ในที่สุด เจเนอเรชันที่ 8 ของรถกระบะที่ขายดีสุดในประเทศไทยอย่าง
Toyota Hilux Revo ก็ได้ฤกษ์เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกกันเสียที เมื่อวันที่
21 พฤษภาคม 2015 ที่ผ่านมา
แม้ว่าก่อนหน้านี้ 1 วัน ภาพspyshot ต่างๆ จะทะยอยหลุดออกมาราวกับ
เขื่อนแตก หลายๆโชว์รูม พากันพร้อมใจกระหน่ำโพสต์รุปปล่อยหลุด
ก่อนเวลาอันควรจนปลิวว่อน เดาว่าท่านผู้บริหาร Toyota สำนักงานใหญ่
หลายคน น่าจะถึงขั้น กรีดร้องออกมาลั่นออฟฟิศ ว่า
“พวกมึงจะหยุดปล่อยกันซะทีได้ม้ายยยยยยยยยยยยยยยย”!!
นั่นรวมถึงกรณี รถเทรลเลอร์ ขน Revo ไปคว่ำที่ลำปาง จนกลายเป็น
ข่าวดัง แชร์สนั่นโลกออนไลน์ อีก ถือเป็นเหตุไม่คาดคิด
สภาพรถที่ดูไม่จืดนั่น ไม่ใช่ว่าโครงสร้างไม่แข็งแรงหรอกครับ แต่ลอง
นึกภาพตามดูว่า ในเมื่อ รถคันนั้น เป็นคันสุดท้าย แปะอยู่ที่บั้นท้ายของ
รถเทรลเลอร์ เมื่อเจอแรงเหวี่ยงสะบัดท้ายไปมาหนักกว่าคันอื่นๆ พอ
โซ่ที่ล็อกไว้ หลุดขาดออกมา ตัวรถก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นลงข้างทางไปตั้ง
“หลายตลบ” ฉะนั้น หากโครงสร้างตัวถังยังอยุ่ในสภาพที่คุณเห็นนั่น
ได้ ต้องถือว่า โครงสร้างตัวถังนิรภัย พยายามทำหน้าที่ได้ดีมากๆแล้ว
มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านคงรับรู้รายละเอียดและข้อมูลตัวรถกัน
ไปครบแล้วอย่างละเอียดยิบ จาก Headlightmag.com ของเรา ซึ่งมีน้อง
Moo Cnoe รวบรวมไว้ให้จนแทบไม่ต้องไปหาอ่านที่ไหนกันอีก ลอง
คลิกเข้าไปดูได้ใน Webboard ของเราตามลิงค์นี้
แต่นั่นยังไม่สะใจใช่ไหมครับ? อยากรู้ละสิว่า ฟีลลิงของรถ จะเป็น
อย่างไร? ควรค่าพอแก่การ พุ่งเข้าไปยังโชว์รูม Toyota แล้วเซ็นใบ
สั่งจองกันหรือไม่?
ด้วยความช่วยเหลือ จากคุณจิว แห่งโชว์รูม Toyota กรุงไทย รามอินทรา
กิโลเมตรที่ 9 เราจึงได้มีโอกาส “เปิดซิง” Hilux Revo Double Cab 2.8 G
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ กันอย่างฉับไว ในช่วงหัวค่ำ หลังจากงานเปิดตัว
เสร็จสิ้นลง
ก่อนอื่น ต้องขอบอกว่า ด้วยเวลาที่ได้ลองขับนั้น สั้นมากกว่าปกติ ทำให้
ไม่มีจังหวะในการทำตัวเลขอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงใดๆ
ทั้งสิ้น
ดังนั้น สิ่งที่คุณจะได้รับรู้จากผม ในบทความนี้ จึงมีเพียงแค่สัมผัสจาก
ตัวรถ เท่าที่ผมพอจะจับมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ บนระยะทางสั้นๆ ราวๆ
10 – 11 กิโลเมตร อยากให้ลองอ่านกันในเบื้องต้น ก่อนที่จะไปพบกับ
ตัวเลขอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เต็มรูปแบบ ที่กำลังจะ
ทะยอยตามมาหลังจากนี้
ถ้าพร้อมแล้ว ก็เชิญเลื่อนเมาส์ลงไปทัศนา!
Hilux Revo ใหม่ มีขนาดตัวถังใกล้เคียงกับรุ่นเดิม รุ่น Double Cab 4 ประตู
มีความยาว 5,330 มิลลิเมตร (รวมกันชนหลัง) ความกว้าง 1,855 มิลลิเมตร
และความสูง 1,815 มิลลิเมตร สรุปง่ายๆก็คือ ยาวขึ้นประมาณ 7 เซนติเมตร
กว้างขึ้น 2 เซนติเมตร และเตี้ยลง 5 เซนติเมตร
แม้ว่าภาพรวมแล้ว ความสูงจะลดลง แต่ความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นรถ
(Ground Clearance) ถูกยกให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อยอยู่ที่ 286 มิลลิเมตร
มากกว่ารุ่นเดิม 6 เซนติเมตร และแน่นอนว่า การที่ Toyota ยังใช้พื้นฐาน
โครงสร้างแชสซีส์เดิม แต่มีการปรับปรุงใหม่ในหลายๆส่วน ทำให้ระยะ
ฐานล้อ ยังคงเท่ากับรุ่นเดิม ที่ 3,085 มิลลิเมตร
ภายนอกถูกดีไซน์ให้ดูแบนลง แต่ยาวขึ้น รู้สึกได้ว่า พร้อมจะพุ่งทะยาน
ออกไป ด้านหน้า ของรุ่น 2.8 G เปลี่ยนมาใช้ไฟหน้าแบบ Projector LED
พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light แบบ LED รวม
ถึง 14 หลอด อยู่ในชุดโคมเดียวกัน กระจังหน้าโครเมียมแนวนอน 3 เส้น
ทำให้รู้สึกเหมือนตัวรถ ดูยืดออกไปด้านข้าง และมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับ
Toyota Corolla Altis ใหม่ ฝากระโปรงหน้าถูกถอดช่องดักลมออก เนื่องจาก
มีการย้ายตำแหน่ง Intercooler ไปไว้ด้านหน้าหมอน้ำเรียบร้อยแล้ว
ด้านข้างตัวรถบริเวณโป่งล้อต่างๆ ถูกทำให้ดูมีมิติมากขึ้น เป็นโป่งข้างเหนือ
ซุ้มล้อในตัว ตามแบบสมัยนิยมของกระบะรุ่นใหม่ๆ เส้นสายรอบคัน บึกบึน
มากขึ้น
บั้นท้ายรถ มีมือจับเปิดกระบะท้ายขนาดขยายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทำให้
ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น ในรุ่นTop ฝังกล้องมองหลัง ไว้ในชิ้นส่วนมือจับฝาท้าย
ซ่อนรูปจนดูเนียนและลงตัวมากๆ ไฟท้ายออกแบบกรอบนอกใหม่ ให้ใหญ่
มากขึ้น แต่รายละเอียดภายในโคมไฟนั้นเหมือน Vigo Champ รุ่นเดิม เพิ่ม
ไฟตัดหมอกด้านหลังเข้าไปแทนที่ไฟถอยเดิม 1 ข้าง ส่วนของรูปทรงด้านข้าง
ถูกลากยาวเป็นสามเหลี่ยมฉีกออกไป เพื่อให้รับกับเส้นสาย ที่ถูกลากลงจาก
มุมบนลงมาของส่วนตัวถังกระบะด้านท้าย
ล้ออัลลอยของรุ่น Top ในบ้านเรา เป็นขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone
ดูเลินเล่อ…เอ้ย! ดูเอลเลอร์! (Dueler A/T : All Terrain) ขนาด 265/65 R17
มาพร้อมลายล้อ ซึ่งดูแล้วชวนให้นึกถึงสมัย Hilux Tiger อยู่ไม่น้อย
การเข้าออกตัวรถทำได้โดย กดที่ปุ่มตรงบริเวณมือจับประตูด้านนอก
เพราะเป็นระบบกุญแจ Smart Keyless Entry ก็สามารถเปิดประตูได้เลย
ไม่ต้องกดรีโมทหรือไขกุญแจเหมือนรุ่นเดิม แถมหน้าตาของรีโมทยัง
เป็นแบบใหม่ และยกมาจาก Camry กับ Alphard / Vellfile ชัดๆ!
ภายในห้องโดยสาร ของรุ่นท็อป เบาะนั่งจะเป็นหนัง สีน้ำตาลเข้ม หรือ
สีกาแฟใส่นม แต่ในภาพถ่ายที่คุณเห็นนี้ สีอาจผิดเพี้ยนไป เนื่องจากแสง
ในขณะบันทกภาพค่อนข้างน้อย จนต้องให้โปรแกรมของกล้อง Canon
PowerShot SX50 IS ที่ผมใช้อยู่ เร่งความสว่างออกมาจน โอเวอร์เกินจริง
เบาะนั่งคนขับในรุ่น 2.8 G เป็นแบบปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 6 ทิศทาง แต่
ไม่มีสวิตช์ปรับดันหลัง กับหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ Memory Seat
มาให้เลย
เบาะนั่งคู่หน้าทำได้ดีขึ้นจากรุ่นเดิมมาก นั่งได้เต็มแผ่นหลัง รวมทั้งช่วง
หัวไหล่ แต่การ Support กลางแผ่นหลังยังไม่ดีพอ ถ้านั่งต่อเนื่องในระยะ
ทางไกลๆ อาจเมื่อยที่บริเวณช่วงกลางหลังได้
เบาะรองนั่งคู่หน้า ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย แต่ก็ยังถือว่าสั้นอยู่ดี
องศาการเงยขึ้นของเบาะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ถือว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น
จุดเด่นอยู่ที่อุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งติดตั้งมาให้เกินหน้า
เกินตา เกินกว่าความคาดหมาย นั่นคือ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ
ม่านลมนิรภัย รวมทั้ง ถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าคนขับ รวมทั้งสิ้นถึง
7 ใบ เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด ทุกที่นั่ง! เฉพาะคู่หน้า สามารถ
ปรับระดับสูง – ต่ำได้ มือจับศาสดา สำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ เหนือช่อง
ทางเข้า ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง
ช่องทางเข้า – ออก บานประตูคู่หลัง มีขนาดใกล้เคียงกันกับ Amarok อย่าง
เห็นได้ชัด มีมือจับขนาดใหญ่บริเวณเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ทั้ง 2 ฝั่ง
สำหรับยกโหนตัวขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง พื้นที่บันไดที่ยื่นออกมา สั้นและ
เล็กไปนิด สำหรับการก้าวเท้าเหยียบขึ้นไปนั่งในรถ แม้ว่าจะถูกขยายให้
ใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับรถรุ่นก่อนแล้วก็ตาม
กระจกหน้าต่างทั้ง 4 บาน เป็นแบบ AUTO สามารถเลื่อนขึ้น – ลง จนสุด
ได้ด้วยการกดหรือยกสวิตช์ เพียงครั้งเดียว! ส่วนหน้าต่างของบานประตู
คู่หลัง ถูกออกแบบให้เลื่อนลงมาจนสุดขอบล่างได้ โดยอาจจำเป็นต้อง
ยอมให้มีกระจกโอเปรา ขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ร่วมกัน
เบาะนั่งด้านหลัง มีการปรับปรุงจากรุ่นเดิมชัดเจน โดยเฉพาะเบาะรองนั่ง
จากเดิม ซึ่งติดตั้งไว้ในตำแหน่งค่อนข้างเตี้ย ทำให้ผู้โดยสารแถวหลัง ต้อง
นั่งชันขา ปวดเมื่อยกันมาช้านาน
มาคราวนี้ เบาะรองนั่ง ถูกปรับปรุงใหม่ โดยใช้ฟองน้ำที่นุ่มแน่นกำลังดี
ชวนให้นึกถึงเค้กกล้วยหอม แน่นๆ ถึงจะมีขนาดในภาพรวม ออกจะสั้น
แต่มีการยกตำแหน่งติดตั้งให้สูงขึ้น และมีมุมเงย เยอะขึ้น หวังผลด้าน
การลดปัญหาผู้โดยสารแถวหลัง ซึ่งต้องนั่งชันเข่า จากรุ่น Vigo ให้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนตัวสูงเกิน 190 เซ็นติเมตร และมีช่วงลำตัวยาว
กว่าช่วงท่อนขา โอกาสที่ศีรษะคุณอาจเฉลี่ยวชนกับเพดานหลังคารถก็อาจ
เกิดขึ้นได้
พนักพิงเบาะหลัง ตั้งชันพอสมควร ปีกด้านข้างรองรับบั้นเอวผู้โดยสารทั้ง
2 ฝั่ง ไว้ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่การไม่มีพื้นที่นูน รองรับช่วงกลางแผ่นหลัง
ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า นั่งโดยสารทางไกลนานๆ แล้วอาจเมื่อยหลัง
เหมือนเช่นพนักพิงหลังของเบาะคู่หน้า ที่วางแขนพับเก็บได้ เตี้ยไปนิดเดียว
ขณะเดียวกัน พื้นที่วางขา หรือ Legroom นั้น ถึงจะเพิ่มมากขึ้น แต่ยังถือว่า
อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Vigo รุ่นเดิม
ถ้าเทียบกับคู่แข่ง การโดยสารบนเบาะหลังของ Mitsubishi Triton รุ่นล่าสุด
จะยังคงให้ความสบายได้ดีที่สุดในบรรดารถกระบะพิกัดเดียวกัน ทุกคันใน
ตลาด แต่ Revo เอง ก็ไม่ได้ถึงกับแย่กว่ามากมายนัก ถือว่าเกาะกลุ่มอันดับ
ต้นๆ ในประเด็นนี้ไว้ด้อยู่
แผงหน้าปัดถูกออกแบบขึ้นใหม่หมด หน้าตาภาพรวมดูผ่านๆอาจคล้าย
Corolla Altis แต่มีการเพิ่มมิติในส่วนต่างๆมากกว่า มีการนูน-เว้า ของ
แผงคอนโซลในแต่ละระดับ ห้องโดยสารภายในสีดำ ตกแต่งด้วยวัสดุ
Piano Black สีดำและเสริมแถบสีเงินกับโครเมียมลงไปในบางจุด
พวงมาลัยวงขนาดใหญ่จับกระชับมือ ดีไซน์ใหม่ แบบ 3 ก้าน ตกแต่งด้วย
แถบสีเงินด้านล่าง มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง หน้าจอ MID และปุ่มควบคุม
โทรศัพท์ ทั้งรับสาย-โทรออก
มาตรวัดเป็นแบบ Optitron เรืองแสงโทนสีฟ้า ขนาดใหญ่ 2 วง คล้ายๆกับ
ที่อยู่ใน Corolla Altis แต่มีการปรับลูกเล่นของ Font เข็มให้ดูดีขึ้น หน้าจอ
MID ตรงกลางสำหรับรุ่น G เป็นแบบ TFT แสดงผล 3 มิติ ขนาด 4.2 นิ้ว
ยกชุดกันมาจาก Camry Minorchange เลยทีเดียว แต่แสดงภาษาไทยได้!
ตรงด้านข้างพวงมาลัยฝั่งขวา บริเวณคอพวงมาลัยจะเป็นก้านควบคุม
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และถัดจากพวงมาลัย
เป็นแผงคอนโซลฝั่งขวาก็จะมี ปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Start Button
ให้มาด้วย ในรุ่น Top จะมีระบบ Auto Start & Stop ให้มาด้วย เมื่อคุณ
เหยียบเบรกจนสุด เพื่อหยุดรถ ขณะจอดติดไฟแดงชั่วคราว เครื่องยนต์
จะดับลงให้อัตโนมัติ แต่ระบบปรับอากาศยังทำงานอยู่ เมื่อถอนเท้าออก
จากแป้นเบรก เพื่อเตรียมออกรถ ระบบก็จะสั่งให้เครื่องยนต์สตาร์ทและ
ทำงานเองอัตโนมัติเช่นเดียวกัน
ถือเป็นครั้งแรกในรถกระบะเมืองไทย ที่มีการติดตั้งระบบ Auto Start Stop
หน้าจอชุดเครื่องเสียง มาแปลก ถูกออกแบบให้ลอยตัวออกมาจากแผง
ควบคุมกลาง ในสไตล์ Floating อาจดูขัดตาไปบ้าง เมื่อไม่ได้ใช้งาน
ดูเหมือนเอา Tablet ขนาดใหญ่ไปแปะไว้ แต่เมื่อเปิดใช้งาน ไฟบน
ปุ่มเรืองแสงแบบ Touch Screen ด้านข้างรอบๆจอ ก็ทำให้ดูดีขึ้นมาก
ชุดเครื่องเสียงในรุ่น Top เป็นหน้าจอ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว เล่น
วิทยุ FM/AM แผ่น CD/MP3 และ DVD 1 แผ่น พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB/
AUX และระบบ Bluetooth นอกจากนี้ยังมีระบบโทรศัพท์ออกด้วยเสียง
Voice Tag อีกด้วย พร้อมทั้งยังมีระบบนำทาง Navigation System ในชื่อ
T-Connect ซึ่งนั่นก็คือ Smart G-Book เดิมแต่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่
Interface ของชุดเครื่องเสียงรุ่น Top จะเหมือนกับชุดหน้าจอที่อยู่ใน
Camry Extremo ไม่ผิดเพี้ยน คุณภาพเสียงโดยรวม ถือว่าดีกว่า Camry
Extremo ที่ใช้ระบบ JBL Greenedge พอสมควร (ในกรณีนี้ เราเล่น
ไฟล์เพลงผ่าน Bluetooth โดย Smartphone ที่ปรับ Equalizer ได้)
หน้าจอ Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว ยังต้องขอเรียกว่า “จิก Screen” เพราะ
สัมผัสค่อนข้างยาก แทบต้องเอานิ้วจิกลงไปบนจอด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น
ปุ่มด้านข้างรอบๆจอ ก็ตอบสนองช้า จนคำว่า “จิก Screen ” ยังน้อยไป
ต้องถึงขั้นเปลี่ยนไปเรียกว่า “ขยี้ Screen”
ถัดลงมาจะเป็นชุดปรับอากาศที่เป็นแบบอัตโนมัติพร้อมหน้าจอแสดงผล
แบบ Digital ไฟสีฟ้าดูสวยงามและทันสมัย แต่ยังไม่เป็นแบบแยกอิสระ
Dual Zone ซ้าย-ขวา ความเย็นถือว่า เย็นเร็ว ดีเหมือนเคยตามสไตล์ของ
Toyota แต่ตำแหน่งสวิตช์ แอบเตี้ยไปหน่อย ต้องละสายตาจากถนนลงมา
มองหาปุ่มที่ต้องการ มีสวิตช์ปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า อยู่ฝั่งขวา
ด้านซ้ายจะเป็นช่องเก็บของแบบมีฝาปิดยกขึ้นด้านบน แต่ที่พิเศษกว่านั้น
คือสามารถเปิด-ปิดช่องแอร์ด้านในได้ เป็นช่องเก็บความเย็นสำหรับแช่
เครื่องดื่มได้ หรือที่เรียกว่า Cool Box (หรือคุณแม่บ้านจะเอาขนมนมเนย
สำหรับคุณลูกๆมาแช่ก็ได้)
ด้านขุมพลัง คราวนี้ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ Toyota ตัดสินใจถอด
เครื่องยนต์ Diesel ตระกูล KD ทิ้งไปทั้งหมด เปลี่ยนมาเป็นตระกูลใหม่ GD
เมื่อแท็คทีมกับเครื่องยนต์ เบนซิน 2TR-FE ที่ยังคงประจำการอยู่ เท่ากับว่าใน
คราวนี้ Toyota จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด แต่มีระดับความแรงแตกต่างกัน
มากถึง 6 ระดับ! ถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เยอะจนกระทั่ง ฝรั่งที่ Ford ถึงขั้น งงเลยว่า “เฮ้ ยู! ทำไมมีเครื่องยนต์ให้เลือก
เยอะมากมายขนาดนี้ ฝรั่งงงไปหมดแล้ว!”
เบื้องต้น รถคันที่ผมทดลองขับ เป็นรุ่น Top 2.8 G 6AT ดังนั้น เครื่องยนต์ จึงเป็น
รหัส 1GD-FTV บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,756 ซีซี พร้อม Turbo แปรผันครีบ
(VN-Turbo) และ Intercooler เป็นรุ่น High Output ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า (PS)
ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 45.8 กก.-ม.หรือ 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400
รอบ/นาที เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมพบว่า มีแรงม้าเพิ่มขึ้น 6 ตัว แต่แรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 90
นิวตันเมตร
จับคู่กับเกียร์ลูกใหม่ อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT พร้อมโหมด + – Sequential
Shift ให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เอง อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.600
เกียร์ 2 2.090
เกียร์ 3 1.488
เกียร์ 4 1.000
เกียร์ 5 0.687
เกียร์ 6 0.580
เกียร์ถอยหลัง 3.732
และอัตราทดเฟืองท้าย 3.909
เนื่องจากเวลาอันแสนจะจำกัด แถมสภาพการจราจรย่านรามอินทราที่ติดขัด
ผมจึงตัดสินใจเลือกใช้เส้นทาง จากหน้าโชว์รูม Toyota กรุงไทย ผ่านหน้า
ห้างสรรพสินค้า Promenade และ Fashion Island ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าไป
ทางสวนสยาม เลี้ยวขวาอีกครั้งบนถนนเสรีไทย แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นสะพาน
โค้งเข้าสู่ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก บางนา-บางปะอิน ในช่วงสั้นๆ
ก่อนจะเลี้ยวซ้าย กลับมาทางรามอินทรา เลี้ยวกลับที่ โรงพยาบาลนพรัตน์
ก่อนจะเลี้ยววกกลับเข้าโชว์รูมเดิม ในช่วงเวลาราวๆ 18.20 – 19.00 น.
ระยะทางเพียงราวๆ 10 กิโลเมตร มันอาจจะสั้นไปสักหน่อย แต่ก็เพียงพอ
สำหรับการเริ่มต้นทำความรู้จักกับ Hilux Revo ในประเด็นต่างๆที่หลายๆคน
กำลังสนใจ บุคลิกการตอบสนองของตัวรถ “ในเบื้องต้น” เท่าที่พอจะจับ
อาการได้ มีดังนี้
อัตราเร่ง จากเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อยู่ในเกณฑ์ทันใจ
กว่า Vigo รุ่น 3.0 ลิตร เดิมนิดหน่อย เพราะการตอบสนองของเกียร์ ทำได้ดี
เรียกกำลังได้ไวกว่า Ranger 3.2 นิดเดียว แต่ยังช้าอยู่นิดหน่อย เมื่อเทียบกับ
รถเก๋ง ซึ่งนั่นก็เป็นปกติของเกียร์อัตโนมัติในรถกระบะอยู่แล้ว แต่เมื่อลอง
เปรียบเทียบกับกระบะด้วยกัน ถือว่าตอบสนองค่อนข้างไวกว่ากันเล็กน้อย
ในช่วงคลานไปตามการจราจร จนถึงจังหวะรถคันข้างหน้าโล่งพอประมาณ
เติมคันเร่งไฟฟ้าลงไปนิดหน่อย รถก็ทะยานขึ้นไปข้างหน้าแทบจะทันที
อาการคันเร่ง Lag ค่อนข้างน้อย เหมือนรุ่นเดิม
แม้จะมีแรงบิดสูงสุดมากถึง 450 นิวตันเมตร แต่การออกตัว กลับยังไม่ถึงขั้น
หลังติดเบาะ นั่นเพราะคราวนี้ ทีมวิศวกรเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของ
Toyota มุ่งเน้นไปที่การลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวมทั้งการปล่อยมลพิษ
ให้น้อยลงเป็นหลัก
การตอบสนองของเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ไม่อืด เมื่อเทียบกับรถกระบะ
ด้วยกัน ราบรื่น ต่อเนื่องดี อาการกระตุกขณะขับขี่ แทบไม่มีให้พบเจอเลย
เพียงแต่ช่วงจอดรถหยุดนิ่ง เปลี่ยนเข้าเกียร์ R คงยังเหลืออาการพอให้รับรู้
ว่ากำลังเปลี่ยนเกียร์ให้อยู่นะ
ประเด็นสำคัญซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผมมากๆ นั่นคือ การเก็บเสียง
รบกวนในห้องโดยสาร ตั้งแต่ติดเครื่องยนต์เดินเบา จนถึงความเร็วสูงระดับ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น เงียบมากๆๆๆๆๆๆ! ทำได้ดีมาก ทั้งเสียงลม และ
เสียงเครื่องยนต์ เล็ดรอดเข้ามาในห้องโดยสารนั้นน้อยมากๆ จนผมถึงขั้น
อัศจรรย์ใจ นี่คือรถกระบะ Toyota ที่เก็บเสียงรบกวนในช่วงความเร็วต่ำกว่า
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดีเยี่ยมที่สุด เท่าที่พวกเขาเคยทำมา!!
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง รัศมีวงเลี้ยวค่อนข้าง
กว้าง คือ 6.4 เมตร มีการปรับปรุงให้ตอบสนองดีขึ้น น้ำหนักหน่วงดีในช่วง
ความเร็วต่ำ แต่ยังรู้สึกได้ถึงความเบา ขณะกำลังเลี้ยงพวงมาลัยอยู่ในโค้ง
ขึ้นสะพานเชื่อมถนนเสรีไทย เข้ากาญจนาภิเษก ที่ความเร็วประมาณ 60
กิโลเมตร/ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม แอบตั้งข้อสังเกตว่า การตอบสนองของพวงมาลัยที่ช่วยให้
ผู้ขับขี่มั่นใจขึ้นได้นั้น เกิดจากอีก 2 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ การติดตั้งพวงมาลัย
โดยเลื่อนตำแหน่งกึ่งกลางลงมาด้านล่างอีกนิดนึง เพื่อช่วยให้การควบคุมรถ
บนทางตรงด้วยความเร็วสูงทำได้สบายขึ้น (เทคนิคนี้ Mercedes-Benz นำมา
ปรับใช้กับรถยนต์ของตน มาตั้งแต่ยุค 1980) รวมทั้งการเพิ่มความหนาของ
วงพวงมาลัย ช่วยให้ มือคนขับ จับพวงมาลัยได้ตำแหน่ง Grip ที่ดีขึ้นด้วย
ช่วงล่าง ถือเป็นจุดขายสำคัญอีกประการหนึ่ง Toyota เรียกเหมารวมทั้งระบบ
ว่า ระบบควบคุมช่วงล่างใหม่แบบพลวัต DCS (Dynamic Control Suspension)
ที่มาพร้อมระบบกันสะเทือนใหม่และโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ FIRM (Frame
with Integrated Rigidity Mechanism)
ในภาพรวมนั้น ช่วงล่างของ Revo นุ่มขึ้นกว่า Vigo รุ่นเดิม พอสมควร กระนั้น
ด้วยเหตุที่ ทีมวิศวกร เลือกเอาช่วงล่างของ Ford Ranger 3.2 ลิตร Wildtrak เป็น
Benchmark ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ ช่วงล่างของ Revo จะถูกเซ็ตมาแนวทาง
เดียวกันกับ Ranger คือ หนักแน่นขึ้น แต่ก็ยังมีความแข็งอยู่บ้าง ในช่วงความเร็วต่ำ
ยังพอรับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนเล็กน้อย แต่พอเจอพื้นปูนซีเมนต์ช่วงทางเข้าสวนสยาม
ผมพบว่า ยังมีอาการดีดเด้งของช่วงล่างด้านหลัง ในแบบรถกระบะขนของ ให้เห็น
ได้อยู่ อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ทางหลวงกาญจนาภิเษก ช่วงล่างของ Revo แสดง
ออกมาอย่างชัดเจนว่า นุ่มนวลขึ้นกว่า Vigo และขับขี่ทางไกลได้สบายมากกว่าเห็นๆ
แอบเสียดายว่า ผมอยากให้ทีมช่วงล่าง ไปดูการเซ็ตของ Mazda BT-50 PRO
แฝดผู้น้อง ซึ่งเซ็ตช่วงล่าง แบบเดียวกับ Ranger แต่นุ่มกว่ากันชัดเจน ซึ่งทำให้
ขับทางไกลสบายกว่า นั่นน่าจะเป็นช่วงล่างในแบบที่ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่
คาดหวังจาก Toyota มากกว่า
ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อม ตัวช่วย มากมาย ทั้ง ระบบเบรกป้องกัน
ล้อล็อค ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก Brake Asssit
ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุม
การส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC , ระบบ
ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC
การตอบสนองของแป้นเบรก ถือว่าไว้ใจได้ หน่วงความเร็วดีขึ้นกว่าเดิม แป้น
เบรกมีระยเหยียบที่ยาวอย่างเหมาะสม ออกแรงกดลงไปในระดับที่หนืดกำลังดี
ในเบื้องต้น ถือว่ามีการปรับปรุงแก้ไขในเกณฑ์น่าพอใจ หากเทียบกับ Vigo เดิม
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ภาพรวม ขับดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน แต่จะดีขึ้นแค่ไหน รายละเอียด อดใจรออีกหน่อย
การเปิดตัว Hilux Revo ถือเป็นเรื่องที่ช่วยยืนยันความคิดของผมในประเด็นเดิม
ได้อย่างดีมากๆว่า “เมื่อใดที่ Toyota ตั้งใจจะทำรถยนตให้ดีๆ พวกเขาก็ทำได้ดี
เกินความคาดหมายเราได้ จากนั้น พวกเขาจะปล่อยมันไว้จนกว่าจะโดนคู่แข่ง
เกทับกลับ ช่วงแรก จะยังชะล่าใจ ปล่อยกันไป แต่เมื่อใดที่พวกเขาสู้ไม่ได้แน่ๆ
เราก็จะได้เห็นพัฒนาการใหม่ๆ จากพวกเขาขึ้นมาอีก”
มันกลายเป็นธรรมชาติในการพัฒนารถยนต์ของ Toyota ไปแล้ว Vios Altis หรือ
Camry ทั้ง 3 รุ่นนี้ ล้วนแล้วแต่ผ่านเหตุการณ์อย่างที่ผมบอกไปนี่มาหมดแล้ว คือ
ต้องรอให้คู่แข่งเขาเดินหน้าไปไกลอีกก้าวหนึ่ง ตัวเองค่อยฮึดเต็มที่ แล้วก้าวนำ
ชาวบ้านเขาอีกครั้ง ประมาณ ช่วง หนึ่งก้าวครึ่ง หรือ สองก้าว
กระนั้น คราวนี้ Toyota ก็พยายามได้ดีมาก ในการพัฒนา Hilux ใหม่ ให้อุดม
ไปด้วยความใหม่เกือบจะทั้งคัน ในลักษณะของการนำ Hilux Vigo รุ่นเดิมมา
ปรับปรุงครั้งใหญ่ ในระดับที่ “คนใน Toyota Motor Thailand และ Toyota
Motor Asia Pacific หลายๆคน พร้อมใจกันเรียกมันว่า Big Revise
ใช่ครับ มันคือการเปลี่ยนโฉมแบบ Full Model Change นั่นแหละ แต่ยังคงมี
การนำชิ้นส่วนจาก Hilux Vigo รุ่นเดิม มาปรับประยุกต์ใช้ในรถรุ่นใหม่นี้ด้วย
หาใช่การเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งคัน แบบหัวจรดหาง ใช้อะไหล่กับรุ่นเก่าไม่ได้
นั่นก็ดูจะใจร้ายต่อฝ่ายบัญชี และฝ่ายวิศวกรเกินไปหน่อย
โลกรถยนต์สมัยนี้ มักทำอะไรกันคลุมเคลือแบบนี้ละครับ จะให้ชัด เป๊ะเลยนั้น
ดูจะเป็นไปได้ยาก ถ้าอยากหาความชัดเจน ขอเชิญไปพบหมอทำเลสิก ไป!
รับประกันความชัดระดับพุ่งทะลุมิติ
ภาพรวมการขับขี่ ที่ดีขึ้นจากรุ่นเดิมนั้น ยืนยันว่า ดีแซงหน้าคู่แข่งหลายค่ายไป
มากพอสมควร ต่อให้บอกว่าสู้ได้สบายมาก แต่ลึกๆแล้ว พวกเขาก็แอบยอมรับว่า
Ford Ranger , Volkswagen Amarok , Mitsubishi Triton คือ 3 รถกระบะ ที่ดีมาก
จนถึงขั้นทำให้ Toyota ต้องยอมนำมาเป็นคู่แข่งเปรียบเทียบ แทนที่จะใช้ Isuzu
D-Max กับ Nissan Navara มาเป็นโจทย์ เหมือนในอดีตที่เคยเป็นมา
แถมไหนจะต้องพัฒนาห้องโดยสารออกมาให้ มีบรรยากาศคล้ายคลึงกับ SUV
หรือรถเก๋งให้ได้มากที่สุด จึงไม่แปลกใจที่ Toyota จะพยายามทำห้องโดยสาร
ให้เป็นผลจากการผสมผสานกันระหว่างแผงหน้าปัดของ Corolla Altis ใหม่
กับ Land Cruiser Prado รุ่นล่าสุด เข้าไว้ด้วยกัน
มันยากนะ การจับ Hilux Vigo รุ่นเดิม,Toyota Land Cruiser Prado รุ่นล่าสุด
Ford Ranger 3.2 Wildtrak รุ่นเดิม และ Volkswagen Amarok มาเข้าเครื่องปั่น
อเนกประสงค์ มูลิเน็กซ์รวมกัน! เพื่อให้ออกมาเป็นรถกระบะรุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ แบบนี้
ดังนั้น ทีมวิศวกรของ Toyota จึงพยายามปรับเซ็ตรถของตนเองให้ดีขึ้น ทาบรัศมี
กับคู่แข่งระดับ Benchmark ทั้ง 3 คันดังกล่าว แลแน่นอนว่า พวกเขาเลือกทางถูก
คราวนี้ Hilux ใหม่ น่าจะมอบประสบการณ์ใหม่ให้คนไทย ได้ดีขึ้นกว่าสมัย Vigo
เพียงแต่แน่นอนว่า มันอาจจะไม่ถึงขั้นดีเด่นแซงขึ้นหน้า Ranger หรือ Amarok
ครบทุกด้าน เพราะไม่มีใครหรอก ที่สามารถทำรถยนต์ออกมาให้เด่นกว่าชาวบ้าน
ได้ครบทุกด้าน แต่ยังตั้งราคาขายได้ในระดับที่เป็นอยู่
หลายคนบ่นว่า แพงเกินไป ซึ่งก็จริง หากมองแค่รุ่นถูกสุดกับตัว Top แต่ถ้าลอง
มองในอีก 31 รุ่นย่อยที่เหลือ จะมีบางรุ่นที่ตั้งราคาไว้สมเหตุผลมากๆ กับบางรุ่น
ที่ตั้งราคาแพงไปหน่อย เมื่เทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม สมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ยังคงเป็นสิ่งที่ผม จำเป็นต้องขอติดค้างไว้กับคุณผู้อ่านในตอนนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อม
เราจะมานั่งดูกันอีกครั้งว่า ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Hilux คราวนี้ จะยังทำให้
คุณๆ ที่เคยใช้ Vigo เปลี่ยนใจ มาถอย Revo ใหม่กันได้หรือเปล่า
อดใจรอ อีกไม่นาน!
—————————–///—————————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
คุณป๊อก , คุณจิว , คุณบิว และคุณตุ้ม
โชว์รูม Toyota Krungthai ถนนรามอินทรา กิโลเมตรที่ 9
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการต้อนรับอย่างดียิ่งในครั้งนี้
Atip Meesukmak (Tob Philosophy) และ
Teerapat Achawametheekul (Moo Cnoe)
The Coup Team Member
สำหรับการบันทึกภาพ และการเตรียมข้อมูลตัวรถ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
22 พฤษภาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 22nd,2015
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE