน 3 และเพียงเท่านั้น รถก็พุ่งปรู๊ด ขึ้นไป
ความเร็วจากที่สายตากะเก็งประเมินไว้คร่าวๆ โดยไม่ได้จับเวลาแต่อย่างใดนั้น
สวิฟต์ พาเราพุ่งไปข้างหน้า ได้เร็วพอกันกับ Honda City คันที่ผมใช้อยู่ประจำนั่นเลย!
แต่ การตอบสนองของคันเร่งสวิฟต์นั้น ไวกว่า และ Linear กว่า เล็กน้อย เพราะมันยังเป็น
คันเร่ง แบบสายสลิง อยู่…
ไชโย!! ในที่สุด คันเร่งแบบสาย ก็ยังไม่สูญหายตายจากโลกนี้ไป! อย่างนี้ การซ่อมบำรุง
พวกลิ้นปีกผีเสื้อ (ลิ้นเร่ง) และระบบที่เกี่ยวข้องกับกลไก ก็ไม่น่าจะยากแล้วละ
สำหรับช่างทั่วๆไป
การที่รถพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างฉับไวกว่าที่ผมคาดไว้นั้น เหตุผลก็คือ โปดดูที่แรงบิดสิครับ
แรงบิด เท่า Vios Yaris City และ Jazz เลย แม้แรงม้าจะน้อยกว่า เพื่อนชัดเจน แต่เชื่อว่า
อัตราเร่ง น่าจะสูสีกับคู่แข่ง หากต้องจับเวลาเปรียบเทียบกัน
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS รัศมีวงเลี้ยว 4.7 เมตร คืออีกสิ่งหนึ่ง
ที่ผมชื่นชอบ เพราะในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัย มีความหนืด มากกว่า City และ Jazz รวมทั้
Vios และ Yaris ด้วย แต่ ไม่หนืดเท่า Chevrolet Aveo ซึ่งเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮโดรลิกแท้ๆ
อันนั้น ก็หนืดไปหน่อย แต่สวิฟต์ พวงมาลัยในความเร็วต่ำ หนืดกำลังดีแบบที่ผมต้องการ
จากรถเล็กประเภทนี้ พอดีเลย!
มันตอบสนองได้เหมือนกับพวงมาลัย ที่ใช้ระบบเพาเวอร์แบบไฮโดรลิค เอามากๆ
เสียงมอเตอร์ ที่นั่งฟังจากในรถ ก็แทบไม่โผล่มาให้ได้ยิน เหมือน Mazda 3
ระบบเบรก เป็นแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม มี ABS และ EBD มาให้
แม้จะเสียดาย ที่ไม่ใช่ ดิสก์เบรก 4 ล้อ แต่คงต้องปลอบใจตัวเองว่า
เอาวะ Vios ใหม่ รุ่นทั่วๆไป ยังเป็น เบรกแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม เลยนี่หว่า
การตอบสนองนั้น นุ่มนวลดี คุมให้เบรกนุ่มๆจนรถหยุดนิ่ง ได้ไม่ยากอย่างที่คิด
กระนั้น การลองขับทั้งหมดนี้ ก็สั้นเสียจนเราแค่พอจับอาการเบื้องต้นได้ว่า
สวิตฟ์ มีแนวโน้มจะเอาใจคนชอบขับรถเป็นหลักแน่ๆ แต่ในแง่มุมอื่นๆที่ละเอียดกว่านี้
เราคงต้องเก็บไว้รอดู ในวันที่ ซูซูกิ พร้อมจะส่งรถให้เราทำรีวิวกัน เมื่อนั้น จะได้รู้กันละ
ว่าในย่านความเร็วสูง รถจะตอบสนองดี ด้อย ตรงจุดไหนบ้าง?
********** สรุป เบื้องต้น **********
เฮ้ย! รถมันดีกว่าที่คิดเยอะแยะเลย (หวะ) !
เราเลี้ยวรถกลับเข้ามายังจุดนัดหมาย อีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
สิ่งที่เคยคาดการณ์ไว้ และคิดมองไว้ว่า มันน่าจะเป็นแค่ ตัวเลือกหนึ่งในตลาด
กลับเปลี่ยนเป็นความ Appreciate หรือ โปรดปราน มากจนยังต้องแปลกใจกับตัวเอง
แน่นะ ว่าไอ้ที่เราเพิ่งขับมาเนี่ย คือ ซูซูกิ?
ถ้าจะบอกว่า ภาพรวมแล้ว รถคันนี้ เซ็ต ออกแบบ และสร้างออกมาได้ดีกว่า Toyota Yaris
คุณจะเชื่อผมไหม?
ไม่ได้โม้ ไม่ได้เชียร์ ไม่ได้เชลียร์ เพราะไอ้ทั้งหมดที่เขียนไปเนี่ย เพราะในเมื่อเราได้เห็นว่า
รถ ที่จะเอาเข้ามาขาย ในภาพรวมแล้ว มันดีสมราคาจริงๆ ก็ควรที่จะชมเชยกันจริงๆ
ตอนที่ยังนั่งคุยกับ Chief Enginner ของโครงการพัฒนา สวิฟต์ รุ่นนี้ เขาพูดออกมาประโยคนึงว่า
“เป้าหมายของเราในการพัฒนาสวิฟต์ รุ่นนี้คือ ทำอย่างไรให้ สมรรถนะของรถ เอาชนะ
รถยุโรปรุ่นขายดีในตลาดได้ เพราะถ้าเอาชนะรถเหล่านั้นได้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับเราจะ
เอาชนะ รถคู่แข่งในญี่ปุ่น ไปได้เลย นั่นเอง”
พอมาลองขับแล้ว ก็เข้าใจเลยละ ว่า ซูซูกิ กำลังมองเป้าหมายต่อไปไว้อย่างไรในการเติบโตของตนเอง
ในระดับสากล ภายภาคหน้า ดังนั้น ตอนนี้ เรื่องสมรรถนะของตัวรถ ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงแล้วละ
แล้วถ้าคุณยังห่วงเรื่องการประกอบ เพราะมีชื่อของ ประเทศอินโดนีเซีย โผล่มาให้ได้ยินแล้วละก็
งานนี้ ผมกับเจ้ากล้วย ขอยืนยันเลยว่า SWIFT เป็น รถประกอบจาก อินโดฯ ที่เนี้ยบที่สุดเท่าที่เคยเจอมา!
มันเนี้ยบชนิดที่ว่า แทบไม่ต่างจาก เวอร์ชันประกอบในญี่ปุ่น ที่เราเข้าไปนั่งเล่นกันในโตเกียวมอเตอร์โชว์เลย!!
เก็บงานเนี้ยบมากๆ จนแทบไม่ต้อง ผ่านขั้นตอน PDI ก็สามารถเอารถออกขายได้เลย!! มันถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ยังสามารถปรับปรุงต่อได้ ก็ยังมีอยู่ ทั้งตำแหน่งการติตั้ง กล่อง ECU ที่เล่นเอาไปแปะไว้
ด้านข้างแบ็ตเตอรี แถมยังแปะติดในแบบ ที่ ดูแล้วว่า ถ้าต้องไปเผลอชนมอเตอร์ไซค์ หรือคนเดินถนนหนะ
ความเสียหายคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเผลอเอาไฟหน้าฝั่งซ้าย ไปจูบบั้นท้ายรถกระบะ แล้วละก็ สงสัย อาจมีสิทธิ์
ได้เปลี่ยนกล่อง ECU กันหรือเปล่า ราคากล่องของ สวิฟต์ จะอยู่ที่เท่าไหร่ ผมก็ยังไม่ทราบ กลัวว่าจะแพง
เหมือนรถอื่นๆ หรือเปล่า อันนี้ ก็ยังไม่รู้ ดังนั้น ย้ายไปติดตั้งให้มันลึกหน่อย จะดีกว่าไหมครับ?
เพราะระดับความสูงของกล่อง จากพื้นรถ ถือว่า สูงหนีน้ำท่วมเมืองไทยได้ดีแล้ว
ส่วนเรื่องศูนย์บริการ และอนาคตของซูซูกิ ในไทยนั้น เอาอย่างนี้ ถ้าเขายืนยันแล้วว่า จะมาตั้งโรงงาน
ผลิตรถยนต์ อีโคคาร์ ในเมืองไทย ซื้อที่ดินไว้แล้ว เหลือแค่ก่อสร้าง ติดตั้งเครื่องจักร และรอให้รถรุ่นที่
จะเข้ามาประกอบขายในไทย พัฒนาเสร็จ แถมยังมีแผนจะขยายและปรับปรุงศูนย์บริการ กับโชว์รูม
ให้เป็นมาตรฐานสากล และตั้งใจจะ ดูแลลูกค้าดีๆ ยิงกว่าที่เคยเป็นมาละ?
คุณว่า น่าสนใจไหม?
ราคา? เขายังขออุบไว้ก่อน
แต่เท่าที่ผมพอจะบอกกับคุณผู้อ่านได้ในตอนนี้คือ ราคาของสวิฟต์ใหม่นั้น จะเริ่มต้นที่ประมาณ
5 แสน บาท ปลายๆ ยังไม่ถึง 6 แสน ส่วนรุ่นท็อป มี 6 แสนบาท ต้นๆ มาพร้อม Dual Airbag
พวงมาลัยหุ้มหนัง!! แถม สวิชต์ Multi Function คุมชุดเครื่องเสียง ที่ผมยืนยันว่า ในกลุ่ม B-segment แล้ว
คุณภาพเสียงดีมากๆ เป็นรองแค่ City เท่านั้น ละแค่นิดเดียว! แถมมี แอร์ ดิจิตอล อีกต่างหาก….
และมี Keyless Smart Entry กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว ติดมาให้ด้วยจากโรงงาน
เอาง่ายๆคือ ทั้งหมดที่คุณเห็นในรูปชุดที่ผมถ่ายมา ให้ดูในรีวิวคราวเนี้ย คุณจะได้ในราคา 6 แสนบาท ต้นๆ
(และอาจมีของแถม ในแคมเปญเปิดตัว…ซึ่งเชื่อว่า คนที่คิดจะซื้อรถป้ายแดงรุ่นนี้ มีเฮ แน่ๆ! แต่ขออุบไว้ก่อน
เขายังไม่ให้เปิดเผย ซึ่งอันนี้ สมควรอุบไว้ให้เขาไปก่อนจริงๆ )
ถึงตอนนี้ อยากบอกว่า อย่าเพิ่งเชื่อทุกอย่างที่ผมเขียนมาข้างต้น ลืมทุกสิ่งที่คุณอ่านมา ทิ้งทั้งหมด
ผมอยากให้คุณ เปิดใจให้กว้าง แล้วไปลองขับรถรุ่นนี้ดู ในงาน Motor EXPO 2009 ที่ แชลเลนเจอร์ ฮอลล์
เมืองทองธานี 2-13 ธันวาคมนี้ หรือไม่ก็ที่ โชว์รูมแห่งใหม่ ถนนเพชรบุรี ตัดใหม่ ซึ่งน่าจะเปิดทำการได้
ตั้งแต่ 24 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป…
เพราะงานนี้ ซูซูกิ เขาบอกเลย “ไม่ซื้อไม่ว่า แต่อยากให้มาลองขับก่อน”
ผมเห็นด้วยกับเขานะ…! ซื้อรถทั้งที ลองขับสักหน่อยก่อนเถอะ ว่ามันรองรับกับสรีระ
และความถนัดของเราหรือไม่ อย่าใจร้อนเด็ดขาด คุณต้องอยู่กับมันไปอีกหลายเดือน หลายปี
ส่วนตัวเลขอัตราเร่ง หรืออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะเป็นอย่างไร ฟูลรีวิว จะคลอดเมื่อไหร่
ก็คงต้องรอให้ ซูซูกิ พร้อมจะส่งรถให้ผมทดลองขับกันเต็มๆอีกครั้ง นั่นละครับ
ดูแล้ว ไม่น่าจะเกิน ธันวาคม นี้…
—————————————————-///——————————————————
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
11 พฤศจิกายน 2009
Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 11th,2009