คุณผู้อ่านที่รัก
ต้นเดือนตุลาคม 2013 มีคุณผู้อ่านคนหนึ่ง add Facebook ส่วนตัว มาคุย
กับผมช่วงกลางดึก หลังเที่ยงคืนไปนานแล้ว
ขณะนั้น เขายังเป็นนักศึกษา อยู่ในชั้นปีที่ 2 คณะบริหารธุรกิจ (การบิน) ของ
มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
คุยไปคุยมา ถูกคอกันดี ในช่วงนั้น เจ้าตัวบินกลับบ้านที่กรุงเทพมหานคร
ผมเลย นัดเจอตัวจริง และพบว่า นี่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ธรรมดาทั่วๆไป
ที่ผมเคยเจอมา
ถึงแม้ว่า เขาจะยังมีความเป็น “เด็กซุกซน” อยู่มาก แต่สิ่งที่ทำให้หนุ่มน้อยชื่อ
สิทธิ์ศกร เลิศธนูศักดิ์ (Pao Dominic) แตกต่างไปจากคนอื่น คือ ความ
ตั้งใจในการทำงาน การค้นคว้าหาข้อมูล เหนือสิ่งอื่นใด คือ การเป็นคน”ใส่ใจ”
แม้ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เชื่อฟัง ยั้งคิดพิจารณาด้วยเหตุและผล มีไหวพริบ
ตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ที่สำคัญสุดก็คือ มีความรับผิดชอบ ในสิ่ง
ที่ตนเองทำลงไป ทั้งดีและร้าย อย่างสูงมากกว่าที่หลายคนคิด
ดังนั้น ในช่วงที่เจ้าตัว บินกลับมาพักปิดเทอม จากการเรียน ทั้งช่วงเดือน
ตุลาคม 2013 มกราคม 2014 และ มีนาคม 2014 ลากยาวมาจนถึงปลาย
เดือนสิงหาคม 2014 ผมจึงลองดึงมาช่วยงานในด้านต่างๆ เพื่อทดลอง
ดูว่า เจ้าตัว มีความสามารถมากน้อยแค่ไหน
ระยะเวลา ฝึกงาน ประมาณ 6 เดือน เปา มีโอกาสได้ลองนั่ง และลองขับ
รถยนต์ทดสอบ หลายต่อหลายรุ่น เรียนรู้จักตัวรถ การอ่านบุคลิกของรถ
และเก็บประสบการณ์ ในการทำงานต่างๆ จนผมไว้วางใจให้เข้ามาช่วย
แบ่งเบาภาระการงานได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งก็รวมถึง การไปร่วมงานทดลองขับรถสปอร์ต Aston Martin จาก
ประเทศอังกฤษ ผ่านการนำเข้าโดยผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่าง
Heritage Motor Sales & Service (ในเครือกลุ่ม Millennium)
ซึ่งเชิญผมเข้าร่วมลองขับในงานนี้ แต่เนื่องจาก ผมติดภาระกิจเดินทาง
ไปร่วมงาน Nissan GT Academy ที่สนาม Silverstone อังกฤษ
เปา จึงถูกมอบหมายให้ไปลองขับ สุดยอดรถสปอร์ตจากแดนผู้ดี ทั้ง
3 รุ่น เพื่อนำมาถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านได้รับทราบ
วันนี้ แม้ว่าเจ้าตัว จะบินกลับไปทำหน้าที่ นักษึกษาชั้นปีที่ 3 ที่จังหวัด
เชียงราย เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังฝากบทความ ที่เขียนจากประสบการณ์
ครั้งแรกของตนเอง มาแบ่งปันให้คุณๆ ได้ลองอ่านกัน
บทความที่คุณอ่านอยู่นี้ ถือได้ว่า อุดมไปด้วยคำว่า “ครั้งแรก”
เพราะนี่คือ ครั้งแรกของ Aston Martin ในการจัดกิจกรรมทดลองขับ
Test Drive ให้กับสื่อมวชนในเมืองไทย
ครั้งแรก ของ น้องเปา กับประสบการณ์ลองขับรถสปอร์ต ระดับหรู ซึ่ง
ต้องรวบรวมสารพัดประสบการณ์ที่ตนเคยเจอในช่วงที่ เรียนรู้อยู่กับ
The Coup Team ของเรา มาใช้ในงานนี้ อย่างจริงจัง
ครั้งแรกของเปา ในการลองขับรถ บนสนามแข่งรถยนต์ แห่งแรกๆ ของ
ประเทศไทย อย่าง Bira International Circuit ที่พัทยา
และนี่ก็ถือเป็นบทความลองขับ เต็มรูปแบบครั้งแรกของน้องเปา ในเว็บ
ของเรา
อยากให้ลองอ่านกันดูครับ….ว่าเกือบ 1 ปีผ่านไป จนถึงวันนี้ ประสบการณ์
ที่เจ้าตัวเจอมา จะทำให้คุณผู้อ่าน พร้อมเปิดใจต้อนรับ สมาชิกใหม่ ของ
The Coup Team เรา ได้หรือยัง?
J!MMY
Website Director
www.Headlightmag.com
——————————–///——————————-
14 สิงหาคม 2014
10:00 น.
คุณเคยตื่นนอนตอนตี 5 เพื่อขับรถมายังพัทยากันไหมครับ?
มันอาจเป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนจะทำแบบนั้น เพื่อมาพักผ่อนหย่อนใจ
กับครอบครัว กับกลุ่มเพื่อนๆ หรือไม่ก็คนที่คุณรัก
แต่สำหรับผม การที่ต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติ แถมจุดหมาย
ปลายทางคราวนี้ ก็ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะในวันนี้ มีรถสปอร์ต ชั้นเยี่ยม ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของ
คนอังกฤษ จอดรออยู่ที่สนามแข่งรถ พีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต
พัทยา ถึง 3 คัน
ครับ ผมจะพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับบุคลิกเบื้องต้นของ
Aston Martin รุ่นใหม่ล่าสุด ถึง 3 คัน ตามคำเชิญ และนัดหมายกับ
บริษัท Heritage Motor Sales & Services (Thailand) จำกัด
ผู้นำเข้า จำหน่าย และบริการหลังการขาย รถสปอร์ตยี่ห้อนี้ อย่างเป็น
ทางการ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
จริงๆแล้ว คำเชิญสำหรับงานนี้ ถูกส่งไปยังพี่ J!MMY แต่ในเมื่อ
พี่เจ้าของเว็บ ติดภาระกิจบินไปประเทศอังกฤษ ผมจึงรับอาสา
ขอพาคุณผู้อ่านไป ทดลองขับ รถสปอร์ต Aston Martin ทั้ง 3 รุ่น
ให้ดูกัน
รถสปอร์ตซึ่งได้ชื่อว่า เป็นพาหนะคู่กายพระเอกในภาพยนตร์สายลับ เรื่อง
Jamaes Bond 007 เจ้าของประโยค คลาสสิค My name is Bond,
James Bond. ใครที่เป็นแฟนของหนังเรื่องสายลับ 007 คงจะคุ้นหู
กันดีกับประโยคแนะนำตัวนี้ และแน่นอนว่าทุกคนคงจะจำภาพ
ที่พระเอก จะต้องปรากฎตัวใน Aston Martin DB5, DBS, DBS
V12 หรือแม้กระทั่ง V8 Vantage Volant
และคราวนี้ Heritage Motor Sales & Service ทุ่มทุนสร้าง จัดเตรียม
รถยนต์ให้เราได้ทดลองขับกันถึง 3 คัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น V8 Vantage
V8 Vantage S และ DB9 ซึ่งถือเป็น 3 รุ่นหลักในการเปิดตัว เพื่อ
กลับมาทำตลาดในเมืองไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
เหตุที่ใช้คำว่า กลับมาทำตลาด เพราะพี่ J!MMY เคยเล่าให้ฟังว่า ในอดีต
แต่ก่อนนี้ Aston Martin เคยก่อตั้งบริษัท Aston Martin Thailand
เพื่อทำตลาดรถยนต์ของตนในบ้านเรามาแล้ว แต่ด้วยยอดขายที่ไม่มากนัก
ทำให้ต้องยุติบทบาทในบ้านเราไปในที่สุด
กว่าที่ Aston Martin จะแต่งตั้ง Heritage Motor Sales & Service
เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการในเมืองไทยนั้น ก็ทิ้งช่วงมานานหลายสิบปี
หลายปี คราวนี้ บริษัทแม่ที่อังกฤษ ก็พร้อมซัพพอร์ต การเปิดตลาดของ
ทางกลุ่ม Millennium เป็นอย่างดี
ใช่แล้วครับ สิ่งที่คุณกำลังจะเลื่อนเมาส์ลงไปอ่านต่อจากนี้คือ Aston Martin
รุ่น V8 Vantage รวมไปถึง V8 Vantage S ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบ
AMV8 Vantage Concept Car ในงาน North American International
Auto Show ปี 2003 และเปิดตัวครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show ปี 2005
และ DB9 ที่มีประวัติและการพัฒนามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ DB1 ในปี 1948
โดยชื่อรุ่น DB เกิดจากชื่อย่อของ David Brown ผู้ที่เข้ามาซื้อกิจการของ
Aston Martin ต่อจาก Lionel Martin และ Robert Bamford ผู้ก่อตั้ง
กิจการในปี 1947 ด้วยเงิน 20,500 ปอนด์อังกฤษ จากประกาศขายกิจการใน
หนังสือพิมพ์ The Times
ในปี 2012 บริษัท Investment Dar ตัดสินใจทบทวนเรื่องการถือหุ้นของตน
กลุ่ม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ตัดสินใจเข้าร่วมการประมูลซื้อหุ้น
ครึ่งหนึ่งของ Aston Martin ท้ายสุด กลุ่มนักลงทุน Italian Private equity
fund Investindustrial) ลงนามในข้อตกลง เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2012 ที่จะ
ซื้อหุ้นของ Aston Martin 37.5% ในลักษณะการเพิ่มทุน และในเดือนเมษายน
2013 ผู้นำของ Aston Martin อย่าง Dr Ulrich Bez ตัดสินใจออกจากบทบาท
การเป็น CEO (chief executive officer) เพื่อเป็นที่ปรึกษาแทน
ปัจจุบัน Aston Martin ผลิตรถสปอร์ตหลายรุ่น และเน้นทำตลาดกับกลุ่มลูกค้า
ไฮโซ ผู้ที่มองหารถสปอร์ตแบบ Gran Turismo เพื่อการเดินทางไกลอย่างมี
สไตล์ และยังคงมีความสบายในการเดินทาง ตามแบบรถสปอร์ตจากอังกฤษอยู่
เมื่อเราได้ทำความรู้จักประวัติคร่าวๆของ Aston Martin กันแล้ว
ก่อนลองขับ คงต้องมาทำความรู้จักกับพาหนะของเรากันก่อน
Aston Martin ที่เราลองขับกัน มี 3 รุ่น คือ V8 Vantage, V8 Vantage S และ DB9
มิติตัวถังของ V8 Vantage มีความยาว 4,385 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร
สูง 1,260 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 80 ลิตร
แต่ถ้าเป็น V8 Vantage S จะยาว 4,382 มิลลิเมตร กว้าง 1,866 มิลลิเมตร สูง
1,260 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,601 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถัง 1,610 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 80 ลิตร
และ DB9 จะมียาว 4,720 มิลลิเมตร กว้าง 1,875 มิลลิเมตร สูง 1,282
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถัง 1,785 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 78 ลิตร
รายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอก หลายๆคนอาจจะมองแล้วสงสัยว่า ทำไม
Aston Martin จึงออกแบบให้รถเกือบทุกรุ่นมีความคล้ายคลึงกันมาก จนถึง
ขั้นมีบางคนพูดไว้ว่า “โอ้ย Aston Martin น่ะ เขาไม่รู้จะออกแบบรถให้มัน
มีหน้าตาดีกว่านี้ได้ยังไงแล้ว มันถึงได้เหมือนกันไปหมดแบบนี้ไงล่ะ” ถ้า
คุณผู้อ่านคนไหนกำลังคิดแบบเดียวกันนี้ ผมบอกได้เลยครับว่าคุณคิดผิด!
ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมัน
เหตุผลที่ Aston Martin ต้องออกแบบรถยนต์ของตนเองให้เป็นแบบนี้ เพราะ
ว่าทีมวิศวกรออกแบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใช้ทฤษฎีการออกแบบที่เรียกว่า
Golden Section หรือ Golden Ratio ที่แปลเป็นไทยได้ว่า สัดส่วนทองคำ คือ
ส่วนของเส้นที่ถูกแบ่งตรงตำแหน่งที่ก่อให้เกิด อัตราส่วนทอง ซึ่งเป็นทฤษฎี
เดียวกันกับที่ Leonardo da Vinci ใช้วาดภาพ Monaliza หรือแม้กระทั้งการ
ออกแบบโลโก้ของบริษัท Apple ก็ใช้ทฤษฎีนี้ในการออกแบบ นั่นเอง!
ก้มมองดูรองเท้าของ V8 Vantage และ V8 Vantage S คุณจะพบกับล้ออัลลอย
แบบ 5 ก้านคู่ รูปตัว V ขนาด 19 นิ้ว สวมยาง Bridgestone Potenza RE050A
คู่หน้าขนาด 245/40 ZR19 ส่วนคู่หลังมีขนาด 285/35 ZR19
ส่วนรุ่น DB9 จะเป็นล้ออัลลอยแบบ 10 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว สวมยาง Pirelli P Zero
คู่หน้าขนาด 245/35 ZR20 ส่วนคู่หลังมีขนาด 295/30 ZR20
การเข้า – ออกจากรถ ทั้ง 3 รุ่น ใช้กุญแจพร้อมรีโมทคอนโทรล ฝังมาในตัวรีโมท
พร้อมระบบ Immobilizer หน้าตาเหมือนกับกุญแจของ Aston Martin ทุกรุ่น
วิธีการติดเครื่องบยต์เป็นแบบ Push (Key) Start คือต้องใส่กุญแขเข้าไปในรู
ตรงกลางคอนโซลหน้า ซึ่งวิธีการสตาร์ทมันก็ช่างทำให้ผมสับสนในตอนแรกพอๆ
กับ MG6 เลย คือต้องกดกุญแจลงไปให้สุดตั้งแต่แรกแล้วค้างไว้จนกว่าเครื่องยนต์
จะติดขึ้น ถ้าใสกุญแจเข้าไปเพื่อใฟ้ระบบไฟฟ้าทำงาน จะต้องปลดกุญแจจออก
ก่อนแล้วจึงจะใส่เข้าไปใหม่อีกรอบเพื่อที่จะติดเครื่องยนต์
การเข้า – ออกจากเบาะคู่หน้าทั้ง 3 รุ่นนั้น ถือว่าไม่สบายนัก เนื่องจากตัวรถและ
ตำแหน่งเบาะนั่ง อยู่ในตำแหน่งที่เตี้ยมาก ทำให้ต้องใช้ความพยายามในการ
เข้าออกอยู่บ้าง แต่ยังถือว่ารับได้อยู่
เมื่อเปิดประตูเข้ามาดูภายในห้องโดยสาร จะพบว่า ภายในของรุ่น V8 Vantage
จะใช้โทนสีดำเป็นหลัก และหุ้มเบาะด้วยหนังสีดำตะเข็บแดง ขณะที่รุ่น V8
Vantage S จะใช้โทนสีครีม และหุ้มเบาะด้วยหนังสีครีมตะเข็บดำ และรุ่น DB9
จะใช้โทนสีดำ และหุ้มเบาะด้วยหนังสีดำ
เบาะนั่งทั้งด้านคนขับและคนนั่ง ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ทั้งเลื่อนขึ้น
หน้า – ถอยหลัง ปรับเอน ปรับระดับสูง – ต่ำ และปรับมุมเงยของเบาะทั้งชุด
(ไม่ใช่แค่มุมเงยของเบาะรองนั่งเพียงอย่างเดียว) พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง
เบาะนั่ง 3 หน่วยความจำ
โครงสร้างของเบาะ V8 Vantage กับ V8 Vantage S นั้นใช้แบบเดียวกัน จึงไม่
แปลกใจว่ามันนั่งไม่ค่อยสบายทั้ง 2 รุ่น และตำแหน่งเบาะนั่งที่เตี้ยมากทำให้
ขาเราต้องถูกยืดออกจนเกือบจะเป็นเส้นตรงตลอดการขับขี่ ทำให้เกิดความไม่
สบายบ้างในระหว่างการขับขี่ แต่เบาะของรุ่นนี้มีข้อดีอยู่อย่างนึงคือ ไม่ว่าผม
จะสาดโค้งรุนแรงแค่ไหนก็ตาม ตัวผมก็ไม่หลุดกระเด็นออกจากเบาะเลยแม้
แต่น้อย ถือว่าออกแบบมาได้ดีในจุดนี้ พนักพิงศรีษะถือว่าดันหัวกบาล แต่อยู่
ในระดับที่รับได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะตำหนิที่สุดของเบาะรถทั้ง 2 รุ่นนี้คือความ
แข็งของพนักพิงศรีษะครับ! มันจะแข็งขนาดนี้ไปทำพระแสงของ้าวอะไรก็
ไม่ทราบ มันแข็งจนบางทีผมเกือบคิดว่าผมกำลังพิงอยู่บนถุงกระสอบที่อัดแน่น
ไปด้วยทรายที่เอาไว้ทำเป็นกำแพงกั้นน้ำ
แต่เบาะนั่งในรุ่น DB9 ผมกลับพบความสบายที่มีมากขึ้นกว่าเดิมนิดนึง เนื่องจาก
ทั้งตัวเบาะและพนักพิงศรีษะมีความนุ่มมากขึ้น ถึงแม้ไม่มากนัก แต่ก็ยังสามารถ
ล็อกตัวผมไว้กับเบาะได้ดีเช่นเดียวกับ 2 รุ่นที่แล้วที่กล่าวมา แต่ถึงยังไง พนักพิง
ศรีษะก็ยังดันกบาลอยู่ดี นั่นแหละ
และถึงแม้ว่า DB9 จะเป็นรถมีที่นั่งที่เรียกว่า 2 + 2 แต่ผมขอบอกว่าอย่าได้ลอง
เข้าไปนั่งเบาะหลังถ้าไม่จำเป็นเลยล่ะ เพราะพื้นที่มันแคบเสียจนต้องบอกว่า
หมาดิ้นตายยังตายแบบไม่สบายเลย ขนาดผมลองเข้าไปนั่งแค่ไม่กี่นาที ผมยัง
รู้สึกอึดอัดมากจนต้องรีบออกมา แต่ก็ออกมาอย่างทุลักทุเล เพราะต่อให้เลื่อน
เบาะหน้าไปจนสุด คุณก็ยังต้องคอยมองหลังคาก่อนออกอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้น
หัวอาจจะโขกเข้าเสียก่อนจะได้ออกจากรถคันนี้
แผงหน้าปัดและชุดมาตรวัด เหมือนกันหมดทั้ง 3 รุ่น ที่ให้ความรู้สึก Premium
แต่ชุดแผงควบคุมเครื่องเสียงนี่ปุ่มมันจะเล็กและเยอะไปไหน ในแง่ของการ
ใช้งานจริง มันอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้เนื่องจากผู้ขับขี่ต้องละสายตาจาก
ถนนอยู่นานกว่าที่ควรจะเป็น แต่ปุ่มปรับอุณหภูมิและพัดลมแอร์ถือว่าออกแบบ
มาให้ปรับได้ง่าย ไม่ต้องละสายตาจากถนนก็ปรับได้
พวงมาลัยของทั้ง 3 รุ่น เป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง
จากผู้ขับขี่ได้ครบทุกรุ่น มีสวิชต์ควบคุมเครื่องเสียงและรับสาย – วางหูโทรศัพท์
มาให้ที่ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย ส่วนฝั่งขวาเป้นสวิชต์ควบคุมระบบล็อกความเร็ว
คงที่ Cruise Control นอกจากนี้ทั้ง 3 รุ่น จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย
Paddle Shift มาให้ ทำงานไวตามสั่ง ทั้งฝั่งบวก หรือลบ ใช้การได้ดีมาก
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ขุมพลังของ V8 Vantage เกิดจากการนำเครื่องยนต์ AJ-V8 บล็อค 8 สูบ DOHC
32 วาล์ว กำลังอัด 11.3 : 1 ของ Jaguar มาเปลี่ยนชิ้นส่วนและปรับแต่งใหม่ เช่น
การเปลี่ยนบล็อคกระบอกสูบ, หัวลูกสูบ, เพลงลูกสูบ, เพลาข้อเหวี่ยง, เพลาลูกเบี้ยว
ท่อร่วมไอดีและไอเสีย, ระบบหล่อลื่น และระบบการจัดการเครื่องยนต์ เป็นต้น
อีกทั้งชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ถูกเปลี่ยนใหม่ถือเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บล็อคนี้อีกด้วย
แรงม้าสูงสุด 426 แรงม้า (PS) ที่ 7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร
(47.92 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ CO2 299 กรัม/กิโลเมตร
แต่ถ้าใครที่คิดว่า 426 ม้าจากเครื่อง 8 สูบยังไม่พอ ก็ต้องหันมามองเครื่องยนต์ของ
V8 Vantage S ที่เกิดจากการปรับปรุงเครื่องยนต์ AJ-V8 บล็อค 8 สูบ DOHC 32 วาล์ว
กำลังอัด 11.3 : 1 ที่ประจำการอยู่ใน V8 Vantage ให้แรงขึ้นไปอีกจนสามารถสร้าง
แรงม้าได้สูงสุด 436 แรงม้า (PS) ที่ 7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 490 นิวตันเมตร
(49.96 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ CO2 299 กรัม/กิโลเมตร
และพระเอกของเรา DB9 จะใช้เครื่องยนต์ AM11 บล็อค V12 DOHC 42 วาล์ว
5,935 ซีซี ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ไร้ระบบอัดอากาศใดๆทั้งสิ้น กำลังสูงสุด 517 แรงม้า
(PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร (63.22 กก.-ม.) ที่ 5,500
รอบ/นาที และยังสามารถสร้างแรงบิดได้มากกว่าปกติอีก 40 นิวตันเมตร ตั้งแต่
0 – 4,000 รอบ/นาที
ในรุ่น V8 Vantage และ V8 Vantage S จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
ด้วยเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ Sportshift 2 มาพร้อมกับเฟืองท้าย Limited-slip
ไม่มีตัวเลขอัตราทดเกียร์มาให้ แต่มีตัวเลขอัตราทดเฟืองท้ายมาให้แทน โดย
รุ่นธรรมดาจะอยู่ที่ 3.909:1 และรุ่น S จะอยู่ที่ 4.182:1
แต่ถ้าเป็นรุ่น DB9 จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6
จังหวะ Touchtronic 2 มาพร้อมกับระบบ Shift-By-Wire Control System
และเฟืองท้าย Limited-slip
อัตราทดมีดังนี้
เกียร์ 1…………………………..4.17
เกียร์ 2…………………………..2.34
เกียร์ 3…………………………..1.52
เกียร์ 4…………………………..1.14
เกียร์ 5…………………………..0.87
เกียร์ 6…………………………..0.69
เกียร์ถอยหลัง……………………3.40
อัตราทดเฟืองท้าย………………3.46
ตัวเลขสมรรถนะที่ทางโรงงานเคลมไว้ว่าสามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100กิโลเมตร/ชั่วโมง
และความเร็วสูงสุดของแต่ละรุ่น มีดังนี้
V8 Vantage………………. 4.9 วินาที และ 290 กิโลเมตร/ชั่วโมง
V8 Vantage S……………. 4.5 วินาที และ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง
DB9………………………….. 4.6 วินาที และ 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เมื่อเราดูข้อมูลและตัวเลขสมรรถนะของรถกันไปแล้ว เราก็มาดูการขับขี่จริงกันบ้าง
ตอนที่ผมยืนดูอยู่ขอบสนามระหว่างรอคิวทดสอบ รถทุกคันส่งเสียงคำรามและวิ่ง
ผ่านหน้าผมไปอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างที่ควรจะเป็น
เลยหว่า…
ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้จนถึงเวลาที่จะได้ขับมันจริงๆ ในรอบแรกผู้ดูแลรถ
จะสอนวิธีการขับและการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆของรถอย่างคร่าวๆและจะพาเรา
ไปวน 1 รอบสนามก่อนที่จะเปลี่ยนให้เราเป็นคนขับ
ทันทีที่คนปล่อยสัญญาณชูธงเขียวขึ้น ผมก็กระทืบคันเร่งเต็มตีน และเจ้า V8 Vantage
คันนี้ก็พาผมทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สุ้มเสียงของเครื่อง V8 ที่แผดออกมายัง
ช่วยสร้างความตื่นเต้นจนเหมือนเป็นยากระตุ้นที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งออกมา
คันเร่งมีการตอบสนองที่ถือว่ารวดเร็ว ฉับไว จับอาการ Lag ได้ค่อนข้างน้อย
พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงถูกปรับเซ็ทมาในสไตล์
รถแข่ง คือมีความเฉียบคม แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรงหรือทางโค้ง แต่มี
น้ำหนักมากเสียจนต้องถามว่ามันหนักไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าหากจะนำรถคันนี้
มาใช้ในชีวิตประจำ ผมว่าคงต้องไปเล่นกล้ามมาให้เหมือนกับเทรนเนอร์ฟิตเนส
ก่อนถึงจะสามารถขับรถคันนี้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้แบบไม่หอบแฮ่กๆๆๆ
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังเป็นแบบ Double Wishbone Incorporating
Anti-dive Geometry พร้อมคอล์ยสปริง, เหล็กกันโคลง ช็อกอัพ monotube
adaptive dampers จะพาให้คุณเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ แต่ไม่ถึงกับมากนัก
เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณสาดโค้งด้วยความเร็วสูง และเผลอไปเติมคันเร่งเข้าล่ะก็
คุณจะพบกับอาการหน้าดื้อหรือ Understeer อย่างชัดเจนและถ้าควบคุมได้
ไม่ดีพอ คุณก็อาจจะพารถไป นอนกินหญ้าแถวๆข้างทางก็เป็นได้
ระบบเบรคเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ จานเบรคหน้ามีขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อม
คาลิปเปอร์ 6 สูบ จานเบรคหลังมีขนาด 330 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์ 4 สูบ
ทำงานได้ฉับไว สามารถหน่วงความเร็วจาก 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบบกระทันหัน
ลงมาได้อย่างสบายๆ แต่ในความเร็วต่ำเบรคจะพบเจอกับอาการจิก ถึงจะไม่มากนัก
แต่ก็สามารถทำให้ผมเสียวได้ว่า จะมีใครมาทิ่มตูดผม เอ้ย ตูดรถเวลา เบรคหรือเปล่า
ระบบช่วยเหลือก็ถูกใส่มาให้อย่างครบครันไม่แพ้รุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกัน
ล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem) ระบบกระจายแรงเบรก EBD
(Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน
EBA (Emergency Brake Assist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TC (Traction
Control) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist) ระบบช่วย
เบรคไฮโดรลิก (Hydraulic Brake Assist) ระบบควบคุมแรงบิด PTC (Positive
TorqueControl) ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ DSC (Dynamic Stability
Control) พร้อมโหมดสนามแข่ง (Track Mode)
ดังนั้น การตอบสนองของระบบเบรก จึงไม่แตกต่างไปจาก V8 Vantage S เท่าใดนัก
เมื่อได้ขับตัวธรรมดาจนครบรอบแล้ว ก็ถึงคิวของ V8 Vantage S ดูบ้าง
เมื่อคนปล่อยสัญญาณชูธงเขียวขึ้น ผมก็กดคันเร่งลงไปจนสุดเหมือนเดิม
แต่คราวนี้ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม ผมสัมผัสได้ว่าความเร็วที่กำลังไต่ขึ้นไปนั้น
มันเร็วกว่าเดิม แต่ไม่ถึงกับมากนั้น ต้องสังเกตกันดีๆ จึงจะรู้สึกได้ ส่วนคันเร่งก็ทำ
หน้าที่ได้ดีไม่แพ้รุ่นธรรมดา ยังคงรักษาความรวดเร็ว ฉับไว ได้เหมือนเดิม
พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงถูกปรับเซ็ทให้มีความต่าง
จากรุ่นธรรมดา คือมีน้ำหนักนี่กำลังดีขึ้น มีความเฉียบคมมากขึ้น จนเกือบจะเรียก
ได้ว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมเพียงแค่หักพวงมาลัยไปตามทิศทางที่ต้องการ
ถ้าใครที่ชอบพวงมาลัยสไตล์รถแข่งผมว่าน่าจะชอบพวงมาลัยของ V8 Vantage S นะ
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังเป็นแบบ Double Wishbone Incorporating Anti
dive Geometry พร้อมคอล์ยสปริง, เหล็กกันโคลง และ ช็อกอัพแบบ monotube
adaptive dampers เหมือนกับรุ่นธรรมดา แต่ถูกปรับเซ็ทใหม่ เพื่อรองรับกับพละกำลัง
และความบ้าระห่ำของคนขับที่อาจจะเกิดขึ้น ในขณะที่เลี้ยวโค้ง ผมสามารถใส่ความเร็วได้
มากกว่ารุ่นธรรมดาโดยที่ผมไม่รู้สึกหวาดกลัว แถมยังพบเจอกับอาการ Understeer
หรือหน้าดื้อ “น้อยกว่ารุ่นปกติอย่างมาก”
แต่ในรอบสุดท้ายที่ผมได้ลองขับก่อนที่ผู้ดูเลรถจะนำรถเข้าไปเก็บ ผมเลี้ยว
โค้งหักศอกด้วยความเร็วที่เท่ากับกับรถคันอื่นๆ แต่ผมกลับเจออาการหน้าดื้อ
แบบชัดเจนมาก ตัวรถแทบจะไม่เลี้ยวไปตามพวงมาลัยเลย มันได้แต่พุ่งตรง
ไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ทำให้ผมต้องรีบถอนคันเร่งและแตะเบรคพร้อม
กับควบคุมพวงมาลัยให้ตัวรถสามารถเข้าโค้งได้อย่างปลอดภัย ถือว่าโชคดีมาก
เพราะถ้าผมปล่อยให้รถวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกนิดเดียว ผมอาจจะพาเจ้า V8
Vantage S คันนี้ลงข้างทางไปเลย
พอผมขับเข้าไปถึงจุดพักรถ ผมได้ลองสอบถามทางผู้ดูแลรถจนได้ความมาว่า
ยางติดรถ Bridgestone Potenza RE050A เนี่ย มันผ่านการวิ่งทดสอบมา
ทั้งวัน จนร้อนจัด เลยทำให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนแย่ลงจากเดิม
ระบบเบรคเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ จานเบรคหน้ามีขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อม
คาลิปเปอร์ 6 สูบ จานเบรคหลังมีขนาด 330 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์ 4 สูบ
ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม ไม่ต่างจากรุ่นธรรมดา มีระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti Lock Braking Sysgtem) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics
Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน EBA
(Emergency Brake Assist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TC (Traction Control)
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist) ระบบช่วยเบรคไฮโดรลิก
(Hydraulic Brake Assist) ระบบควบคุมแรงบิด PTC (Positive Torque Control)
ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ DSC (Dynamic Stability Control) พร้อมโหมด
สนามแข่ง (Track Mode)
และคันสุดท้ายที่ผมได้ทดลองขับคือ DB9 รถยนต์คู่กายของ James Bond ที่จะ
ต่างจากรุ่นอื่นๆที่ผ่านมาคือ ใช้เครื่องยนต์ 12 สูบ และเบรคแบบคาร์บอน
เซรามิค รวมไปถึงการขับขี่ที่มาในสไตล์ Grand Tourer มากกว่าจะเป็น Sport Car
เมื่อผมออกจากจุดปล่อยตัว สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้เลยคือแรงดึงครับ พละกำลัง
ถูกส่งไปยังล้อคู่หลังอย่างต่อเนื่อง แต่มันจะไม่พุ่งอย่างรุนแรงเหมือนกับรุ่น
Vantage มันจะพุ่งไปอย่างนิ่งๆด้วยแรงบิด 620 นิวตันเมตรที่ไหลมาอย่าง
ไม่หยุดยั้ง แต่ก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้เหมือนกัน
พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงและระบบ Servotronic
ที่จะปรับน้ำหนักของพวงมาลัยตามความเร็วรถ มีน้ำหนักเบากว่ารุ่น Vantage
อย่างชัดเจน เพราะถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถขับขี่ทางไกลได้อย่างไม่เมื่อยล้า
แต่ยังมีความเฉียบคมไม่แพ้รุ่น Vantage เลย
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังเป็นแบบ Double Wishbone Incorporating Anti-dive
Geometry พร้อมคอล์ยสปริง, เหล็กกันโคลง, ช็อกอัพ monotube adaptive dampers
และ Adaptive Damping System (ADS) ที่สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ คือ
โหมดปกติ, โหมด Sport และ โหมดสนามแข่ง ก็ทำหน้าที่ได้ดี เกาะถนนในทางโค้งได้
อย่างมั่นใจ แต่มีความนุ่มกว่ารุ่น Vantage อย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกสบายในการขับขี่
มากกว่า แต่เนื่องจากเวลาในการทดสอบที่มีน้อยและต้องเร่งรีบ ผมเลยไม่ได้ทดสอบ
ว่าทั้ง 3 โหมดของช่วงล่างนี้มันต่างกันยังไงบ้าง
ระบบเบรคเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ จานเบรคทำจากคาร์บอนเซรามิค ที่เบากว่าจานเบรค
แบบเหล็กถึง 12 กิโลกรัม และยังช่วยลดอาการ Fade ของเบรคและทนความร้อนได้
มากขึ้น จานเบรคหน้ามีขนาด 398 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์ 6 สูบ จานเบรคหลัง
มีขนาด 360 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์ 4 สูบ คอยหน่วงความเร็วได้อย่างน่าประทับ
ใจ ไม่ว่าจะต้องเบรคกระทันหันขนาดไหน ก็ยังเอาอยู่ และไม่พบเจออาการ Fade
ของเบรคเลย มาพร้อมกับระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่ม
แรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
TC (Traction Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ DSC (Dynamic Stability
Control) พร้อมโหมดสนามแข่ง
ระบบ DSC สามารถเลือกการทำงานได้ 3 แบบ ในโหมดปกติ ระบบช่วยเหลือ
จะคอยควบคุมการทรงตัวของรถอยู่ตลอดเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ถ้าเรากดปุ่ม
DSC ค้างไว้ 4 วินาที ระบบจะเข้าสู่โหมดสนามแข่ง ซึ่งระบบจะทำงานอยู่ตลอด
เหมือนโหมดปกติ แต่จะทำงานช้าลงกว่าปกติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเล่นในทางโค้ง
ได้มากกว่าเดิม แต่ยังมีระบบคอยช่วยเหลืออยู่ และถ้าเรากดปุ่ม DSC ต่อไปอีก 5 วินาที
ระบบช่วยเหลือทุกอย่างจะถูกปิดอย่างสมบูรณ์เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถแสดงฝีมือได้อย่าง
เต็มที่โดยปราศจากระบบช่วยเหลือใดๆ
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
การที่บริษัท Heritage Motor Sales & Services (Thailand) ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย
อย่างเป็นทางการของ Aston Martin ทำให้ตลาดรถยนต์ระดับ High Luxury มีสีสันกว่า
ช่วงที่ผ่านมา และผู้บริโภคก็มีตัวเลือกที่มากขึ้น
และการที่ผมได้เข้ามาคลุกคลีกับรถยนต์ระดับนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง มันก็ทำให้ผมรู้ว่า
รถยนต์ประเภทนี้มันก็มีดีในแบบของมัน ไม่ใช่ว่ามีแต่ราคาแพงแล้วคุณภาพด้อย
ไม่อย่างนั้นรถยนต์ประเภทนี้ในตลาดโลกคงไม่มีแนวโน้มที่โตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากใน
ทุกวันนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนเหล่านั้นต่างก็อยาก
หาอะไรก็ตามที่มาประดับบารมี และตอบแทนความเหนื่อยยากของตน
ฉะนั้นผมว่าเราอย่าไปมองเลยครับ ว่าคนนั้นไปซื้ออะไรมา แล้วมันแพงมากมั้ย ซื้อของ
แบบนี้ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง…? เราลองมองกลับกันดีกว่า ว่าเขาก็ทำงานเหนื่อยยาก
มากแล้ว และเขาก็คงอยากจะได้รางวัลในชีวิตบ้าง ถึงแม้ราคามันจะแพงก็ตาม
แล้วถ้าเราจะซื้อรถ Aston Martin ซักคันจาก 3 คันนี้ล่ะ? เราควรจะซื้ออะไรกันดี
ถ้าคุณเป็นคน ขับรถแบบไม่เสี่ยง เล่นเพียงแต่พอดี ผมว่า V8 Vantage ในราคาเริ่มต้น
13.5 ล้านบาท ก็เป็นการเริ่มต้นที่เข้าท่า แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบเสี่ยงหรือเป็นสิงห์ทางโค้ง
การเพิ่มเงินอีก 1 ล้าน เพื่อให้ได้ช่วงล่างที่ดีกว่าเดิม เครื่องแรงกว่าเดิม จาก Vantage S
ก็ไม่เลว
แต่ถ้าใครที่บอก ว่ากระเป๋าหนัก เงินไม่ใช่ปัญหา และอยากได้รถสปอร์ตที่วิ่งทางไกลได้โดย
ถึงที่หมายแล้วจะไม่ปวดตูดเสียก่อน แต่ยังสามารถปราบคู่แข่งที่มาคอยกวนใจบนท้องถนนได้
ก็เลือก DB9 ได้เลยครับ
3 ทางเลือก 3 รูปแบบ 3 ระดับความแรง ตามระดับความพอใจและเงินในกระเป๋า
—————————-///————————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to
บริษัท Heritage Motor Sales & Services (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง
—————————————————–
Pao Dominic (Sitsakorn Lardtanusak)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน / Aston Martin
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
7 กันยายน 2014
Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 7th,2014
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE