เครื่องบิน Boeing 777-300 ของสายการบิน Emirates เที่ยวบินที่ EK093
พาเราบินต่อเนื่องจาก Dubai มายังสนามบิน Bologna หลังจากที่เราเริ่มต้น
การเดินทางครั้งนี้ ด้วยเครื่องบิน Airbus A380 เที่ยวบิน EK419 ตรงมาจาก
สนามบินสุวรรณภูมิ ไปเปลี่ยนเครื่องที่ Dubai

ผมมาถึง Italy อย่างงงๆครับ ยังงงอยู่เลย ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้
มาเยือนประเทศที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องของ กาแฟ ไอศกรีม Gelato ขโมยขโจร
ตามสถานที่ท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมรถสปอร์ต จากยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่ม
Fiat Chrysler Automotive (FCA)

2017_03_Maserati_Trip_01

ผมมาถึงเมือง Bologna และ Modena เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2017 ที่ผ่านมา พร้อมกับ
คณะสื่อมวลชนไทยอีก 13 ชีวิต รวมทั้งกลุ่ม VIP อีก 25 คน ตามคำเชิญของบริษัท
MGC Asia หรือกลุ่ม Millenium ซึ่งเพิ่งจะคว้าสิทธิ์ในการเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์
Maserati จากอิตาลี อย่างเป็นทางการ มาอยู่ในมือได้เรียบร้อย

ดังนั้น เพื่อจะให้คนไทยได้รู้จักแบรนด์ Maserati มากขึ้น MGC Asia ก็เลยจัดทริป
พิเศษนี้ พาพวกเรามาดูถึงแหล่งต้นกำเนิด ของแบรนด์ตรีศูล ถึงในอิตาลี กันเลย!!

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้มีโอกาสเข้ามาร่วมสัมผัสกับรากเหง้าของแบรนด์รถยนต์
ระดับ Premium อย่าง Maserati กันถึงถิ่น เพราะสถานที่แต่ละแห่งในกำหนดการ
ของทริปนี้ บางแห่ง ต่อให้คุณซื้อตั๋ว บินมา อิตาลี เอง ก็ยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมชม
กันได้ง่ายๆ เลย

2017_03_Maserati_Trip_02_Headquarter_Modena

ทันทีที่เดินทางมาถึงสนามบิน Bologna เราเริ่มต้นทริปกันด้วยการเดินทาง
ไปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ และโรงงาน ของ Maserati Viale Ciro Menotti,
322, 41100 เมือง Modena MO

แรกเริ่ม พื้นที่นี้ เป็นโรงงานเก่าแก่ดั้งเดิมมาตั้งแต่ปี 1939 กำลังการผลิตแค่
ไม่เกิน 500 คัน/ปี ส่วนอาคารทรงสูง 9 ชั้น และสำนักงานพร้อมกับโชว์รูม
ขนาดใหญ่ รวมทั้งอาคารจอดรถสำหรับพนักงาน และแขกผู้มาเยือน เปิดใช้
เมื่อปี 1997 อันเป็นปีที่ Ferrari อดีตคู่แข่งเก่าแก่ เข้ามาช่วยกอบกู้กิจการ
Maserati รวมกันเป็น Ferrari-Maserati Group

ในวันที่เราไปเยี่ยมชมนั้น Maserati Gran Cabrio จอดเด่นตระหง่านอยู่บน
แท่นวงแหวนยักษ์ สีน้ำเงินเข้ม อันเป็นสีประจำแบรนด์ตรีศูล รวมทั้ง SUV
รุ่นใหม่ล่าสุด Maserati Levante S ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรถแข่งรุ่นดังอย่าง
Maserati MC12 Corsa รุ่นปี 2006 ซึ่งมีเพียง 12 (+3) คันในโลก จัดแสดง
อยู่ด้วย! (ส่งลูกค้า 12 คัน ส่วนอีก 3 คัน เป็นรถทดสอบ และรถเพื่อการจัด
แสดงโปรโมท ถ่ายแบบโฆษณาประชาสัมพันธ์)

MC12 Corsa เป็นเวอร์ชันสำหรับลงแข่งในสนาม ตามกฎของสมาพันธ์กีฬา
แข่งรถนานาชาติ (FIA) ในรุ่น GT ตัวรถออกแบบโดย Frank Stephenson
หัวหน้าฝ่าย concept design ของ Ferrari Maserati Group
วางขุมพลัง
V12 สูบ ทำมุม 65 องศา DOHC 48 วาล์ว 5,998 ซีซี รหัส M144A
กำลังอัด 11.2:1 อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องจาก
เครื่องยนต์พื้นฐานรุ่น Tipo F140 ที่ใช้ใน Ferrari Enzo

กำลังสูงสุด 755 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร
(72.3 กก.-ม.) ที่ 6,000 รอบ/นาที เปิดตัวออกขายเมื่อเดือนพฤษภาคม 2006
ด้วยราคา 1,000,000 ยูโร แต่ล่าสุด มีดีลเลอร์ของ Maserati ในสหรัฐอเมริกา
ตั้งราคารถแข่งคันนี้ (Used Cars) ไว้ สูงถึง 3,000,000 ยูโร!!! เพราะรถคันนี้
ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้วิ่งบนสนามแข่งในการจัดทดสอบเป็นการส่วนบุคคล
หรือจัดแสดงในงานของ Maserati เท่านั้น และไม่ได้ผ่านการอนุญาต
(homologated) สำหรับการขับขี่บนถนนหรือในการแข่งขันรายการใดๆทั้งสิ้น

นอกเหนือจาการจัดแสดงเครื่องยนต์ รุ่นสำคัญๆ และโครงสร้างเฟรมตัวถัง
ของรถแข่งในอดีตแล้ว ยังมีร้านขายของที่ระลึก Maserati Collection Shop
ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ข้าวของจุกจิก รถโมเดล ไปจนถึงหนังสือ
ขนาดใหญ่ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับแบรนด์ Maserati จำหน่ายอยู่อีกด้วย

2017_03_Maserati_Trip_03_Panini_Museum

จากนั้น เราจึงออกเดินทางไปยังฟาร์ม Hombre ผู้ผลิตชีสท้องถิ่น รสดี
ชื่อ Parmiggiano Reggiano ฟังดูอาจจะงงว่า เรามาทำอะไรในไร่ที่มี
โรงเลี้ยงวัว และโรงบ่มชีสขนาดเล็ก ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นชีสก้อน
ไปหมดขนาดนี้

เหตุผลก็เพราะว่า ที่นี่ ยังเป็นสถานที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์รถยนต์ส่วนตัวของ
Umberto Panini เจ้าของโรงงานทำขีส Hombre แต่รักและคลั่งไคล้
ในรถยนต์ โดยเฉพาะ Maserati อย่างมาก ถึงขั้นสะสมรถสปอร์ตรุ่นเก่าๆ
ของ Maserati มากถึง 22 คัน!! ดังรายการต่อไปนี้

1934 Maserati 6C 34
1936 Maserati 6CM
1953 Maserati A6GCS 53 “Berlinetta”
1954 Maserati A6G 54 2000 Allemanno
1957 Maserati 250F V12 รุ่นที่ พระองค์เจ้าพีระฯ ใช้คว้าชัยชนะในสนามแข่งระดับโลก!
1958 Maserati 3500 GT
1958 Maserati TIPO 420/M/58 ELDORADO
1961 Maserati TIPO 61 BIRDCAGE DROGO
1961 Maserati TIPO 63 V12 Serenissima
1965 Maserati MISTRAL Coupe
1968 Maserati GHIBLI Coupe
1968 Maserati SIMUN Prototipo
1970 Maserati GHIBLI Spyder
1971 Maserati BORA
1974 Maserati TIPO 124 Italdesign Prototipo
1975 Maserati KHAMSIN
1980 Maserati MERAK SS Turbo Prototipo (คันสีเหลือง)
1989 Maserati QUATTROPORTE Royale (Sedan สีเทา จอดข้าง Merak)
1990 Maserati CHUBASCO Prototipo (คันสีแดงจอดบนชั้น 2)
1991 Maserati BARCHETTA Stradale Maquette
1996 Maserati GHIBLI Open Cup
2002 Maserati 3200 GT Trofeo

ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีรถยนต์รุ่นหายากในอดีตทั้ง Cadillac Limousine
355 จากสำนักวาติกัน Mercedes Benz 300SL Gullwing ,รถยนต์ Fiat,
Alfa Romeo , Lancia หลายรุ่น รถต้นแบบ และสารพัดจักรยานยนต์โบราณ
หลากหลายยี่ห้อ รวมทั้งจักรยานยนต์ Maserati อีกด้วย!

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไม่เพียงแค่สะสมรถยนต์รุ่นหายากเหล่านี้ไว้ หากแต่ยัง
ช่วยรักษาบรรดารถยนต์เหล่านี้ ไว้จากการถูกนำไปประมูลขายมาแล้วด้วย!

เรื่องมีอยู่ว่า ในเดือนพฤษภาคม 1993 FIAT ได้ซื้อกิจการ Maserati จาก
บริษัท DeTomaso ดังนั้น รถยนต์ในคอลเลคชันเหล่านี้ทั้งหมด จึงถูกส่ง
ไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของบริษัท รวมทั้งงาน Bologna Motor Show
ในเดือนธันวาคม 1994

ทว่า ในเดือนกรกฎาคม 1996 De tomaso ยืนยันสิทธิ์ว่า Maserati ต้องคืน
รถยนต์และเครื่องยนต์ใน พิพิธภัณฑ์ของตนให้กับเขา Maserati มีงบพอแค่
ซื้อรถยนต์บางส่วน รวมทั้งเครื่องยนต์อีก 15 รายการ ดังนั้น รถยนต์ทั้ง 19 คัน
จะต้องถูกส่งไปประมูล ที่ Brook Auction House ในกรุง London ประเทศ
อังกฤษ ภายในวันที่ 2 ธันวาคม 1996

ข่าวนี้รู้ถึง เทศบาลเมือง Modena หลายๆคนจึงร้อนอาสน์ Walter Veltroni
รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น รวมทั้ง นายกเทศมนตรีเมือง Modena
อย่าง Giuliano Barbolini และภาคเอกชนหลายราย ต่างร่วมกันหาทางออก
เพื่อไม่ให้ สมบัติประจำเมืองเหล่านี้ต้องถูกนำไปประมูลขาย

Umberto Panini เจ้าของกิจการสิ่งพิมพ์ และต่อมา ได้ขายทิ้ง แล้วก่อตั้ง
ฟาร์ม Hombre แห่งนี้นี่ละ คือคนที่เข้ามาช่วยรักษา รถยนต์ Maserati รุ่น
หายากเหล่านี้ ให้พ้นจากการถูกนำไปประมูลที่กรุง London ได้ทันควัน เขา
ตัดสินใจซื้อรถทั้งหมดนี้ ก่อนการประมูลจะเกิดขึ้นไม่นานนัก และในที่สุด
ครอบครัว Panini ก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาชม ศึกษาหา
ความรู้ และเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาคนรักแบรนด์ Maserati จากทั่วโลก

ใครที่สนใจอยากเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่า เขาจะเปิดให้
เข้าชมได้เฉพาะเดือน มีนาคม ถึง ตุลาคม ของทุกปี เท่านั้น (เดือนมกราคม
กุมภาพันธ์ สิงหาคม พฤศจิกายน และธันวาคม พิพิธภัณฑ์จะปิดไม่ให้เข้าชม)
และถ้าต้องการเข้าไปดู แม้ว่าจะไม่มีการเก็บค่าเข้าชม แต่ต้องไปเป็นหมู่คณะ
ควรมีจำนวนสมาชิกในทริปมากกว่า 6 คนขึ้นไป และต้องลงทะเบียนจองวัน
และเวลา ก่อน เท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปดูได้ ในเว็บไซต์ข้างล่างนี้
http://www.paninimotormuseum.it/index.php?lang=2

2017_03_Maserati_Trip_04_Mirafiori_Plant_EDIT2

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้เดินทางไปดูสายการผลิต SUV รุ่นใหม่ LeVante
ที่โรงงาน Mirafiori ของกลุ่ม FCA (Fiat Chrysler Automotive ที่ เมือง
Torino (Turin) อีกด้วย

โรงงาน Mirafiori ก่อตั้งขึ้นในปี 1937 สร้างเสร็จในปี 1939 แต่เนื่องจาก
เกิดเหตุสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานโดนถล่มจนเสียหาย กว่าจะซ่อมแซม
จนกลับมาเปิดทำการผลิตได้ ก็ล่วงเข้าสู่ปี 1941 นับเป็นโรงงานสำคัญมาก
ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกลุ่ม FIAT ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Fiat Chrysler
Automotive (FCA) จากการควบรวมกิจการกันของกลุ่ม FIAT จากอีตาลี
และ Chrysler จากสหรัฐอเมริกา เพราะที่นี่ เคยเป็นฐานการผลิตรถยนต์รุ่น
สำคัญๆ ในอดีต ตั้งแต่ Fiat 500 Topolino (1947) Fiat 600 (1955), Fiat
Nuova 500 (1957) Fiat 131, Fiat Panda , Fiat Uno , Fiat Croma, Fiat
Punto,Fiat Marea & Marea Weekend, Fiat Multipla , Fiat Punto II
Fiat Grand Punto รวมทั้งแบรนด์ในเครือg=jo Lancia Y10, Lancia Musa
Lancia Thema และ Lancia Thesis เป็นต้น

หลังผ่านการประท้วงจากการปลดคนงานครั้งใหญ่ในปี 2004 และการปรับ
โครงสร้างรวมทั้งลงทุนเพิ่มเติม ตั้งแต่เดินกันยายน 2013 ปัจจุบันนี้ โรงงาน
Mirafiori เหลือพนักงานอยู่ราวๆ 1,200 คน มีการผลิตรถยนต์เพียงแค่ 2 รุ่น
เท่านั้น คือ Alfa Romeo MiTo รถยนต์นั่งพิกัด B-Segment Sub-Compact
Hatchback 3 ประตู ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ 19 มิถุนายน 2008 และเริ่มเสื่อมความ
นิยม ทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าที่ควร ด้วยกำลังการผลิต ราวๆ 80 คัน/วัน หรือ
29,200 คัน/ปี กับ Maserati LeVante ที่มียอดผลิต 140 คัน/วัน หรือราวๆ
35,000 คัน/ปี โดย มี Takt time อยู่ที่ 6 นาที/คัน หมายความว่า LeVante
จะทำคลอดจากสายการผลิต 1 คันในทุกๆ 6 นาที ด้วยสารพัดทางเลือกของ
อุปกรณ์ รุ่นย่อย โทนสี และออพชัน ทำให้โรงงานแห่งนี้ต้องรองรับกับบรรดา
ทางเลือกจากลูกค้าที่สามารถ จับสารพัดความชอบ มารวมกันได้มากมายถึง
ประมาณ 1,500,000  Combination!

FCA และ Maserati ตัดสินใจเลือกให้โรงงาน Mirafiori รับหน้าที่ในการ
ผลิต Maserati LeVante เพื่อจำหน่ายในประเทศอิตาลี และส่งออกไปยัง
กว่า 70 ประเทศทั่วโลก ที่ Maserati ทำตลาดอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีน
ซึ่งมีการขยายตัวของยอดขายเพิ่มสูงขึ้นมาก

สายการผลิต LeVante เริ่มต้นครั้งแรก เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2016 ตอนนี้
เวลาผ่านไปแล้ว 1 ปี FCA และ Maserati จำเป็นต้องเพิ่มการทำงานของ
บรรดาลูกจ้างในไลน์ผลิต บางส่วนที่เคยถูกปลดออกในปี 2004 กับ 2013
ให้ถูกจ้างกลับมาทำงาน เป็น 2 กะต่อวัน เพื่อเร่งการผลิต ให้ทันกับเป้า
ยอดขาย ของ Maserati ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยยอด
จำหน่าย 40,000 คัน ปีนี้ขอเป็น 58,000 คัน และอาจต้องปรับตัวเลข
เป้ายอดขายใหม่เป็น 60,000 คัน ในปี 2017 เพื่อเดินไปถึงเป้าหมาย
ยอดขาย 75,000 คัน/ปี ในปี 2018 ตามแผนที่วางไว้ โดยสัดส่วนของ
ยอดขายนั้น คาดว่าจะมาจาก LeVante ราวๆ 35,000 คัน ส่วน Ghibli
คาดว่าจะอยู่ที่ราวๆ 25,000 – 30,000 คัน เป็นลำดับ 2 รองลงมา ส่วน
Quatroporte และ GranTurismo นั้น ยอดรวมกันไม่น่าจะเยอะ เพราะ
รุ่น Gran Turismo และ Gran Cabrio อยู่ในช่วงปลายอายุตลาดแล้ว
เพื่อรอให้ Maserati Alfieri ใหม่ เตรียมเปิดตัวช่วงปี 2018 แทน

วันที่เราเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานนั้น สายการผลิตของ LeVante กำลัง
ดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน พนักงานในไลน์ผลิต ต่างให้ความสำคัญกับงาน
ประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้ากับตัวรถอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกัน ไลน์
ผลิตของ Alfa Romeo MiTo Hatchback 3 ประตู นั้น แทบจะเลิกผลิต
กันไปเลย เพราะโรงงาน Mirafiori ต้องปรับแผนการผลิต LeVante ใหม่
ให้รองรับกับความต้องการของดลาดทั่วโลก โดยต้องคงไว้ซึ่งการบริหาร
และจัดการชิ้นส่วนอะไหล่ กับทางซัพพลายเออร์ เอาไว้ให้เป็นระบบ

ไม่เพียงเท่านั้น โรงงาน Mirafiori ยังมีอาณาจักรของศูนย์วิจัยและพัฒนา
รวมทั้งศูนย์ออกแบบของ Fiat อยู่ในนี้ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่า ในวันที่เรา
เข้าเยียมชมนั้น จะถูกขอร้องไม่ให้ถ่ายรูป หรือบันทึกภาพใดๆทั้งสิ้น เพราะ
ระหว่างเดินทางไปยังโรงตัวถัง Body Shop เราได้เห็นรถต้นแบบ Fiat รุ่น
500x Minorchange พรางตัว แล่นวนเวียนไปมาอยู่ในโรงงานแห่งนี้ด้วย

2017_03_Maserati_Trip_05_Autodromo_Modena

อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ คือการจัดให้คณะสื่อมวลชนจาก
เมืองไทย ได้ทดลองขับ Maserati รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นการชิมลาง เรียก
น้ำย่อย

การทดลองขับครั้งนี้ จัดขึ้น ณ สนาม Autodromo ชานเมือง Modena
ซึ่งเป็นสนามแข่งรถที่มีความยาวของแทร็ค 2.068 กิโลเมตร ความกว้าง
ผิวแทร็ค 12 เมตร และเป็นสนามที่มักได้รับความนิยมในการจัดกิจกรรม
ทั้งในด้าน MotorSport หรือ งานทดลองขับของผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆใน
อิตาลี มากมาย

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อการทดลองขับในครั้งนี้ ทาง Instructor ค่อนข้าง
ซีเรียสในเรื่องการรักษาสภาพตัวรถพอสมควร โดยให้ลองขับกัน คันละ
แค่ 2 รอบสนาม แถมยังเน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ขับกันตามไลน์
ทางโค้งของสนาม อีกทั้งไม่ให้ทำตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอ
ออกจากโค้ง กดกันสุดทางตรง รถทุกคันก็เร่งได้มากสุด เพียงแค่ ระดับ
160 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงทำให้เค้นสมรรถนะของตัวรถแต่ละคัน ออกมา
ได้น้อยมากๆ ดังนั้น บทความนี้ จึงทำได้แต่เพียงสรุปความคิดเห็นสั้นๆ
หลังจากที่ผมได้ “เริ่มต้นทำความรู้จัก” กับรถแต่ละคันใน 2 รอบสนาม
เพียงเท่านั้น

ไม่ต้องเสียเวลากันมากมาย มาทำความรู้จัก Maserati ทั้ง 5 รุ่น แบบ
“กระชับๆ” กันเถอะ!

——————————-

2017_03_Maserati_Trip_06_Ghibli_S

Ghibli S

มิติตัวถังยาว 4,971 มิลลิเมตร กว้าง 1,975 มิลลิเมตร สูง 1,461 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,998 มิลลิเมตร ใช้เครื่องยนต์รุ่น F160 (Petrol 600) เบนซิน V6
DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร (2,979 ซีซี) กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.5 x 84.5
มิลลิเมตร กำลังอัด 9.7:1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ GDi (Direct Injection)
พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbocharger 2 ลูก

พละกำลังสูงสุด 410 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550
นิวตันเมตร ( 56.04 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 5,000 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ
ปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังแบบ Multi-Link ดิสก์เบรก 4 ล้อ
จาก Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 360 x 32 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 6 สูบ
คู่หลังขนาด 345 x 28 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 สูบ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 5.0 วินาที
ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จนหยุดนิ่ง ได้ 35 เมตร

Ghibli เป็น Premium Mid Size Sedan พิกัดเดียวกับ Mercedes-Benz
E-Class ,BMW 5-Series กับ Audi A6 แน่นอนว่า บุคลิกของ Ghibli จะ
มาในมาดสปอร์ตและดุดันกว่า 3 คู่แข่งนั่นขัดเจน แต่ถ้าเทียบกับ Maserati
ทั้ง 5 รุ่นที่ลองขับ เจ้าหมอนี่ยังถือว่า แรงในระดับเริ่มต้นเท่านั้น

การเข้า – ออกจากเบาะคู่หน้า ต้องระวังศีรษะโขกเสาขอบหลังคานิดนีง แต่
ถ้าปรับเบาะนั่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้า กดลงต่ำจนสุด ก็ไม่มีปัญหา ส่วนช่องทาง
เข้า – ออก บานประตูคู่หลัง ก็ไม่ได้กว้างมากมายนัก คู่แข่งจากเยอรมัน จะ
ยังทำคะแนนข้อนี้เหนือกว่านิดหน่อย

เบาะนั่งคนขับ พนักพิงหลังแข็งไปหน่อย แต่เบาะรองนั่งยาวและนุ่ม กำลังดี
พนักศีรษะนุ่มแบบ Volvo S80 ไม่ดันศีรษะมากนัก ส่วนเบาะหลัง Legroom
เหลือน้อยในระดับพอๆกับ Mazda 3 รุ่นเก่า 2005 – 2011 พนักพิงหลัง แข็ง
ส่วนเบาะรองนั่งสั้น พื้นที่เหนือศีรษะ ยังพอเหลืออยู่เล็กน้อย หัวไม่ชนเพดาน

ขุมพลัง V6 ตอบสนองในช่วงออกตัวได้ดี ช่วงกลางไต่ความเร็วขึ้นไปได้ใน
ระดับน่าพอใจ แรงพอประมาณเกียร์ฉลาดตาม Logic ที่ ตั้งโปรแกรมกันไว้
เปลี่ยนลงต่ำได้เร็ว

พวงมาลัยคันที่ทดลอง ปรับระดับสูง-ต่ำ และใกล้ห่างจากตัวผู้ขับขี่ด้วยสวิตช์
ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ในการเลี้ยวเข้าโค้ง แอบมีอาการคลอนๆ
นิดๆ น้ำหนักพวงมาลัยกลางๆ ไม่หนืดเลย แต่ก็ไม่เบาโหวงเท่า LeVante แป้น
เบรกจะค่อนข้างดูดเท้าในช่วงความเร็วต่ำ แต่การชะลอจากความเร็วสูง มั่นใจได้

——————————-

2017_03_Maserati_Trip_07_GranTurismo

GranTurismo V8 4.2 L

มิติตัวถังยาว 4,881 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,353 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,942 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ เบนซิน V8 ทำมุม 90 องศา
รหัส F136U DOHC 32 วาล์ว 4.2 ลิตร (4,179 ซีซี) กระบอกสูบ x ช่วงชัก
86.5 x 86.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.1:1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Bosch ME7

พละกำลังสูงสุด 405 แรงม้า (HP) ที่ 7,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 460
นิวตันเมตร (46.87 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Sequential Gear Shift จาก
ZF มี Limited Slip มาให้ ระบบกันสะเทือนหน้า – หลัง แบบปีกนกคู่ Double
Wishbone ดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 5.2 วินาที
ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จนหยุดนิ่ง ได้ 36 เมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 330 กรัม/กิโลเมตร

การเข้า – ออก ทำได้ดีในระดับเดียวกับรถยนต์ Coupe เตี้ยๆ ทั่วไป เบาะนั่ง
มีความยาวขนาดเหมาะสม นุ่มแน่นกำลังดี สิ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ รถรุ่นนี้ จะไม่มี
คันเกียร์ ทันทีที่กดปุ่มติดเครื่องยนต์ เกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง N เลือกได้ว่าจะ
ให้ทำงานแบบเกียร์อัตโนมัติปกติ หรือกดปุ่ม Sport เพื่อเล่นแป้น Paddle
Shift ที่ติดตั้งบนคอพวงมาลัย (แบบตายตัว เหมือน Mitsubishi Lancer
EX) ด้วยตัวเอง ถ้าจะออกรถ ตบแป้น Paddle Shift บวกฝั่งขวา 1 ครั้ง หรือ
กดปุ่ม 1 แต่ถ้าจะเข้าเกียร์ถอยหลังต้องเหยียบเบรกและกดปุ่ม R แล้วค่อย
ถอนเท้าไปกดคันเร่ง เพื่ออกรถ ถ้าจะตบเข้าเกียร์ว่าง ให้ตบแป้น Paddle
Shift ทั้งบวก และลบ พร้อมกันทั้ง 2 ฝั่งรอจนหน้าจอบนมาตรวัดขึ้นตัว N
แสดงว่าปลอดภัยแล้ว ถอนเท้าจากแป้นเบรกได้ ส่วนเบรกมืเป็นสวิตช์
ไฟฟ้า เหมือนรถยนต์ระดับหรูร่วมสมัยเดียวกัน

วงพงมาลัยจับกระชับถนัดมือกำลังดี เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ
แป้นพักเท้าทำจากอะลูมีเนียม ชุดมาตรวัดดีไซน์เรียบๆ ไม่หวือหวา แต่
อ่านข้อมูลง่าย มีจอแสดงข้อมูล Multi Information Display ตรงกลาง

ถ้าเทียบกับพี่น้องในตระกูล Maserati ทั้งหมดทุกรุ่นที่ได้ลอง ถือว่า แรง
ในระดับปานกลาง การออกตัว พุ่งทะยานกว่า Ghibli S ชัดเจน แต่ไม่ถึง
ขั้นต่างกันจนฉีกมากมายอย่างที่คิด พวงมาลัยแอบยาวนิดๆ แต่บังคับเลี้ยว
ได้มั่นใจ ช่วงล่างจะแอบนุ่ม ผู้ดีหน่อยๆ แป้นเบรก มีระยะเหยียบกำลังดี
ไม่สั้นไม่ยาวเกินไป หน่วงความเร็วลงมาได้ดี เหมาะสมกับสมรรถนะตัวรถ
เสียงท่อไพเราะเป็นจุดขายสำคัญ แม้เป็นรุ่นพื้นฐานที่สุดในตระกูลก็ตาม

——————————-

2017_03_Maserati_Trip_08_GranTurismo_Sport

GranTurismo Sport V8 4.7 L

รุ่น Sport นี้คือรุ่นที่ออกมาทดแทนรุ่น GranTurismo S ในปี 2012
มิติตัวถังยาว 4,881 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,353 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,942 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ V8 ทำมุม 90 องศา DOHC
32 วาล์ว 4.7 ลิตร (4,691 ซีซี) กำลังอัด 9.7:1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์

พละกำลังสูงสุด 460 แรงม้า (HP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520
นิวตันเมตร ( 52.98 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก ZF (MC Auto Shift)
และมีเกียร์แบบซีเควนเชียล 6 จังหวะ MC Shift ให้เลือกสำหรับคนที่ต้องการ
เข้าถึงอารมณ์รถแข่งสนามมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเกียร์อะไรก็จะมี Limited Slip
มาให้ ระบบกันสะเทือนหน้า – หลัง เป็นแบบปีกนกคู่ Double Wishbone
ดิสก์เบรก 4 ล้อ จาก Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 360 x 32 มิลลิเมตร
คาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ คู่หลังขนาด 345 x 28 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 4.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด 298-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมงจนหยุดนิ่ง ได้ 35 เมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 331 / 360
กรัม/กิโลเมตร

กลับกลายเป็นว่า ผมชอบรถคันสีน้ำเงินนี้ มากสุด เพราะทั้งแรงกำลังดี พุ่ง
ออกตัวกระฉับกระเฉงขึ้นกว่า รุ่นพื้นฐาน นิดนึง ถ้าไม่ใช้นาฬิกาจับเวลาแล้ว
คุณอาจไม่เห็นความแตกต่าง ที่แน่ๆ เสียงเครื่องยนต์ หวานสุดๆ พวงมาลัย
Response ดีมาก บังคับควบคุมง่าย น้ำหนักหนืดกำลังดี ในสไตล์รถ GT ที่
ควรเป็น เกียร์ทำงานไว  แต่อยากได้เบรกที่ปราบม้าได้ดีกว่านี้ อีกสักหน่อย
แป้น Paddle shift ติดตายตัวที่คอพวงมาลัยแบบ Lancer EX อาจสับสน
นิดนึงตอนใช้งาน

ปล. ในบรรดา Instructor ของงานนี้ Fransisco ในรูปข้างบนนี้ ดูจะเป็นมิตร
มากที่สุด และยังยินยอมให้เราได้สัมผัสตัวรถในระดับที่ใกล้ขีดจำกัดได้มากกว่า
Instructor ท่านอื่นๆ เพื่อให้เราได้เรียนรู้จักตัวรถได้มากที่สุดทั้งๆที่เวลามีจำกัด

———————

2017_03_Maserati_Trip_09_GranTurismo_MC_Stradale

GranTurismo MC GT Stradale 

มิติตัวถังยาว 4,933 มิลลิเมตร กว้าง 1,903 มิลลิเมตร สูง 1,343 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,938 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ เบนซิน V8 ทำมุม 90 องศา
DOHC 32 วาล์ว 4.7 ลิตร (4,691 ซีซี) กำลังอัด 9.7:1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์
Bosch ME7

พละกำลังสูงสุด 460 แรงม้า (HP) ที่ 7,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550
นิวตันเมตร ( 56.04 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยซีเควนเชียล Electro-actuated (MC Shift) 6 จังหวะ
ระบบกันสะเทือนหน้า ปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังแบบ Multi-Link
ดิสก์เบรก 4 ล้อ จาก Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 380 x 34 มิลลิเมตร
คาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ คู่หลังขนาด 360 x 32 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 4.5 วินาที
ความเร็วสูงสุด 303 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จนหยุดนิ่ง ได้ 33 เมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 360 กรัม/กิโลเมตร

Top of the Line ที่แรงเร้าใจใช้ได้ ขับสนุก เร้าใจมากสุด พวงมาลัย หุ้มด้วย
หนังสังเคราะห์ Alcantara เซ็ตมาคมสุด บังคับเลี้ยวแม่นยำสุด น้ำหนักของ
พวงมาลัยจะหนืดขึ้นจาก รุ่น Sport นิดเดียว แต่ช่วงล่างจะหนึบยิ่งขึ้นอีกนิด
เข้าโค้งแล้วรถไม่ค่อยเอียงมากนัก เบรกหนืดดี สไตล์แป้นเบรกแบบรถแข่ง
แป้น เบรก ระยะเหยียบกลางๆ ไม่ตื้นไม่ลึกไป แต่อยากได้ฟีลลิงตอนหน่วง
ความเร็วมากกว่านี้อีกนิด

———————

2017_03_Maserati_Trip_10_LeVante_S

LeVante S

มิติตัวถังยาว 5,003 มิลลิเมตร กว้าง 1,968 มิลลิเมตร สูง 1,679 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 3,004 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 2,109 กิโลกรัม

วางขุมพลัง Petrol 600 เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร (2,979 ซีซี)
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.5 x 84.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.7:1 หัวฉีดแบบ GDi
(Direct Injection) พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbocharger 2 ลูก

พละกำลังสูงสุด 430 แรงม้า (HP) ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 580
นิวตันเมตร ( 59.10 กก.-ม.) ที่ 4,500 – 5,000 รอบ/นาที

ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบมี Active Transfer Case กระจายแรงบิดล้อคู่หน้า/หลัง
ตั้งแต่ 0/100 ถึง 50/50  ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ระบบกันสะเทือนหน้า
ปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังแบบ Multi-Link ดิสก์เบรกเป็นแบบมีรู
ระบายความร้อน 4 ล้อ จาก Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 380 มิลลิเมตร
คาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ คู่หลังขนาด 345 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ พร้อมระบบ
ควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัว Maserati Stability Program

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 5.2 วินาที
ความเร็วสูงสุด 264 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงจน
หยุดนิ่ง ได้ 34.5 เมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 253 กรัม/กิโลเมตร

*หมายเหตุ*
เวอร์ชันที่จะเปิดตัวในเมืองไทย จะเป็นรุ่น Levante Diesel Turbo รายละเอียด
ทางเทคนิคและราคา น้อง Moo Cnoe ทีมงานของเว็บเรา ทำไว้ให้แล้ว อยู่ในลิงค์ นี้

การเข้า-ออกจากเบาะคู่หน้า ต้องระวังหัวชนเสาหลังคาคู่หน้า ควรปรับเบาะนั่ง
ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ให้กดลงต่ำสุดก่อน จะช่วยลดปัญหานี้ได้ ส่วนการเข้า-ออก
จากเบาะคู่หลังนั้น ช่องประตู ไม่ถึงกับกว้างนัก ตอนก้าวเข้าไป ไม่มีปัญหา แต่
ตอนลุกออกจากรถ ระยะห่างจากตัวเบาะ ถึงขอบชายล่าง มากไปหน่อย ขาติด
กับชายล่าง ขากางเกงอาจเปรอะเปื้อนฝุ่นจากชายล่างด้านข้างตัวรถได้

เบาะหน้า มี พนักพิงหลังดีมาก นั่งสบายมาก พนักศีรษะนุ่ม แต่แป้นแกนกลาง
จะแข็งๆหน่อย เบาะรองนั่ง นุ่มสบายมาก ยาวกำลังดี ส่วนเบาะหลังนั้น พนักพิง
หลังตรงกลางหลังตั้งใจทำให้นิ่ม แต่ช่วงรองรับหัวไหล่กลับแข็งขึ้น พนักศีรษะ
แข็ง เบาะรองนั่งสั้น แนวแน่นนุ่ม พนักวางแขนข้างประตู เตี้ยไปนืดเดียวจริงๆ
Headroom เหลือ 4 นิ้วแนวนอน

พวงมาลัยมันจะเบากว่าพี่น้องร่วมตระกูล อยู่ในระดับเบาโหวงกว่าใครเพื่อน แต่
ถ้าเทียบกับคู่แข่ง น้ำหนักพวงมาลัยถือว่าเบากำลังดี สำหรับการเป็นพวงมาลัย
ของรถยนต์ SUV อีกนิดหน่อยก็เบาใกล้รถญี่ปุ่นแล้ว แต่ Linear กว่า

อัตราเร่งถือว่าแรงดีใช้ได้ ถ้าคิดว่าตัวเครื่องต้องลากน้ำหนักตัวประมาณ 2.1 ตัน
ด้วยแล้ว ความคล่องแคล่ว พอประมาณตามสไตล์ Premium SUV Size กลาง
แป้นเบรก นุ่ม Linear สบายๆ หน่วงความเร็วได้ดีมาก ช่วงล่างในโค้ง เอียงตาม
ปกติของ SUV ทั่วไป แต่ไม่มากเท่า XC90 หรือ X5 และแน่นอนว่า เสียงเครื่อง
ไพเราะเสนาะหูจริงๆ

2017_03_Maserati_Trip_11

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
บุคลิกของแบรนด์ คือ Italian Grand Touring เด่นที่ความหรูหรา
พละกำลังแรงเอาเรื่อง และเสียงเครื่องที่เร้าอารมณ์

กว่า 100 ปีมาแล้วที่แบรนด์ตรีศูล ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก จากความคลั่งไคล้ใน
MotorSport ของ 4 พี่น้อง ตระกูล Maserati ผ่านกาลเวลามายาวนาน ผ่านมือ
เจ้าของมาหลายราย ตั้งแต่ยุคของ Orsi (1946 – 1966) ยุคของ Citroen เข้ามา
ซื้อกิจการในช่วงปี 1968-1975 ก่อนจะล้มละลาย เข้าสู่มือของกลุ่ม PSA จนต้อง
ขายให้กับบริษัท De Tomasho ในช่วงปี 1975 – 1993 ก่อนจะตกมาอยู่ในมือของ
กลุ่ม FIAT ในปี 1993 และถูกโอนถ่ายให้ อดีตคู่แข่งอย่าง Ferrari รับช่วงดูแล
ต่อในปี 1997

ขณะที่คนไทย รู้จัก Maserati ในฐานะรถแข่งที่ พระองค์เจ้าพีระฯ (เจ้าดาราทอง)
ใช้เข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ในยุโรป จนคว้าชัยชนะ สร้างเกียรติประวัติให้กับชาว
สยามประเทศ เป็นที่เลื่องลือจนต้องจารึกไว้ในพงศาวดารชาติไทยมาแล้ว

วันนี้ แบรนด์ Maserati ค้นพบแนวทางของตัวเองที่ขัดเจนแล้ว ว่าพวกเขาควรจะ
มุ่งหน้าไปในทิศทางใด

ในขณะที่ Ferrari ญาติผู้พี่ร่วมเครือ FCA เขาจะมุ่งหน้าไปหาความร้อนแรงสะใจ
ตามประสาลูกผู้ชายสุดแสนจะลำพอง Maserati เอง ก็จะทำตัวเป็น รถยนต์ GT
ขนาดกลาง E-Segment หรือใหญ่แบบ Flagship รวมทั้ง SUV ที่ถ่ายทอดความ
ร้อนแรงมาตามสายพันธ์ แต่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่ากัน
อย่างชัดเจน แถมยังมาพร้อมความหรูหรา ประณีตกว่ายุคเก่าก่อน ในแบบที่ชาว
อิตาเลียนยุคใหม่ ภาคภูมิใจนำเสนอ

แล้วถ้าเทียบกับแบรนด์ในระดับเดียวกันอย่าง Aston Martin ยอดรถสปอร์ตแนว
Grand Touring ของฝั่งอังกฤษ ละ มันต่างกันตรงไหน?

ง่ายๆครับ Maserati ทำรถออกมาให้รองรับการใช้งานในทุกๆวันมากกว่า อย่าง
ชัดเจน บุคลิกตัวรถจะไม่ดิบเถื่อน แต่เสียงเครื่องที่เร้าใจ ก็ช่วยข่มขวัญให้รถคัน
ข้างๆ หลีกห่างจากคุณได้ เพราะเขาคิดว่ารถคุณน่าจะแพง…

ใช่ครับ สมัยก่อน Maserati แพงมาก จนเกินเอื้อม แต่เดี๋ยวนี้ ทั้ง Ghibli และ
LeVante 2 รุ่นหลักในการบุกตลาดทั่วโลกของ ค่ายตรีศูล มีค่าตัวต่ำลงมามาก
เริ่มต้นที่ระดับ 7-9 ล้านบาท แล้ว ทำให้ระดับราคาของ Maserati ทั้งแบรนด์
ป้วนเปี้ยนแถวๆ 7-16 ล้านบาท ง่ายต่อการเป็นเจ้าของมากขึ้นเยอะ ขณะที่
Aston Martin จะแพงขึ้นไปอยู่ในระดับเกิน 15 ล้านบาทขึ้นไป

ในอดีต ประชากร Maserati ในเมืองไทย ตามทะเบียนลูกค้าของอดีตผู้จำหน่าย
รายเดิมอย่าง Firma มีอยู่แค่ 200 กว่าคัน แต่คราวนี้ MGC Asia เขาตัดสินใจว่า
จะลงทุนขยายศูนย์บริการเพิ่ม แถวๆ ซอย สุขุมวิท 26 อีกทั้งจะรับดูแลรถยนต์
Maserati รุ่นเก่าๆ ทุกคัน โดยไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าแต่อย่างใด

ดูแนวโน้มแล้ว MGC Asia เอง ก็ตั้งใจจะบุกตลาด Maserati อย่างจริงจังแน่ๆ
เพียงแต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างยังเหมือนการเริ่มต้นใหม่ นับ 1 กันใหม่ เราอาจต้อง
ดูกันไปอีกสักระยะว่า แบรนด์ตรีศูลในเมืองไทย จะเติบโตขึ้นมา จนมียอดขาย
ใกล้เคียงกับตลาดสำคัญอีกแห่งของ Maserati อย่าง ญี่ปุ่น ได้มากน้อยแค่ไหน

ความท้าทายนี่ ยังรอการพิสูจน์อยู่ เพราะเท่าที่รู้ก็คืองานนี้ MGC Asia โดย
“เสี่ยจุ๋ย” (ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ) และทีมงานของคุณปิยะเทพ ศิวากาศ
เขาบอกเลยว่า

“งานนี้ทุ่มแทบทั้งหน้าตัก”!!

———————///———————-

2017_03_Maserati_Trip_10_Jimmy_P_Jui_Khun_Piyathep

Special Thanks to :

– Maserati S.p.A
Viale Ciro Menotto,322 ,41121 Modena , Italy

Master Group Corporation (Asia) Co., Ltd. (MGC-Asia)
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ
คุณ ปิยะเทพ ศิวากาศ
คุณ อรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์

เอื้อเฟื้อการดูแลตลอดการเดินทางในทริปนี้

2017_03_Maserati_Trip_Final

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของ J!MMY
ยกเว้นบางภาพ เป็นผลงานของ ช่างภาพจาก MGC Asia
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
13 มีนาคม 2017

Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 13th,2017

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!