แปลกใจละสิ! คุณผู้อ่านอาจมีคำถามในใจตอนนี้ เช่น…
“ไหนว่า ไปญี่ปุ่นกับทาง Toyota เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไงละ?
นอกเหนือจาก Prius แล้ว ไปแอบลองขับ Suzuki SX4 มาตั้งแต่เมื่อไหร่ กันละเนี่ย?
แล้วไปทำอีท่าไหน ถึงได้ลองขับ? อ้าว! แล้วนั่น กล้วยน้อย BnN นี่หว่า นี่ไปญี่ปุ่น
ด้วยกันอีกรอบหรือยังไง?”
เปล่าหรอกครับ อย่าเพิ่งสงสัย มากมายจนยิงคำถามใส่ผมเป็นชุดปืนกลขนาดนั้น
อันที่จริง เราลองขับ Suzuki SX4 คันนี้ กันตั้งแต่ เมื่อครั้งได้ไปญี่ปุ่น เมื่อ 18-23 ตุลาคม 2009
ตามคำเชิญของทั้ง Suzuki Motor Corporation , บริษัท Itochu จำกัด 1 ใน 5 Trading Company
ระดับยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น และกลุ่มบริษัทสี TOA Group (2 บริษัทหลัง เขาจับมือกันเปิดดีลเลอร์
ขาย รถยนต์ Suzuki ในชื่อ iTOA บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กันอยู่ ณ ขณะนี้)
สรุปง่ายๆก็คือ เรา “ดอง” บทความนี้ กัน 1 ปีเต็ม มาจนถึงปีนี้ นั่นเอง!!! (ฮา)
แต่สาเหตุที่ดองหนะ มันมีอยู่ว่า
ในเมื่อ ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกมาตลอดว่า Suzuki Automobile Manufacturing Thailand จะต้องนำเข้า SX4
จาก โรงงานในอินโดนีเซีย มาเปิดตัวทำตลาดในบ้านเรา ช่วง Motor Expo ระหว่าง 1-12 ธันวาคม 2010 นี้
อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าผมนำ “รีวิวแบบสั้น สำหรับการทดลองขับระยะสั้นๆ” หรือ First Impression รายการนี้
ขึ้นเว็บไซต์ให้คุณได้อ่านกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ระยะเวลา มันก็ดูห่างไกลเกินกว่าที่คุณผู้อ่านจะสนใจ
อีกทั้ง ต่อให้ ดองกันนานกว่านี้อย่างไร Headlightmag.com ก็ยังถือว่า ได้เป็นสื่อมวลชนไทยรายแรก
ที่มีโอกาส ทดลองขับ SX4 กันอยู่ดี แถมไปลองขับกันไกลถึงญี่ปุ่นด้วยเลยทีเดียว แม้ว่าจะลองขับกัน
สั้นๆ แถมตัวรถยังมีความแตกต่างจากเวอร์ชันไทย อยู่ก็ตาม
ไหนๆก็ไหนๆ เอารีวิวนี้ ขึ้นเว็บกัน ตอนที่รถใกล้จะเปิดตัวในบ้านเราดีกว่า คุณผู้อ่านน่าจะสนใจกัน
ในจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอดี กว่ากันเยอะ! ที่มาที่ไปทั้งหมด มันก็เป็นไปด้วยประการฉะนี้แล!
เช้าวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2009 อันเป็นวันสุดท้ายในญี่ปุ่นของทริปเมื่อปีนั้น Kimio Oku หนุ่มน้อยจาก
Itochu มารับผม กล้วย BnN และ คุณชลธี คชา แห่ง iTOA (ได้ยินว่าตอนนี้ ลาออกแล้ว) จากโรงแรม
Shinagawa Prince Hotel ข้ามถนนไปยังสถานีรถไฟ JR Shinagawa ต่อรถไฟสายสีเขียว Loop
ดั้งเมรอบกรุง Tokyo อย่าง Yamanote-Line ไปลงสถานี Gotanda จากนั้น ก็เดินไปลงสถานีรถไฟ
Toei Asakusa Line จากสถานี Gotanda (A-05) นั่งย้อนไปยังต้นสายปายทาง A-01 หรือสถานี
Nishi-Magome ราคาคนละ 210 เยน เมื่อถึงสถานี ก็ลงจากรถ เดินออกมาทาง West Gate
โผล่ขึ้นมา บนถนนสาย Daini-Keihin เดินเลี้ยวซ้ายไปตามฟุตบาธ อีกราวๆ ไม่ถึง 10 นาที แต่
ถ้านั่ง Taxi ละก็ 1 นาทีเศษๆ ครับ
เราก็จะมาถึงจุดหมายของเรา ในช่วงเช้าวันนั้น โชว์รูม Suzuki ARENA สาขา Magome
ตั้งอยู่ที่ 1-3-7 ริมถนน Daini-Keihin west Magome-Ku Ota Tokyo รหัสไปรษณีย์ 143-0026
อันเป็นโชว์รูมที่ทาง Suzuki กับ Itochu เขาประสานงานไว้ เพื่อต้อนรับเราทั้ง 3 คน
เว็บไซต์ของโชว์รูมแห่งนี้คือ s13111952.suzuki-tokyo.co.jp/
อธิบายกันนิดนึง เนื่องจาก Suzuki ในญี่ปุ่น ทำธุรกิจมากมาย ตั้งแต่รถยนต์ จักรยานยนต์
ไปจนถึง เครื่องยนต์เรือ ไวน์ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น สำหรับธุรกิจรถยนต์ พวกเขา
จึงเลือกจะสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับโชว์รูมรถยนต์ของตนเป็น Suzuki ARENA
มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2000 นั่นหมายความว่า โชว์รูมใด มีคำว่า ARENA แปะอยู่ แสดงว่า
เน้นทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก K-Car หรือ Kei-Jidosha ไปด้วย เพราะบางตัวแทนจำหน่าย
อาจจะยังมีอยู่บ้าง ที่ขายแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ระดับ 1,000 – 2,000 ซีซี เท่านั้น
เมื่อเดินเข้าประตูบานเลื่อนไฟฟ้า อัตโนมัติ มา ก็จะเจอกับ พื้นที่ ชงเครื่องดื่มต้อนรับลูกค้า
จัดแบบเคาน์เตอร์ บาร์ ธรรมดาๆ ทั่วๆไป ผู้จัดการโชว์รูม Store Manager คุณ Takashi Noguchi
ก็ออกมาต้อนรับเราอย่างดี
พื้นที่ในโชว์รูมแห่งนี้ ถือว่า เป็นโชว์รูมขนาดกลาง จัดแสดงรถยนต์ได้ 4 คัน แบบไม่เบียดเสียดกัน
รถที่จอดอยู่ ในวันนั้น มีทั้ง Swift ,Wagon R Stingray , Palette SW และ Wagon R SOLIO รุ่นดั้งเดิม
พื้นที่นั่งคุยเจรจากับลูกค้า จะอยู่ติดกับกระจกหน้าโชว์รูม ใช้แสงสว่างๆ เหมือนนั่งในร้านอาหาร
เพื่อทำให้บรรยากาศ ในการซื้อขาย ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดมากนัก
โต๊ะ Information ไม่จำเป็นต้องมี สำหรับโชว์รูมขนาดกลาง แบบนี้ มีแค่เคาน์เตอร์ นั่งทำงาน
ของ พนักงานขาย และเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริการนิดหน่อยแค่นั้นก็เพียงพอ
พื้นโชว์รูม ปูด้วยกระเบื้องยางแบบดั้งเดิม และรถทุกคันที่จอดแสดงอยู่ จะต้องมีแผ่นสีดำ
มารองล้อทั้ง 4 เอาไว้ด้วยทั้งหมด เป็นมาตรฐานของโชว์รูม Suzuki ทุกแห่ง ในวันนั้น
มีลูกค้ามาดูรถด้วย ก็เลยได้เห็นวิธีการพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งดูเหมือนกับว่า ลูกค้ากับพนักงานขาย
จะรู้จักกันอยู่?
ในเวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีขนาดบาง ไม่ค่อยมีจำนวนหน้าเยอะ และมีขนาดเล็กลงกว่าในสมัยก่อนปี 1993
ลงมาก เป็นการประหยัดกระดาษ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ทางหนึ่ง (ดูดีๆ มี Chevrolet MW ด้วยนะ)
หน้าประตูทางเข้า จัดเป็นมุม Kid’s Corner เป็นพื้นที่เล่น สำหรับเด็ก เวลาที่ลูกค้า นำรถมาเข้าศูนย์บริการ
ด้านหลังโชว์รูม หรือ ในระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ มาเจรจาซื้อขายรถกัน ปกติ โชว์รูมรถยนต์ในญี่ปุ่น
เกือบทุกแห่งเดี๋ยวนี้ จะต้องมีมุมเด็กเล่นแบบนี้ ทุกค่าย ทุกยี่ห้อ
เอาละ เดินสำรวจโชว์รูมแห่งนี้กันมาพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะได้ไปลองขับ Suzuki SX4 กันเสียที
เราเดินออกมาทาง ประตูด้านข้างโชว์รูม จะพบว่า โชว์รูมนี้ อาจจะมี Turntable ไว้หมุนรถ ในกรณีที่
มีรถคันใด เลี้ยวเข้ามาไม่สะดวก ก็ให้จอดเฉยๆ บนแท่นหมุนนั่นละ แล้วเจ้าหน้าที่จะหมุนรถเอง เพื่อความ
สะดวก ทางซ้าย เข้าไปด้านหลัง คือจุดรับรถเข้าศูนย์บริการ เขียนเป็นตัวอักษร Katakana ชัดเจนว่า
Service Front
SX4 รุ่นที่ Suzuki จัดให้เราลองขับกันคือ 1.5 XG คันสีขาวที่เห็นอยู่นี้ นั่นเอง ล้างมาให้อย่างสะอาด
เรียบร้อยดี จากนี้ไป เราคงต้องมาดูรายละเอียด พื้นฐานคร่าวๆ กันก่อนว่า รายละเอียด และข้อมูล
เบื้องต้นที่ควรทราบ ของ SX4 นั้น มีอะไรบ้าง
และเนื่องจาก เวลาในการถ่ายภาพของรถคันสีขาว น้อยยิ่งนัก ด้วยเหตุที่รู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้ว ดังนั้น
เมื่อครั้งไปเยือนพิพิธภัณฑ์ Suzuki Plaza ที่เมือง Hamamatsu ผมถ่ายรูปของรถคันสีแดง เก็บเอาไว้
เท่าที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว จึงเลือกที่จะนำภาพชุดนี้ มาประกอบบทความให้คุณได้อ่านกัน เป็นการ
ทดแทนไปเลย (ซึ่งก็มีไม่กี่ภาพหรอกครับ)
Suzuki SX4 เป็นรถยนต์นั่งรุ่นแรกที่ Suzuki จับมือกับกลุ่ม FIAT Auto Spa. แห่งอิตาลี ร่วมกันผลิต
และพัฒนาขึ้นมา เพื่อทำตลาดในยุโรป เป็นหลัก โดยเวอร์ชันของ Fiat จะถูกจำหน่ายในชื่อแปลกๆว่า
Fiat Sedici และไมได้มีจำหน่ายในทุกประเทศ (คิดเล่นๆ เท่ากับว่า คนไทยเราจะได้ใช้รถ Fiat อีกรุ่นหนึ่ง
แล้วนะเนี่ย อิอิ)
Suzuki เปิดตัว SX4 ครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2006 เพื่อเข้าทำตลาดแทน Suzuki Aerio
หรือ Liana ในยุโรปบางประเทศ ถูกวางตัวให้เป็น รถยนต์นั่งพิกัด B-Segment หรือ Sub-Compact
Hatchback ที่ตกแต่งในสไตล์ คล้ายคลึงกับรถยนต์ตรวจการอเนกประสงค์ แบบ Crossover SUV
เมื่อ Suzuki นำรถยนต์ 2 กลุ่มนี้ มาผสมผสานกัน ผลลัพธ์จึงกลายเป็น SX4 อย่างที่เห็นกันอยู่นี้
อ้าว แล้วตกลง น้องชายอย่าง Swift นี่ควรจะเรียกว่า B-Segment ได้หรือไม่?
คำตอบก็คือ Swift เอง เป็นรถยนต์พิกัด Sub-Cmpact หรือ B-Segment อยู่แล้ว อีกทั้งยัง มีคู่แข่งอย่างชัดเจน
อยู่แล้วในตลาดของตนเอง เพียงแต่ว่า SX4 นั้น ถูกวางตำแหน่งการตลาด ให้เหลื่อมซ้อนทับ กันระหว่าง
รถยนต์นั่งพิกัด Sub-Compact B-Segment 1,300 – 1,600 ซีซี กับ พิกัด Compact C-Segment หรือกลุ่ม
1,600 – 2,000 ซีซี ดังนั้น กลุ่มลูกค้าของ SX4 จึงแตกต่างไปจาก ลูกค้าของ Swfit นั่นคือ เป็นคนหนุ่มสาว
แต่ทำงานแล้ว มีเพื่อน มีแฟน หรืออาจจะเป็นคู่สามีภรรยา ที่เพิ่งแต่างงานกันใหม่ๆ ชอบขับรถท่องเที่ยว
ไปต่างจังหวัด นอนค้างอ้างแรมบ่อยๆ เห็นได้ชัดว่า แตกต่างจากกลุ่มลูกค้าของ Swift ซึ่งใช้รถในเมือง
เป็นหลัก อย่างชัดเจน
ในญี่ปุ่น SX4 เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2006 มีขายกัน 2 ตัวถัง ทั้งแบบ Hatchback 5 ประตู และ Sedan
4 ประตู ซึ่งเปิดตัวตามออกมา ในงาน Geneva Motor Show 2007 โดยในรุ่น 5 ประตูนั้น จะมีให้เลือก
ทั้งหมด 2 รุ่นย่อยหลักๆ คือ 1.5 G ตกแต่งในแนว Urban Sport ไม่มีแร็คหลังคามาให้ แต่มีชุดแอโรพาร์ต
รอบคัน รวมทั้ง คิ้วเหนือซุ้ม้อทั้ง 4 เป็นสีเดียวกับตัวถัง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ราคาคันละ 1,659,000 เยน
ส่วน รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ i-AWD ราคา 1,859,000 เยน
และรุ่น 1.5 XG ตกแต่ในแนว Crossover Sport มีแร็คหลังคามาให้ แต่ซุ้มล้อทั้ง 4 จะเป็นพลาสติกสีดำด้าน
เผื่อเอาไว้ ไปลุยทางลูกรัง ไม่มีแอโรพาร์ตให้ ราคาของทั้งรุ่นขับล้อหน้า และขับสี่ล้อ เท่ากับรุ่น 1.5 G
ไม่ผิดเพี้ยน รวมถึงสีตัวถัง ขาวมุก ที่ต้องเพิ่มเงินอีกเป็นพิเศษ 21,000 เยน ด้วยเช่นเดียวกัน
ตัวถังมีความยาว 4,135 มิลลิเมตร กว้าง 1,730 มิลลิเมตร ในรุ่น 1.5 G และ 1,755 มิลลิเมตร ในรุ่น 1.5 XG
สูง 1,585 มิลลิเมตร ใน รุ่น 1.5 G และ 1,605 มิลลิเมตร ในรุ่น 1.5 XG (รวมแร็คหลังคา) ระยะฐานล้อ
อยู่ที่ 2,500 มิลลิเมตร ซึ่งเท่ากันกับ Toyota Soluna Vios รุ่นแรก พอดีเป๊ะ น้ำหนักตัวอยู่ที่ 1,190 – 1,250
กิโลกรัม
SX4 เวอร์ชันญี่ปุ่น วางเครื่องยนต์ รหัส M15A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,490 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์
EPI พร้อมระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ VVT ซึ่งอันที่จริง มันก็คือ เครื่องยนต์ของ Swift เวอร์ชันไทย
ที่ Suzuki Automobile Manufacturing Thailand เอาเข้ามาขายลูกค้าคนไทยกันอยู่ในตอนนี้นั่นเองแหละครับ
เพียงแต่มีพละกำลังสูงสุด มากกว่าใน Swift เวอร์ชันไทยนิดหน่อย คือ 111 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ
i-AWD ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ ไฮโดรลิก ผ่อนแรง ยังไม่ใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า มาช่วย
แต่อย่างใด รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงหน้า
ส่วนด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชันบีม คอยล์สปริง ไม่มีเหล็กกันโลง ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อมระบบ
ป้องกันล้อล้อก ABS (Anti-Lock Brake System) และระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force
Distribution)
การเปิดประตู ก้าวเข้า-ออกจากรถ บริเวณเบาะคู่หน้า ไม่ถึงกับมีปัญหาใดๆมากนัก เบาะนั่งคู่หน้า ติดตั้งในตำแหน่ง
สูง และชวนให้นึกถึง ตำแหน่งเบาะนั่งของ Nissan TIIDA รุ่นปัจจุบัน ผ้าที่ใช้ในเวอร์ชันญี่ปุ่น เป็นผ้าแบบสาก
เหมือนกับรถยุโรป และเหมือนกับ Suzuki Swift….
เดี๋ยวก่อนนะ…เหมือน Suzuki Swift เหรอ…?….ชัก เอะใจ แหะ…
ผมรีบเปิดย้อนไปดูรูปของเบาะนั่ง Swift ใน Full Review ที่เคยทำเอาไว้เมื่อช่วงต้นปี 2010
แล้วผมก็ต้องร้องออกมาว่า…
“เฮ้ยย! นี่มันเบาะนั่งชุดเดียวกับ Swift เลยนี่หว่า แตกต่างกันแค่ลายผ้าเบาะ เท่านั้นเลย!”
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจครับ ผมบอกได้เลยว่า พนักพิงจะไม่ทำให้คุณปวดหลัง ในการเดินทางไกล
เพียงแต่ เบาะรองนั่ง อาจจะสั้นไปนิดนึงเท่านั้น ถ้ารับได้กับเบาะนั่งคนขับของ Swift ก็ไม่มีปัญหา
กับเบาะของ SX4 ครับ
พื้นที่เหนือศีรษะ เหลือเยอะมาก ไม่แพ้ Swift ส่วนการวางแขนที่แผงประตู ก็ทำได้ดีพอประมาณ
แต่อันที่จริง ถ้ามีที่วางแขนแบบพับเก็บได้ ข้างเบาะคนขับมาให้ด้วยก็จะดีกว่านี้อีก จากรูปนี้
เห็นกันชัดๆแล้วนะครับว่า ขนาดเวอร์ชันญี่ปุ่นเอง ก็ยังไม่มีที่วางแขนมาให้
ส่วนการเข้าออก จากประตูผู้โดยสารคู่หลังนั้น ผมว่า ด้วยระยะฐาน้อเพียง 2,500 มิลลิเมตร
ทำให้ ช่องประตูทางเข้านั้น แม้จะมีพื้นที่ด้านบนค่อนข้างเยอะ โปร่ง หัวไม่ชนกับขอบ
หลังคาด้านบน แต่พื้นที่ทางเข้าส่วนล่าง ยังแคบไปนิดนึง แผงประตูด้านข้างเอง ก็ยัง
ไม่อาจวางข้อศอกลงไปได้พอดีเป๊ะ ตามสรีระนัก แถมกระจกหน้าต่างไฟฟ้า ยังลดระดับลง
ได้ไม่สุด อย่างที่เห็นในรูปนี้อีกด้วย
พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง ก็ยังไม่ใช่ปัญหาของรถรุ่นนี้อีกเช่นเดียวกัน มีพื้นที่โล่งมากพอ
สำหรับคนตัวสูงราวๆ เกิน 170 เซ็นติเมตรไปนิดหน่อย เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง เป็นแบบ 3 จุด ELR
2 ตำแหน่ง ซ้าย -ขวา ตรงกลางเป็นแบบ ELR 2 จุด ส่วนเข็มขัดนิรภัยเบาะคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด
ปรับระดับสูง – ต่ำได้
พนักศีรษะ เบาะหลัง ถอดยกมาจาก Swift ไม่ผิดเพี้ยน เป็นรูปทรงที่ อาจไม่ถึงกับก่อความสบายนัก
ถ้าคุณไม่ยกขึ้นใช้งานอย่างจริงจัง พนักพิงเบาะหลัง ถือว่านั่งสบายในระดับพอประมาณ ออกจะแข็ง
นิดๆ แต่เบาะรองนั่ง ค่อนข้างนุ่มกว่านิดนึง และแน่นอน ว่าเบาะรองนั่ง สั้นไปนิดนึง แม้ว่าชุดเบาะ
ด้านหลัง จกะไม่เหมือนกันกับ Swift เวอร์ชันไทย ก็ตามที เพราะว่า มีที่วางแขนพับเก็บได้ แถมมาให้
อีกต่างหาก
ส่วนพื้นที่วางขานั้น ใครที่คิดว่า รถซึ่งมีระยะฐานล้อแค่ 2,500 มิลลิเมตร เท่ากับ Toyota Soluna Vios
และ Peugeot 405 จะพอให้วางขาได้สบายหรือไม่ รูปถ่ายนี้ คือคำตอบที่ผมถ่ายมาให้แล้วนะครับ
ลองนึกสภาพดูกันเอาได้ตามอัธยาศัย เห็นไหมครับว่า ขาไม่ติดพนักพิงเบาะคู่หน้าเลย
นอกจากนี้ เบาะแถวหลัง สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
จากเดิม ซึ่งมีขนาด 270 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ให้ใหญ่ขึ้น เป็น 625 ลิตร VDA
แต่เราจะยังไม่ทดลองพื้นที่เก็บของด้านหลังกันหรอกครับ เอาไว้ ให้ได้ลองขับ SX4 เวอร์ชันไทย
กันเสียก่อน ถึงเวลานั้น ค่อยทดลองกัน ก็ยังไม่สาย
เมื่อเปิดประตูฝั่งคนขับ วัสดุที่ใช้ จะสัมผัสได้ว่า เป็นพลาสติก ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากรถญี่ปุ่น
ร่วมสมัย รวมทั้ง Suzuki Swift เท่าใดนัก เพียงแต่การจัดวางสวิชต์ต่างๆ และแผงประตูค่อนข้างสะดวก
ต่อการวางแขนใช้ได้ เบาะคนขับ สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ จากก้านโยกขึ้น ลง อย่างที่เห็น
รวมทั้งยังมีช่องใส่ของที่แผงประตูข้าง ซึ่งเหมาะเอาไว้เก็บแผนที่ หรือเอกสาร นิดหน่อยมากกว่า
การออกแบบแผงหน้าปัดนั้น ถือว่าทำได้น่าชมเชย เพราะมีการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเรียบง่าย
และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการควบคุมรถ ไม่แพ้ Swift เลยทีเดียว เพียงแต่ถ้าสังเกตดีๆ
ตำแหน่งสวิชต์ เครื่องปรับอากาศ จะอยู่ต่ำไปนิด และแทบจะอยู่ในตำแหน่งเดียกวันกับ Swift
เลยนั่นละ
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิชต์ ควบคุมชุดเครื่องเสียง ยกชุดมาจาก Swift และถ้าดูดีๆ
ตำแหน่งสวิชต์ของชุดเครื่องเสียง จะแทบไม่แตกต่างจาก Swift เลย เพียงแต่ว่า มีการออกแบบ
แผงครอบหน้าปัดชุดเครื่องเสียงให้ลงตัว และสวยงาม เหมาะสมกับแผงหน้าปัดของ SX4 ก็
เท่านั้นเอง
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ ขนาดคันเกียร์อัตโนมัติ กับฐานรองเแป้นเกียร์ ไปจนถึง
ช่องแอร์วงกลม แบบมีวงแหวนโครเมียมล้อมรอบ ก็ยังยกชุดถอดใส่กันได้พอดีเป๊ะเลยกระมัง
ผมนึกถึงคำพูดของ Richard Wagoner อดีต ผู้บริหารของบริษัทอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ใหญ่สุด
ในโลกอย่าง General Motors หรือ GM ซึ่ง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ใน Wall Streat Journal เมื่อ
26 กุมภาพันธ์ 1998 ขึ้นมาตะหงิดๆ ทันที ตอนนั้น Wagoner ให้ความเห็นเอาไว้ว่า…
“I’m not sure there’s anybody better at making low-cost cars. And it starts at the top with Osamu Suzuki”
เห็นทีว่า คำกล่าวของ Wagoner จะไม่ไกลเกินความเป็นจริงแล้วละ
เอาละ เมื่อเรารู้จัก ข้อมูลเบื้องต้น ของรถคันที่เราจะทดลองขับแล้ว ก็ได้เวลา ออกสู่ถนนจริงกันเสียที
จะว่าไปแล้ว ถ้าคนไทย อยากจะมาขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น ก็ย่อมทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องสอบใบขับขี่
ซึ่ง ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมหาศาล และต้องเสียเวลาในการสอบค่อนข้างมาก ดังนั้น ถ้าแค่ ต้องการ
เช่ารถเอาไว้ขับเที่ยว ในญี่ปุ่น ก็แค่ทำใบขับขี่สากล จากเมืองไทย ที่กรมการขนส่งทางบก จตุจักร
ให้เรียบร้อย ยื่นรูปถ่าย 2 นิ้ว และเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท ทุกอย่าง ก็เป็นอันจบ แต่มีอายุแค่
เพียง 1 ปีเท่านั้น ต่อการทำใบขับขี่สากล 1 ครั้ง
เราถูกร้องขอให้ทำใบขับขี่สากล กันมาจากกรุงเทพฯ ทั้งผมและกล้วย ดังนั้น การขับรถที่นี่
จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา เพียงแต่ ป้ายจราจรภาษาญี่ปุ่น นั่นละคือปัญหาใหญ่ อ่านไม่ออก
เผลอทำผิดกฎขึ้นมาละซวยเลย ตำรวจอาจเรียกคุณได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ Oku-San
และ ผู้จัดการโชว์รูม ขึ้นมานั่งรถ ด้วยกันกับเรา เพื่อช่วยบอกทาง ผมว่านั่นยิ่งดีกว่าการมี
ระบบนำทางติดรถมาให้เสียอีก
เพียงแต่…เมื่อออกจากโชว์รูมแล้ว ขับไปสักพัก ผมได้พบความจริงว่า ปัญหามันมีนิดหน่อย…
ต้องขอเรียนคุณผู้อ่านเอาไว้ตรงนี้กันเสียก่อนว่า เส้นทางที่ทางญี่ปุ่น จัดเตรียมให้เราลองขับนั้น..
มันไม่ได้ไกลเท่าใดนักเลย แค่เพียงขับเลี้ยวซ้ายออกจากโชว์รูม ตรงไปตามถนน Daini-Keihin
ราวๆ 1-2 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวกลับ ย้อนตรงมา ผ่านหน้าโชว์รูม อีกรอบ แล้วตรงต่อไปอีกราวๆ 3
กิโลเมตร แล้วก็เลี้ยวเข้าขวา เพื่อเข้าซอย เลี้ยวกลับ ลัดเลาะมาออกทางด้านหน้าโชว์รูม Suzuki
ARENA Ota จากนั้น แวะพักกันที่นั่น แล้วค่อย ขับรถกลับไปยัง โชว์รูม Magome
พอมานั่งย้อนเช็คดูใน Google Map แล้ว เราพบว่า เฮ้ยยยย ระยะห่างทั้งหมดมันแค่ 3 กิโลเมตร
จากจุดเริ่มต้น ถึงจุดหมาย หากนับรวม วนรถเลี้ยวกลับอีก ก็แค่ ไม่เกิน 8 กิโลเมตร เข็มไมล์
ยังไม่ทันกระดิก ก็ต้องจอดรถกลับที่เดิม แล้ว นี่ถ้าระยะทางเท่ากัน แต่เป็นถนนแบบในเมืองไทย
ป่านนี้ เราก็ยังพอจะรู้ว่า สมรรถนะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อ สิ่งที่เราเจออยู่ตรงหน้า คือถนนใน
กรุงโตเกียว ที่ค่อนข้างจะเรียบเนียน ดังนั้น..โอย…แล้วฉันจะมาขับทำไมละเนี่ยยยยย?
ระยะทางทั้งหมดที่ลองขับนั้นมัน “สั้นมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” แทบจะไม่อาจ
รับรู้รสชาติใดๆ จากตัวรถเท่าใดนักเลย แต่อย่างว่าละครับ ต่อให้ข้อจำกัด มันจะมีเยอะขนาดไหน
เราก็ต้องพาทาง โฟกัสไปยังจุดที่พอจะรับสัมผัส จับอาการของรถได้ แม้เพียงสักนิดก็ยังดี
ข้อแรกเลยที่ผมจะตำหนิกันก่อน คือ การออกแบบเสาหลังคาคู่หน้า บอกตรงๆว่า มันบดบัง
ทัศนวิสัยค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าคุณต้องเลี้ยวรถออกมาจากซอยแล้วละก็ คุณอาจจะต้อง ชะเง้อมอง
ช่วยนิดนึง
ดูเหมือนว่า ทีมวิศวกรน่าจะรู้ปัญหาในข้อนี้ดี ว่า การยื่นเสาหลังคามาข้างหน้า อาจทำให้เกิด
จุดบดบังทางสายตาได้ แต่ในขณะเดียวกัน การออกแบบภายนอก เพื่อเสริมบุคลิกของรถ ให้ดู
ทะมัดทะแมงขึ้น ก็เป็นเรื่องสำคัญ เลยกลายเป็นว่า ต้องทำเสาหลังคาออกมาให้มีลักษณะเป็น
ตะเกียบคู่ แบบนี้ เพราะถ้าจะเพิ่มพื้นที่ประตูออกมาอีกนิด ทำได้ แต่ว่า เวลาเลี้ยวกลับรถ ก็อาจ
พบว่า กระจกมองข้าง มีสิทธิ์บดบังได้ นั้นคือ สาเหตุที่เรา คาดว่า พวกเขาต้องทำเสาตะเกียบแบบนี้
ผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น เวลาจะออกจาซอย เพื่อเลี้ยวซ้าย ผมต้องค่อยๆ คลานออกไป ช้าๆ
เพื่อมองให้เห็น รถที่แล่นสวนมาทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งนั่นไม่สะดวกเท่าใดเลย
อัตราเร่งจากเครื่องยนต์นั้นไม่ต้องพูดถึงครับ 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง กลางถนนในกรุง Tokyo
คือเรื่องที่ ไม่ควรทำเด็ดขาด ถ้าคุณไม่อยากมีเรื่องกับตำรวจท้องที่ ดังนั้น เราจึงทำได้แค่เพียงดู
อัตราเร่งแซง จาก 30 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง อันเป็นความเร็วสูงสุด เท่าที่เราพอจะมีจังหวะทำได้
และก็ทำได้แค่เพียงครั้งเดียว เพราะที่เหลือ ด้วยสภาพการจราจร ทำให้เราต้องใช้ความเร็วได้
เพียงแค่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอบอกได้แต่เพียงว่า เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร นั้น ไม่ได้เลวร้ายนัก
สำหรับการขับขี่ในเมือง พอมีกำลังในรอบต่ำๆอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนกับ Suzuki Swift นั่นละครับ
ถ้าในช่วงความเร็วต่ำๆ ก็อย่าไปคาดหวังอะไรมากนัก เดี๋ยวจะเสียใจเปล่าๆ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ด้วยวิธีการขับขี่แบบคนญี่ปุ่น แต่จะอืดเกินไปสำหรับคนไทย ที่
มีนิสัยการขับรถแตกต่างกันนัก โดยเฉพาะ เท้าขวาเหยียบหนักกว่าเยอะ
ช่วงล่างมาในแนว กลางๆ คือ อาจจะติดตึงตังในช่วงที่เจอพวกรอยต่อ หรือลูกระนาด แต่ถ้าเป็น
การขับขี่บนพื้นเรียบๆ ก็จะนุ่มเงียบ สบายตามปกติ เราคงจับสัมผัสมาไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะ
ผิวถนนในกรุง Tokyo มันเรียบเนียน เสียยิ่งกว่า ผิวหน้าสาวออฟฟิศ หลังใช้ Olay Total Effect
ในบ้านเราเสียอีก
ส่วนระบบเบรก..ถ้าขืนทดลองกลางถนนแบบนี้เลย เกรงว่า ชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 คน คงจะตกใจ ว่าทำไม
คนไทยขับรถตีนผีแบบนี้ แล้วพาลจะเป็นภาพลักษณ์ไม่ดีต่อคนไทยทั้งมวล ผมก็เลยจำใจต้องขับนุ่มๆ
เบรกช้าๆ นิ่มๆ ไหลๆ เน้นขับเนียนๆ เข้าว่า พอติดไฟแดงที ก็ชะลอกันแต่ไกล แล้วค่อยๆเบรก พบว่า
เบรกหนะ ถ้าจะหยุดรถ ให้นุ่มนวล แบบไม่มีตะกุกตะกัก SX4 ทำได้นะ เนียนดีกว่าที่คิดนิดนึง
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีกว่าที่คาดคิดไว้ คือการตอบสนองของพวงมาลัย เพราะตอนแรก คาดไว้ว่า
น่าจะหนืด และมีระยะฟรีมาก เอาเข้าจริง กลับช่วยให้ผมควบคุมรถไปได้อย่างสบายๆ
จะเลี้ยวจะเปลี่ยนเลน ออกจากซอย หรือเลี้ยวกลับ ผมว่าพวงมาลัยของ SX4 ทำหน้าที่ของมัน
ได้ดีสมตัว และสมดังความต้องการของคนขับรถในแบบทั่วๆไป ไม่เบา ไม่หนืดจนเกินไป กำลังดี
แต่..ดูเหมือน Oku-San จะเห็นว่า เราอาจเหนื่อยเกินไป (ไม่จริงเลย Oku เอ๋ย ขับกันชิลๆมาก)
ก็เลยพาเรามาแวะพักกันสักนิดที่ โชว์รูม Suzuki ARENA Ota ซึ่งอันที่จริง ก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
กับโชว์รูม ARENA Magome คือถนนที่ชื่อ Daini-Keihin เพียงแต่ว่า ตั้งอยู่ทางตอนใต้ลงมา ห่างกัน
หลายกิโลเมตร และใกล้กับแม่น้ำมากกว่านิดหน่อย (เว็บของที่นี่ คือ s13111951.suzuki-tokyo.co.jp/)
เหตุผลที่ Suzuki เขา อยากให้เรามาดูกัน ก็เพราะว่า นี่คือโชว์รูมที่เพิ่งเปิดใหม่ ได้ไม่นานนัก
และถือเป็น โชว์รูม Suzuki ที่หรูหรา ที่สุดแล้วในญี่ปุ่น ขณะนี้….โอเค ถ้าเทียบกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ
โชว์รูมนี้จะถือว่าเป็นโชว์รูมขนาดใหญ่ระดับ พรีเมียม ขึ้นมา เมื่อวัดจากพื้นที่ในการจัดแสดงรถยนต์
แต่ ด้วยการตกแต่ง จากวัสดุที่มีราคาแพงกว่า โชว์รูม Suzuki ในญี่ปุ่นโดยปกติทั่วไป ก็เลยมีบรรยากาศ
ที่ อาจจะไม่เป็นกันเอง เท่าโชว์รูมแบบดั้งเดิม แต่ มีพื้นที่รองรับลูกค้า และเสริมภาพักษณ์ให้ Suzuki
ดูทัดเทียมกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นมากขึ้นในสายตาชาวญี่ปุ่น
(เพราะ ตามต่างจังหวัดหนะ แค่ติดต่อกับสำนักงานใหญ่ใน Hamamatsu ว่าอยากจะขายรถ แล้วเอา
ป้ายดีลเลอร์ Suzuki ลงเสาตั้งไว้หน้าบ้าน หรือหน้าอู่รถ ก็แทบจะเรียกได้ว่า คุณ เป็นเอเยนต์รายหนึ่ง
ของ Suzuki ได้แล้วนะนั่น!)
รถที่จัดแสดงในโชว์รูม Ota ณ วันที่เราไปเยือนนั้น มีทั้ง Splash คันสีขาว Palette SW K-Car ทรง TallBoy
แบบ Minivan รวมทั้ง Wagon R Stingray และ SX4 1.5 G สีขาว ด้านหลัง ก็เป็นพื้นที่รับลูกค้า ประเภท
แวะเวียนมาไม่นานนัก การใช้โทนสีขาว และแสงไฟประดับ จะแตกต่างจากโชว์รูม Suzuki ทั่วไปชัดเจน
ด้านหลัง เป็น เคาน์เตอร์ Information ให้เสมียนไว้รับหน้าลูกค้า ตอนเดินเข้ามา ดีลเลอร์ Suzuki หลายแห่ง
จะมี รถ Senior Car อันเป็นรถ 4 ล้อ พลังไฟฟ้า สำหรับผู้สูงอายุ นั่งขี่ ไปซื้อของ จ่ายตลาด ใกล้ๆ บ้าน
รถประเภทนี้ ได้รับความนิยมพอสมควร ในสังคมที่มีประชากร ส.ว. (สูงวัย) เยอะมากเช่นนี้ และ Suzuki
ก็ทำรถแบบนี้ขายกันมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แล้ว ยิ่งอนาคต ปริมาณผู้สูงอายุ ในญี่ปุ่นจะเพิ่มสูงกว่านี้
อีกเรื่อยๆ รถ Senior Car แบบนี้ ก็ยังมีแนวโน้ม อัตราการเติบโต ขยายตัว ไปได้มากกว่านี้อีก
พื้นที่ติดๆ กัน เอาไว้วางของชำร่วย สำหรับแจกลูกค้าที่แวะมาชมรถในโชว์รูม
วันที่เราไปเยือน มีพวงกุญแจ เป็นรถ Palette SW และมีไฟหน้าติดสว่างได้ในตัว
เสียดายว่า เขาให้มาแค่คนละ 1 คัน เท่านั้น ไม่เช่นนั้น น่าจะเอามาขายได้หลายคันอยู่
ขายคันละสัก 200 บาท ก็โอเคแล้ว อิอิ
พื้นที่รองรับการพูดคุยเจรจาซื้อขายกับลูกค้า ก็ทำออกมาซะสวยเชียว แม้จะยังไม่ถึงขนาด
โชว์รูม Lexus ในญี่ปุ่น และในเมืองไทย แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงอยู่เหมือนกัน ทุกโต๊ะ ติดตั้ง
หน้าจอมอนิเตอร์ ที่เชื่อมต่อกับระบบ Multimedia Catalogs (ซึ่งมีรายละเอียดข้างล่างนี้)
พื้นที่สำหรับเด็ก Kid’s Corner ที่นี่ จัดวางแบบเรียบง่าย ไม่ใหญ่โตนัก และไม่ถึงกับมื ของเล่น
ประดับตกแต่งมากมายนัก คงเพราะว่า โชว์รูมนี้ เพิ่งเปิดดำเนินการได้ไม่นานเท่าไหร่
แต่สิ่งที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของ โชว์รูมแห่งนี้…อันที่จริง โชว์รูม Magome ก็มีอุปกรณ์ที่ว่านี้
แต่เราไม่สะดวกที่จะถ่ายทำมา นั่นคือ จอโทรทัศน์ LCD ขนาดใหญ่ 50 นิ้ว เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
ซึ่งมีโปรแกรม Multimedia Catalog ในตัว พวกเขาเรียกระบบนี้ว่า Suzuki Large-Size Monitor System
จอมอนิเตอร์ ชุดนี้ จะทำหน้าที่เป็น Catalog รถยนต์ ณ จุดขาย ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่เคยมีการ
พัฒนามาในญี่ปุ่น เพราะไม่เพียงแต่จะ มีข้อมูลให้เลือกครบ ทุกรุ่น ทุกแบบแล้ว ยังสามารถ
เลือกรุ่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนแบบ เปรียบเทียบระหว่างรุ่นรถ ใส่อุปกรณ์ตกแต่งมากมายเข้าไป
ให้ลูกค้าได้เห็นภาพที่ใกล้เคียงความจริง ของรถที่ตนกำลังจะสั่งซื้อ มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
การใช้งาน ไม่ยากครับ ใช้ เมาส์ปากกาขนาดใหญ่นั่นแหละ จิ้มเข้าไป เมาส์แบบนี้ ร้านอาหารหลายแห่ง
ในญี่ปุ่น เริ่มนำมาใช้สำหรับการรับออร์เดอร์ลูค้ากันแล้วด้วยเช่นเดียวกัน
ขั้นแรก ก็เลือก ก่อนว่า ต้องการจะดูข้อมูลของรถรุ่นใด?
สมมติว่า เลือก รุ่น Swift ระบบก็จะเข้าสู่ โปรแกรมหน้าจอ Main page ของ Swift ซึ่ง มีข้อมูลครบ
ไม่ว่าจะเป็นจุดขายสำคัญ มีภาพ Clip Video การทำงานของเครื่องนต์ หรือภาพรถเคลื่อนไหว ให้ชมด้วย
ถ้าอยากจะดูว่า แต่ละรุ่นย่อย แตกต่างกันอย่างไร ก็เลือกไปที่หน้าจอ Variation ระบบก็จะแสดงรุ่นย่อยของรถ
ที่มีอยู่ทั้งหมด ออกมา พร้อมทั้ง สีตัวถัง เราก็ใช้เมาส์ปากกา นั่นละ จิ้มเลือกเข้าไป
ระบบจะขึ้นรูป 3 มิติ ของรถมาให้ ในสีพื้นฐาน เราสามารถใช้เมาส์ปากกา ลากเพื่อเปลี่ยนมุมมองของรถได้
360 องศา รอบคัน จะยกดูมุมสูง มุมต่ำ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ดูได้หมด แค่ลากเมาส์ปากกาขนาดใหญ่ ลงไปบน
จอมอนิเตอร์ แค่นั้นเลย! แถมยังดูภาพภายในห้องโดยสาร และมีขนาดมิติต่างๆ บอกเอาไว้ให้เสร็จสรรพอีกด้วย
ถ้าอยากจะเปลี่ยนรุ่น หรือเปลี่ยนสี จิ้มเมาส์ เลือกได้เลย ในทันที ไม่ต้องรอโหลดรูปภาพนานแต่อย่างใด
ระบบ ประมวลผลไวมาก อยากจะเติมชุดแต่ง Aero Part หรือ เปลี่ยนล้ออัลลอย เปลี่ยนสีตัวถัง ก็ทำได้ทันที
แถมยังเปลี่ยนภาพแบ็กกราวนด์ ด้านหลังรถ ได้อีกต่างหาก
และถ้าต้องการรู้ว่า รถที่เราเลือก จะมีอุปกรณ์อะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่บ้าง รวมทั้งเปรียบเทียบกับ รถรุ่นอื่น
ในโชว์รูม แค่ เอาเมาส์ปากกาจิ้มเข้าไปยังหน้าจอ ระบบก็สามารถแสดงออกมาให้ดูเสร็จสรรพ
รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ใน www.suzuki.co.jp/car/purchase/soms/index.html
เสียดายว่า ระบบนี้ Suzuki ยังไม่อาจจะเอามาใช้กับเมืองไทยได้ เพราะทราบมาว่า มีการจดลิขสิทธิ์เอาไว้
อีกทั้งยังต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบโปรกรมของระบบทั้งหมด ให้เหมาะสมกับเมืองไทย แถมยังมีราคาแพงอยู่
เว้นแต่ว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายใด คิดจะพัฒนาขึ้นเอง บนแพล็ตฟอร์มของตัวเอง ผมว่า ก็น่าจะทำได้นะ
เอาละ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ได้เวลาที่จะต้องขับ SX4 กลับไปคืนยังโชว์รูมเดิมที่ Magome แล้วละ
คราวนี้ กล้วย BnN ขอรับหน้าที่เป็นสารถี ทดลองขับ ในช่วงขากลับ เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้
ย้ายมาเป็นผู้โดยสารตอนหลัง เพื่อจะดูว่า เมื่อต้องเดินทาง บนเบาะหลัง จะรู้สึกอย่างไร
การเดินทางบนเบาะหลังของ SX4 สำหรับผม ถือว่า ไม่อึดอัดอย่างที่คิด คนหุ่นประมาณผม ยังเดินทางไปได้
และไม่ได้รู้สึกว่าเมื่อยหลัง หรือปวดเมื่อยส่วนอื่นของร่างกายแต่อย่างใด แหงละ นั่งแค่ 3 กิโลเมตร มันจะไป
เมื่อยได้อย่างไรกันละ ถ้าเบาะไม่ได้ออกแบบมาแย่หนักหนา ก็ถือว่ายังพอนั่งได้สบายด้วยกันทั้งนั้นแหละ
การมองเห็น เส้นทางข้างหน้า ก็ถือว่า ทำได้พอกันกับรถยนต์พิกัดเดียวกันทั่วไป บรรยากาศในห้องโดยสาร
ไม่ได้ชวนให้คิดว่า เป็นรถยนต์ B-Segment เลย ผมกลับมองว่า เป็นรถยนต์ พิกัด C-Segment Compacat Class
เสียด้วยซ้ำ
ถ้าถามความเห็นจาก เจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา เจ้าตัวก็บอกมาว่า “จากที่ได้ลองขับสั้นๆ
กล้วยคิดว่า เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มันอืดเกินไปสำหรับคนไทยแน่ๆ แต่ถ้ามองถึงความคล่องตัวในการขับขี่
สำหรับการใช้งานในเมืองแล้ว ถือว่า คล่องตัวใช้ได้เลยนะ พวงมาลัย กับช่วงล่า ถือว่าดีทีเดียว มันเหมือนเป็น
Crossover SUV คันเล็ก ที่เหมาะกับผู้หญิง ที่อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ จากรถยนต์ธรรมดาทั่วๆไป มาลอง
ขับรถที่มีเบาะนั่งสูงๆแต่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อ Honda CR-V ส่วนตัวกล้วย มองว่า กล้วยเฉยๆ กับรถคันนี้นะ”
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
***** รอดูเวอร์ชันไทย แล้วค่อยตัดสินใจ ดีกว่าครับ *****
กำลังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า สรุปแล้ว บทความนี้ ตกลงจะพาคุณๆ มาลองขับรถ
หรือจะพาเดินโชว์รูม Suzuki ในญี่ปุ่นกันแน่ เพราะมีบรรยากาศของโชว์รูม 2 แห่งรวด
มาให้ได้ชมกัน ซึ่งก็ต้องพูดตรงๆว่า สัดส่วนเยอะกว่าเนื้อหาการทดลองขับเสียอีก
เปล่าครับ มาตรฐานของ Headlightmag.com เรายังไม่ได้ตกต่ำลงแต่อย่างใด เพียงแต่
มันมีสาเหตุนิดหน่อย
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ปกติ โชว์รูมรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้น ไม่ค่อยได้มีใครถ่ายรูปได้เยอะขนาดนี้
เท่าไหร่หนะครับ ไหนๆ มีโอกาสทั้งที ก็เลยถ่ายเก็มมาฝาก ให้ได้ชมกันเยอะกว่าปกติสักหน่อย
ก็เท่านั้นเอง เพราะจุดประสงค์หลักของเรา ยังไง ก็ต้อง พุ่งเป้าไปที่ตัวรถกันอยู่แล้ว
แต่ อีกสาเหตุนึงก็คือ น่าเสียดายว่า การลองขับที่ ทางฝ่ายญี่ปุ่น เขาจัดให้เรานั้น ออกจะน้อยไป
สักหน่อย ทำให้เราไม่อาจรู้ถึง สมรรถนะที่แท้จริงของตัวรถเท่าใดเลย
ดังนั้น เมื่อมีการถามไถ่ถึง ความคิดเห็นของผม หลังจากได้ลองขับ ก็เลยต้องตอบกันไปตรงๆว่า
แทบไม่รู้รสชาติอะไรเท่าใดนัก สิ่งที่พอจะบอกได้ก็คงจะมีแค่ว่า สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
ในเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น ออกตัวนุ่มนวลใช้ได้ มีช่วงเร่งแซงที่ถือว่า ไม่ขี้เหร่ สำหรับการใช้งานจริง
ในเมือง ก็แน่ละ เครื่องยนต์ เดียวกับ Swift บุคลิก ก็เลยแทบจะโขลกกันมาเลยทีเดียว
ส่วนช่วงล่าง เซ็ตมาในแนว กลางๆ ไม่ต่างจากรถยนต์พิกัด B-Segment 1,300 – 1,600 ซีซี บ้านเรา
เท่าใดนัก และน่าจะเป็นลักษณะที่ผู้บริโภคชาวไทย น่าจะชอบ เพราะไม่ตึงตังเกินไป และ จัดอยู่
ในเกณฑ์กำลังดี สิ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบใน SX4 มากกว่าที่คิด คือพวงมาลัย ที่ ปรับแต่งมา ให้
คล่องตัว มีระยะฟรี เหมาะสม และชวนให้คิดถึง พวงมาลัยของ Swift ได้นิดหน่อย แม้จะ
ไม่เหมือนกันไปเสียทีเดียวก็ตาม
สำหรับผมแล้ว รถคันนี้ ไม่ได้ถึงกับสร้างความตื่นเต้นอะไรให้กับผมมากเหมือนอย่างที่ Swift
เคยทำเอาไว้ ผมมองว่า SX4 ก็เป็นรถที่ดีคันหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับมีอะไรที่โดดเด่นมากพอ
เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยกเว้นแค่รูปทรงของมัน ซึ่งจะแตกต่างจากรถยนต์ในพิกัดเดียวกันทั่วไป
อย่างที่กล้วยบอกเอาไว้ครับว่า มันเป็นรถที่เหมาะกับใครก็ตาม โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี
ที่อาจไม่มงบมากพอจะซื้อ Honda CR-V มาขับ แต่อยากได้ รถเก๋งยกสูงจากพื้นกว่ากัน
นิดหน่อย เพื่อที่จะได้มองเห็นทัศนวิสัยข้างหน้าชัดเจนขึ้น และพอจะลุยน้ำท่วม
แบบไม่สูงมากนัก ได้สบายใจขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เท่านั้น
งานนี้ ผมเห็นด้วยกับ เจ้ากล้วยน้อย แบบไม่ต้องคิดมากไปกว่านี้
แล้วเวอร์ชันไทยละ? จะเป็นอย่างไร? จะแตกต่างจากรถคันสีขาวนี้ มากน้อยแค่ไหน?
เวอร์ชันไทยของ SX4 ก็จะถูกขนส่งลงเรือ จากโรงงานของ Suzuki ใน อินโดนีเซีย มายังเมืองไทย
และจัดเปิดตัวกันในงาน Motor Expo ที่ Challenger Hall ณ IMPACT เมืองทองธานี เช่นเคย ระหว่าง
วันที่ 1 – 12 ธันวาคมนี้
ส่วนเครื่องยนต์นั้น ไม่ต้องตกใจ เพราะถ้าขืนวางเครื่องยนต์ M15A ใน Swift ไป ก็คงโดนด่ากันแน่ๆ
ว่าจะเอามาขายทำไม SX4 เวอร์ชันไทย เลยวางเครื่องยนต์ รหัส M16A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,586 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT 120 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.89 กก.-ม.
ที่ 4,400 รอบ/นาที เชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ดังนั้น อัตราเร่ง ดูแล้วมีโหงวเฮ้งว่า อาจจะดีขึ้น
มากกว่า Swift นิดหน่อย ส่วนระบบเบรก น่าจะเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ
ราคาขายโดยประมาณ จะอยู่ที่ระดับ 7 แสนบาท ปลายๆแก่ๆ จนถึง 8 แสนบาทนิดๆ เศษๆ แน่นอนว่า
จำเป็นต้องตั้งราคาให้แพงกว่า Swift นิดนึง เพราะรถใหญ่กว่ากันชัดเจน
ถ้าคุณจะถามผมว่า น่าสนใจไหม? ผมคงตอบว่า รับได้ไหมกับการที่เสาหลังคาคู่หน้า มันอาจบดบังทัศนวิสัย
ไปสักหน่อย เพราะมันมาเป็นเสาตะเกียบคู่ ทั้ง 2 ฝั่งเลย ถ้ารับได้ ประเด็นอื่นๆ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแล้วละ
แต่ ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจจองอะไรทั้งสิ้น ไปลองขับใน Motor Expo 2010 เสียก่อนเถอะ แล้วค่อยตอบกับ
ตัวคุณเองว่า
ควรจะถอยรถรุ่นนี้จากโชว์รูม หรือถอยหลังไปมองคันอื่น ดีกว่ากัน?
—————————————///———————————–
SPECIAL THANKS
ขอขอบคุณ
Mr.Keiichi Suzuki
Assistant Manager
Asia Automobile Marketing Group
Global Marketing
Suzuki Motor Corporation
www.suzuki.co.jp
www.globalsuzuki.com
ITOCHU Corporation
Mr.Toshiyuki Yamanoi
Manager
Europe & Asia Section
Automobile Department No.1
Automobile Division
Machinery Company
& Mr.Kimio Oku
Europe & Asia Section
Automobile Department No.1
Automobile Division
Machinery Company
www.itochu.co.jp/en/business/machinery/field/03/
SUZUKI Jihan Tokyo Corporation Inc.
SUZUKI ARENA Magome Showroom
SUZUKI ARENA Ota Showroom
Mr.Takashi Noguchi : Showroom Manager
www.suzuki-tokyo.co.jp
และ บริษัท TOA Paint (ประเทศไทย) จำกัด
โดย คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (พี่เอ)
ประธานกรรมการบริหาร
คุณวิชา เจ็งเจริญ
Senior Manager
Automotive Bussiness Department
และ คุณชลธี คชา
ผู้จัดการทั่วไป
www.itoa.co.th
———————————————————
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
14 พฤศจิกายน 2010
Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 14th,2010
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่ / Comments are welcome! Click here!