2 ปีมาแล้วสินะ ที่ Mercedes-Benz พาผมไปร่วมสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
ในทริปทดลองขับ S-Class W222 รุ่นปัจจุบัน ไกลสุดกู่ถึงนคร Toronto ประเทศ
Canada มันเป็นทริปหนึ่งที่น่าจดจำสำหรับคนตัวเล็กๆอย่างผมเลยเชียวละ

มันเป็นทริปแรกที่ผมได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับผู้ผลิตรถชาวยุโรป เพื่อลองขับ
รถยนต์รุ่นใหม่ของพวกเขา เป็นทริปแรกที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า บริษัทรถยนต์จาก
เยอรมนี ทั้ง Mercedes-Benz หรือ BMW มักจะจัดเตรียม งานทดลองขับ รถยนต์
รุ่นใหม่ ให้สื่อมวลชนจากทั่วทุกมุมโลก ได้ร่วมงานในระยะเวลาสั้นกุด เพียงแค่
2 วันเท่านั้น ไปถึงปุ๊บ ขับรถกันเลย คืนกุญแจรถเมื่อไหร่ ขึ้นเครื่องบินกลับทันที!
ไม่มีแวะเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจใดๆทั้งสิ้น!

แม้ว่ากะเหรี่ยงไทยจะโชคดีกว่าชนชาติอื่นนิดหน่อย ตรงที่ได้เดินทางไปพักผ่อน
ล่วงหน้า เพิ่มอิก 1 คืน แต่ด้วยระยะเวลาอันสั้น แถมยังต้องทนใช้ชีวิตบนเครื่องบิน
เป็นเวลานานข้ามฟากโลก ถึง 2 วัน ต่อให้เดินทางไปบนที่นั่งชั้น Bussiness Class
แต่นั่นก็มีความเหนื่อยล้าสะสมแอบแฝงอย่างหนักอยู่ดี

บ่ายวันหนึ่ง ต้นเดือนมิถุนายน 2015 พี่ดอม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ของ
Mercedes-Benz Thailand โทรศัพท์มาบอกผมว่า ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ดีๆ

เพราะทริปหนักๆ แบบนี้ กำลังจะกลับมาเยือนชีวิตผมอีกครั้ง!

และคราวนี้ จุดหมายของเรา อยู่ที่ เมือง Basel ประเทศ Switzerland ก่อนจะไป
แวะในเขตเยอรมัน นอนค้างอ้างแรมที่ Strasbourg ในฝรั่งเศส แล้วค่อยกลับมา
ยัง Basel

ทำไมต้องวนไปเวียนมาแบบนี้…มันมีเหตุผลนิดหน่อยครับ

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_01

ผมได้รับรู้ล่วงหน้า ว่า จะต้องไปทดลองขับรถรุ่นนี้ ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเผยโฉม
ออกมาเมื่อวันที่ 14 มิภถุนายน 2015 ที่ผ่านมา เพียงราวๆ 2 สัปดาห์

ตามตารางงานในลักษณะนี้  โดยทั่วไป ทันทีที่คุณลงจากเครื่องบิน ก็จะมีรถยนต์
ไปรับคุณจากสนามบิน มาถึงโรงแรมที่พัก เก็บของ และเริ่มเข้าประชุม เรียนรู้
รายละเอียดรถยนต์รุ่นใหม่ กันในทันที ตกเย็น ก็ต้องรับประทานอาหารค่ำ แบบ
หรูหราฟู่ฟ่า สมฐานะของแบรนด์ แล้วต้องรีบเข้านอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อที่จะ
ตื่นเช้าขึ้นมา แล้วต้องเก็บกระเป๋า Check-out แย่งชิงกุญแจรถ ก่อนจะออกสตาร์ต
ล้อหมุน ขับไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ แวะพักทานมื้อเที่ยง ร่วมกิจกรรมทดลอง
ระบบต่างๆอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป จนเสร็จภาระกิจ
ทันทีที่คืนกุญแจรถ คุณก็จะถูกต้อนขึ้นรถ ไปส่งถึงสนามบิน เพื่อเตรียมเดินทาง
กลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนในทันที โดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น!

ทริปนี้ก็เช่นกัน…

ทริปทดลองขับของ GLC ใหม่ สำหรับสื่อมวลชนทั่วโลก จัดขึ้นระหว่างวันจันทร์
13 ถึงวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2015 (โดยเว้นวรรควันหยุดประจำชาติฝรั่งเศส วันที่
14 กรกฎาคม 2015 ไป 1 วัน)

สื่อมวลชนทั้งหมดจากทุกทวีปที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทดลองขับ GLC ในครั้งนี้
มีถึง 9 กลุ่ม รวมทั้งสิ้นถึง 450 ราย แต่กลุ่มสื่อมวลชนที่มีจำนวนเยอะกว่าชาวบ้าน
มีด้วยกัน 4 ประเทศ คือ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา จีนและฮ่องกง

เหตุผลที่ Mercedes-Benz เลือก Basel – Alsacs เพราะเป็นจุดศูนย์กลางในการ
เชื่อมต่อยุโรป ไปยังส่วนต่างๆของโลก เส้นทางการขับขี่ และจุดหมายปลายทาง
ที่พักได้ถูกเซ็ตไว้ เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์ครบถ้วน ทั้งการขับขี่บนถนนใน
ยุโรป การขับขี่บนเส้นทางขรุขระ รวมทั้งทางวิบาก และแน่นอนว่า ต้องมีโรงแรม
ที่พัก และภัตตาคาร ที่ใหญ่พอจะต้อนรับแขกเหรื่อจำนวนมาก ตลอด 3 สัปดาห์
ในการจัดทริปครั้งนี้ ได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_02_Trip_Basel

21 กรกฎาคม 2015

หลังจากนอนหลับพักผ่อนไปบนเบาะนั่งชั้น Bussiness Class ซึ่งปรับเอน
นอนราบได้ด้วยแผงควบคุมระบบสัมผัส อิ่มเอมไปกับอาหารอร่อยเลิศรส
และการบริการที่เปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ตลอดการเดินทางยาวนานเกินกว่า
9 ชั่วโมง ชนิดที่อยากให้คนของการบินไทยมาลองใช้บริการด้วยจริงๆ (ถ้า
ไม่ติดเรื่อง โต๊ะพับเก็บได้ ใช้งานโคตรยากและสับสนไปสักหน่อย)

สายการบิน Austrain Airline เที่ยวบินที่ OS26 อันน่าประทับใจ นำพวกเรา
มาถึงท่าอากาศยาน Vienna International Airport

ที่นี่ เราต้องเดินลัดเลาะมาตามบันไดเลื่อนและทางเขาวงกฎ เพื่อประทับตรา
ตรวจคนเข้าเมือง ก่อนจะเปลี่ยนจาก เครื่องบิน Boeing 777-200 ER  มาเป็น
เครื่องบินใบพัด De Havilland Canada DHC-8-400 Dash 8Q ซึ่งค่อนข้าง
เงียบกว่าเครื่องบินใบพัดรุ่นอื่นๆ ที่ผมเคยนั่ง เพื่อเดินทางต่อจาก Vienna ไป
ลงจอดที่สนามบิน EuroAirport (Basel – Mulhouse – Freiburg)

สนามบินแห่งนี้ ถือเป็นจุดศูนย์กลางของการเดินทางในเขตชายแดนของทั้ง
สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ที่เชื่อมต่อถึงกันทั้งหมด ในฐานะกลุ่ม
ประเทศ เครือสหภาพยุโรป (EU)

ทันทีที่มาถึง เจ้าหน้าที่ของ Mercedes-Benz ก็มารอรับพวกเราถึงหน้าทางเข้า
บริเวณสายพานรับกระเป๋ากันเลย ใช้เวลาไม่นานนัก เราก็เดินอย่างสง่าผ่าเผย
ออกไปขึ้นรถตู้ Mercedes-Benz V-Class ใหม่ เพื่อเดินทางจากสนามบิน เลี้ยว
ลัดเลาะตามวงเวียนนิดหน่อย ผ่านสำนักงานใหญ่ของ Nestle (ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง
แห่งนี้) มาเลี้ยวขวาตรงทางแยกนิดเดียว ก็ถึงที่พักของเราในคืนแรก

โรงแรม Pullman Basel Europe (Clarastrasse 43, 4058 Basel,) เป็นโรงแรม
4 ดาว ซึ่ง ผู้เข้าพักเกือบทั้งหมดใน Tripadvisor.com ต่างพากันให้คะแนนสูง
ตั้งแต่ 4-5 ดาว ส่วนใหญ่ บอกว่า เป็นโรงแรมที่ สะอาด สบาย พนักงานทุกคน
ต้อนรับเป็นกันเองมากๆ ตัวอาคารเป็นแบบดั้งเดิม 6 ชั้น ถูกตกแต่งขึ้นใหม่บน
พื้นฐานอาคารหลังเก่าแก่ร่วมยุคสมัย เพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่กี่ปี ภัตตาคาร
ที่นี่ถือว่าทำอาหารมาได้ อร่อยพอประมาณ กินได้ ไม่เลวร้ายเหมือนในอังกฤษ

ข้อด้อยเพียงอย่างเดียว ซึ่ง คุณ Pan Paitoonpong แห่งเว็บเรา คงรับไม่ได้แน่ๆ
คือ…เหมือนกับโรงแรมทั่วไป…เข้าส้วมแล้วต้องทำใจ เพราะไม่มีสายฉีดชำระ!

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_03_Trip_Basel

ยามบ่าย ผ่านพ้นมื้อเที่ยงแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวชมเมือง ผู้คนออกมาพบปะกัน
ตามร้านกาแฟ บ้างก็มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ลงเล่นน้ำ อยู่ริมตลิ่งของแม่น้ำไรน์
(Rhine) ที่ไหลผ่านกลางใจเมือง ท่ามกลางอุณหภูมิซึ่งร้อนจนเหงื่อออกไม่ต่าง
ไปจากการเดินอยู่บนถนนสีลมตอนบ่ายโมงตรง!

Basel ถือเป็นเมืองหลวงของรัฐ Baselstadt เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจาก
Zurich แถมยังเป็นเมืองชายแดน ของสวิตเซอร์แลนด์ มีพรมแดนเชื่อมต่อกับ
อีก 2 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส และ เยอรมัน จึงกลายเป็นศูนย์กลางเพื่อการเดินทาง
เข้า-ออก ของทั้ง 3 ประเทศ ข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2015 ระบุว่า เมืองนี้
มีประชากร 174,793 คน ที่นี่เป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของยุโรป
มีพิพิธภัณฑ์ดีๆมากมาย บางแห่งมีงานของจิตกรเอก Van Goah จัดแสดงด้วย
สถานที่สำคัญของเมืองก็คือ วิหารแดง Basler Munster และอาคารศาลากลาง
เมือง Rathaus Basel’s Town Hall เมืองนี้มี สถานีรถไฟขนาดใหญ่ 2 แห่ง
มีแม่น้ำไรน์ไหลผ่านกลางเมืองแบ่งตัวเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือ Klein Basel
(Little Basel) ฝั่งขวาและ Gross Basel (Great Basel)  ฝั่งซ้าย แต่ศูนย์กลาง
การท่องเที่ยวจะอยู่ในเขตเมืองเก่าริมแม่น้ำฝั่งซ้ายเสียเป็นส่วนใหญ่

เมืองนี้ คุณจะพบร้านรองเท้าบาจา (Bata) ได้เยอะไม่แพ้ 7-11 ในบ้านเรา
เพราะรองเท้ายี่ห้อนี้ ถือกำเนิดในสาธารณรัฐเชค แต่มีสำนักงานใหญ่ในกรุง
โลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ เช่นเดียวกัน ห้างสรรพสินค้าที่นี่ มีไม่กี่แห่ง แถม
ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาของห้าง CoOp เน้นขายของราคาถูก ส่วนห้างฯ ที่ชื่อ
Manor ก็ตกแต่งข้างนอกได้ชวนให้นึกถึงห้างฯ Central สีลม และ ชิดลม
ยุคดั้งเดิม ผสมกับ ห้าง Metro ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งปิดกิจการนานแล้ว

ใครเกิดทันบ้าง อย่าอ่านแล้วอมยิ้ม…บอกมาซะดีๆ!!

ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่ ถูกอนุรักษ์บริเวณภายนอกไว้ให้เหมือนเดิมมากสุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ มีร้านกาแฟ และผับเล็กๆ กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ทว่า
ร้านรวงส่วนใหญ่ ยังเหมือนอยูในยุคเก่า ไม่เว้นแม้แต่ร้าน McDonald ที่อยู่ใน
อาคารแบบดั้งเดิม มีร้านกาแฟท้องถิ่น ตั้งอยู่เคียงข้าง Starbucks ได้สบายๆ

มีร้านชา London Tee ที่คนไทยมาเปิดจำหน่าย เลยจากอาคาร Town Hall
ตรงเข้าไปในซอยฝั่งตรงข้ามแค่นิดเดียว ร้านขายเครื่องดนตรี และแผ่น CD
รวมทั้ง Vinyl และหนังสือเกี่ยวกับดนตรี ชื่อ Musik Hug ก็เดินจาก Town
Hall ไปไม่ไกลเลย ไอศกรีมโคนละ 3.50 ฟรังซ์สวิสฯ น้ำแร่ Evian ขวดเล็ก
ราคา ราวๆ 2-3 ฟรังซ์สวิสฯ

Basel นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ต่างๆมากมายแล้ว ยังมีโรงภาพยนตร์แบบดั้งเดิม
คล้ายๆ กับ สกาลา ของบ้านเรา มีร้านให้ Shopping มากพอสมควร ตั้งแต่ ZARA
H&M กล้อง Leica เสื้อผ้า Brandname มากมาย ร้านขายของเล่นก็มี แต่ของยัง
ไม่ถึงกับเยอะนัก มีร้านขายหนังสือ Thalia.ch พนักงานอัธยาศัยดีมากๆ แม้กระทั่ง
Mercedes-Cafe ก็ยังแอบมาเปิดสาขาที่นี่ น่าเสียดายว่า วันที่เราไปเยือน ร้านปิด!

ทางโรงแรม Pullman เขาให้บัตรโดยสาร ขึ้นรถรางไฟฟ้า (Tram) และรถเมล์
ปรับอากาศ ฟรี ขึ้นได้ทุกสาย จะไปลงที่ไหนก็ได้ เลยลองใช้บริการดู สะดวก
และสบาย เดินทางไปไหนมาไหนในเมืองได้คล่องตัว อย่างว่าครับ ที่นี่เป็น
หนึ่งในเมืองที่มีระบบคมนาคมดีที่สุด เป็นอันดับต้นๆของทวีปยุโรปนี่นา

แต่ถ้าคุณต้องการซื้อตั๋วเอง ง่ายมากครับ มีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติอยู่ตามจุด
ต่างๆของเมือง มีเมนูให้เลือกทั้งภาษาอังกฤษ เยอรมัน อิตาเลียน ฝรั่งเศส
ลองกดเล่นๆดูก็ใช้งานง่าย แต่ถ้าคุณจะพาสัตว์เลี้ยง ขึ้น Tram คุณต้องซื้อ
ตั๋วพิเศษ สำหรับสุนัขหรือแมวของคุณด้วย!

มื้อเย็น เราเดินจากโรงแรม ไปยังโบสถ์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล เลี้ยวซ้ายไปเจอ
ภัตตาคาร Volkhaus Basel ซึ่งทาง Daimler AG บริษัทแม่ในเยอรมนีเขา
จองเอาไว้ รสชาติอาหารส่วนใญ่ หนักเค็มด้วยเกลือไปหน่อย Meat Loaf
เนื้อมันช่างร่วนเป็นหอยจ้อเละๆ ส่วน Sirloid Steak ที่หลายๆคนลองสั่ง
รสชาติ ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร คือแข็งมากๆ ไม่อร่อยเท่าไหร่ แต่พอกินได้

เราเดินกลับโรงแรม ตอน 3 ทุ่ม ทั้งที่ท้องฟ้าใน Basel ยังสว่างราวๆ 6 โมง
ช่วงยามเย็นของบ้านเรา พระอาทิตย์ในช่วงฤดูร้อนของยุโรป จะตกช้ากว่า
ทวีปอื่นๆอยู่พอสมควร เพื่อนั่งทำสรุปทริปของวันแรก ก่อนเข้านอนช่วงสั้นๆ

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_04_Trip_Basel

22 กรกฎาคม 2015

ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ที่แน่ๆ เตียงอันแสนสบาย และหมอนแบบ
Memory Foam ทำให้แทบไม่อยากลุกจากเตียง แต่…ไม่ได้ครับ มื้อเช้า
มื้อเช้า รอเราอยู่ ไหนจะต้องเตรียมต้นฉบับ ไหนจะลงไปทานมื้อเช้า แล้ว
ต้องขึ้นมาเก็บกระเป๋า ลงไปรอ Mercedes-Benz Media Shuttle คันเดิม
พาเรากลับไปยังสนามบิน EuroAirport อีกครั้ง…

เฮ่ย! มาถึงคืนเดียว จะกลับแล้วเหรอ??

อ๋อ เปล่าหรอกครับ เหตุที่ต้องกลับไปหนะ เพราะว่า ทั้งทีมงาน สถานที่เพื่อ
Brief ชี้แจงรายการต่างๆ รวมทั้งรถทดสอบทั้งหมด รอเราอยู่ที่นั่น!

12.30 น. ทันทีที่เราเดินทางกลับไปยังสนามบิน EuroAirport ทีมงานเขาก็
พร้อมต้อนรับแล้วเชื้อเชิญ เข้าไปที่ Mercedes-Benz Lounge ซึ่งถูกเนรมิต
ขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ ณ Bussiness Center ชั้น 3 ของ สนามบิน เพื่องานนี้
โดยเฉพาะนั่นละครับ ทางเข้าหนะนิดเดียว แต่เดินเข้าไป มีเก้าอี้นั่ง และบาร์
เครื่องดื่ม มีอาหารว่างให้เลือกหยิบรับประทานได้ตามความตะกละตะกราม

หลังจาก รับฟังกำหนดการเสร็จสิ้น (สั่นกุดมากๆ อ่านในเอกสารที่แจกมาให้
ตอนลงทะเบียน ก็ได้ เหมือนกันเป๊ะ) เราต้องใช้เวลารอกันอีกพักใหญ่ กว่าจะ
รับกุญแจรถมาขับกัน เราต้องไปยืนเข้าคิวเพื่อจองและรับรถ ทีมงานของทาง
Mercedes-Benz ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียน เมื่อเราเลือกรุ่นที่
ต้องการได้แล้ว ก้ามีรถว่าง เราก็จองคิวแล้วรอรับกุญแจได้ แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ต้อง
เปลี่ยนเป็นรุ่นอื่นแทน

คณะของเราเลือกรุ่น GLC 250 d 4 MATIC ด้วยเหตุที่เราดูกันแล้วว่า รุ่นนี้ละ
ที่จะถูกสั่งเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน แบบ CBU มาจำหน่ายในบ้านเรา ช่วงแรก และ
ปริมาณของรถทดลองขับ ค่อนข้างเยอะพอสมควร

เมื่อรับกุญแจแล้ว เราต้องรับ โทรศัพท์ iPhone 6 มาอีกเครื่องหนึ่งด้วย เจ้าหน้าที่
เขาจะบันทึกข้อมูลการจองรถลงไป ในระบบ ชื่อของเราจะไปปรากฏบน iPhone
เมื่อจะออกรถ ต้องกดปุ่ม สีเขียว Start และเมื่อขับเสร็จ ต้องกดปุ่ม Stop นี่เป็น
วิธีในการดูแลและตรวจสอบในกรณีฉุกเฉินต่างๆ พอลงจากรถ ให้ทิ้

GLC ทั้ง 30 คัน ก็จอดเรียงรายรอพร้อมให้เราได้ทดลองขับกัน ในลานจอดรถ
จุดที่ไกลสุดของสนามบิน เดินไกลกว่าไปรับรถเช่าในลานจอดเดียวกันเสียอีก

รับรถได้ปุ๊บ ถ่ายรูปพอเป็นพิธี เราก็เริ่มเดินทางออกจากสนามบิน EuroAirport
เมือง Basel ไปยังจุดหมายแรก ที่เมือง Ettenheim  ขับรถกันราวๆ 111 กิโลเมตร
หรือ 1 ชั่วโมง 52 นาที ผ่านเมืองต่างๆ ผ่านแม้กระทั่ง โรงงานผลิตรถยนต์ของ
กลุ่ม PSA Peugeot Citroen (ตามในภาพข้างบน) เราจะมาถึง ไร่องุ่น Weber….

Weingut Weber หรือ Weber Winery แห่ง Kaisersthul ถือเป็นไร่ขนาดใหญ่
มีภัตตาคาร รวมทั้งการจัดให้ผู้เข้าชม สามารถเก็บองุ่น หรือจะชิมไวน์ ก็ได้ครบ
ตามอัธยาศัย

เวลาเปิดทำการของ Weingut Weber มี 2 ช่วง คือ 11:30 am – 2:00 pm
(เที่ยงถึงบ่าย 2 โมง) และ 6:00 pm – 11:30 pm (6 โมงเย็น – 5 ทุ่มครึ่ง)
หยุดวันจันทร์ และอังคาร

รายละเอียดต่างๆ อยู่ในเว็บไซต์ http://www.weingut-weber.com/
แต่คุณจำเป็นต้องอ่านภาษาเยอรมันให้ออกนะครับ เพราะเว็บของพวกเขา
ไม่มีภาษาอังกฤษเลย! (-_-‘)

เราใช้เวลาที่นี่ ไปกับการรับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งสามารถเลือกสั่งได้จาก
4 เมนูที่ทาง Mercedes-Benz สั่งให้ทางร้าน ทำออกมาเป็นแบบพร้อมเสริฟ
ได้แทบจะในช่วงเวลาเพียง 5 นาทีหลังรับออรเดอร์จากผู้เข้าร่วมงานทุกคน
เพื่อประหยัดเวลา สเต็กเนื้อที่นี่ ถือว่าใช้ได้ แต่ พาสต้าซอสเพรสโต ไม่เด่น

ถ้าไม่อยากกินมื้อเที่ยงก่อน เพราะรอนาน ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมลองขับ
GLC ใหม่ บนเส้นทาง Off-Road ซึ่งดัดแปลงพื้นที่เนินปลูกไวน์ ด้านหลัง
อาคารหลัก ให้ขับขึ้นและลงเนินสูงลาดชันบนพื้นผิวรูปแบบต่างๆ กันอย่าง
สนุกสนาน แอบเสียวพอประมาณ เพราะแต่ละทางขึ้น-ลงนั้น เกือบตั้งฉาก
กับพื้นโลกกันอยู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญของ Mercedes-Benz จะนั่งประกบและ
อธิบายการใช้โปรแกรมสำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ตลอดทาง

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_05_Trip_Basel_EDIT

จากนั้น เราก็สลับคนขับ คราวนี้เป็น พี่ปลิ้น ภาคภูมิ วรรณแสง จากนิตยสาร
BBC Top Gear Thailand ซึ่งเป็นพี่ชายที่ผมเคารพรักมากอีกคนในวงการนี้
คณะของเราออกเดินทาง เข้าฝรั่งเศส โดยไม่ต้องผ่านด่านข้ามแดนใดๆทั้งสิ้น
เพียงขับรถไปตามเส้นทางที่ระบบแผนที่ GPS จะพาไป เลี้ยวซ้าย ข้ามช่องทาง
สำหรับปรับระดับน้ำ ให้เรือบรรทุกสินค้า แล่นผ่านได้ ซึ่งเป็นพื้นที่สุดชายแดน
สวิตเซอร์แลนด์ เราก็จะข้ามเข้ามายังเขตประเทศฝรั่งเศส ได้ทันที โดยไม่ต้อง
ทำพิธีผ่านแดนใดๆ ทั้งสิ้น แค่ขับรถข้ามผ่านเข้าไปเลย!

ตลอด 2 ข้างทางที่เราเดินทางมา ผมได้เรียนรู้ว่า ชาวสวิส และฝรั่งเศส ในเขต
ชานเมือง ต่างจังหวัด หรือชายแดน มีระเบียบวินัย ในการขับรถค่อนข้างดีมาก
ในสวิสนั้น ผู้คนจะให้ความสำคัญกับคนเดินถนน มากกว่าพาหนะ หมายความว่า
ต่อให้คุณขับรถมาเร็ว หรือขี่จักรยาน แม้กระทั่งคนขับรถราง Tram ส่วนใหญ่จะ
จอดให้คนเดินข้ามถนนก่อน

ปั้มน้ำมันที่ผมเจอบ่อยสุด คือ Esso ซึ่งคงเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเส้นทางที่เรา
ต้องขับผ่านนั้น จะมี Esso กับ Total และปั้มน้ำมันท้องถิ่นซึ่งผมไม่เคยเห็นยี่ห้อ
มาก่อน ส่วนโชว์รูมรถยนต์ที่เห็นบ่อยสุด ถี่ยิบสุด คือ Renault แน่ละครับ เจ้าถิ่น
เขาครองตลาดเป็นอันดับ 1 ในฝรั่งเศสนี่นา ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่า รถยนต์ที่
ผมพบเห็นมากสุดในทริปนี้ คือ Renault Clio 5 ประตู รุ่นล่าสุด สีแดงไวน์ เห็น
เยอะชนิดถี่ยิบ เป็นสิบๆ คันในทริปเดียว!

สำหรับการจำกัดความเร็วในสวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส จะเหมือนๆกัน คือถ้า
อยู่ในเมือง จะขับรถได้เร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนถนนสายรอง เชื่อม
ระหว่างเมืองเล็กๆในต่างจังหวัด ไม่เกิน 70 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่
บนทางด่วน จะเหยียบได้ไม่เกิน 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งผมว่า เป็นความเร็ว
ที่เหมาะสมมากๆ สำหรับการขับรถในประเทศไทย ด้วยเช่นเดียวกัน ถึงเวลาที่
ประเทศไทย จะทบทวนและปรับปรุง กฎหมายการจำกัดความเร็วกันได้หรือยัง?

เราก็เดินทางต่ออีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง รวมระยะทางประมาณ 56 กิโลเมตร ก็จะ
มาถึงเมือง Strabourg ลัดเลาะไปตามใจกลางเมือง นิดเดียว เราก็จะเดินทาง
ถึงจุดหมายอันเป็น โรงแรมที่พักในคืนที่ 2 ชื่อ Les Haras Hotel

โรงแรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมือง Strasbourg เดิมเป็น โรงเลี้ยงม้าเก่า ของฝรั่งเศส
ถูกเจ้าของใหม่ นำมาปรับปรุง และเพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน 2013
มาหมาดๆนี่เอง! จุดเด่นอยู่ที่ การนำพื้นที่ลานเลี้ยงม้าตรงกลาง เป็นทางฝุ่น มา
ใช้เป็นลานจัดกิจกรรมต่างๆได้ อย่างอิสระ ภัตตาคารของพวกเขา Brasserie
Les Haras รองรับแขกได้ถึง 120 ที่นั่ง (รวม Terrace ด้านนอก) ใช้ทั้งเป็น
สถานที่รับประทานอาหารมื้อค่ำ และมื้อเช้า ของคณะเราในทริปนี้

 

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_06_Back_to_Basel

23 กรกฎาคม 2015

รุ่งสางมาเยือน ผมตื่นนอนราวๆ ตี 4 ครึ่ง มานั่งทำงานต่อ เพราะทนกับสภาพ
กึ่งหลับกึ่งตื่นของตนเองไม่ไหวอีกต่อไป ท้องเสียต่อเนื่องจากเมื่อคืนอีกครั้ง
ทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ แพ็คกระเป๋า แล้วลงมายังพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรม
Le Haras ตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะได้พบว่า ทางทีมจัดงาน นำฝูง GLC ทั้ง 30 คัน
เข้ามาจอดเรียงราย ต้อนรับเราพร้อมมื้อเช้าตามมาตรฐานของยุโรป แน่นอน
ไส้กรอกแบบฝรั่ง เบคอน แฮม ชีส ขนมปัง โยเกิร์ต เนย หรือพวกสลัดต่างๆ
อยากกินไข่ดาวแบบไหน หรือ ไข่เจียวฝรั่ง (Omelette) แบบใด สั่งบริกรไป
ได้เลย เดี๋ยวก็มาเสริฟให้ถึงที่ เป็นมื้อเช้าแบบบุฟเฟต์ ตามปกติที่แอบต้องลุ้น
เรื่องเวลากันพอสมควร

คณะของเราออกจากโรงแรม เมื่อ 8.30 น. ย้อนกลับไปขึ้นทางด่วน A35 ก่อน
จะออกมาขึ้นสะพานเชื่อมเข้าทางหลวง ขับผ่านไปตามหมู่บ้านต่างๆ 3 แห่ง
ที่เรียงรายอยู่ 2 ข้างทาง และตั้งอยู่ห่างกันไปไม่ไกลมากนัก แถมยังลัดเลาะขึ้น
ไปตามเส้นทางแนวทิวเขา ที่ให้บรรยากาศในการขับรถไปตามเส้นทางคดเคี้ยว
แทบไม่ต่างจาก ถนนช่วง สะเมิง ทางภาคเหนือของเมืองไทย ไม่ผิดเพี้ยน!

พอพ้นจากเขตป่าเขาแล้ว เรามาเจอเมืองเล็กๆ อย่าง Gunsbach ก่อนจะมาถึง
จุดพักรถสุดท้ายตามกำหนดการ นั่นคือ La Maison Du Fromage ซึ่งแปลเป็น
ภาษาอังกฤษว่า Chesse House (บ้านแห่งชีส)  23 Route de Munster 68140
Gunsbach ประเทศฝรั่งเศส อยู่สุดเขตเมืองพอดีเป๊ะ

La Maison du Fromage ตั้งอยู่กลางหุบเขาเล็กๆ ของเมือง Munster ที่ได้ชื่อ
ว่าเป็นเมืองแห่งการทำ ชีส ของฝรั่งเศส ที่นี่ มีทั้งภัตตาคาร และพิพิธภัณฑ์
เกี่ยวกับชีส ของเมือง Munster มีบรรยากาศเหมาะแก่การผ่อนคลายอิริยาบถ
ก่อนการเดินทางไกล ถ้าใครอยากเข้าชมกรรมวิธีการผลิตชีส ก็มีบริการให้
โดยเสียค่าเข้าชม 7.80 ยูโร (ผู้ใหญ่) เด็กต่ำกว่า 6 ขวบ เข้าฟรี รายละเอียด
เพิ่มเติม คลิกได้ที่ www.maisondufromage-munster.com

10.45 น. เราออกเดินทางจาก La Maison du Fomage ย้อนทางเก่าเล็กน้อย
จนถึงสามแยก กลางเมือง Gunsbach เลี้ยวขวา มุ่งหน้าลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน
ต่างๆ อีก 2 แห่ง ก่อนจะกลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข A35 เพื่อเดินทางกลับไป
ยังสนามบิน EuroAirport ที่เมือง Basel คืนรถ กุญแจ และโทรศัพท์ iPhone 6
กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินไป Check-in เที่ยวบืน Lufthansa LH 1205 มาลงที่
สนามบิน Frankfurt อันแสนจะวุ่นวายมากมาย ก่อนจะต่อเครื่อง Lufthansa
LH 772 Bussiness Class ใช้เวลา 10 ชั่วโมง กลับมายังสนามบินสุวรรณภูมิ
ตอน 10 โมงเช้า วันที่ 24 กีรกฎาคม 2015 เป็นอันจบทริป

ทั้งหมดนั้น ก็คงเป็นบันทึกการเดินทางที่ผ่านมา ในทริปนี้ อย่าเพิ่ง
ใจร้อนเงื้อปาก เตรียมจะด่าผมว่า
อะไรวะ! อ่านมาตั้งครึ่งเรื่อง ยัง
ไม่เห็นพูดถึงเรื่อง GLC ใหม่เลย…?

สังเกตไหมครับว่า ทำไมคราวนี้ เรื่องเล่า ของเมืองที่เดินทางไปเยือน
มันช่าง น้อยมากๆๆๆๆๆๆๆ เมื่อเทียบกับรีวิวปกติก่อนหน้านี้

ก็เพราะผมอยากมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวเกี่ยวกับ SUV รุ่นใหม่ทั้งหมด…
ซึ่งจะเริ่มขึ้น ข้างล่างนี้ เป็นต้นไปไงละ!!

————————————

ก่อนอ่านรีวิวนี้ต่อ คงต้องขอแจ้งให้ทราบว่า

1. ภาพถ่ายรถยนต์ บางส่วน ข้างล่างนี้ เป็นฝีมือของทั้งผม และของ
ช่างภาพซึ่งทาง Mercedes-Benz จ้างมาถ่าย
และจัดเตรียมไว้ให้
สื่อมวลชนทุกคน ที่เข้าร่วมงานนี้ (ใช้เพียง 3-4 รูป)  รวมทั้งพี่ฉ่าง
อาคม รวมสุวรรณ
จาก เว็บไซต์ Thairath Online (ขอขอบพระคุณ
มา ณ ที่นี้ ครับ)

2. บทความนี้ เป็นแค่ First Impression ของรถยนต์พวงมาลัยซ้าย
ซึ่งจำหน่ายในยุโรป ดังนั้น รายละเอียดของอุปกรณ์
อาจแตกต่างจาก
เวอร์ชันไทย ในวันเปิดตัว ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ สิ่งที่พอจะอ้างอิงกันได้คือ

ตัวเลขสมรรถนะ สัมผัสจากการขับขี่ และการทำงานของระบบต่างๆ

ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เลื่อนเมาส์ลงไปอ่านต่อข้างล่างนี้ได้เลย!

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_07_Exterior_EDIT

Mercedes-Benz GLC มีรหัสรุ่น X205 ถือเป็น รถยนต์นั่งตรวจการ ในกลุ่ม
Premium Compact Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุด ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำตลาด
แทน Mercedes-Benz GLK (ย่อจาก Gelandewagen Luxus Kompaktklasse)
ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ C-Class W204 และเปิดตัวมาตั้งแต่งาน Beijing
Auto Show 2008 ในตอนนั้น ด้วยความกลัวๆกล้าๆ กับตลาด SUV ขนาดเล็ก
ทำให้ Daimler AG เลือกที่จะทำตลาด GLK เฉพาะประเทศที่ขับรถยนต์ด้วย
พวงมาลัยซ้าย เท่านั้น มาโดยตลอด ซึ่งก็ได้แก่ ยุโรป อเมริกาเหนือ และจีน

วันนี้ สถานการณ์ตลาดรถยนต์ทั่วโลก เปลี่ยนแปลงไป ความนิยมของรถยนต์
Premium Crossover SUV ยังคงโตไม่หยุดหย่อน ทำให้ Daimler AG ยอมจะ
เปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ GLK และเปลี่ยนชื่อจากเดิม มาเป็นชื่อ GLC เพื่อให้โลก
รับรู้โดยทั่วกันว่า นี่คือ รถยนต์ที่สร้างขึ้นจากพื้นตัวถังของ C-Class W205 ใหม่
นั่นเอง โดยยังคงรักษาชื่อ GL อันเป็นชื่อ ของรถยนต์ตรวจการขนาดใหญ่ระดับ
หรูหรา รุ่น GL-Class เอาไว้พร้อมๆกัน

GLC เผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2015 ที่ผ่านมา
และมีกำหนดเริ่มทำตลาดในยุโรป เดือนกันยายนนี้ ก่อนจะทะยอยเปิดตัวไปยัง
ประเทศต่างๆ ตามลำดับต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้พวกเขาเลือกจะทำเวอร์ชันพวงมาลัยขวา ออกมาเอาใจ
กลุ่มลูกค้า 17 ประเทศในโลก กันเสียที หลังจากรีรอมาช้านาน และนั่นก็เป็น
เหตุผลที่ทำให้ สื่อมวลชนชาวไทย ทั้ง 10 คน เราได้เป็นคนกลุ่มแรกๆในโลก
ที่มีโอกาสทดลองขับ GLC ใหม่ ก่อนใครเพื่อน

GLC ใหม่ มีตัวถังยาว 4,656 มิลลิเมตร ความกว้าง (ไม่รวมกระจกมองข้าง) อยู่ที่
1,890 มิลลิเมตร (หากรวมกระจกมองข้างแล้ว ตัวรถจะกว้างถึง 2,096 มิลลิเมตร)
ความสูง 1,639 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,873 มิลลิเมตร ช่วงล้อคู่หน้ากว้าง 1,621
มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,617 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก เป็นการนำแนวทางการออกแบบล่าสุดของ Mercedes-Benz
ที่เคยปรากฎโฉมไปแล้ว ตั้แต่ S-Class ใหม่ Saloon & Coupe รวมทั้ง C-Class
W205 ใหม่ และ A-Class มาปรับประยุกต์ให้ลงตัวกับสัดส่วนของ รถยนต์แบบ
SUV ขนาด Compact แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้ว ต้องสวยสง่า ไม่น้อยหน้า
คู่แข่งในตลาด ทั้ง BMW X3 , Volvo XC60 , Lexus NX , Porsche Macan ฯลฯ

สารภาพตามตรงว่า บั้นท้ายของ GLC แอบชวนให้ผมนึกถึง Macan อยู่ไม่น้อย
เมื่อมองในระยะใกล้ๆ แต่พอมองเห็นบั้นท้ายของรถจากระยะไกลๆแล้ว ผม
กลับเผลอไผลไปนึกถึง Hyundai Santa Fe รุ่นปี 2007 ทุกทีสิเอ้า!

กระนั้น วิศวกรของ Daimler AG ก็ทุ่มเทให้กับการออกแบบ GLC อย่างมาก
โดยเฉพาะในด้านอากาศพลศาสตร์ ทำให้ GLC ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรง
เสียดทานอากาศ ที่ Cd. 0.31 ถือว่าต่ำสุดๆในบรรดา Premium Ccmpact SUV
แทบทุกคันในตลาดเลยก็ว่าได้

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_08_Interior_EDIT

ระบบกุญแจ ยังคงเป็นแบบมาตรฐานของ Mercedes-Benz ทุกคันในยุคนี้
คือใช้กุญแจพร้อมรีโมทคอนโทรล ฝังมาในตัวรีโมท สามารถสั่งปลดล็อก
และล็อกบานประตูทั้ง 4 พร้อมกัน หรือจะปรับตั้งให้ เลือกปลดล็อกเฉพาะ
บานประตูฝั่งคนขับในจังหวะแรกก่อนก็ได้ มีระบบเปลี่ยนรหัสทุกครั้งที่
ติดเครื่องยนต์เพื่อกันขโมย Immobilizer หน้าตาเหมือนกับกุญแจของ
Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ถ้าจะติดเครื่องยนต์
ต้องเสียบกุญแจไขเข้าไปหมุนในช่องเสียบกุญแจ  บริเวณคอพวงมาลัย
ฝั่งขวา แบบรถยนต์ปกติทั่วๆไป ไม่มีระบบ Push Start มาให้เลย กระนั้น
ยังมีระบบ Smart Entry มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง พร้อม
ระบบดึงมือจับแล้วเปิดประตูได้ทันที มาให้ครบถ้วน

การเข้า – ออกจาก รถนั้น ภาพรวมถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดีใช้ได้ ช่องทางเข้า
และออกจากรถ มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก GLK นิดหน่อย ตำแหน่งของเบาะนั่ง
ในระดับต่ำสุด สะดวกสำหรับการก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ Crossover SUV
ยกสูง ที่มีระยะห่างจากพื้นถนนถึงพื้นใต้ท้องรถอย่างเหมาะสม

เพียงแต่ว่า ตอนลงจากรถ อาจต้องทำใจ ระมัดระวังสักเล็กน้อย เพราะว่า
ไม่ได้มีการออกแบบชายล่างของประตู ให้คลุมทับชายล่างของตัวรถ จึง
มีโอกาสที่ขากางเกง หรือชายกระโปรง อาจเปรอะเปื้อนคราบ ฝุ่น โคลน
หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ระห่างเส้นทางที่ขับมา ในขณะก้าวเท้าลงจากรถได้
เป็นเช่นนี้ เหมือนกัน ทั้งช่องทางเข้า – ออก คู่หน้า หรือ หลัง

ภายในห้องโดยสาร ของรถทุกคันใน Fleet ที่เรานำมาทดลองขับนี้ ตกแต่ง
ด้วยอุปกรณ์ครบครัน มากันแบบจัดเต็มเป็นพิเศษ อัดสารพัดฟังก์ชันมาให้
ครบตามความต้องการของลูกค้า เพื่อแสดงให้ดูว่า ถ้าคุณจะสั่งซื้อ GLC
แบบติดตั้งออพชันมาเต็มพิกัด รถจะออกมาเป็นอย่างไร

นั่นหมายความว่า หากลงเรือมาถึงเมืองไทย เบาะนั่ง Designo ที่คุณเห็นนี้
มันจะไม่มีมาให้อย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่า คุณจะจ่ายเงินเพิ่ม สั่งซื้อกับ
Mercedes-Benz Thailand ซึ่งก็คงต้องไปคุยกันเอาเอง

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ที่บริเวณแผงประตูด้านข้าง
มาพร้อมหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า
รวมทั้ง ตำแหน่งพวงมาลัยปรับระดับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างด้วย
ไฟฟ้า รวม 3 ตำแหน่ง แถมด้วย สวิตช์ฮีตเตอร์อุ่นเบาะ และพัดลมช่วย
ทำความเย็นให้เบาะ รวมทั้ง สวิตช์ปรับตำแหน่งตัวดันหลัง ทั้งขึ้น – ลง
และดันขึ้นหน้า – ถอยหลัง อีกทั้งยังขยับปีกข้างของเบาะคู่หน้าได้อีก
ด้วย เรียกได้ว่า อัดแน่นมาครบถ้วนทั้ง 2 ฝั่ง

พนักพิงเบาะนั่ง ถือว่า กระชับ และสบาย มาในแนวกึ่ง Comfort กึ่ง Sport
ยังไม่ถึงขั้นสบายเท่า GLE (อดีต M-Class) แต่อยู่ในระดับที่ สบายเท่าๆ
กับ C-Class W205 ใหม่ หรืออาจจะมากกว่ากันนิดนึง เบาะรองนั่งมีขนาด
ยาวกำลังพอดี แต่ถ้ายังไม่สาแก่ใจ ก็สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง
ได้อีกนิดหน่อย ตามอัธยาศัย

พนักพิงศีรษะ เป็นแบบปรับระดับเลื่อนให้ดันกบาลมากน้อยแค่ไหนก็ได้
ตามความต้องการ แถมยังมีวัสดุฟองน้ำเสริมเข้าไปด้านในนิดหน่อย ทำให้
เกิดความแข็งที่กำลังเหมาะ แอบนุ่มเล็กๆ ดังนั้น คุณจึงไม่ได้เห็นผมบ่นใน
ประเด็นนี้ เหมือนใน A-Class และ CLA แน่ๆ

ตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตู และฝากล่องเก็บของข้างลำตัว ที่คั่นกลาง
ระหว่างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า จัดว่าอยู่ในระดับเหมาะสมกำลังดีแล้ว
วางข้อศอกได้กำลังสบาย วางแขนได้ยาวๆ

สิ่งที่ผมคิดว่า เป็นประเด็นซึ่งต้องทำใจกันไว้ล่วงหน้าก็คือ ด้วยขนาดของ
ชุดระบบขับเคลื่อน และเกียร์ ที่ใหญ่โตเอาเรื่อง ทำให้พื้นที่วางขาของทั้ง
คนขับและผู้โดยสารด้านซ้าย ถูกเบียดบังไปมาก ไม่แพ้ BMW X3 และ
3-Series รวมทั้ง C-Class ใหม่ เลยด้วยซ้ำ

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ
เชื่อมกับระบบป้องกัน ก่อนเกิดอุบัติเหตุอัตโนมัติ รอบคัน PRE SAFE เหมือน
Mercedes-Benz ทุกรุ่นในตอนนี้ สามารถปรับระดับ สูง -ต่ำ ได้

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_09_Interior_EDIT

ช่องทางเข้า – ออก ด้านหลัง ถึงจะยังต้องปรับปรุง เรื่องชายล่าง อย่างที่ได้
บอกไปก่อนหน้านี้ แต่ขนาดของช่องทางเข้า ทั้งความกว้างและสูง ออกแบบ
มาได้เหมาะสมกับขนาดของตัวรถ มากยิ่งขึ้น แถมยังใหญ่กว่า BMW X3
อย่างชัดเจน ทำให้ก้าวเข้า – ออกจากเบาะแถวหลังได้สะดวกขึ้นมาก

การขยายตัวรถให้กว้างขึ้นมากกว่า GLK เดิม ทำให้มีการขยายช่วงหัวไหล่
จากซ้าย จรดขวา (Shoulder Room) ให้กว้างขึ้น 28 มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน
ช่วงวางข้อศอก (Elbow Room) จากซ้าย จรดขวา ก็ยังถูกขยายเพิ่มขึ้นอีกถึง
35 มิลลิเมตร ไม่เพียงเท่านั้น พื้นที่วางขา (Knee Room) ยังเพิ่มขึ้นจากเดิม
อีก 36 มิลลิเมตร ขณะที่ระยะของหัวเข่า (Knee Clearance) เพื่อการก้าว
เข้า – ออกจากประตูคู่หลัง ยังเพิ่มขึ้นอีก 34 มิลลิเมตร

ทุกคันจะติดตั้ง ช่องปรับอากาศด้านหลัง พร้อมสวิตช์ Digital แยกสำหรับ
ผู้โดยสารแถว 2 เป็นพิเศษ เพื่อความสบายในการเดินทาง

เบาะนั่งด้านหลัง นั่งสบายกว่าที่คิดไว้พอสมควร พนักพิงหลัง มีฟองน้ำที่
ค่อนข้างแน่นกว่า Nissan X-Trail ซึ่งได้ชื่อว่า มีเบาะแถว 2 สบายที่สุดใน
กลุ่ม Compact SUV อย่างชัดเจน แต่ยังคงความนุ่มละมุนเอาไว้ ไม่แข็ง
จนน่ารำคาญอย่างเบาะของ X3 และ XC60

จุดเด่นอยู่ที่เบาะรองนั่ง ซึ่งให้ความนุ่มสบายกำลังดี แถมยังมีความยาวของ
ตัวเบาะกำลังเหมาะ ถ้าถามว่านุ่มแค่ไหน ลองนึกถึง เบาะแถว 2 ของ SUV
อย่าง Nissan X-Trail แต่มีความยาวเพิ่มออกไปอีกนิดนึง

พนักศีรษะ ถอดแยกและปรับระดับสูง – ต่ำได้ ทั้ง 3 ตำแหน่ง ซ้าย กลาง ขวา
บุฟองน้ำมาค่อนข้างแข็งหน่อยๆ ยังเหลือความนุ่มไว้ให้นิดนึง ไม่ดันศีรษะนัก

พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ตรงกลาง มีช่องใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง เป็นแบบ
ลิ้นชัก เลื่อนออกมา แล้วกางออกได้ แถมยังมีกล่องเก็บของแบบตื้น พร้อม
ฝาปิดมาให้เสร็จสรรพ เหมือน Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ วางแขนได้ระดับ
กำลังดี

ใจผมอยากจะยืนยันให้ตอนนี้เลยว่า เบาะนั่งแถว 2 ของ GLC กลายเป็นเบาะ
ที่นั่งสบายมากสุดในบรรดา Premium Compact Crossover SUV ที่มีจำหน่าย
ในบ้านเราไปโดยปริยาย รองลงมาคือ Lexus NX , BMW X3 (พนักพิงหลังแข็ง
แต่เบาะรองนั่ง นุ่มแน่นพอประมาณ) และ Volvo XC60 (เบาะหลังแข็งสุดในกลุ่ม)
แต่มันก็คงไม่ยุติธรรมนัก เพราะเบาะของรถคันที่ผมทดลองขับ ทุกคัน ใช้หนังเกรด
เยี่ยมสุดของ Mercedes-Benz อย่าง Designo ซึ่งมีพื้นผิว เนียนละเมียด ใกล้เคียง
กับเบาะหนังเกรดสูงของ Lexus

ดังนั้น ถ้าจะสรุปกันให้ชัดเจนกว่านี้ อาจต้องรอพบเวอร์ชันไทย ซึ่งจะหุ้มเบา
ด้วยหนังแบบมาตรฐาน คือ Artigo รวมทั้ง หนังเกรดดีขึ้นมาอีกหน่อย อย่าง
Nappa กันเสียก่อน ผมจึงจะยืนยันให้อีกทีว่า มันเป็นจริงอย่างที่ผมคิดไว้
หรือไม่?

ที่แน่ๆ พื้นที่วางขาของผู้โดยสารด้านหลัง กลายเป็นอีกจุดเด่นขึ้นมา ขนาด
คนตัวใหญ่อย่างผม ขึ้นไปนั่งแล้ว ไม่รู้สึกอัดอัดเลย แถมยังโปร่งสบายตาม
ขนาดของตัวรถที่ควรเป็นเสียด้วยซ้ำ นี่ถ้าเบาะหน้าเลื่อนขึ้นได้อีกนิดนึง ผม
อาจนั่งไขว่ห้างได้สบายๆเลยทีเดียว!

เบาะแถว 2 สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ที่ติดตั้งไว้ บริเวณสีข้างของ
ผู้โดยสารทั้ง 2 ฝั่ง ว่าง่ายๆก็คือ อยู่ที่ แถวๆ แผงปิดซุ้มล้อ ข้างประตูรถนั่นละ

เข็มขัดนิรภัยของเบาะแถว 2 เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบ ลดแรงปะทะ
และดึงกลับอัตโนมัติ เชื่อมกับระบบ PRE SAFE เช่นเดียวกัน ทั้ง 3 ตำแหน่ง

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_10_EDIT2

บานประตูห้องเก็บของด้านหลัง สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า มีสวิตช์
สั่งล็อก หรือตั้งระดับให้เปิดยกขึ้นสูงตามต้องการจากทั้งบานประตูและหน้าปัด

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย หากไม่พับเบาะ จะมีขนาด 550 ลิตร ตามมาตรฐาน
VDA เยอรมนี แต่พอพับเบาะแถวหลังจะมีขนาด 1,600 ลิตร (VDA) มีม่านปิด
สัมภาระด้านหลัง ถอดยกออกได้สะดวกเหมือนบรรดา Mercedes-Benz ทุกรุ่น
ที่มีบั้นท้ายแบบ Station Wagon/Estate

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_10

ส่วนรุ่น GLC 350e Plug-in Hybrid นั้น พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังจะลดลงมา
เหลือ 395 ลิตร (VDA)  (ในภาพ เป็นรุ่น Hybrid ที่ต้องยกพื้นสูงขึ้นนิดนึง)

เมื่อเทียบกับ GLK รุ่นเดิม จะพบว่า พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง กว้างขึ้นถึง
150 มิลลิเมตร และยาวขึ้นกว่าเดิม 40 มิลลิเมตร หรือเพิมขึ้นราวๆ 80 ลิตร
(ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี) ช่องทางเข้า – ออก ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก

ทุกรุ่น มีแผงปิดสัมภาระ ม้วนเก็บได้เอง มีช่องเก็บของขนาดเล็ก บริเวณผนัง
ด้านข้าง และมีจุดยึดสัมภาระตามตำแหน่งต่างๆ ให้ใช้งานได้ตามมาตรฐาน
ของรถยุโรปทั่วๆไป

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_11

แผงหน้าปัดยกชุดมาจาก C-Class กันแบบไม่ต้องคิดมาก แตกต่างกันแค่ ช่อง
เก็บของ Glove Compartment สำหรับใส่คู่มือ และเอกสารประจำรถ เพราะ
ใน C-Class ฝาปิดจะกินพื้นที่ขึ้นมาถึงแถบตกแต่งสีเงิน และช่องแอร์สำหรับ
ผู้โดยสาร แต่ GLC ฝาปิดจะมีขนาดเล็กกว่า อย่างชัดเจน นอกนั้น เหมือนกัน
ทั้งหมด! ทั้งชุดมาตรวัด ตำแหน่งคันเกียร์ที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา ซึ่งวิศวกรของ
Mercedes-Benz ยืนยันว่า จะไม่เปลี่ยนมันแน่ๆ เพราะคนยุโรป ไม่เห็นจะ
มีปัญหาเหือนคนไทยเลย (-_-) แม้แต่พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน หุ้มหนังอย่างดี
พร้อมสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และหน้าจอ MID คั่นกลางตรงชุดมาตรวัด
รวมทั้งชุดสวิตช์ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ บนแผงควบคุมกลาง ก็ยังเหมือนกันหมด

ตำแหน่งนั่งขับ ในรุ่นพวงมาลัยซ้าย เยื้องไปทางซ้ายชัดเจนพอสมควร เกิดจาก
ขนาดของอุโมงค์เกียร์ใหญ่โต จนต้องเคลื่อนตำแหน่งแป้นคันเร่งและแป้นเบรก
ให้ขยับมาทางซ้ายมืออีกสักหน่อย ในสไตล์เดียวกับ Audi Q5 และ BMW X3
ดังนั้น เดาได้เลยว่า เวอร์ชันไทย น่าจะมีตำแหน่งนั่งขับ เยื้องไปทางขวา เหมือน
คู่แข่งทั้ง 2 รุ่นอย่างแน่นอน

เวอร์ชันยุโรปที่เราทดลองขับ ตกแต่งภายในด้วยวัสดุชั้นดี ยกเว้นคอนโซล
กลาง ที่จะมีให้เลือกทั้งลายไม้ หรือ พลาสติกกัดลวดลายขึ้นรูป (อย่างในรูป)
พร้อมเครื่องเสียงขั้นดีจาก Burmester และหนังหุ้มเบาะแบบ Designo และ
มีหลังคา Panoramic Glass Roof พร้อมม่านบังแดด เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มาให้

แต่เวอร์ชันไทย จะติดตั้ง วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 แบบ MB
Audio 20 ประกอบด้วยหน้าจอ Infotainment High-resolution ขนาด 7 นิ้ว, ช่อง
เชื่อมต่อแบบ USB Port จำนวน 2 ช่อง, ช่องเชื่อมต่อแบบ SD Card 1 ช่อง, มี
ระบบแผนที่นำทาง Garmin MAP PILOT, ระบบเชื่อมต่อแบบ Bluetooth,
ระบบเชื่อมต่อ Media Interface กับ iPod และ iPhone มาให้จากโรงงาน

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_01

 ********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ช่วงแรกเริ่มออกสู่ตลาด Mercedes-Benz GLC สำหรับลูกค้าในเยอรมนี ยุโรป
จะมีขุมพลังให้เลือกทั้งแบบเบนซิน Turbo 1 รุ่น , Diesel Turbo 1 รุ่น รวมทั้ง
แบบ เบนซิน Plug-in Hybrid อีก 1 รุ่น รวมทั้งหมด 4 รุ่นย่อย บางเครื่องยนต์
ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะยกชุดมาจาก C-Class W205 รุ่นล่าสุดกันเลยนั่นละ

รายละเอียดเครื่องยนต์ ไล่ตามลำดับความแรง มีดังนี้

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_02_GLC220d

GLC 220 D  4 MATIC
วางขุมพลัง OM651 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,143 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
83 x 99 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีด Piezo-Electronics ผ่านราง
Common-Rail พ่วง Turbocharger และ Intercooler 170 แรงม้า (PS) ที่รอบตั้งแต่
3,000 – 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่
1,400 – 2,800 รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด
210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 129 – 143 กรัม / กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงเฉลี่ย 6.1 – 6.5 ลิตร  / 100 กิโลเมตร

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_03_GLC250d

GLC 250 D 4MATIC
วางขุมพลัง OM651 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,143 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
83 x 99 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีด Piezo-Electronics ผ่านราง
Common-Rail แบบ Direct-Injection พ่วง Turbocharger 2 Stage และ Intercooler
เช่นเดียวกับ GLC 220d แต่เพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 204 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด500 นิวตันเมตร (50.98 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 1,800  รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด
222 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 129 – 143 กรัม / กิโลเมตร  อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.0 – 5.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_04_GLC250

GLC 250  4MATIC
วางขุมพลัง M274 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
xx x xx มิลลิเมตร กำลังอัด 9.8 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พ่วง Turbocharger และ
Intercooler พละกำลังสูงสุด 211 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350
นิวตันเมตร (35.69 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 4,000  รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง  อยู่ที่ 7.3  วินาที ความเร็วสูงสุด
222 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 152 – 166 กรัม / กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง
การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง 6.5 – 7.1 ลิตร/ 100 กิโลเมตร

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_05_Plug_in_Hybrid

GLC 350 e 4MATIC Plug-in Hybrid (On Sales in EU : December 2015)
วางขุมพลัง M274 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1991 ซีซี พ่วง Turbocharger และ
Intercooler กำลังสูงสุด 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที   แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร
(35.69 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 4,000  รอบ/นาที  ยกชุดมาจาก GLS 250 นั่นละครับ

เชื่อมการทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ หรือ 116 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร พร้อมปลั๊กไฟ ติดตั้งที่มุมกันชนหลังฝั่งขวา มีฝาปิด

เมื่อคำนวนรวมตัวเลขของทั้ง 2 ระบบเข้าด้วยกัน จะได้กำลังสูงสุดถึง 320 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร  (57.10 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 4,000  รอบ/นาที สามารถ
ใช้งานในโหมดไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลสุดถึง 34 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด เฉพาะ
โหมดไฟฟ้า ได้ถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นขุมพลังชุดเดียวกันกับ C350 e Plug-in
Hybrid ที่เพิ่งเผยโฉมเมื่อ 12 มกราคม 2015 และเพิ่งออกสู่ตลาดเยอรมนี เมื่อวันที่
2 กุมภาพันธ์ 2015 นี่เอง

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง  0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด
235 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำสุดแค่ 60 กรัม / กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง ประหยัดมาก เพียง 2.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร เท่านั้น!!

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_06_Transmission_EDIT

ทั้ง 4 รุ่น จะถูกส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ซึ่งเป็น
เกียร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ Mercedes-Benz บอกว่า พวกเขาพัฒนาขึ้นเอง พร้อม
แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย มีอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1…………………………..5.50
เกียร์ 2…………………………..3.33
เกียร์ 3…………………………..2.31
เกียร์ 4…………………………..1.66
เกียร์ 5…………………………..1.21
เกียร์ 6…………………………..1.00
เกียร์ 7…………………………..0.86
เกียร์ 8…………………………..0.72
เกียร์ 9…………………………..0.60
เกียร์ถอยหลัง 1 …………….4.93
อัตราทดเฟืองท้าย…………..3.07
แต่ ในรุ่น GLC 250   4 MATIC  อัตราทดเฟืองท้ายจะต่างออกไปตัวเลขจะอยู่ที่ 3.27

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_07_Jimmy_Drive

GLC รุ่นที่เราทดลองขับกัน ในวันแรก และเป็นรุ่นที่คาดว่าจะถูกสั่งนำเข้ามาจำหน่าย
ในเมืองไทยคือ GLC 250 d 4MATIC  ส่วนอีกรุ่นที่ผมเลือกมาทดลองเพื่อเปรียบเทียบ
สมรรถนะในเบื้องต้นกันในวันที่ 2 คือ GLC 220d 4MATIC

ท่าที่ผมพอจะหาจังหวะจับเวลาได้ในช่วงสั้นๆ โดยมีผมเป็นคนขับ และจับเวลา ส่วน
ผู้โดยสารนั่งข้างๆกัน เป็นผู้ร่วมเดินทาง และสักขีพยานไปด้วยในตัว คือ พี่ปลิ้น จาก
นิตยสาร BBC Top Gear Thailand รวม 2 คน พร้อมสัมภาระส่วนตัว คนละประมาณ
ไม่เกิน 7 กิโลกรัม รวม ไม่เกิน 14 กิโลกรัม การทดลองนั้น เราปรับสวิตช์โปรแกรม
การขับขี่ ไปอยู่ที่ Mode C (Comfort)

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
GLC 250 d 4MATIC ทำได้ 9.70 วินาที
GLC 220 d 4MATIC ทำได้ 9.90 วินาที

อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
GLC 250 d 4MATIC ทำได้ 6.89 วินาที
GLC 220 d 4MATIC ทำได้ 7.77 วินาที
(แต่ถ้าเป็น โหมด Sport หรือ Sport+ จะเร็วขึ้นเป็น 6.84 วินาที)

GLC 250 d 4MATIC
ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องยนต์ อยู่ที่ 1,300 รอบ/นาที ที่เกียร์ 9
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องยนต์ อยู่ที่ 1,450 รอบ/นาที ที่เกียร์ 9

ดูจากตัวเลขแล้วอาจรู้สึกว่า ช่วงออกตัวจนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงอัตราเร่ง ไม่หวือหวา
แทบจะไม่มีแรงดึงกระชากหลังติดเบาะอะไรพรรค์นั้นให้ได้ตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ครับ คุณเข้าใจถูกแล้วละ เพราะ ทันทีที่คุณกดคันเร่งจมมิดแบบฉับพลันทันใด ตัวรถจะค่อยๆ
ไต่ความเร็วเพิ่มขึ้นไปอย่างเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันทรงพลังอะไรเลย จนกว่าคุณจะกด
นาฬิกาจับเวลานั่นละครับ ถึงได้รู้ว่า ช่วงเร่งแซง มีพละกำลังแอบซ่อนอยู่ตามสมควร

มาอีกแล้ว รถยนต์ ประเภท “เรื่อยๆ เอื่อยๆ ตอนขับ แต่พอจับเวลา ตัวเลขกลับดีกว่าที่คิด”
(แม้เพียงแค่นิดเดียวก็ตาม)

สำหรับการใช้งานทั่วไป อัตราเร่งเพียงเท่านี้ เพียงพอแล้ว สำหรับกลุ่มลูกค้าหลายๆคน
ที่เน้นความนุ่มสบายในการขับขี่เป็นหลัก แต่สำหรับลูกค้าเท้าหนัก บอกเลยว่า ยังไม่
ถึงขั้นสาแก่ใจ งานนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข เพราะมันพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มีเรี่ยวแรงใช้ได้
แต่แรงดึงต่างหาก ที่แทบไม่สร้างความกระชุ่มกระชวยใดๆ เกินไปกว่าความ “รื่นรมณ์”
ในการเดินทางไกลๆ

ใครที่อยากได้พละกำลังระดับโหดมหากาฬ ผมเชื่อว่า ควรจะรอเวอร์ชันแรงเป็นพิเศษ
อย่าง GLC 63 AMG ซึ่งน่าจะอยู่ในแผนและกำลังเตรียมการผลิตออกจำหน่าย ในช่วง
ปี 2016 มากกว่า

การเก็บเสียงทำได้ดี เงียบ สงบ สบาย เสียงรบกวนภายนอกจะไม่ก่อความรำคาญ
ให้กับคุณ จนกว่าเข็มความเร็วจะเริ่มไต่ขึ้นไปถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงจะเริ่ม
มีเสียงลมไหลผ่านตัวถัง เล็ดรอดเข้ามาบ้างนิดหน่อย

GLC ทั้ง 4 รุ่นย่อยที่เปิดตัวในชุดแรกนี้ ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 MATIC ที่มาพร้อม
ระบบตัวช่วยต่างๆ ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ระบบ
4ETS ระบบ ASR (Anti-Slip) single-speed transfer case in add-on configuration ชุดเพลา
กลาง Central differential with multiple-disc clutch โดยมีโปรแกรมการขับขี่ให้เลือกได้
ทั้งหมด 5 แบบ ดังนี้

– ECO สำหรับการขับขี่ในเมือง เน้นความประหยัดน้ำมัน โดยเครื่องปรับอากาศ
จะทำงานที่อุณหภูมิ 25 องศา และลิ้นคันเร่งจะเปิดเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าคุณจะเหยียบ
คันเร่งเท่าไหร่ก็ตาม

– Comfort สำหรับการขับขี่ทั่วไป ทั้งในเมือง หรือบนทางหลวง เน้นขับสบายๆ

– Sport ระบบจะปรับการทำงานของคันเร่งให้ไวขึ้น เกียร์จะถูกเปลี่ยนลงต่ำจากเดิม
มาทันที 1 ตำแหน่ง เพื่อช่วยให้เรียกแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้ไวขึ้นชัดเจน พวงมาลัย
ก็จะตอบสนองหนักแน่นขึ้น หนืดขึ้นในช่วงความเร็วสูง แต่ไวขึ้นในช่วงความเร็วต่ำ

– Sport + ปิดการทำงานของระบบ Auto Start Stop และจะปรับความแข็งของช่วงล่าง
เฉพาะในกรณีที่ลูกค้าเลือกรุ่นซึ่งใช้ช่วงล่างแบบ ถุงลม AIR BODY CONTROL

– Individual สำหรับใครที่เรื่องมาก ข้อจำกัดเยอะ อยากได้นั่น ไม่อยากได้นี่ มีโหมด
ดังกล่าวมาให้เลือกกันเอาเองตามอำเภอใจ

ส่วนโปรแกรมสำหรับการจัดการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 MATIC สามารถเลือกสั่ง
ติดตั้งเพิ่มเติมได้ ในรุ่น OFF-ROAD Package โดยจะมีมาให้ทั้งหมด4 รูปแบบ
ดังนี้

– Slippery  Off-road ช่วยปรับแรงบิดให้สมดุล ขณะการขับขี่บนทางทราย ทางลื่นๆ
– Incline ช่วยขับบนพื้นที่ทางลาดหรือทางชัน
– Rocking Assist ที่ทำงานร่วมกับ AIR BODY CONTROL ช่วยยกตัวถังสูงขึ้นอีก
50 มิลลิเมตร เพื่อช่วยยกพื้นตัวรถให้สูงขึ้น ง่ายต่อการนำรถขับผ่านอุปสรรคต่างๆ
–  Trailer ซึ่งโปรแกรมออกแบบสำหรับใช้ในการ ลากจูง

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_08_4MATIC

พวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า แถมยังปรับระดับ
สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของคอพวงมาลัย
ยังคงให้การตอบสนองที่ลูกค้าของ Mercedes-Benz คาดหวัง คือ เบาสบายกำลังดี
ในช่วงความเร็วต่ำ ขืนมือเพียงนิดเดียวเท่านั้น ช่วยให้บังคับเลี้ยวไปตามถนนในเขต
ตัวเมือง ได้ดี เพิ่มความคล่องแคล่วขึ้นอีกพอสมควร ขณะเดียวกัน การขับขี่ทางไกล
ยังคงนิ่ง ไว้ใจได้ แม้จะใช้ความเร็วถึง 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง พวงมาลัยก็ยังนิ่ง ไม่มี
อาการไหวไปมาใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องแต่งพวงมาลัยซ้ายๆขวาๆ ถือไปตรงๆได้เลย
ยิ่งเมื่อเจอทางโค้ง ผมสามารถพา GLC ลัดเลาะไปตามโค้งได้อย่างไม่เครียด แถม
ยังแอบสนุกนิดๆ เสียด้วยซ้ำ พวงมาลัยที่เซ็ตมาแบบนี้ ยินยันครับว่า “ไม่ต้องแก้”
ดีแล้ว เอาแบบนี้ละ!

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ 4-Link พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพแบบ Twin-tube
gas-filled พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบ selective damping system ด้านหลังเป็น
แบบ 5-Link พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพ gas-tube พร้อมเหล็กกันโคลง

สำหรับลูกค้าในยุโรป ที่เบื่อสปริงเดิมๆ ก็สามารถสั่งติดตั้งช่วงล่างแบบถุงลม ในชื่อ
AIR BODY CONTROL (Air-Suspension) พร้อมระบบปรับระดับสูง – ต่ำอัตโนมัติ
Automatic level Control) ระบบ continuously variable damper system และระบบ
ป้องกันการพลิกคว่ำ ติดตั้งเพิ่มเติมได้

ช่วงล่าง มาในสไตล์นุ่มนวล ไม่ว่าคุณจะเลือกช่วงล่างแบบสปริง หรือ Air-Sus ก็ตาม
การขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำ มาในแนวนุ่มนวล แต่อาจมีอาการตึงตังเวลาเจอพื้นผิว
ถนนที่ไม่เรียบอยู่บ้าง นั่นมาจากการใช้ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด
235/45R20 ของ Pirelli รุ่น Scorpian (ทั้งที่ยางติดรถมาตรฐานจากโรงงาน จะเป็น
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สวมยาง 235/65 R 17) แก้มยางที่บาง ต้องรับแรงสะเทือนขึ้นไป
ยังตัวรถมากขึ้นนิดหน่อย แต่ภาพรวมยังถือว่าอยู่ในโทน นุ่มนวล

กระนั้น การขับขี่ทางไกล GLC ใหม่ยังคงให้ความนิ่ง มั่นใจได้อย่างสบายๆ แทบ
ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ใช้ความเร็วสูงๆ ตัวรถก็ยังค่อนข้างนิ่ง อาจมีอาการ
แกว่งนิดๆ จากลมปะทะด้านข้างให้สัมผัส แต่อาการดังกล่าว เกิดขึ้นน้อยมากๆจน
ผู้โดยสารแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่ผมชื่นชอบมากสุดคือ ช่วงลัดเลาะไปตามทางโค้งไหล่เขาอันคดเคี้ยว ที่ชวน
ให้นึกถามว่า ตกลงนี่เราขับรถอยู่ที่ ฝรั่งเศส หรือ สะเมิง กันแน่ พูดได้เต็มปาก
เลยว่า GLC ใหม่ แอบให้ความคล่องแคล่วในการบังคับควบคุม ขณะขับเข้าโค้ง
ต่อเนื่องได้ดีเกินคาด ทั้งที่ตัวรถ ก็กว้างและใหญ่ขนาดนี้ กลับคล่องแคล่วได้พอดี
ในระดับๆที่ ไม่น้อยหน้า SUV คันเล็กกว่า จากฝั่งญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรก แบบมีรระบายความร้อน ครบทั้ง 4 ล้อ ใช้เบรกมือ
แบบไฟฟ้า พร้อมโหมด HOLD ติดตั้งอยู่ที่ แผงควบคุมคอนโซลกลาง เสริมตัวช่วย
มาตรฐานของ Mercedes-Benz มากมาย ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock
Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution)
ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรก BAS (Brake Assist PLUS ) ทั้งหมดนี้ อยู่ในระบบควบคุม
การทรงตัวและเสถียรภาพ ESP แถมยังมี ระบบช่วยขณะขับขี่ผ่านกระแสลมปะทะ
ด้านข้าง Crosswind Assist ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist ระบบ
ช่วยขับขี่ลงเนินลาดชัน HDC (Hill Descent Control)

ไม่เพียงเท่านั้น GLC ใหม่ ยังติดตั้งสารพัดตัวช่วยด้านความปลอดภัยมากมายก่ายกอง
อาทิ  ระบบป้องกันการชนฉุกเฉิน COLLISION  PREVENTION ASSIST PLUS,
ระบบไฟหน้าแบบ Headlamp Assist  และระบบ ATTENTION ASSIST

สำหรับระบบช่วยเหลือความปลอดภัยอื่น ๆ มีทั้ง DISTRONIC PLUS พร้อม Steering
Assist และ Stop&Go Pilot, ระบบไฟฉุกเฉินกรพริบทันทีที่เบรกกระทันหัน ESS พร้อม
ระบบตรวจจับคนเดินถนน pedestrian detection พร้อมระบบเตือนคน วัตถุ หรือรถยนต์
แล่นผ่านด้านหลัง ขณะกำลังถอยหลัง Cross-Traffic Assist ระบบเตือนรถยนต์ที่แล่นมา
ด้านข้าง ผ่านสัญญาณไฟกระพริบบนกระจกมองข้าง Active Blind Spot Assist ระบบ
ช่วยเตือนผู้ขับขี่ ขณะกำลังเบี่ยงเบนจากเลนถนน Active Lane Keeping Assist และ
ระบบตรึงเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ ทุกตำแหน่ง พร้อมสั่งถุงลมนิรภัยเตรียมพร้อมก่อน
การชน PRE-SAFE  PLUS

บอกได้เลยว่า ลักษณะการตอบสนองของแป้นเบรกที่นุ่มละมุนเท้าขวา ระยะแป้นเบรกที่
ยาวกำลังเหมาะ ต้องการแค่ไหน เบรกได้อย่างมั่นใจ ในแทบจะทุกสถานการณ์ ของทั้ง
C-Class W205 และ E-Class W212 นั้น ยังคงตามมาสร้างความประทับใจให้คุณ ใน
GLC ใหม่ ครบถ้วน เหมือนเช่นเดิม

ช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานๆในเมือง แค่แตะลงบนแป้นเบรกเบาๆ ไม่ต้องแรงมากนัก
ตัวรถจะถูกหน่วงความเร็วลงมา อย่างเหมาะสม ตามน้ำหนักเท้าขวาที่กดลงไป แต่ถ้าคุณ
เหยียบลงไปอย่างฉับพลัน รถจะเบรกหน้าทิ่มทันที ไฟฉุกเฉิน ESS จะติดสว่างขึ้นมา
เพื่อเตือนรถคันข้างหลังว่า คุณเบรกกระทันหันแล้ว จงกระทืบเบรกตามด้วย ก่อนจะชน
วินาศสันตะโร โดยไม่จำเป็น

ในช่วงความเร็วเดินทาง แป้นเบรกจะละมุนเท้า เหมือนคุณเหยียบลงไปบนแป้นลม
หน่วงชะลอรถลงมาจากช่วงความเร็ว 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือ 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ได้อย่างมั่นใจตามสั่ง

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_09

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
C-Class ยกสูง หรูกำลังดี แรงไม่หวือหวา แต่มั่นใจว่า เศรษฐีไทยน่าจะชอบ!

สัมผัสแรกที่ผมได้รับจาก Mercedes-Benz GLC มันไม่ผิดเพี้ยนไปจากการ
คาดหมายโดยส่วนตัวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ในเมื่อ มันถุกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน
ของ C-Class W205 รุ่นปัจจุบัน ดังนั้น บุคลิกของตัวรถก็จะมาในลักษณะที่
คล้ายคลึงกับ การจับคู่กันของ รถเก๋ง กับ Crossover SUV ตระกูลเดียวกัน
อาทิ Cvic กับ CR-V , Sylphy/Pulsar กับ X-Trail , Mazda 3 กับ CX-5
ซึ่งไม่ว่า แคแรคเตอร์ของรถเก๋งพื้นฐานจะเซ็ตมาเป็นอย่างไร บรรดา SUV ที่
คลอดออกมาบนพื้นฐานร่วมกัน จะมีบุคลิกบางอย่างคล้ายกัน แต่เพิ่มน้ำหนัก
มากขึ้น จนทำให้ตัวรถแอบ “อวบอั๋น” เพิ่มขึ้นนิดๆ

เหมือนคุณกำลังมีรูปร่างผอมเพรียว น้ำหนักราวๆ 55 กิโลกรัม แต่เผลอปล่อยตัว
ปล่อยใจ ไปกับเหล่าขนมหวานต่างๆ เช่น มาการอง หรือ Shibuya Honey Toast
ติดกันสัก 3 สัปดาห์ จนน้ำหนักตัวพุ่งขึ้นเป็น 62 กิโลกรัม กางเกงหรือกระโปรง เริ่ม
ใส่ไม่ได้ละ เอว จาก 25 ก็พุ่งขึ้นเป็น 29 – 30 นิ้ว  นั่นละครับ คุณจะรู้สึกได้เลยว่า
การเคลื่อนไหวแต่ละที แอบอุ้ยอ้ายนิดๆ แม้จะไม่มากก็เถอะ แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้น
คล่องตัวเหมือนก่อนไปเสียทีเดียว

ถ้าเปรียบ C-Class กับ GLC มันก็เป็นไปประมาณนี้ละครับ เป็นธรรมดาที่ว่า เมื่อ
ตัวรถใหญ่ขึ้น ใส่อุปกรณ์ต่างๆประโคมอัดแน่นเข้าไปมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 MATIC เข้าไป ย่อมมีผลให้ตัวรถหนักขึ้นและ
ลดทอนความคล่องตัวจากเดิมที่คุณเคยพบได้ใน C-Class ใหม่ ลงไปนิดหน่อย

ถึงกระนั้น ด้วยงานออกแบบภายนอก และภายใน ที่ยกเอาแนวเส้นของ C-Class
มาปรับประยุกต์ใช้ รวมทั้งบุคลิกการขับขี่ ที่เน้นแนวนุ่มนวล ซับแรงสะเทือนได้ดี
ตามราคา ตอนเข้าโค้ง เหมือนจะย้วย แต่เกาะนิ่งอยู่หมัด แถมพวงมาลัยเพาเวอร์
ไฟฟ้า ยังเบาสบายกำลังดี ในความเร็วต่ำ และนิ่งมั่นใจได้ แม้จะใช้ความเร็วสูงถึง
180 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งระบบเบรกก็ยังเป็นเลิศ

ทั้งหมดนี้ ผมเชื่อว่า น่าจะโดนใจกลุ่มลูกค้าชาวไทย โดยเฉพาะ บรรดาเศรษฐีนี
เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ที่อยากได้ SUV คันกำลังดีไว้ขับไปทำงาน ที่ออฟฟิศ
บางวันก็ออกไปดูไร่ของตนเอง แถวๆ สระบุรี แล้วขับพาลูกไปเที่ยว พักผ่อนใน
รีสอร์ตหรู ที่บุพการี ซื้อไว้แถวเขาใหญ่

ถ้าให้เทียบกับคู่แข่งอย่าง BMW X3 xDrive 20d และ Volvo XC60 D4 D5 หรือ
D อะไรก็ตามแต่ บอกได้เลยว่า โดยส่วนตัว พวงมาลัยของ Volvo จะถูกจริตผม
มากที่สุด คือ หนืดและหนักกว่าเพื่อนเขา นิดหน่อย ขณะที่ X3 กับ GLC สูสีกันใน
ประเด็นนี้ แต่ X3 แอบไวไปหน่อย GLC ทำได้ดีกว่า กระนั้น อย่าประมาทกับความ
ประหยัดน้ำมันของ X3 ที่ทำผลงานได้สวยหรูกว่าใครเพื่อน นอกนั้น ความสดใหม่
ของ GLC เอาชนะคุณงามความดีดั้งเดิมของทั้ง X3 และ XC60 ไปได้หลายเรื่อง
โดยเฉพาะ ความสบายขณะโดยสารบนเบาะแถว 2 ที่ดีเด่นเด้งกว่าอย่างชัดเจน

Mercedes-Benz GLC มีกำหนด ออกสู่ตลาดยุโรป อย่างเป็นทางการ ในช่วงเดือน
กันยายน 2015 นี้ ส่วนรุ่น GLC 350 e Plug-in Hybrid จะตามออกมาในช่วงปลาย
เดือนธันวาคม 2015

สำหรับประเทศไทย Mercedes-Benz (Thailand) กำลังเตรียมการสั่งนำเข้า GLC
มาเปิดตลาดในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด ภายในช่วง ปลายปี 2015 นี้ พร้อมกันกับ
ตลาดยุโรป โดยจะประเดิมด้วยรุ่น GLC 250 d 4 MATIC ในรูปแบบของรถยนต์
นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU – Complete Built Unit) กันก่อน ราคาคาดว่าจะอยู่ที่
3,000,000 บาท บวก-ลบ โดยประมาณ จากนั้น ในปี 2016 รุ่นประกอบในประเทศ
ก็จะคลานตามออกมา

ถ้ารอได้ ก็อยากให้รอครับ แต่ถ้าคิดว่ารอไม่ไหว ไว้รอให้ GLC เปิดตัวในบ้านเรา
กันเสียก่อน ค่อยไปลองขับ แล้วตัดสินใจกันเองอีกที

แต่ถ้าใครที่อยากรู้สมรรถนะโดยละเอียดๆ ว่าเป็นอย่างไร ก็คงต้องรออ่านในบทความ
Full Review ซึ่งคาดการณ์ไว้เบื้องต้นให้เลยในตอนนี้ว่า

มีอีกราวๆ 1 ปีครึ่ง นับจากนี้ เป็นขั้นต่ำ!

———————————-///——————————-

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_Engine_10_Jimmy

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
– ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Daimler AG. จำกัด และ บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อและอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทางในครั้งนี้

– คุณ Kantapong Somchana (Thaeng)
สำหรับการเตรียมข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ
————————————————————-

2015_07_Mercedes_Benz_GLC_FINAL

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายทั้งหมด โดยผู้เขียน
ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายจากผู้ผลิต และภาพ Illustration ทั้งหมด
ในบทความนี้ เป็นของ Daimler AG.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
7 สิงหาคม 2015

J!MMY
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
All Illustration is Copyright of Daimler AG.
Use of such content either in part or in whole without
permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
August 7th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!

 

—————————————————————————————————

Bonus Clip : J!MMY Test drive Mercedes-Benz GLC (Switzerland)