นับวัน ผมยิ่งมีความรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับค้างคาวเข้าไปทุกที..
ก็จะไม่ให้รู้สึกได้อย่างไรในเมื่อเวลาที่ผู้คนเขาพากันหลับไหล มันเป็นเวลาที่ผมตื่นตัว ตาใส
และเรดาร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แล้วหลังจากนั่งทำงานจนพลังในตัวเริ่มหมด
ก็จะพุ่งเข้าที่นอนในเวลาที่คนส่วนมากของประเทศตื่นนอนแล้วออกไปทำงานกัน
น้องๆ และคุณผู้อ่านหลายคนก็เริ่มท้วงติงมาแล้วว่าผมกำลังใช้ชีวิตในลักษณะทำลายตัวเอง
แต่ก็ไม่ได้สัญญาอะไรไปเพราะรู้ว่าบางทีงานมันก็สำคัญ และวันนี้ก็คงต้องยอมอดหลับอดนอน
กันอีกวัน เพื่อให้ได้มาซึ่ง Surprise แรกที่สัญญากับคุณผู้อ่านเอาไว้ เป็นของขวัญที่ผมตั้งใจ
มอบให้กับคุณผู้อ่านในวาระครบรอบเดือนเกิดของเว็บไซต์ Headlightmag.com
ผมยอมเข้านอนเร็ว (อันที่จริง ก็ได้นอน แค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง) และตื่นเช้า พาตัวเองมาถึงโรงแรม
Four Wings ย่านศรีนครินทร์ เพื่อจะได้สัมผัสกับ รถยนต์ Hatchback รุ่นใหม่ที่เรารอคอยกัน
มานาน หลังจากที่ Nissan ปล่อยให้ลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ได้ซื้อหาไปขับเล่นหลั่นล้ากัน
ก่อนเรามาเกือบสองปี ในที่สุด คนไทยก็จะได้มีโอกาสสัมผัสรถคันนี้กันซะที!
ครับ…นี่คือ Nissan PULSAR….
เอ่อ! เดี๋ยวนะ? ขอพุดเรื่องชื่อรุ่นกันสักหน่อย
ผมละแสนดีใจ๊ดีใจ ที่ Nissan บ้านเรา ตัดสินใจ เลิกใช้ชื่อ TIIDA เหมือนเช่นตลาดอื่นๆทั่วโลก
(ยกเว้นเมืองจีน) แต่ที่กรี๊ดลั่นสนั่นปากซอยหมู่บ้านยิ่งกว่าปกติ ก็เพราะว่า ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง
ซึ่งอยากให้ Nissan ใช้ชื่อนี้ กับรถยนต์ คันนี้
Pulsar นั้น เป็นชื่อที่อาจยังไม่ค่อยคุ้นหู คนไทย รุ่นใหม่ๆ ที่เกิดหลังปี 1987 เป็นต้นมา แต่ถ้า
คนที่ชอบรถยนต์ ระดับศึกษาค้นคว้าหาอ่านด้วยตัวเอง จะรู้ดีว่า Pulsar นี่แหละ คือรถยนต์
ขับเคลื่อนล้อหน้า รุ่นสำคัญ สำหรับการบุกตลาดยุโรป ในช่วงปี 1978 – 1998 เพียงแต่อาจใช้
ชื่อรุ่นต่างกันตามแต่ละตลาดเช่น Cherry , หรือแม้แต่ชื่อ Sunny กับ Almera ยังเคยถูกสวมให้
รถยนต์ตระกูลนี้กันมาแล้วทั้งนั้น!
Pulsar รุ่นที่โด่งดังมากที่สุด คือรุ่นปี 1990 ซึ่งจะมีให้เลือก 3 ตัวถัง คือ Sedan , Hatchback
5 ประตู และ Hatchback 3 ประตู ซึ่งจะมีรุ่น GTi-R ขุมพลัง SR20 DET พ่วง Turbo แรง
ระดับ 230 แรงม้า (PS) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก เป็นรุ่นที่ถือว่า แรงที่สุด และ
เอาไว้ลงแข่งแรลลีโลกในช่วงนั้น ฟัดเหวี่ยงกับ รถแข่งแรลลีโกล ร่วมสมัย อย่าง Lancia
Delta HF Integrale(อินเทอะกราลี่) , Toyota Celica GT-Four , Mitsubishi Lancer Evolution ,
Subaru Impreza WRX STi กันเลยทีเดียว! แต่ด้วยสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป Pulsar
จึงหลงเหลือทำตลาดในญี่ปุ่น จนถึงราวๆ ปี2000 เท่านั้น
ตามกำหนดการของเจ้าภาพ Nissan Motor (Thailand) เราจะทดลองขับกันไปบนเส้นทาง
MotorWay มุ่งหน้าสู่จังหวัดระยอง แวะพักตามรายทาง กินข้าวบ้าง ดื่มกาแฟกันบ้าง พัก
ถ่ายรูปที่อ่าวคุ้งวิมาน ก่อนจะย้อนกลับเข้าไปพักค้างคืนที่โรงแรม Marriot Rayong Spa
& Resort ซึ่งยังสร้าง ไม่ถึงกับเสร็จสมบูรณ์นัก แต่ก็พร้อมให้เราเข้าพักกันเป็นกลุ่มแรกๆ
โชคดีอีกอย่างหนึ่งของผม ที่งานนี้ ได้จับคู่บัดดี้กับ พี่เจ จาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ซึ่ง
ผมรู้สึกสบายใจเสมอ ที่ได้ร่วมทริปไปกับพี่ชายคนนี้ เพราะถือว่าเป็นนักขับฝีมือดีอีก
หนึ่งคน ในวงการสื่อสารมวลชนสายรถยนต์ ของเมืองไทย ซึ่งช่วยทำให้การขับรถ
ไประยองครั้งนี้ เพลิดเพลินไปตลอดทาง
และนับจากบรรทัดนี้ ก็คงจะเป็นความคิดเห็นแบบสั้นๆ ของผม ที่มีต่อการกลับมาเกิด
อีกครั้งของ ชื่อ Pulsar ในประเทศไทย ในรอบ เอ่อ…ถ้านับจากปี 1988 อันเป็นปีสุดท้าย
ที่ Pulsar Milano X1 ยังทำตลาดเหลืออยู่ ก็ ปาเข้าไป 25 ปีแล้วนะนั่น
เริ่มกันที่ ขนาดตัวถังกันก่อน แม้ว่าลักษณะการจัดวาง Package ของตัวรถ จะมาในแนวเดียวกัน
กับ TIIDA 5 ประตู รถยนต์ที่ Pulsar จะต้องเข้ามารับช่วงทำตลาดแทนในบ้านเรา กระนั้น ขนาด
ตัวถังของ Pulsar ก็มีความแตกต่างจาก TIIDA 5 ประตู อยู่พอสมควร นั่นเป็นเพราะว่า TIIDA
รุ่นเดิมนั้นจัดเป็นรถยนต์ที่ อยู่ในกลุ่มตลาด (Segment) คาบเกี่ยวกันระหว่าง B -Segment หรือ
กลุ่ม Toyota Yaris และ Honda Fit/Jazz กับกลุ่ม C-Segment (หรือ กลุ่ม Toyota Corolla
Honda Civic ฯลฯ)
แต่สำหรับ Pulsar ใหม่ Nissan ได้ยกระดับให้รถคันนี้ขึ้นไปอยู่ใน C-Segment ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
แถมยังทำตลาดโดยที่ไม่ต้องแคร์กฏเกณฑ์เรื่องความกว้างของตัวถังของตลาดญี่ปุ่น ซึ่งต้องยอมรับ
กันแล้วว่าในสมัยนี้จีนเป็นตลาดที่มีอิทธิพลที่การดีไซน์รถมากกว่าเมืองแม่อย่างญี่ปุ่นไปแล้ว
ดังนั้น Pulsar ใหม่จึงมีจุดเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือความกว้าง จากเดิม TIIDA 5 ประตู นั้น
จะอยู่ที่ 1,695 มิลลิเมตร พอมารุ่น Pulsar ใหม่ก็ขยายร่างออกเป็น 1,760 มิลลิเมตร ซึ่งถ้าดูผ่านๆ
อาจไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนนัก จนกว่าจะเข้าไปนั่งภายในห้องโดยสาร
แต่ตัวรถที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น ก็ช่วยทำให้ทีมออกแบบของ Nissan สามารถเล่นเส้นสายด้านข้างของ
ตัวถังได้อย่างมีมิติ ไม่ดูแล้วตัดตรงเป็นก้อนอิฐเหมือน TIIDA 5 ประตู ส่วนความยาวของตัวถังนั้น
เพิ่มจาก 4,240 มิลลิเมตร เป็น 4,295 มิลลิเมตร หรือ เพิ่มจากเดิม 55 มิลลิเมตร เท่านั้นเพราะยังคง
ต้องการให้ตัวรถสั้นลง แต่ดูความคล่องตัว สำหรับการขับโฉบเฉี่ยวเฟี้ยวฟ้าวในเมือง
แน่นอนครับ ว่ามันไม่ได้ต่างกันแบบที่เราพบในกรณี Latio เทียบกับ Sylphy (ซึ่งถูกยืดความยาว
ออกไปถึง 200 มิลลิเมตร) อย่าลืมนะครับว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Pulsar นั้นมีอายุน้อยกว่าและ
มีแนวโน้มจะรักการขับขี่ที่คล่องแคล่ว มุดรูนั้นออกรูนี้ ถอยเสียบเข้าที่จอดเร็วๆกว่า
อย่างไรก็ตาม ฐานล้อของ Pulsar ก็มีความยาว 2,700 ม.ม. ซึ่งเท่ากันเด๊ะกับ Sylphy ครับ และถือว่า
กลายเป็นรถยนต์ กลุ่ม C-Segment ที่มีระยะฐานล้อยาวสุดในตลาดตอนนี้ ไปแล้ว
เมื่อนำไปเทียบกับคู่แข่งที่พอจะฟัดกันได้ ผมมองไปแล้วก็มี Ford Focus 1.6 ลิตร ใหม่ ที่เป็นพิกัด
“ตรงรุ่น” ขนาดตัวถังยาว 4,358 มิลลิเมตร กว้าง 1,823 มิลลิเมตร. และสูง 1,484 มิลลิเมตร. ซึ่งถือว่า
ทั้งยาวกว่า กว้างกว่า และเตี้ยกว่า Pulsar แบบไม่ต้องสืบ ฐานล้อยาว 2,658 ม.ม.นั่นล่ะที่สั้นกว่า แต่
โดยรวมแล้วทำให้หน้าตาของมันดูสปอร์ตกว่า Pulsar ส่วนคู่แข่งอีกรายหนึ่งก็มี Mazda 3 ซึ่งมีรุ่น
เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 1.6 ที่เทียบกันกับ Pulsar ได้ แต่รุ่น 2.0 ลิตร นั้น ยังไม่มีพิกัดกัดกันสายตรง..
ยาว 4,460 – 4,490 มิลลิเมตร กว้าง 1,755 มิลลิเมตร สูง 1,470 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640
มิลลิเมตร
สรุปก็คือคู่แข่งนั้นล้วนยาวกว่า เตี้ยกว่า แต่มีฐานล้อสั้นกว่า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ภายในของ Pulsar
มีเนื้อที่วางขามากกว่า
เส้นสายภายนอก ออกแบบมาตามแนวคิด Fluidity & Brisk หรือ ความพริ้วไหว กับปราดเปรียว คล่องแคล่ว
ออกแบบให้มีเส้นวงรี บริเวณซุ้มล้อทั้ง 4 ขณะที่ เส้นบขอบกระจกหน้าต่างด้านล่าง หรือเส้น Waist Line
จะได้รับอิทธิพลจากแนวเส้นตำแหน่งเดียวกันของ Nissan Farilady Z (370Z รุ่นปัจจุบัน)
ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า แตกต่างจาก Sylphy แต่มีแนวเส้นขอบกระจังหน้า และการวางตำแหน่งแนวเส้น
ของชุดไฟหน้า ในทิศทางเดียวกัน ล้ออัลลอยที่ติดรถมาให้นั้น ในรุ่น 1.8 SV ตัวท็อป และรองท็อป เป็น
ขนาด 17 นิ้ว ลายพิเศษ ซึ่งการเลือกลวดลายมาได้ดีและลงตัวกับเส้นสายของรถแบบนี้ ทำให้ตัวรถดู
กลมกลืน ไม่มีอะไรกระโดดออกไปจนทำให้รู้สึกว่าไม่เข้ากัน ที่แน่ๆ เหนือกว่าคู่แข่งส่วนมากในตลาด
พิกัด 1.8 ลิตร ซึ่งมักให้ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว สวมเข้ากับยาง Continental Premium Contact 2 ขนาด
205/50 R17 ผลิตในประเทศมาเลเซีย รับรองว่าอีกหน่อยเราอาจจะได้เห็น Sylphy ใส่ล้อตัวนี้ออกวิ่ง
เพราะมันทำให้รถดูวัยรุ่นขึ้นมากครับ
ในรุ่น 1.8 ลิตร ยังได้ไฟหน้า Projector อันเป็นสิ่งที่ลูกค้า Sylphy ถวิลหากันมาโดยตลอด ถือว่าในภาพรวม
รุ่น 1.8 ก็พยายามทำเส้นสายที่กึ่งป่องกึ่งดุของมันออกมาได้ดีที่สุดแล้ว แถมยังมี Sun Roof เปิด – ปิดได้ด้วย
สวิชต์ไฟฟ้า พร้อมแผงบังแดดบริเวณใต้ Sun Roof แน่นอนว่ารถคันจริง ถ้าจอดข้าง Sylphy แล้วล่ะก็ Pulsar
จะดูเป็นรถที่มีบุคลิกเหมาะกับวัยรุ่นมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกรุ่น มีใบปัดน้ำฝนด้านหลังแล่ไล่ฝ้ามาให้
ส่วนรุ่น 1.6 ลิตร นั้นจะได้ไฟหน้าแบบฮาโลเจนธรรมดา รวมทั้ง ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าเป็น
ความผิดต้องโทษประหารสำหรับรถ C-Segment เครื่อง 1.6 แต่อย่างใด มันก็ให้เหมือนๆ กับที่ชาวบ้านเขา
ให้กันนั่นแหละครับ
ถ้าคุณชอบรถยนต์แบบ Sport Hatchback ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คู่แข่งอย่าง Ford Focus ดูดีกว่า แต่ถ้าต้อง
คำนึงว่า Nissan อาจติดข้อจำกัดจาก Concept ของรถรุ่นที่แล้วซึ่งเน้นความโอ่โถงภายใน และต้องพยายาม
รักษาความดีข้อนี้ไว้โดยที่รูปทรงต้องสปอร์ตขึ้น ผมมองว่า Nissan ทำออกมาได้ดีแล้วละ
ภายในห้องโดยสาร ออกแบบในแนวคิด Calm & Refine ถ้าใครก็ตามที่เคยนั่ง Sylphy มาแล้ว ผมจะช่วย
ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น ด้วยการสรุปสั้นๆ ว่า “การโดยสารด้านหน้าของ Pulsar มันก็เหมือนกับนั่งอยู่บนเบาะ
คู่หน้าของ Sylphy เป๊ะเลยนั่นแหละครับ ถ้าหลับตานั่งคงแยกไม่ออก”
การเข้า – ออกจากตัวรถ ทำได้อย่างสบาย เช่นเดียวกันกับ Sylphy กรอบประตูทรงเดียวกัน แถมความสูง
ของตัวรถที่มากกว่าคู่แข่ง ทำให้ผมสามารถเข้าออกรถได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่ารักษาคุณสมบัตข้อดีของ
TIIDA รุ่นเก่าไว้ได้
อยากให้สังเกตดีๆ ว่า แผงหน้าปัดนั้น แม้จะเหมือนกับ Sylphy แต่การตกแต่งภายในใช้สีดำหมด ทำให้คุณ
อาจมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้ว แผงประตูคู่หน้า และคู่หลังของ Pulsar ไม่เหมือนกับแผงประตูของ Sylphy!
ซึ่งผมไม่เข้าใจว่า ไหนๆ ทำแผงประตูให้แตกต่างกันแล้ว ทำไมไม่ทำแผงหน้าปัดแบบ Floating Center
Console จากเวอร์ชันจีน มาแปลงเป็นพวงมาลัยขวา แล้วขายในไทยมันซะเลยละ? จะประหยัดค่าทำ
แผงหน้าปัดทำไม ในเมื่อคุณยังมีงบพอจะเปลี่ยนแผงประตูทั้ง 4 บานให้มีหน้าตาไม่เหมือนกับเจ้า
Sylphy ได้เนี่ย? อย่างไรก็ดี แผงประตูทั้ง 4 บาน มีช่องใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท มาให้ 4 ตำแหน่ง ครบ
เบาะหน้า ยกชุดมาจาก Sylphy คือเน้นเรื่องขนาดที่ใหญ่และนั่งสบายมากกว่าจะทำมาเพื่อการขับขี่
แบบสปอร์ต ซึ่งถ้าหากเทียบกับ TIIDA รุ่นเดิมแล้ว เบาะรองนั่ง ยังคงรองรับบั้นท้ายของผมได้
ดีขึ้นกว่า TIIDA ส่วนพนักพิงหลังช่วงกลางและช่วงรองรับแผ่นหลัง ก็ออกแบบได้รับกับสรีระมากขึ้น
ในขณะที่ Tiida รุ่นเดิมนั้นพนักพิงหลังยัง Support ช่วงกลางหลังค่อนมาหาไหล่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่เมื่อการยกเบาะของ Sylphy มาใช้แทบทั้งดุ้น มีแง่ดี ก็ย่อมต้องมีด้านที่ต้องปรับปรุงบ้าง พนักศีรษะ
ก็ยังคงดันหัวกบาลผมหน่อยๆ อยู่ดีเหมือน Sylphy ถ้าผมจะต้องซื้อ Pulsar มาใช้จริงๆ ผมคงต้องลอง
เทียบดูก่อนว่า พนักศีรษะของ TIIDA รุ่นเดิม หรือ Teana สามารถสลับใส่กับ Pulsar ได้หรือไม่
ถ้าทำได้ ผมคงถอดพนักศีรษะแบบดันกบาลนี่ทิ้งไปอ่างไม่เหลือเยื่อใยแน่ๆ
ส่วนการขึ้นลงที่เบาะหลังนั้น เนื่องจากใช้กระจกโอเปร่าเข้าช่วยจนทำให้สามารถออกแบบ
บานประตูให้มีขนาดใหญ่ได้ ส่วนท้ายๆของขอบกระจกบนจะสูงกว่า Sylphy ทำให้การเข้าออก
ไม่ต้องก้มหัวหลบมากเท่า กระนั้น ก็ยังต้องก้มหัวตามปกติอยู่ดี
เบาะหลัง ก็เช่นเดียวกันกับเบาะคู่หน้า คือเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม การรองรับส่วนหลังและก้น
ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้ต่างกันแบบฟ้าดิน พนักศีรษะ ก็ต้องยกขึ้นใช้งาน เพื่อไม่ให้ขอบ
ด้านล่างทิ่มตำต้นคอ การรองรับพื้นที่บริเวณหัวไหล่ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึง ส่วนเบาะรองนั่ง
แม้จะยาวขึ้นเล้กน้อย แต่ก็ยังคงใกล้เคียงกับ TIIDA 5 ประตู
พื้นที่วางขาของคนนั่งหลัง ผมพบว่าเมื่อปรับเบาะหน้าไปตำแหน่งที่ตนเองขับแล้วย้ายมา
ลองนั่งข้างหลัง พื้นที่วางขาที่เหลือ มันก็ใกล้เคียงกับ TIIDA 5 ประตู นั่นแหละครับ ดูจาก
พื้นที่วางขา ในรูป ที่เหลืออยู่ คงจะเห็นแล้วว่า ยังคงเหลือเยอะใกล้เคียงกับ TIIDA จริงๆ
เป็นอันว่าถ้าใครห่วงเรื่องความโอ่โถงภายใน วันนี้สบายใจได้แล้วครับว่ายังอยู่ครบ
ส่วนพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง แอบมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับ TIIDA 5 ประตู
ผมอาจจะยังไม่มีตัวเลขมายืนยันว่ามันใหญ่ขึ้นในตอนนี้ เพียงแต่กะเก็งด้วยสายตา
และเทียบกับภาพความทรงจำ จาก TIIDA 5 ประตู รถประจำตัวของ Commander
CHENG! หรือตาแพนของเรา ก็พอจะมองออกว่า มันใหญ่ขึ้นนิดหน่อย แถมยังมี
ไฟส่องสว่างในห้องเก็บของด้านหลังมาให้ด้วย อย่างไรก็ตาม หวังว่า ในรถรุ่นใหม่
จะแก้ปัญหาเรื่องเสียงจากการประกอบแผงพลาสติกด้านหลังรถเรียบร้อยแล้วนะ
สำหรับหน้าปัดและอุปกรณ์ งานนี้ จัดเต็ม! ยิ่งกว่า Sylphy ชนิด ลืมคำก่นด่า ว่า รถดีแต่
ขี้เหนียวออพชัน อย่างเช่น TIIDA ล็อตแรกๆ เมื่อปลายปี 2006 กันได้เลย เพราะตอนนี้
Nissan คงเรียนรู้ถึงรสนิยมของคนที่มีปัญญาจ่ายเงินซื้อรถระดับนี้แล้วว่า Serious เรื่อง
อุปกรณ์มาตรฐานของแต่ละรุ่นย่อย กันขนาดไหน ดังนั้นอะไรก็ตามที่คุณได้สัมผัสแล้ว
ใน Nissan Sylphy บอกได้เลยครับว่า มันยังอยู่ครบเหมือนกันนั่นละ
ไม่ว่าจะเป็น ชุดมาตรวัด แบบ Fine Vision เรืองแสง พร้อมหน้าจอ Multi Infomation Display
แจ้งข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถแล่นต่อไปได้ Trip Meter
ฯลฯ พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมสวิชต์ Multi Function ที่ควบคุมชุดเครื่องเสียงและโทรศัพท์ในระบบ
เชื่อมต่อแบบ Bluetooth บนพวงมาลัยฝั่งซ้าย รวมทั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation
System พร้อมกล้องมองหลัง ช่วยกะระยะขณะถอยเข้าจอด ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เครื่องปรับอากาศแบบ
อัตโนมัติ Digital แยกฝั่งซ้าย – ขวา ระบบติดเครื่องยนต์ด้วยปุ่ม Push Start ควบคู่กุญแจรีโมทแบบ
Smart Keyless Entry รวมทั้งเบาะหนัง แล้วล่ะก็ Nissan Pulsar ก็จะมีมาให้ครับถ้วน แถมจะถูกใจ
วัยรุ่นไทยมากกว่าด้วยตรงที่ภายในเลือกใช้สีดำ ซึ่งแม้จะเห็นฝุ่นที่เกาะอยู่ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ดูแลรักษา
ไม่ยากเหมือนสีเบจ
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใน Pulsar ชนิดที่ ลูกค้าผู้อุดหนุน Sylphy ไปก่อนหน้านี้ อาจค้อนขวับ
เพราะเคืองจิต นั่นคือ ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ซึ่งในที่สุด ท่านผู้ชม
ทั้งสากลโลกครับ Nissan ได้นำระบบ Cruise Control จุติจากฐานจากยานแม่ ลงมาสู่พวงมาลัย
ตรงหน้าของผมในบัดนี้แล้ว หลังจากที่ตา Commander CHENG เคยกัดไว้อย่างคันๆ เมื่อครั้
ยังเขียนบทความ First Impression ของ Nissan Sylphy ทำนองว่า คู่แข่งเขามีกันเกือบหมดแล้ว
มาวันนี้ Nissan ก็ปรับปรุงตัวเองให้ทัดเทียมกับชาวบ้านเขา บอกแล้วว่าใส่ๆมาเถอะ! ลูกค้า
ฉลาดพอที่จะประเมินต้นทุนของการติดตั้งระบบ Cruise Control ในยุคที่ทุกอย่างเป็นระบบ
อิเล็กทรอนิกส์แบบนี้ได้แล้วครับ และคนส่วนมากที่เขยิบมาเล่นรุ่นท็อป เขามีปัญญายอมจ่าย
ค่าตัวที่เพิ่มขึ้นได้อยู่แล้ว ส่วนรุ่นล่างๆถ้าจะไม่มีมันก็ไม่เป็นไร เป็นทางเลือกของลูกค้าเอง
Nissan Pulsar เวอร์ชันประเทศไทยจะเปิดตัวด้วย 2 ทางเลือกสำหรับเครื่องยนต์กันก่อน
มีทั้งขุมพลังรหัส MRA8DE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
79.7 x 90.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.9 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ EGI ควบคุมด้วยกล่อง
สมองกล ECCS 32 bit พร้อมระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ Dual CVTC (Continous
Variable Valve Timing Control) คราวนี้มีมาให้ครบทั้งฝั่งวาล์วไอดี และวาล์วไอเสีย กำลัง
สูงสุด 131 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.8 กก.-ม. (174 นิวตันเมตร) ที่
3,600 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT จาก Jatco
และขุมพลังรหัส HR16DE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1 หัวฉีดคู่ EGI Dual Injector ควบคุมด้วย
กล่องสมองกล ECCS 32 bit พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC เช่นกัน กำลังสูงสุดอยู่ที่
116 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.7 กก.ม. (154 นิวตันเมตร) ที่
4,000 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์อัตโนมัติ CVT และ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ถ้าคุณอ่านแบบผ่านๆ ก็คงทราบกันแล้วว่ามันก็คือเครื่องยนต์บล็อคเดียวกันกับที่ประจำการอยู่แล้ว
ใน Sylphy นั่นละครับ! ส่วนใครที่รอการมาของ เครื่องยนต์ HR16DDT บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1.6 ลิตร DIG (Direct Injection Gasoline Turbocharger) 190 แรงม้า (PS)
จาก Juke และ Pulsar เวอร์ชันจีน (ที่ยังทำตลาดแดนมังกรในชื่อ TIIDA กันต่อ) ก็คงต้องขอ
บอกว่า ในเบื้องต้น ช่วงเปิดตัวจะไม่มีเครื่องยนต์ดังกล่าวยังแน่นอน เพราะยังทำราคาขายให้ถูกกว่า
ที่ควรเป็นไม่ได้ ดูเหมือนว่ายากต่อการลุ้นให้แจ้งเกิดในเมืองไทยยิ่งกว่าลุ้นให้ถูกหวยรัฐบาลรางวัล
ที่ 1 เสียอีก
กระนั้น ระหว่างรอความหวังอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ผมก็มองว่าเครื่องยนต์ ทั้ง 2 แบบ ที่นอน
สงบนิ่งใต้ฝากระโปรงหน้าของ Pulsar มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย! ดูจากผลงานเมื่อต้อง
วางอยู่ใน Sylphy ก็ถือว่าอยู่ระดับค่อนไปทางดี ทั้งในแง่อัตราเร่งแซงและความประหยัด
น้ำมัน เมื่อมาอยู่ในตัวถัง Hatchback 5 ประตู ของ Pulsar สิ่งที่แตกต่างก็คงเป็นเรื่องการ
ขยับขยายขนาดล้ออัลลอย ในรุ่น 1.8 ลิตร ที่ขยับขึ้นไป จาก 16 นิ้ว เป็น 17 นิ้ว ซึ่งอาจจะ
ส่งผลต่ออัตราเร่งบ้างเล็กน้อย
ถ้าคุณลงจาก Sylphy ขึ้นมานั่งขับ Pulsar ทันที คุณอาจพบว่า มันเหมือนกัน และแทบ
ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หลายๆคน ไม่คุ้นเคยกับเกียร์ CVT ก็อาจมองว่า อัตราเร่งนั้น
ทำได้ไม่ทันใจ ทั้งที่ลักษณะของคันเร่งไฟฟ้า Nissan ชอบเซ็ตมาให้เน้นความนุ่มนวล
ในการออกตัว เร่งแซง ผิดกับ Toyota Corolla Altis ที่มีคันเร่ง เอาใจลูกค้าพวกชอบขับ
รถยนต์อย่างบ้าระห่ำ มากกว่าแน่ๆ กระนั้น แรงดึงที่ได้ ก็มีอยู่พอสมควร ดึงรถให้พุ่ง
ทะยานไปข้างหน้า แบบเดียวกับ Sylphy เป๊ะ!
แต่การสวมล้อ 17 นิ้ว วึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และน้ำหนักเยอะขึ้นนั้น ส่งผลกระทบทั้งในด้าน
บวก และลบ อยู่บ้าง
เอาด้านลบก่อน จากการลองจับเวลาคร่าวๆ แบบไม่จริงจัง น้ำหนักตัวผม กับพี่ เจ เดลินิวส์
2 คนรวมกัน ตีเสียว่า 200 กิโลกรัม ก็แล้วกัน ง่ายดี อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มี
11.78 วินาที ซึ่งถือว่า ใกล้เคียงกับ Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร
แน่นอนครับว่า น้ำหนักของล้อ 17 นิ้วที่เพิ่มเข้ามา น่าจะมีส่วนให้อัตราเร่งด้อยลงจาก Sylphy
( 10.98 วินาที ) ลงไป ราวๆ 0.8 วินาที ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่รถซึ่งมีหน้ายางกว้างกว่า
เกาะถนนดีกว่า แต่อาจมีเส้นรอบวงยาวกว่า ทำให้การหมุนต่อรอบต้องใช้แรงมากขึ้นนิดๆ
และส่งผลให้มีอัตราเร่งช้าลง อัตราสิ้นเปลือง อาจด้อยลงนิดนึง
กระนั้น ในแง่บวก การใส่ล้อ 17 นิ้ว มีผลให้ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน
ของ Pulsar นั้น แอบหนืดขึ้นนิดนึง “โดยไม่มีการปรับปรุงอะไรทั้งสิ้น ตามคำยืนยันของ
วิศวกร Nissan Technical Southeast Asia ว่า ไม่ได้มีการปรับจูนกล่องควบคุมพวงมาลัย
แต่อย่างใดทั้งสิ้น”
กลายเป็นว่า พอถอดล้อ 16 นิ้ว ออก ใส่ล้อ 17 นิ้ว การบังคับเลี้ยวรถทำได้ดีขึ้นชัดเจน
มีน้ำหนักพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นนิดนึง ต้องสังเกตจึงจะรับรู้ได้ น้ำหนักถือว่า คนที่เพิ่งจะขับรถ
เป็นใหม่ๆ ก็น่าจะขับได้ดี ส่วนคนที่ขับรถจนชำนาญแล้ว อาจมองว่า หากได้พวงมาลัยที่
หนักขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง ก็จะดี แต่ ณ ตอนนี้ ถือว่าเซ็ตมาลงตัวแล้วสำหรับลูกค้าทั่วไป
ช่วงล่างของ Pulsar ทั้งด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบ Torsion Beam
หรือ คานบิด นั่นเอง ไม่ได้มีการปรับปรุงจาก Sylphy ทั้งสิ้น แต่มีการปรับเซ็ตค่าสปริง
ให้เหมาะสมกับน้ำหนักของรถรุ่น 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ถือเป็นมุขเดียวกันกับที่ใช้
ใน Sylphy เลย
ในช่วงที่เราพา Pulsar เข้าโค้งลัดเลาะไปตามทาง สู่อ่าวคุ้งวิมาน บอกเลยว่า อาการในโค้ง
ดีกว่า Sylphy และให้ความมั่นใจในโค้งที่ถือว่าใช้ได้เลย แม้ว่าตอนเลี้ยวแรงๆ หน้าดื้อ
แต่ในจังหวะคืนกลับ มันกลับมาตั้งลำได้เนียนเลย
ขณะเดียวกัน บนถนนสุขุมวิท ช่วงจากอ่าวคุ้งวิมาน กลับเข้าตัวเมืองระยอง เจอถนน
ที่ซ่อมพื้นผิวจราจรไม่ดี แต่ Pulsar ก็ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าที่คาด หลายๆคนจึง
สามารถ แล่นลุยไปบนพื้นผิวขรุขระได้ดี แต่ถ้าเปลี่ยนเลนในจังหวะนั้น ตัวรถอาจ
มีอาการออกแฉลบเล็กๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
ส่วนระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก
EBD และระบบ เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist ก็ยังทำงานได้ดี มีน้ำหนัก
ของแป้นเบรกที่เหมาะสม Linear ต่อเนื่องในการเหยียบและเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปได้ดี
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ชมพู่ อารยา ที่แอบเปรี้ยวขึ้นนิดๆ = Sylphy ในเวอร์ชัน 5 ประตู
เมื่อครั้งที่ Nissan เปิดตัว Sylphy ใหม่ๆ ช่วงเดือนสิงหาคม 2012 คุณคงชินกับภาพลักษณ์ของ
คุณชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ในแบบสาวสวยสูงศักดิ์สง่างาม ที่เพิ่งลงจากรับรางวัลในหอประชุม
แสนอลังการ จากภาพยนตร์โฆษณามาแล้ว
มาถึงคราวนี้ ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า Pulsar ก็ยังมีบุคลิกในแบบของคุณชมพู่อยู่ในตัวนั่นล่ะ
เพียงแต่ เป็นแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยมองเห็น เป็นแง่มุมส่วนตัว ที่แอบเปรี้ยวนิดๆ ไม่มากนัก
กำลังดี ในระดับที่ผู้คนส่วนใหญ่ เมื่อรู้เข้า ก็ยังยอมรับได้ มาให้สัมผัสได้มากขึ้น มีอุปกรณ์ที่
จัดเต็ม ให้คุณมากขึ้น ทั้งไฟหน้า Projector HID ล้ออัลลอย 17 นิ้ว Moon Roof ไปจนถึง
Cruise Control อุปมาดั่งหยิบผลชมพู่เขียวๆขึ้นมา กะว่ากินแล้วรสชาติจะหวานอมฝาด แต่…
เฮ้! แอบหวานอมเปรี้ยวนิดๆ เหมือนกันนะ!
อันที่จริง Pulsar ไม่ได้ร้ายกาจขนาดบทบาท เรยา หรอกครับ แต่ถ้าคุณมองคุณชมพู่ ในฐานะ
นักแสดง ที่สามารถเปลี่ยนบุคลิก อารมณ์ และภาพมายาในการแสดงไปตามบทบาทที่ได้รับ
รถยนต์ C-Segment ทั้ง Sylphy และ Pulsar ก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ถูกพัฒนาขึ้นร่วมกัน ใช้
พื้นตัวถัง เครื่องยนต์กลไก งานวิศวกรรมร่วมกัน แต่ถูกปรับบุคลิกการออกแบบให้ต่างกัน
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปของลูกค้าได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคาดหวังจะเห็น Pulsar เปรี้ยวเด็ดเผ็ดไฟแล่บ คงต้องบอกว่า ในความจริง
คุณเธอก็มิ ได้เผ็ดร้อนจนแสบปาก หากแต่ เหมือนกับคุณใส่พริกลงไปในส้มตำเพียงเม็ดเดียว
เพื่อให้พอมีรสชาติ พอจะเผ็ดอยู่บ้าง ให้ทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบกินรสเผ็ด ร่วมหัวกันจกส้มตำ
จานเดียวกัน ได้อย่างอร่อย กำลังดี
ครับ Pulsar ใหม่ ยังคงมีบุคลิก ทั้งอัตราเร่ง จากจุดหยุดนิ่ง เร่งแซง รวมทั้ง การตอบสนองของ
พวงมาลัย กับระบบกันสะเทือน ที่แทบจะเหมือนกันกับ Sylphy เลยนั่นแหละ หากแต่มาใน
มาดทะมัดทะแมง มากขึ้น กระชับขึ้น และออพชันที่จัดเต็มขึ้น ตามนั้น
แต่ถ้าให้ต้องเปรียบเทียบระดับความเผ็ดร้อนกับคู่แข่งแล้วละก็ คุณจะพบว่า มีทั้งสายตรงรุ่น
และไม่ตรงรุ่น เพราะในเมื่อเครื่องยนต์ของ Pulsar มีให้เลือกแค่ 1.6 ลิตร กับ 1.8 ลิตร ดังนั้น
ก็ต้องประกบคู่กับ Mazda 3 และ Ford Focus ใหม่ ตัวถัง Hatchback ซึ่งจะมีทั้งรุ่น 1.6 ลิตร
แล้วก็ข้ามขึ้นไปเป็น รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร กันเลย
ถ้าเทียบกับ Mazda 3 แล้ว ถึงจะมี งานออกแบบที่ดูสปอร์ตชัดเจนกว่า ตำแหน่งการขับขี่
เตี้ยกว่า และวางตำแหน่งนั่งขับได้เอาใจคนชอบขับรถมากกว่า แต่ Mazda 3 นอกจากจะ
เสียเปรียบเรื่องห้องโดยสารแล้ว Pulsar ดูเหมือนจะมีแนวโน้มว่า อาตได้เปรียบมากกว่า
ในเรื่องอัตราเร่ง และความประหยัดน้ำมัน รวมทั้งความโอ่โถงของห้องโดยสาร ที่รองรับ
ผู้โดยสารแถวหลังได้ดีกว่าชัดเจน เอาง่ายๆ ขนาด เครื่องยนต์เดียวกัน วางอยู่ใน Sylphy
รุ่น 1.8 ลิตร ยังทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 10.98 วินาที แทบจะฆ่า Mazda 3
รุ่น 2.0 ลิตร ชนิดไม่ต้องสืบจากกลิ่นไหม้ของยางกันเลยทีเดียว ดังนั้น คุณน่าจะคิดต่อ
เอาเองได้นะครับว่า รุ่น 1.6 ลิตร จะเป็นอย่างไร ถ้าต้องมาออกตัวประกบกับ Pulsar 1.6
ขณะที่ Ford Focus 1.6 ลิตรนั้น ยังไงๆ ก็จะเหนือกว่า Pulsar ในเรื่องระบบกันสะเทือน
ที่นอกจากจะไม่กระเด้งกระดอนแล้ว ยังเกาะถนน สั่งได้ หนุ่ม หนึบ แถมแน่นและยัง
สั่งได้ อีกด้วย พวงมาลัยคมกว่ามีดโกนหนวด แถมอุปกรณ์มาตรฐาน เมื่อเทียบกับรถยนต์
พิกัด 1.6 ลิตร ด้วยกันถือว่า ล้ำหน้าคู่แข่งด้วย สารพัดระบบช่วยเหลือในการขับขี่ ไม่ว่า
จะเป็น Torque Vectoring Control, ESP และมีกระทั่ง Hill Launch Assist กระนั้น จุดที่
Focus จะเสียเปรียบ Pulsar ชัดเจนคือ พื้นที่ห้องโดยสาร ที่จะคับแคบ นั่งไม่สบายเท่า
แถมยังใช้งานอุปกรณ์บนแผงหน้าปัดยาก ชนิดที่ว่า แพ้ Pulsar ราบคาบในประเด็นนี้
แต่ถ้าจะต้องเทียบกับรุ่น 2.0 ลิตร แน่นอนว่า กำลังเครื่องยนต์ของ Pulsar ก็จะด้อยกว่า
Focus 2.0 ลิตร แน่ๆ แต่นั่นหมายความว่า คุณต้องจ่ายค่าตัวที่แพงกว่า Pulsar ประมาณ
100,000 บาท เพื่อความแรง และออพชันที่จัดแบบเต็มล้น
อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบกับดังกล่าว ก็ยังถือว่าไม่สมบูรณ์ เรายังต้องรเวลาที่เหมาะสม
เพื่อติดต่อยืม Pulsar จาก Nissan มาทดลองในด้านต่างๆ กันอีกครั้ง เพื่อที่เราทุกคนจะได้รู้
ว่าตกลงแล้ว แนวโน้มที่ผมคิดไว้
มันจะเกิดขึ้นจริง หรือผมจะคาดการณ์ผิด?
————————————-///———————————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
บริษัท Nissan Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้
Pan Paitoonpong (AKA : Commander CHENG!)
สำหรับการเตรียมข้อมูลด้านรายละเอียดพื้นฐานของตัวรถ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
21 กุมภาพันธ์ 2013
Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
February 21st, 2013
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!