บ่ายวันหนึ่ง ช่วงเดือนพฤษภาคม 2019

เสียงปลายสายจากพี่จิ๋ว หนึ่งในผู้บริหารของ MGC-Asia (กลุ่ม Millennium) ดังเข้ามา

“คุณ J!MMY ช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ว่างไหมคะ? จะชวนไปขับ Maserati รุ่นใหม่ ที่ Italy ค่ะ”

“ถ้าเป็นช่วง 15 – 19 ได้อยู่ครับ แต่ 20 – 21 นี่ ติดจัดกิจกรรมกับคุณผู้อ่านที่เชียงใหม่ครับ”

“เป็น Levante รุ่น Trofeo เครื่องยนต์ V8 590 แรงม้า นะคะ”

“โห! มันจะคาบเกี่ยวกับกิจกรรมของ Website เรา ที่เชียงใหม่พอดี แต่ก็ ยินดีไปทริปนี้ครับ”

“แต่คุณ J!MMY อาจต้องเดินทางไปคนเดียวนะคะ งานนี้ ไม่ได้มี PR ไปด้วย…”

ชะอุ๋ย….เอาแล้วไง…จะรอดไหมวะเนี่ย??

สำหรับสื่อมวลชนสายยานยนต์แล้ว มีหลายครั้งเลยละครับ ที่นักข่าวบางท่าน (ซึ่งมักเป็นรุ่นพี่ ที่ได้รับความไว้วางใจจากค่ายรถยนต์ระดับ Hi-end ที่ไม่ได้มีงบประมาณด้าน ประชาสัมพันธ์ เยอะนัก อย่าง Ferrari , Lamborghini , Porsche ฯลฯ ) จะได้รับเชิญให้ไปทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆในเมืองนอก โดยลำพัง ไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เดินทางไปด้วย มีทั้งไปสองคน บางครั้งก็ไปคนเดียว ดังนั้น นี่ถือเป็นเรื่องปกติ สำหรับนักข่าว ระดับพญาอินทรีย์ประจำวงการหลายๆท่าน

แต่สำหรับผมแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวนั้น หากเป็นประเทศที่ผมคุ้นเคยแล้วเป็นอย่างดี อย่าง ญี่ปุ่น ผมว่าสบายมากๆ ไม่มีปัญหา ทว่าสำหรับประเทศที่ผมยังไม่คุ้นเคยกับระบบขนส่งมวลชนของพวกเขามาก่อน อย่าง Italy นั้น แม้จะเคยมาเยือนที่เมือง Modena แล้ว ถึง 2 ครั้ง ติดกัน ปีละครั้ง (2017 , 2018) แต่ผมแอบหวั่นใจนิดๆเหมือนกัน เพราะ 2 ทริปที่ผ่านมา มีรถบัสพาไปโน่นพาไปนี่ ไม่มีปัญหาอะไร แต่คราวนี้ เราต้องเดินทางเอง…ถ้ามาเที่ยว ก็ไม่มีอะไรให้กังวล แต่พอมีตารางเวลามานัดหมายเราด้วยเนี่ย เริ่มหวั่นใจหน่อยๆ

ในที่สุด พี่จิ๋ว ก็ส่งเพื่อนร่วมทริปมาให้อีกท่านหนึ่ง คือ พี่หนุ่ม อัครินทร์ ห้องดอกไม้ จาก Manager Online (MGRonline) เพื่อมาร่วมเดินทางในครั้ังนี้ ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมทริป ที่มีประสบการณ์ ในการเดินทางไปทดสอบรถยนต์ในต่างประเทศมานับไม่ถ้วน

เอาน่า ในที่สุด ก็รอดกลับมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยก็แล้วกัน!

ทริปนี้ เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ เราเดินทางโดยสายการบิน Turkish Airline เที่ยวบินที่ TK 069 ตอน 5 ทุ่ม คืนวันที่ 15 กรกฎาคม 2019 มายังสนามบินแห่งใหม่ล่าสุด Istanbul International Airport ซึ่งมีหอบังคับการบิน หน้าตาน่ากลัว เหมือน งูเห่ากำลังแผ่แม่เบี้ย เฝ้ารันเวย์ เลยทีเดียว และมี Duty Free shop ที่อลังการงานสร้าง ข้าวของน่าซื้อมาก (แต่ราคาแพงกว่า Duty Free บ้านเรา นิดนึง) เพื่อมาต่อเครื่องบิน Airbus A321-200 ของ Turkish Airline เช่นกัน เที่ยวบินที่ TK1321 ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงนิดๆ มาลงที่ สนามบิน Bologna (ซึ่งผมเพิ่งระลึกชาติได้ว่า ครั้งแรกที่มาเยือน Italy กับ Maserati นี่ก็บินมาลงที่สนามบินแห่งนี้เช่นเดียวกัน เจอ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หล่อ เข้ม ดุ แต่ฮา ตามสไตล์อิตาเลียน 4 คน รวด ชุดเดิมเป๊ะ!)

รับกระเป๋าเสร็จแล้ว เราตรงดิ่งมาขึ้น Taxi ไปยังสถานีรถไฟ Bologna Centrale โชคดีว่า ได้คนขับที่นิสัยโอเค ไม่ขี้โกง และใช้ Volkswagen Golf Estate เป็นรถ Taxi ซึ่งมีพื้นที่ขนกระเป๋าเดินทางของเราได้ดี (ส่วนค่ารถ ประมาณการไว้ว่า 20 Euro ตามป้ายหน้าสนามบิน แต่จ่ายจริงแค่ 17.30 Euro)

สถานี Bologna Centrale นั้น ก่อสร้างมาต้ั้งแต่ปี 1859 และเป็นหนึ่งในสถานีชุมทางสำคัญอีกแห่งของระบบรถไฟ Italy ซึ่งรองรับผู้โดยสารกว่า 58 ล้านคน/ปี ในอดีต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1980 กลุ่มหัวรุนแรง neo-fascist ชื่อ Nuclei Armati Rivoluzionari หรือ Armed Revolutionary Nuclei (NAR) ได้นำกระเป๋าเดินทางซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องแบบประดิษฐ์ขึ้นเอง ไปวางไว้ในสถานี แห่งนี้ จนเกิดระเบิดข้น อาคารพังถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิตกว่า 85 คน บาดเจ็บอีกกว่า 200 คน ปัจจุบันนี้ สถานี Bologna Centrale กลายเป็นสถานีปลายทาง สำหรับรถไฟความเร็วสูง (ตัวขบวนรถเป็นสีแดง) ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2009 ในสถานี มีร้านค้าให้บริการต่างๆมากมาย ตั้งแต่ ธนาคาร ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า Cielo (ประมาณว่า เหมือนแบรนด์ Uniqlo แต่เป็นของยุโรป) ฯลฯ

ห้องจำหน่ายตั๋ว มีคนกดรับบัตรคิวเข้าแถวรอใช้บริการจำนวนมาก เราจึงถามหาชานชาลา กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแถวนั้น โชคดีว่า พอเข้ามาถึงโถงสถานี เลี้ยวซ้ายปุ๊บ เดินตรงไป ก็เจอ รถไฟ TRENITALIA สาย 2250 ที่เราต้องโดยสารเพื่อไปลงยังสถานี Modenaพอดี คราวนี้ ทาง Maserati จองซื้อตั๋วรถไฟทาง On-Line มาให้เราจากกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว และเมื่อขึ้นโดยสารจริงๆ แม้ว่าตัวโบกี้ จะมี 2 ชั้น คล้ายรถไฟญี่ปุ่น บางแบบ แต่เบาะนั่ง กลับหุ้มด้วยหนังไวนิลสีน้ำเงินธรรมดา กันเปื้อน คุณอาจต้องทนนั่งสูดดมกลิ่นปัสสาวะ หรือกลิ่นตัวชาวอิตาเลียนบางคนที่ไม่อาบน้ำอยู่บ้าง เพราะพื้นโบกี้นั้น ไม่สะอาดเอาเสียเลย แต่ทุกที่นั่ง จะมีปลั๊กสำหรับชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์มือถือให้ มีช่องรับอากาศจากภายนอก โดยไม่ต้องเปิดหน้าต่างหลัก และมีช่องวางจักรยาน หรืออุปกรณ์เล่นสกีมาให้ในตู้หัวขบวน คราวนี้ เราไม่เจอคนตรวจตั๋วเลย

เมื่อมาถึงสถานี Modena รถไฟจะแล่นผ่านหลังโรงงาน Maserati พอดีเลย ถึงจะต้องลากกระเป๋า เดินลงจากชานชาลาเอง แต่ไม่ต้องเรียก Taxi อีก เพราะโรงแรม Principe อันเป็นโรงแรมที่พักของเรา อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟมาก อยู่ริมวงเวียน ใกล้โบสถ์ Chiesa s. Giuseppe แค่เดินข้ามถนนไป 2 ครั้ง ก็ถึงเลย! ตัวโรงแรม หน้าตาคล้ายโรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่ราชดำเนิน ในเวอร์ชันย่อส่วน แถมมีกลิ่นกุหลาบฉุนๆ ของน้ำยาทำวามสะอาด ตลบอบอวน คืนละประมาณ 3,600 บาท (เช็คราคาตามเว็บ)

วันแรกของการมาถึง ยังไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่า เดินข้ามถนนไปเยี่ยมชม Museo Enzo Ferrari Modena ที่ผมเคยมาดูแล้วเมื่อปี 2018 ปีนี้ เขาก็เปลี่ยน Theme การจัดแสดงตามฤดูกาลไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก ก่อนจะเดินลัดเลาะ เข้าไปในใจกลางเมือง ดูปราสาท วิหาร Shopping Street และจัดมื้อเย็นไปเบาๆที่ร้านอาหาร Da Enzo ก่อนเดินกลับที่พัก

ล่วงเข้าวันที่ 17 กรกฎาคม 2019 เราเดินออกจากโรงแรม Principe ตรงเข้าไปในตัวเมือง Modena เพื่อพบกับทีมงาน Maserati รวมทั้ง คุณ Natsuko Nomura , Communication & PR Director ประจำภูมิภาค APAC (Asia-Pacific) & Japan ของ Maserati Japan ที่โรงแรม Rua Frati 48 in San Francesco ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพักอยู่ 1.4 กิโลเมตร ตอนเที่ยงตรง เพื่อรับประทานมื้อเที่ยง ก่อนที่จะเข้าไปเยี่ยมชม Showroom สำนักงานใหญ่ และ โรงงาน Modena ของ Maserati

Maseati ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1914 โดย 5 พี่น้องตระกูล Maserati ได้แก่ Alfieri, Bindo, Carlo, Ettore และ Ernesto เดิมที Alfieri, Bindo และ Ernesto นั้น ทำรถแข่ง เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้บริษัท Diatto มาก่อน (บริษัทผลิตรถยนต์ช่วงปี 1905 – 1929 ศึกษาเพิ่มเติมได้ใน http://www.diatto.it/EN/home.html ) วนเวียนอยู่กับการทำรถเข้าแข่งขันรายการต่างๆ คว้าชัยชนะ แล้วก็ทำรถแข่งกันต่อไป วนไป คล้ายกับเรื่องราวของ Ferrari และ Bugatti เพียงแต่ว่า มีรายละเอียดแตกต่างกัน

ปี 1920 สัญลักษณ์ของบริษัทเป็นรูป Trident หรือ ตรีศูล ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดย Mario Maserati ออกแบบขึ้นด้วยแรงบันดาลใจ จากรูปปั้นแกะสลักน้ำพุ Fountain of Neptune ซึ่งตั้งอยู่กลาง จตุรัส Piazza Maggiore ในเมือง Bologna ที่ห่างออกจาก Modena ไม่ไกลนัก พวกเขาเลือกใช้สัญลักษณ์นี้ ตามคำแนะนำของเพื่อนที่ชื่อ Marquis Diego de Sterlich โดยเทพเจ้า Neptune สื่อถึงความแข็งแกร่ง และ เปี่ยมพละกำลัง ส่วนรูปปั้นนั้น สื่อถึงเมืองต้นกำเนิดของบริษัท

หลังการจากไปของ Alferi Maserati ในปี 1932 ต่อมา ปี 1937 4 พี่น้องตระกูล Maserati ได้ขายหุ้นของตนให้กับครอบครัวของ Adolfo Orsi ซึ่งได้ตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ มาอยู่ในเมือง Modena โดยทั้ง 4 พี่น้อง มุ่งเน้นทำรถแข่ง ส่งเข้าชิงขัยในรายการต่างๆ และคว้าชัยชนะหลายต่อหลายสังเวียน จนนับไม่ถ้วน จนทาบรัศมีผู้ผลิตอย่าง Auto Union (Audi ในปัจจุบัน) และ Mercedes-Benz ตลอดช่วงปี 1939 – 1940 รวมทั้งไปคว้าชัยชนะในรายการ Indianapolis 500 ที่สหรัฐอเมริกา จน Maserati กลายเป็นผู้ผลิตชาว Italian เพียงรายเดียว ที่เคยชนะในรายการนี้

อันที่จริง ประวัติศาสตร์บางส่วนของ Maserati ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีความเกี่ยวพันกับผู้ผลิตรถยนต์ในอิตาลี หลายราย ทั้ง Diatto , Bugatti โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ferrari เพราะ ในสมัยยังเยาว์ Enzo Ferrari เคยลงทุนเก็บเงินซื้อรถ Maserati มาปรับปรุงสมรรถนะ ลงแข่งขัน และคว้าถ้วยรางวัลมาแล้ว ถ้าจะเรียกได้ว่า หากไม่มี รถยนต์ Maserati คันนั้น เราก็อาจไม่ได้เห็น Ferrari ในวันนี้ ก็คงจะไม่ผิดนัก

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาต้องยุติการผลิตรถยนต์ จากคำสั่งของรัฐบาล เพื่อให้มีชิ้นส่วนเพียงพอกับการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ กับกองทัพอิตาลี ระหว่างนั้น ก็ยังรับงาน ทำรถยนต์ประจำตำแหน่งให้ ผู้นำอิตาลี อย่าง Benito Mussolini แม้ว่าโครงการจะถูกยุบไปเสียก่อน แต่หลังปี 1947 พวกเขาเริ่มกลับมาผลิต Maserati A6 เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ออกจำหน่ายอีกครั้งจนถึงปี 1956

Maserati เคยถอนตัวจาการแข่งรถยนต์ หลังจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ Guidizollo ระหว่างการแข่งขันรายการ Mille Miglia ในปี 1957 (Alfonso de Portago ขับรถแข่ง Ferrari 335 S จนเกิดยางระบิด เสียหลัก พุ่งเข้าชนคนดูจนมีผู้เสียชีวิตถึง 12 คน ในจำนวนนั้นมีเด็ก 2 ศพ รวทั้งตัวของ Portago เองที่มีสภาพศพร่างขาด 2 ท่อน ส่วน Edmund Nelson Co-Driver ก็เสียชีวิตในสภาพผิดรูปผิดร่างคากับซากรถ) แต่ Maserati ยังคงทำรถแข่ง ขายให้กับ ทีมแข่งอิสระต่อไป ปีเดียวกันนั้นเอง พวกเขาเปิดตัว Maserati 3500GT สุดสวยงาม เครื่งยนต์ 6 สูบเรียง 3.5 ลิตร ทำตลาดจนถึงปี 1964 และประสบความสำเร็จในการเปิดทางให้โลกได้รู้จัก Maserati ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ประเภท Gran Turismo ที่หรูหราและส่งพลัง สำหรับการเดินทางไกล

นับจากนั้น พวกเขาเริ่มปล่อยรถยนต์รุ่นใหม่ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ออกมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Sebring (1962) Quattroporte Saloon รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ (1963) Mistral Coupe (1963) Spider (1964) Chibli Coupe (1967) แต่สถานการณ์ทางการเงิน ก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าที่ควร

Citroen บริษัทรถยนต์จากฝรั่งเศส เข้ามาซื้อกิจการ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1968 และวางรากฐานบางอย่างให้ ทั้งด้านการผลิต และองค์ความรู้ด้านระบบ ไฮโดรลิค ที่พวกเขาชำนาญ ผลจากความร่วมมือที่สำคัญก็คือ Citroen เคยให้ Maserati ผลิตเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ไปวางให้กับ Citroen SM Coupe ของตน ออกขายในช่วงปี 1970 – 1975 มาแล้ว รวมทั้งการเปิดตัวรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง รุ่น Bora (1971) และ Merak (1972)

ทว่า วิกฤติการณ์น้ำมัน ในปี 1973 ทำให้ ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก ต่างเจอภาวะชะงักงัน ยอดขายตกฮวบ และ Citroen เองก็ขาดทุนอย่างหนัก จนต้องเข้าไปร่วมกลุ่มกับ Peugeot และ ผู้ผลิตยาง Michelin เป็นกลุ่ม PSA Group ปี 1974 เป็นปีที่เลวร้ายสุด เพราะตลอดทั้งปี ยอดขายลดลงจากปี 1973 (360 คัน) เหลือเพียง 150 คันเท่านั้น!

22 พฤษภาคม 1975 Citroen ออกแถลงการณ์ว่า Maserati บริษัทในเครือของตน อยู่ในภาวะล้มละลายแล้ว แต่ยังพร้อมจะขายต่อให้ผู้สนใจ ทุกฝ่ายในเมือง Modena พยายาม หาทางออกเพื่อรักษาชีวิตของคนงาน 800 คนในตอนนั้นเอาไว้ ท้ายที่สุด 8 สิหาคม 1975 รัฐบาลอิตาลี ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของใหญ่ ในรูปแบบ Gepi หรือ Holding Company ที่ มีภาครัฐเป็นเจ้าของ และว่าจ้าง Alejandro de Tomaso นักอุตสาหกรรม และอดีตนักแข่งรถชาว Argentina มาเป็นประธานและ CEO ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้น รถยนต์หลายรุ่นถูกปลดจากสายการผลิต และพวกเขาก็เริ่มนำรถยนต์แบบ เครื่องยนต์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ออกมาวางขาย เริ่มจาก Maserati Bi-Turbo เปิดตัวเมื่อ 14 ธันวาคม 1981 วางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Turbo คู่ 180 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.5 วินาที Top Speed 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้น ตามด้วย Sedan 4 ประตู รุ่น 420 และ 425 รวมทั้ง รุ่นเปิดประทุน Spyder ผลงานของ Zagato ทำยอดขายรวมทุกรุ่นไปได้กว่า 40,000 คัน ถือว่า ยุค 1980 – 1989 เป็นทศวรรษแห่งการประคับประคองตัวให้อยู่รอด

FIAT เริ่มเข้ามามีเอี่ยวอย่างจริงจังในเดือนตุลาคม 1989 De Tomaso ซื้อหุ้นส่วนที่เหลือจาก รัฐบาลอิตาลี จนหมด Maserati และ ผู้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก Innocenti ซึงเคยถูกจับควบรวมกันในยุคก่อนหน้านั้น ถูกจับแยกออกจากกันอีกครั้ง โดย Innocenti Milano S.p.A ดำเนินธุรกิจต่อไปโดย FIAT เข้าถือหุ้น 51% ส่วนโรงงาน Modena และ Lambrate ถูกรวบมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ในชื่อ Maserati S.p.A. ซึ่ง FIAT Auto ถือหุ้น 49% และ De Tomaso ถือหุ้น 51% ผ่านทางบริษัทเดิมชื่อ Officine Alfieri Maserati

19 พฤษภาคม 1993 De Tomaso ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดของตนให้ FIAT เป็นการยุติบทบาทของตนอย่างสมบูรณ์ FIAT ทุ่มงบเข้ามาสนับสนุน Maserati แต่ต่อมา FIAT เองก็มีปัญหาภายใน จนตัดสินใจขายหุ้น 50% ของทั้งหมดที่ถืออยู่ใน Maserati ให้กับ Ferrari (ซึ่ง FIAT ก็เป็นเจ้าของ Ferrari อีกทีหนึ่ง) การเข้ามาของ Ferrari คือการนำพา Maserati ให้ฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งจนสำเร็จ จนพวกเขาสามารถออกรถยนต์ Coupe รุ่น 3200 GT ได้ในปี 1998 ตามด้วยสารพัดรถยนต์รุ่นใหม่ๆหลังจากนั้น ทั้ง Quattroporte , Coupe & Spyder (3200GT Big Minorchange : 2002) ฯลฯ

17 กุมภาพันธ์ 2005 Maserati ถูกแยกออกจาก Ferrari กลับมาอยู่ภายใต้การบริหารของ FIAT หลังจากนั้น ปี 2007 พวกเขาก็ประกาศการกลับมามีผลกำไรอีกครั้งในรอบ 17 ปี ต่อมา 22 มกราคม 2010 FIAT จับ Maserati ไปรวมกลุ่มกับ Alfa romeo และ แบรนด์สมรรถนะสูงสำหรับ Fiat อย่าง ABARTH ก่อนที่่ ทั้งหมดจะถูกต้อนเข้ามาอยู่ในกลุ่ม FCA (Fiat Chrysler Automobile) หลังการเข้าควบรวมกิจการกับ Chrysler Corporation ที่ล้มละลาย ในปี 2011 และยังคงดำเนินกิจการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ ผมเคยมาเยือน Showroom และสำนักงานใหญ่แห่งนี้เป็นครั้งแรก เมื่อปี 2017 ที่นี่ มีไกด์คอยต้อนรับ เล่าเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานกว่า 105 ปี ของ Maserati ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้ง ผ่านการบรรยาย ร่วมกับบรรดารถยนต์จำลองขนาด 1:43 ที่จัดแสดงอยู่ในตู้โชว์ ซึ่งถูกจัดทำอย่างประณีต บรรจง และมี Gimmick อยู่ในนั้นเยอะมาก

มาถึงปีนี้ 2019 ตัว Showroom ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมจากเดิมเล็กน้อย พวกเขา เพิ่มห้อง ONE of ONE สำหรับให้ลูกค้า เข้ามาเลือกสี ลายล้อ หนังหุ้มเบาะ เลือก Customize รถของตัวเองได้ตามความชอบใจ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ ฝั่งของ ร้านขายของที่ระลึก ก็ยังคงมีสินค้าให้เลือกมากมายในราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่เช่นเดิม ยกเว้นรองเท้าขับรถ ซึ่งถือว่า ราคาพอกันกับท้องตลาด ส่วนรถโมเดล 1 : 43 ราคาจะขึ้นอยู่กับความใหม่ของรถรุ่นนั้นๆ และปริมาณของเหลือในสต็อก แต่ถ้ารถโมเดลขนาด 1 : 18 ราคายังถือว่าแพงอยู่ เช่นเดียวกับสินค้าพวกเสื้อผ้าและเครื่องประดับ (แต่ทั้งหมดนั้น ยังถือว่าราคาถูกกว่า สินค้า Collection จากแบรนด์ญาติผู้พี่ อย่าง Ferrari มากๆ)

จากนั้น เราเดินเข้าไปชมโรงงาน Modena ซึ่งอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่า เราถูกขอให้งดการถ่ายภาพ เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้าม ความลับเยอะ ซึ่งเราก็ต้องทำตามกฎของเขาแต่โดยดี และเมื่อได้เข้าไปเยี่ยมชมแล้ว ก็เข้าใจทันทีเลยว่า ความลับหนะ เยอะมาก ไม่ควรถ่ายรูปออกมาให้ดูหนะดีแล้ว!

ไม่น่าเชื่อว่า โรงงานขนาดเล็ก ที่ผ่านกาลเวลามาหลายทศวรรษนััน วันนี้ มันแอบซ่อนเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยจำนวนมากมายมหาศาล ไว้ด้านหลังกำแพงอิฐสีแดง ทุกวันนี้ พนักงานกว่า 500 คน ยังคงผลิตรถยนต์ Gran Turismo Coupe และ Gran Cabrio รวม 5,000 คัน/ปี โรงงานแห่งนี้ แทบไม่มีสต็อกชิ้นส่วนสำหรับการประกอบรถยนต์ เกินกว่า 2 วัน เพราะใช้ระบบ Just in time (แบบ Toyota นั่นแหละ) มาใช้ในการบริหารจัดการชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณรอบๆเมือง Modena และเขตอื่น วันที่เราไปเยือนนั้น คือวันที่ 17 กรกฎาคม 2019 มีรถยนต์ Gran Cabrio ซึ่งถูกสั่ง Order จาก Dealer ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมา กำลังอยู่บนสายการประกอบ นั่นหมายความว่า เมื่อรวมกระบวนการทั้งหมด นับตั้งแต่วันสั่งซื้อ จนถึงวันส่งมอบรถ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั่วโลก ว่ามากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลานั้นๆ

นอกจากนี้ โรงงาน Modena แห่งนี้ ยังรับจ้างบริษัทในเครือ FCA ช่วยประกอบ Alfa Romeo 4C Competzione อีกต่างหาก แถมยังเจอเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อก็คือ ผมเห็นรถกระบะ Mitsubshi Triton รุ่นปัจจุบัน ที่โรงงาน Maserati แห่งนี้ด้วย!

รถกระบะจากไทย มาทำอะไรในโรงงานตรีศูลแห่งนี้? เหตุผลก็คือ FCA ทำข้อตกลงกับ Mitsubishi Motors ในการสั่งซื้อรถกระบะ Triton ไปขายในแบรนด์ของตนเอง เป็นเวอร์ชันฝาแฝด ในชื่อ Fiat Fullback นั่นเอง ดังนั้น รถกระบะล็อตนี้ จึงถูกส่งมาให้ Maserati ช่วยพ่นสี และติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ เพื่อเป็นรถดับเพลิง ส่งขายให้หน่วยงานรัฐบาลของอิตาลี

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ Angela Guide Tour โรงงานของเรา ยืนกรานว่า Fullback ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน Fiat ใน Turin ทว่า เมื่อตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด เรายืนยันได้ว่า Fiat Fullback ทั้งหมดทุกคัน ที่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เริ่มเปิดตัวในเดือนเมษายน 2016 จนถึงปัจจุบัน ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน Mitsubishi Motors (Thailand) ที่แหลมฉบัง ในประเทศไทยทั้งสิ้น ข่าวร้ายก็คือ FCA กำลังคิดจะยุติการทำตลาด Fiat Fullback ภายในปีนี้ เนื่องจากลูกค้าชาวยุโรป มองว่า มันเป็นแค่การซื้อรถกระบะ L200 Triron จาก Mitsubishi มาแปะตราและกระจังหน้าของตัว Fiat เอง ขายหากินกันไปเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงตอนนี้ ราวๆ 3 ปี Fullback มียอดขายทั่วโลกราวๆ 22,000 คัน เท่านั้น!

กลับมาดูโรงงาน Modena กันต่อ ที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นสายการผลิตให้กับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของ Maserati และ Alfa Romeo เท่านั้น หากแต่ยังเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ มีแผนกออแบบเครื่องยนต์อยู่ในนี้ แถมยังมีห้องทดสอบความทนทาน และการปล่อยมลพิษของเครื่องยนต์ ถึง 3 ห้อง ที่อัดแน่นด้วยเครื่องมือทันสมัยจำนวนมาก แถมยังมี ห้องทดสอบด้านการปล่อยมลพิษ Emission Lab test facility ถึง 3 ห้อง เจ้าหน้าที่ของโรงงานบอกว่า ถ้าต้องการจะทดสอบเครืองยนต์ต้นแบบสักเครื่อง พวกเขาจะใช้เวลายาวนานถึง 1 ปีเต็ม! ทดสอบจนกว่า มั่นใจว่า จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และมลพิษต้องต่ำ จึงจะมีคำสั่งให้นำไปผลิตออกสู่ตลาดจริงได้

ในระหว่างที่เราเดินเข้าไปเยี่ยมชมนั้น เราพบว่า ทีมวิศวกรของ Maserati กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการทดสอบด้านมลพิษ ของ เครื่องยนต์ V8 รุ่นใหม่ ที่จะมีพละกำลังเกินกว่า 600 แรงม้า (HP) ขึ้นไป!! รวมทั้งรับงานของค่ายงูกินเด็ก ในการทดสอบ Alfa Romeo Giulia Saloon รุ่นปรับโฉม Minorchange บน Dynamo meter Lab แถมยังมี Giulia Quadrifoglio รุ่นตัวแรงสุดเท่าที่เคยมีมา อยู่ในโกดังเก็บรถต้นแบบ สำหรับรอการทดสอบอีกด้วย

แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น เท่ากับการได้ไปเห็นรถสปอร์ต พรางตัว สีดำ คันหนึ่ง กำลังทดสอบอยู่ใน Emisiion Lab Test ห้องกลาง รถคันนี้ เป็นแบบ 2 ที่นั่ง มีสปอยเลอร์หลัง แบบปีกขนาดใหญ่ สำหรับใช้กับรถแข่ง และที่น่าสงสัยคือ มีแนวโน้มว่า อาจเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-Engine ซึ่งน่าจะเป็น 1 ในรถยนต์ที่ Maserati มีแผนจะนำออกสู่ตลาด ตามหลัง รถยนต์ GT Coupe รุ่นใหม่อย่าง Alferi ซึ่ง คนของ Maserati ยืนยันกับเรา จากปากของเธอเองแล้วว่า Alferi จะมีกำหนดเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2020 อย่างแน่นอน!

สิ่งที่ผมได้เห็นในการเดินเยี่ยมชมโรงงาน Modena ครั้งนี้ คือความตื่นตาตื่นใจ ในการลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์ฝั่ยุโรป ที่ยังคงทุ่มทุนให้กับการพัฒนาตัวรถยนต์ ให้นำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ ถ้าคุณคิดว่า ผู้ผลิตชาวจีน เริ่มไล่ตามชาวยุโรป ทันแล้วละก็ อาจจะต้องคิดทบทวนอีกครั้ง เพราะในฐานะของคนที่เพิ่งไปเยือน ศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ของ ผู้ผลิตชาวจีนอย่าง SAIC และ SGMW ซึ่งเป็น ยักษ์อันดับ 1 ในจีนแล้ว ผมมองว่า พวกเขายังตามห่างผู้ผลิตชาวยุโรป อีกไกลพอสมควร และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่ตามทัน (จีนจึงหันไปเปิดศึกรถยนต์ไฟฟ้า แทน ซึ่งง่ายดาย และใช้เงินลงทุนไม่สูงนักในสายตาของนักธุรกิจแดนมังกร)

จากนั้น เราขึ้นรถ Minibus เดินทางออกจาก โชว์รูมสำนักงานใหญ่ และโรงงาน Modena ของ Maserati เข้าสู่ทางหลวงสาย Autostrada SS9 วิ่งอ้อมเมือง เข้าสู่ทางหลวง SS724 ถึงทางออกขวา ที่มีป้ายเล็กๆเขียนว่า ไปสนาม Autodromo จึงเบี่ยงออกขวา แล้วเลี้ยวขวาที่สามแยก ซึ่งคุณจะเห็นป้ายบอกทางไป พิพิธภัณฑ์ Museo d’Auto d’epoca “Panini” ให้เลี้ยวขวาตามป้าย แล้วขับตรงไปตามถนน Str.Cucchiara ไปพักนึ่ง จะเห็นซอยทางขวามือ พร้อมป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว ให้เลี้ยวขวาตามป้ายเข้าไปได้เลย ขับไปตามทางแคบๆ นิดเดียว ฟาร์ม Hombre จะอยู่ทางซ้ายมือ เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าไป จะเจอกับถนนแคบๆ ที่มีต้นไม้ปลูกเรียงต่อเนื่องกันเป็นทิวแถวตลอด 2 ข้างทาง นั่นละครับ คุณเดินทางมาถึงแล้ว….

ผมเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง ก็พบว่า ที่นี่ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก ภายในฟาร์ม Hombre และโรงงานผลิต Chesse ท้องถิ่น รสดีชื่อ Parmiggiano Reggiano แห่งนี้ มีพิพิธภัณฑ์รถยนต์ Panini Motor Museum ซุกซ่อนอยู่

คุณลุงไกด์กิติมศักดิ์ของเรา เป็นอดีตพนักงานของ Maserati ตั้งแต่ปี 1964 และเพิ่งจะเกษียณไปเมื่อ 17 ปีที่ผ่านมา ยังคงมาร่วมงานกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Maserati ในกิจกรรมสำคัญๆ เช่นคราวนี้ คุณลุง พาทัวร์บรรยากาศ และเล่าเรื่องราวตำนานต่างๆของบรรดารถยนต์กับจักรยานยนต์ในประวัติศาสตร์ที่หายาก หลายต่อหลายคัน อาทิ FIAT , Lancia , Chrysler , Cadillac , Mercedes-Benz 300SL Gullwing สีน้ำเงินเข้ม , Alfa Romeo Giuletta, Lambretta , Beneli , Ducati ฯลฯ แน่นอนว่า ในจำนวนนั้น มีรถยนต์ Maserati มากถึง 24 คัน ประกอบไปด้วย

1934 Maserati 6C 34
1936 Maserati 6CM
1953 Maserati A6GCS 53 “Berlinetta”
1954 Maserati A6G 54 2000 Allemanno
1957 Maserati 250F V12 รุ่นที่ พระองค์เจ้าพีระฯ ใช้คว้าชัยชนะในสนามแข่งระดับโลก!
1958 Maserati 3500 GT
1958 Maserati TIPO 420/M/58 ELDORADO (ขับโดย Sir Sterring Moss ผู้โด่งดัง)
1961 Maserati TIPO 61 BIRDCAGE DROGO
1961 Maserati TIPO 63 V12 Serenissima
1965 Maserati MISTRAL Coupe
1968 Maserati GHIBLI Coupe
1968 Maserati SIMUN Prototipo
1970 Maserati GHIBLI Spyder
1971 Maserati BORA
1974 Maserati TIPO 124 Italdesign Prototipo
1975 Maserati KHAMSIN
1980 Maserati MERAK SS Turbo Prototipo (คันสีเหลือง)
1989 Maserati QUATTROPORTE Royale (Sedan สีเทา จอดข้าง Merak)
1990 Maserati CHUBASCO Prototipo (รถต้นแบบคันสีแดงจอดบนชั้น 2)
1991 Maserati BARCHETTA Stradale Maquette
1996 Maserati GHIBLI Open Cup
2002 Maserati 3200 GT Trofeo

2010 Maserati Gran Turismo Trofeo MC (เพิ่มเข้ามาหลังปี 2017)
2016 Maserati Gran Cabrio สีน้ำเงิน (เพิ่มเข้ามาหลังปี 2017)

ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผมเคยเขียนไปแล้ว เมื่อครั้งที่ได้มาเยือนกิจการ Maserati ที่ Modena เมื่อปี 2017 แต่สำหรับใครที่เพิ่งเคยเปิดมาอ่าน Website ของเราเป็นครั้งแรก ผมก็คงต้องขอทบทวนความจำกันสักหน่อยว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไม่เพียงแค่สะสมรถยนต์รุ่นหายากเหล่านี้ไว้ หากแต่ยังมีส่วนช่วยรักษาบรรดารถยนต์เหล่านี้ ไว้จากการถูกนำไปประมูลขายมาแล้วด้วย!

เรื่องมีอยู่ว่า ในเดือนพฤษภาคม 1993 FIAT ได้ซื้อกิจการ Maserati จาก DeTomaso ดังนั้น รถยนต์ใน Collection เหล่านี้ทั้งหมด จึงถูกส่งไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของบริษัท รวมทั้งงาน Bologna Motor Show ในเดือนธันวาคม 1994

ทว่า ในเดือนกรกฎาคม 1996 De tomaso ยืนกรานว่า Maserati ต้องส่งคืนรถยนต์และเครื่องยนต์ ในพิพิธภัณฑ์ของตนให้กับเขา Maserati มีงบพอแค่ซื้อรถยนต์บางส่วน รวมทั้งเครื่องยนต์อีก 15 รายการ ดังนั้น รถยนต์ทั้ง 19 คัน จะต้องถูกส่งไปประมูล ที่ Brook Auction House ในกรุง London ประเทศอังกฤษ ภายในวันที่ 2 ธันวาคม 1996

เรื่องนี้รู้ถึง เทศบาลเมือง Modena หลายๆคนจึงร้อนอาสน์ Walter Veltroni รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น รวมทั้ง นายกเทศมนตรีเมือง Modena อย่าง Giuliano Barbolini ต่างร่วมกันหาทางออกเพื่อไม่ให้ สมบัติประจำเมืองเหล่านี้ต้องถูกนำไปประมูลขาย

Umberto Panini ผู้ล่วงลับ เจ้าของกิจการสิ่งพิมพ์ สติกเกอร์ Panini ที่โด่งดังในอิตาลี และต่อมา ได้ขายทิ้ง แล้วก่อตั้งฟาร์ม Hombre แห่งนี้นี่ละ คือคนที่เข้ามาช่วยรักษา รถยนต์ Maserati รุ่นหายากเหล่านี้ ให้พ้นจากการถูกนำไปประมูลที่กรุง London ได้ทันควัน เขาตัดสินใจซื้อรถทั้งหมดนี้ ก่อนการประมูลจะเกิดขึ้นไม่นานนัก และในที่สุด ครอบครัว Panini ก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาชม ศึกษาหาความรู้ และเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาคนรักแบรนด์ Maserati จากทั่วโลก

นอกจากนี้ เรายังมีโอกาส ได้เยี่ยมชม กิจการโรงงานผลิต Chesse โดยลูกชาย 1 ใน 3 คน ของ Umberto Panini อีกด้วย ที่นี่ เน้นทำ Chesse เพื่อส่งขายในประเทศอิตาลีเป็นหลัก ด้วยเหตุผลด้านการรักษาคุณภาพของ Chesse ซึ่งพวกเขาพิถีพิถันและใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะเปิดให้เยี่ยมชมเข้าชมได้เฉพาะเดือน มีนาคม ถึง ตุลาคม ของทุกปี เท่านั้น (เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ สิงหาคม พฤศจิกายน และธันวาคม พิพิธภัณฑ์จะปิดไม่ให้เข้าชม) และ แม้ว่าจะไม่มีการเก็บค่าเข้าชม แต่ต้องไปเป็นหมู่คณะ ควรมีจำนวนสมาชิกในทริปมากกว่า 6 คนขึ้นไป และต้องลงทะเบียนจองวัน และเวลา ก่อน เท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปดูได้ ในเว็บไซต์ http://www.paninimotormuseum.it/

เมื่อเดินทางกลับมาถึงโรงแรมที่พัก ประมาณ 18.30 น. ทาง Maserati ก็ส่ง บริการ Limousine มารับเรา ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ได้นั่ง Lancia Voyager อันเป็น Minivan ที่ Fiat สั่งซื้อ Chrysler Voyeger จากสหรัฐอเมริกา มาทำตลาดในยุโรป อยู่พักหนึ่ง อันที่จริง ตัวรถถือว่า ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ที่ขายไม่ค่อยออก น่าจะเป็นเพราะงานออกแบบซึ่งดูเชยๆ และเบาะนั่งทั้งคู่หน้าและแถวกลางที่แอบเล็กไปนิดสำหรับ

ปิดท้ายในช่วงหัวค่ำ ด้วยการนั่งรถกลับมายัง สำนักงานใหญ่ของ Maserati เพื่อรับฟัง รายละเอียดและจุดเด่นของตัวรถ Levante GTS และ Trofeo จากผู้บริหารของ Maserati ก่อนที่จะเดินกลับไปยังพื้นที่ในโรงงาน เพื่อพบกับ Dinner มื้อพิเศษ ที่ทาง Maserati จัดให้เราได้นั่งอยู่ในบริเวณคลังอะไหล่ชั่วคราว ซึ่งถูกเนรมิตให้กลายเป็นพื้นที่รับประทานอาหารค่ำสุดหรู อันน่าประทับใจ ก่อนจะพาเราส่งกลับโรงแรม เพื่อพักผ่อน เตรียมพร้อมในการทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ของพวกเขา ในวันรุ่งขึ้น

8.00 น. ของเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม 2019 Lancia Voyeger คันเดิม ก็พาเรามาส่งยัง Piazza Roma Modena ซึ่งเป็นจตุรัสใหญ่สุดใจกลางเมือง Modena ที่เราเดินผ่านมาตลอด 2 วันก่อนหน้านี้ เพื่อมาเริ่มต้นกิจกรรมการทดลองขับ กว่าจะเสร็จสิ้นื ก็ปาเข้าไปประมาณ 14.30 น. เมื่อเสร็จสิ้นจากการทดสอบแล้ว เราถูกส่งกลับไปยังสนามบิน Bologna เพื่อขึ้นเครื่องบินของ Turkish Airline มาเปลี่ยนเครื่องบินกันอีกครั้ง ที่สนามบิน Istanbul ใหม่ แห่งเดิม เพื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย ทันที

นั่นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับทริปของเรา ตลอด 3 วันที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ คุณๆ คงจะเริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า เวอร์ชัน Top of the Line ของ Maserati Levante ขุมพลัง V8 ทั้ง Trofeo และ GTS จะให้ประสบการณ์น่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน รายละเอียดทั้งหมดที่คุณรอคอย อยู่ข้างล่างนี้แล้ว….

แต่ก่อนอื่น สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก Levante มาก่อน ขอย้อนเรื่องราวความเป็นมาของรถคันนี้ สักหน่อยก็แล้วกันนะครับ

Maserati Levante เป็นรถยนต์ SUV (Sport Utility Vehicle) แบบแรกในประวัติศาสตร์ของ แบรนด์ตรีศูล ถูกเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ในฐานะรถยนต์ต้นแบบ Maserati Kubang ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อเดือนกันยายน 2011 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจริงได้ นาฬิกาและปฏิทิน ก็พร้อมใจกันล่วงเลยผ่านมาถึง 5 ปี โดย Maserati เลือกเปลี่ยนชื่อจาก Kubang มาเป็น “Cinqueporte” อันแปลว่า “5 ประตู” เพื่อให้ล้อไปกับรุ่น Saloon อย่าง “Quattroporte” อันแปลว่า “4 ประตู” แต่ท้ายที่สุด Maserati ก็เลือกเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Levante” อันมีความหมายถึง กระแสลมอุ่นๆ จากทะเล เมดิเตอเรเนียน

Levante มิติตัวถังยาว 5,003 มิลลิเมตร กว้าง 1,968 มิลลิเมตร สูง 1,679 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,004 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 2,109 กิโลกรัม มีเครื่องยนต์ให้เลือก ในช่วงเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 – 2018 รวม 2 แบบ 3 ระดับความแรง

รุ่น เบนซิน วางเครื่องยนต์จาก Ferrari รหัส F160 เบนซิน V6 สูบ ทำมุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร (2,979 ซีซี) กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.5 x 84.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.7:1 หัวฉีดแบบ GDi (Direct Injection) พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbocharger 2 ลูก

กำลังสูงสุดของรุ่น Levante มาตรฐาน อยู่ที่ 350 แรงม้า (HP) ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร(50.95 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 4,750 รอบ/นาที ส่วนรุ่น Levante S จะแรงขึ้นเป็น 430 แรงม้า (HP) ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 580 นิวตันเมตร ( 59.10 กก.-ม.) ที่ 4,500 – 5,000 รอบ/นาที

ส่วนรุ่น Diesel วางเครื่องยนต์ จาก VM Motori รุ่น A630HP Diesel V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร (2,987 ซีซี.) กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Commonrail Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 275 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (ุ61.14 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 2,600 รอบ/นาที

ทุกรุ่น เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Q4 แบบมี Active Transfer Case กระจายแรงบิดล้อคู่หน้า/หลัง ตั้งแต่ 0/100 ถึง 50/50 พร้อมระบบ Torque Vectoring ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะจาก ZF พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ระบบกันสะเทือนหน้า ปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังแบบ Multi-Link พร้อม ช็อคอัพปรับค่าความหนืดได้ Skyhook Shock Absorbers ปรับระดับได้ 6 ระดับ Air Spring Suspension ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกเป็นแบบมีรูระบายความร้อน 4 ล้อ จาก Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 380 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ คู่หลังขนาด 345 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ พร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัว Maserati Stability Program

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 264 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงจนหยุดนิ่ง ได้ 34.5 เมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 253 กรัม/กิโลเมตร

การเปิดตัว เริ่มต้นขึ้น เมื่อค่ายตรีศูล เผยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ Levante เป็นคร้ังแรก เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2016 ก่อนจะนำไปเปิดผ้าคลุม อย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก ณ พื้นที่ของบูธ Maserati งาน Geneva Motor Show เมื่อ 1 มีนาคม 2016 ก่อนจะถูกส่งไปเปิดตัวในตลาดอเมริกาเหนือ อันเป็นตลาดหลักของรถยนต์รุ่นนี้ ณ งาน New Your Auto Show เมื่อ 24 มีนาคม 2016 ตามด้วยการเปิดตัวในตลาดเมืองจีน ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายอันดับ 2 เมื่อ 25 เมษายน 2016 ในงาน Auto China 2016 สำหรับตลาดอังกฤษ Maserati เลือกเปิดตัว Levante ในงานเทศกาล Goodwood Festival of Speed เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2016

พอถึงปี 2017 Maserati ก็เพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษซึ่งร่วมกันสรรสร้าง กับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำ Ermenegildo Zegna ออกแสดงในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 7 มีนาคม 2017 จากนั้น Maserati GB (Great Britten) ก็พร้อมปิดตัวขุมพลัง เบนซิน สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร เมื่อ 28 เมษายน 2017

Levante รุ่นปี 2018 ถูกเปิดตัว ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 12 กันยายน 2017 โดยแบ่งการตกแต่งเป็น 2 รูปแบบหลัก คือ Grand Lusso เน้นสไตล์หรู และ Grand Sport เน้นตกแต่งในแนวสปอร์ต แต่ยังคงมีทางเลือกเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง ฯลฯ เหมือนเดิม ตามด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ Maserati Levante Nerrisimo Edition 2018 ตกแต่งด้วยโทนสีดำทั้งคัน ยันล้ออัลลอย ส่วนชิ้นงานโครเมียม รอบคัน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบ โครเมียม รมดำ เปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 5 มีนาคม 2018 ในฐานะ Package ตกแต่งพิเศษ พร้อมกันกับ Ghibli และ Quattroporte Nerrisimo Edition

5 ธันวาคม 2018 Maserati นำ Levante รุ่น Gran Lusso มาตกแต่งภายในด้วยเบาะสีเบจ ตัดสลับสีดำ แผง Trim ตกแต่งแผงหน้าปัด และแผงประตู เป็นลาย Carbon Fibre พร้อมสัญลักษณ์ประจำรุ่น ออกจำหน่ายเป็นรุ่นพิเศษ Edizione Noble สำหรับลูกค้าในเขตอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะ มีจำนวนจำกัด 50 คัน เท่านั้น ซึ่งก็จำหน่ายหมดไปแล้ว

ย่างเข้าสู่ปี 2019 เพื่อไม่ให้ลูกค้าโซนอื่น น้อยเนื้อต่ำใจ ค่ายตรีศูล จึงนำ Levante รุ่น Gran Sport มาตกแต่งใหม่ เป็น Maserati Levante VOLCANO รุ่นพิเศษ เมื่อ 22 มกราคม 2019 โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน V6 Twin-Turbo 350 และ 450 แรงม้า (HP) ตกแต่งภายนอกด้วยสีตัวถังพิเศษแบบด้าน “Grigio Lava” พร้อมชุดคาลิเปอร์เบรก 6 Pot สีแดง จาก Bremno สวมทับด้วย ล้ออัลลอย 21 นิ้ว ลาย Helio ตกแต่งภายในด้วยเบาะหนังแท้ Full-Grain สีแดง Trim ประดับแผงหน้าปัด ลาย Carbon-Fibre พร้อมป้าย “One of 150” ติดมาให้เป็นพิเศษ จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 150 คัน สำหรับลูกค้าในยุโรป และเอเซีย เท่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น Maserati ยังจัดโปรแกรม ให้ลูกค้าสามารถเลือกสั่งตกแต่งรถ ทั้งสีภายนอก และภายใน Customize กันได้เต็มที่ ในชื่อ ONE of ONE Program นอกจากนี้ พวกเขายังเพิ่งเปิดตัว Maserati Levante Zegna PELLETESSUTA™ ตกแต่งและหุ้มเบาะนั่ง รวมทั้งแผงประตู ด้วยผ้าแบบพิเศษ PELLETESSUTA™ ผลิตโดยแบรนด์เครื่องแต่งกายชั้นนำจากอิตาลี พันธมิตรดั้งเดิมอย่าง Ermenegildo Zegna ในงาน New York Auto Show เมื่อ 10 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา อีกด้วย

ช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด Levante เปิดตัวด้วยยอดขายที่ไม่ค่อยสวยงามนัก ในสายตาของ อดีต CEO ของ Fiat Chrysler Automotive Group (FCA) ผู้ล่วงลับ อย่าง Sergio Marchionne แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตัวเลขยอดขายสะสมตั้งแต่ปี 2016 – 2019 มีจำนวนมากถึง กว่า 55,000 คัน กลายเป็น Maserati รุ่นที่ขายดีสุด เท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกจำหน่ายมา!!

เฉพาะแค่ปี 2018 Maserati ทำยอดขาย Levante ไปได้ถึง 18,400 คัน ตลาดใหญ่ที่สุด ยังคงเป็นทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยยอดาย 5,400 คัน คิดเป็น 29% จากยอดขายทั้งหมด ตามมาติดๆด้วยประเทศจีน ทำตัวเลขได้ 5,300 คัน คิดเป็น 29 % เท่ากับอเมริกาเหนือ รองลงไปคือ ทวีปยุโรป ทำตัเลขได้ 4,800 คัน มีสัดส่วน 26% ส่วนตลาด Asia และทวีปอื่นๆ นั้น ทำยดขายได้ 2,900 คัน คิดเป็น 16% จากยอดขายรวม

สถิติที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าที่ซื้อ Levante นั้น มักมีอายุเฉลี่ย 50 – 60 ปี ซึ่งก็เป็นค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ของลูกค้า Maserati ทั่วโลกอยู่แล้ว ในจำนวนนี้ 90% เป็นลูกค้าที่หันมาทดลองใช้ Maserati เป็นคันแรก!! นอกจากนี้ 63% ของลูกค้าทั้งหมด เคยเป็นเจ้าของ SUV ยี่ห้ออื่นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนลูกค้าสุภาพสตรี ที่อุดหนุน Levante นั้น คิดเป็น 9% จากยอดขายทั้งหมด (ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ Maserati รุ่นอื่น ซึ่งอยู่ที่เพียง 4% จากยอดขายทั้งหมดของแต่ละรุ่น

สำหรับตลาดเมืองไทย Levante มาถึง ในชวงเวลาเดียวกับที่ ผู้จำหน่ายรายเดิม บริษัท Empire Motorsport จำกัด หมดสัญญาลง และทาง Maserati S.p.A. Italy แต่งตั้งให้ บริษัท Design Motor Works จำกัด ในเครือของกลุ่ม MGC-Asia (กลุ่ม Millennium ผู้จำหน่าย Aston Martin , Rolls Royce , Peugeot และดีลเลอร์ใหญ่ของ BMW, Honda ฯลฯ) เป็นผู้นำเข้าและจำหน่าย รถยนต์ Maserati ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดยมีการเซ็นสัญญากัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2017 และในวันนั้นเอง Maserati ก็มีการเปิดราคาของ Levante รุ่นเครื่องยนต์ Diesel 2 รุ่นย่อย ทั้งรุ่น Diesel L 7,990,000 บาท และ Diesel H 8,390,000 บาท ก่อนจะเปิดตัว Re-Launch brand อีกครั้ง ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2017 และมียอดขายไปได้เรื่อยๆ พอมีลูกค้าสนใจ แต่ยังไม่ถึงกับหวือหวานัก เพราะส่วนใหญ่ หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลักอย่าง Porsche Cayenne

อย่างไรก็ตาม ตามปกติของผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งยุโรป เมื่อเวอร์ชันมาตรฐานขายดี ย่อมต้องมีเวอร์ชัน Hi-Performance ออกมาเอาใจลูกค้ากระเป๋าหนัก แต่อยากได้ความแรงเพิ่มขึ้นจากรุ่นดั้งเดิมด้วย ดังนั้น Maserati จึงแอบซุ่มพัฒนา เวอร์ชันดุดันที่สุดของตระกูล อย่าง Maserati Levante Trofeo ให้เสร็จทันกำหนดเปิดตัวครั้งแรกในงาน New York International Auto Show เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2018

ช่วงแรกที่เปิดตัว Maserati กระตุ้นตลาดด้วยการออกรุ่นพิเศษ Levante Launch Edition สีน้ำเงินด้าน ตกแต่งภายในด้วย ด้ายสีน้ำเงิน สอดรับกับตัวรถ จำนวนจำกัด 100 คัน ออกมาให้ลูกค้ามหาเศรษฐีกลุ่มแรก ได้จับจองกัน ซึ่งจนถึงตอนนี้ Maserati Levante Trodeo Launch Edition ทุกคัน ถูกจับจองไปหมดแล้ว

แต่หลังจากนั้น เพียงไม่ถึง 3 เดือน เวอร์ชันที่ลดทอนความแรงลงมาเล็กน้อย อย่าง Maserati Levante GTS ก็ถูกเปิดตัว ตามมาติดๆ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2018 ในงาน Goodwood Festival of Speed ครั้งที่ 25 ณ ประเทศอังกฤษ

โรงงาน Mirafiori ในเมือง Turin ที่ Italy ยังคงรับหน้าที่ผลิต Levante ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นขุมพลัง V8 ทั้งรุ่น Trofeo และ GTS ร่วมกับ Levante รุ่นเครื่องยนต์ V6 บนสายการผลิตเดียวกัน โดยรุ่น V8 เพิ่งเริ่มผลิตในช่วงเดือน มิถุนายน – กันยายน 2018 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มลูกค้า ในทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งสหรัฐฯ และ Canada รวมทั้งตลาดเมืองจีน

Levante Trofeo และ GTS มีขนาดตัวถัง ยาวขึ้นจากรุ่นปกติ 5,003 มิลลิเมตร เป็น 5,020 มิลลิเมตร กว้างขึ้นจากรุ่นปกติ 1,968 มิลลิเมตร เป็น 1,981 มิลลิเมตร สูงขึ้นจากเดิม 1,679 มิลลิเมตร เป็น 1,698 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้าง จะกว้างถึง 2,158 มิลลิเมตร) แต่ยังคงระยะฐานล้อไว้ที่ 3,004 มิลลิเมตร ตามเดิม ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า /คู่หลัง อยู่ที่ 1,637 และ 1,699 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 2,109 กิโลกรัม มาหยุดอยู่ที่ 2,170 กิโลกรัม! ส่วนถังน้ำมัน มีขนาด 80 ลิตร

ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งไฟหน้าแบบ Full LED Adaptive Matrix ทำงานโดยใช้หลอด LED 15 ดวง ให้แสงสว่างเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 200% นอกจากนี้ ไฟสูง ยังสามารถปรับเป็นแบบอัตโนมัติ เพื่อลดการแยงสายตา ของผู้ขับขี่ยานพาหนะที่แล่นสวนทางมาตอนกลางคืนได้อีกด้วย

นอกจากขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นนิดๆ แล้ว หากคุณเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย จะพบว่า เมื่อมองจากภายนอก Levante Trofeo และ GTS มีความแตกต่างจาก Levante รุ่นธรรมดา นั้น ดังนี้
Levante GTS

  • เปลี่ยนมาใช้ กระจังหน้าแบบใหม่ ซึ่ตรงคู่ แบบ Double Vertical Bar ล้อมรอบด้วยโครเมียม
  • เปลี่ยนเปลือกกันชนหน้า ใหม่ สีเดียวกับตัวถัง มีตาขายลายรังผั้ง Honey Comb
  • Air Blade หรือ ครีบรีดอากาศ พ่นสีดำ
  • Caliper ของจานเบรกทั้ง 4 ล้อ พ่นสีแดง
  • มือจับประตูสีเดียวกับตัวถัง
  • ชายขอบประตูด้านล่าง พ่นสีเดียวกับตัวถัง
  • สัญลักษณ์ GTS มุมล่างของฝาท้าย ใต้ไฟท้ายฝั่งซ้าย
  • เปลือกกันชนหลัง แบบ Sport พร้อม แผง Extractor ใต้กันชน สีเดียวกับตัวถัง
  • ปลายท่อไอเสียเป็นแบบ 2 กลมคู่ ทรงกระบอก ขนาดใหญ่กว่ารุ่น V6
  • ล้อ Aluminum Forged ลายเอกลักษณ์ประจำรุ่น ขนาด 22 นิ้ว
  • สวมยาง Continental Sport Contact 6 โดยยางคู่หน้า เป็นขนาด 265/35 ZR 22 XL ส่วนยางคู่หลัง เพิ่มความกว้างหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากขึ้น เป็น 295/30ZR22 XL


ส่วน Levante Trofeo จะแตกต่างจาก GTS ดังนี้

  • เปลี่ยนมาใช้ กระจังหน้าแบบใหม่ ซึ่ตรงคู่ แบบ Double Vertical Bar เหมือน GTS แต่ล้อมรอบด้วยสี Piano Black
  • เพิ่มช่องรับอากาศ บนฝากระโปรงหน้า ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา
  • เปลี่ยนเปลือกกันชนหน้า ใหม่ สีเดียวกับตัวถัง มีตาขายลายรังผั้ง Honey Comb เหมือน GTS แต่เปลี่ยนแถบด้านล่าง เป็นลาย Carbon
  • Air Blade หรือ ครีบรีดอากาศ ที่เปลือกกันชนหน้า เปลี่ยนมาใช้วัสดุ Carbon Fiber
  • มือจับประตูสีเดียวกับตัวถัง
  • ชายขอบประตูด้านล่าง เปลี่ยนมาใช้วัสดุ Carbon Fiber
  • สัญลักษณ์ประจำรุ่น Saetta Trofeo แปะมาให้จากโรงงาน บริเวณ เสาหลังคา C-Pillar คู่หลังสุด
  • เปลือกกันชนหลัง แบบ Sport พร้อม แผง Extractor ใต้กันชน ทำจาก Carbon Fiber
  • ปลายท่อไอเสียเป็นแบบ 2 กลมคู่ เช่นกัน แต่พ่นสีดำ Anodized Black
  • Caliper ของจานเบรก สามารถเลือกสีได้ ทั้ง สีแดง, สีน้ำเงิน, สีดำ, สีเงิน, และสีเหลือง
  • ล้อ Aluminum Forged ลายเอกลักษณ์ประจำรุ่น “Orione” ขนาด 22 นิ้ว ใหญ่สุดเท่าที่ Maserati เคยติดตั้งมา เลือกได้ว่าจะพ่นสีเงาหรือสีด้าน
  • สวมยาง Continental Sport Contact 6 โดยยางคู่หน้า เป็นขนาด 265/35 ZR 22 XL ส่วนยางคู่หลัง เพิ่มความกว้างหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากขึ้น เป็น 295/30ZR22 XL

บานประตูทั้ง 4 บาน ติดตั้งระบบ ดูดปิด อัตโนมัติ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องปิดแรงๆ แค่ค่อยดันประตูแปะเข้าไปเบาๆ ระบบไฟฟ้าจะดูดบานประตูเข้าไปให้คุณเอง

การเข้า – ออกจาก เบาะคู่หน้า ควรปรับเบาะนั่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ให้กดลงต่ำจนสุดเสียก่อน เพื่อลดปัญหาศีรษะไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า แผงประตูด้านข้าง บุด้วยหนังอย่างดี พนักวางแขนทั้งบนแผงประตู คู่หน้า และบนฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง สามารถวางแขนได้ในตำแหน่งที่สบายพอดีมากๆ

ส่วนการเข้า-ออกจากเบาะคู่หลังนั้น ช่องประตู มีขนาดเหมาะสม บานประตูกางออกได้กว้างกำลังดีมาก ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง ให้สะดวกดี เทียบเท่าหรือ ดีกว่า SUV ในพิกัดเดียวกันคันอื่นๆ

ทว่า การลุกออกจากรถ ทั้งจากเบาะหน้าและเบาะหลัง มีประเด็นที่ควรปรับปรุง นั่นคือ ระยะห่างจากตัวเบาะ ถึงขอบชายล่าง มากไปหน่อย ทำให้เกิดปัญหา ขากางเกง หรือชายกระโปรง อาจจะไปเปื้อนเปรอเศษดินโคลนจากชายล่างของตัวรถได้ง่ายมากๆ และยากจะหลีกเลี่ยง!

ห้องโดยสารของ Levante Trofeo ตกแต่งให้แตกต่างจากรุ่นทั่วไปด้วย เบาะทรงสปอร์ตหุ้มหนัง Pieno Fiore ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ ที่ดีที่สุด เท่าที่เคยถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นครั้งแรก จุดเด่นของหนังแบบนี้ คือให้สัมผัสที่นุ่มเนียนอย่างเป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าสามารถเลือกสีได้ทั้งสีดำ, สีแดง และสีน้ำตาล Tan ทุกสีมาพร้อมกับการเดินด้ายที่ใช้สีตัดกัน และมีสัญลักษณ์ประจำรุ่น Trofeo เย็บปักเอาไว้บนพนักพิงศีรษะ

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับพนักพิงเอนนอน หรือตั้งชัน และปรับตัวดันหลัง ขึ้น – ลง ดันมาก – น้อย ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบ Heater อุ่นเบาะและระบายอากาศ พนักพิงหลัง มาในสไตล์ แน่นมาก เกือบแข็ง ปีกเบาะด้านข้าง ยื่นออกมาจากพนักพิงหลัง ไม่มากนัก ทำให้คนตัวอ้วนอย่างผม พอจะขยับร่างได้บ้าง สบายๆ อยู่ ไม่สูงจนเกินไป

พนักศีรษะ แอบดันกบาลนิดๆ ไม่ต่างจากรุ่นมาตรฐาน เท่าไหร่นัก อยู่ในเกณฑ์ พอยอมรับได้ ส่วนเบาะรองนั่ง มีความยาวกำลังดี เสริมฟองน้ำหนาแน่น เหลือความนุ่มไว้ติดปลายนวมนิดนึง

ถ้าอยากจะนั่งขับรถคันนี้ ให้สบาย และถูกหลักในการบังคับควบคุมรถยนต์ คุณควรปรับพนักพิงหลังให้ตั้งขึ้นนิดๆ ปรับตัวดันหลัง เข้าเก็บไปให้หมด เพื่อให้ช่วงกลางของหลัง จมลงไปนิดหน่อย แล้วคุณจะพบตำแหน่งนั่งที่เหมาะสม ได้เอง

ส่วนเบาะหลังนั้น สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง (จากปกติ 580 ลิตร) เหมือนกับ Levante V6 รุ่นปกติ และให้สัมผัสที่แตกต่างไปจาก SUV คันอื่นๆ ในพิกัดเดียวกัน เพราะ พนักพิงหลัง มาแปลกกว่า หลายค่าย บริเวณรองรับหัวไหล่ และสีข้าง ทำออกมาเป็นรูป U คว่ำ ซึ่งเสริมด้วยฟองน้ำที่แน่นหนาเสียจนเกือบจะแข็งอยู่รอมร่อ ไม่ค่อยสบายนัก ขณะเดียวกัน พื้นที่รองรับช่วงกลางหลัง กลับตั้งใจทำออกมาให้นิ่มทั้งพื้นผิวหนังที่สัมผัสได้ รวมทั้งฟองน้ำเสริมด้านในที่นิ่มจนยุบบุ๋มลงไปเลย

พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ พนักศีรษะ มีฟองน้ำหนาแน่น แต่นุ่มสบาย เบาะรองนั่งสั้น แนวแน่นนุ่ม พนักวางแขนข้างประตู เตี้ยไปนืดเดียวจริงๆ พื้นที่เหนือศีรษะ Headroom เหลือ 4 นิ้วแนวนอน ขณะที่พื้นที่วางขา เหลือในระดับ พอให้นั่งไขว่ห้างได้ นิดหน่อย

แผงหน้าปัด ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องงานออกแบบหลักๆ เพียงแต่มีการ ยกระดับวัสดุตกแต่งภายในเพิ่มขึ้น แผงหน้าปัด กับแผงประตู รวมทั้ง แผงคันเกียร์ เป็น CarbonFibre สีด้าน ทั้งยังมี Paddle Shift, หน้าปัดเฉพาะรุ่น, พรมพื้นพร้อมตรายี่ห้อทำจากโลหะ และนาฬิกา Maserati บนแดชบอร์ด ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ อัตโนมัติ 3 Zone (คู่หน้า แยกฝั่งซ้าย – ขวา และผู้โดยสารด้านหลัง)

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับสูง – ต่ำ และ ใกล้ – ห่าง แบบ Telescopic ได้ค่อนข้างเยอะ หุ้มหนัง แท้ เลือกได้ตามสีเบาะที่สั่ง รวมทั้งยังเลือก ระบบ Heater อุ่นพวงมาลัย ได้อีกด้วย มีแผงควบคุม Multi Function บนก้านพวงมาลัย ทั้ง 2 ฝั่ง โดยฝั่งขวา ควบคุมชุดเครื่องเสียง ส่วนฝั่งซ้าย ไว้ควบคุม ระบบ Adaptive Redar Cruise Control และสารพัดตัวช่วยต่างๆ (อ่านรายละเอียดได้ ที่ด้านล่าง)

บริเวณแผงควบคุมกลาง ติดตั้งจอ Monitor สี TFT (Touch Screen) ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสมารถ จ่ายเงิน Upgrade เพิ่มขนาด เป็น แบบ หน้าจอ Touch Screen ขนาด 8.4 นิ้ว ในชื่อ Maserati Touch Control Plus (MTC+) รองรับการทำงานของ ชุดเครื่องเสียง วิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือไร้สาย Bluetooth ช่องเสียบ AUX , USB , SD Card รวมถึง รองรับ การเชื่อมต่อกับ Application Apple CarPlay และ Andriod Auto รองรับการทำงานของระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System และกล้องมองหลัง รวมทั้งกล้องมองรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะ ขณะถอยเข้าจอด ไปด้วยเสร็จสรรพ

ส่วนชุดเครื่องเสียง มีให้เลือก 3 ระดับ

  • รุ่นมาตรฐาน ติดตั้ง เครื่องเสียง 8 ลำโพง กำลังขับ 280 Watt
  • เลือก Upgrade ขึ้นเป็น เครื่องเสียง 14 ลำโพง จาก Harman Kardon
  • หรือ Upgrade อีกขั้น เป็นเครื่องเสียง 17 ลำโพง 1,280 Watt จาก Bowers & Wilkins

มองขึ้นไปด้านบนหลังคา มือจับศาสดา สำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ ติดตั้งไว้เหนือบานประตู ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง แผงบังแดด พร้อมกระจกและไฟแต่งหน้า แบบพับปิดได้ และกระจกมองหลัง แบบตัดแสงอัตโนมัติ มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับ หลังคากระจก Panoramic Glass Sunroof


********** รายละเอียดทางวิศวกรรม **********

ขุมพลังของ Levante Trofeo และ GTS เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน บล็อก V8 สูบ ทำมุม 90 องศา DOHC 32 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร (3,799 ซีซี) กระบอกสูบ x ชวงชัก 86.5 x 80.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.44 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พ่วงระบบอัดอากาศ Twin Turbocharger (เทอร์โบคู่)

ขุมพลังบล็อกนี้ ถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Ferrari ในเมือง Maranello ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเมือง Modena ก็จริงอยู่ แต่ทีมวิศวกรของ Maserati ก็ปรับปรุงสมรรถนะ หลายรายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนชุดวาล์ว รวมทั้ง Camshaft ใหม่ทั้งหมด ลูกสูบ กับเพลาข้อเหวี่ยงก็ถูกออกแบบใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเปลี่ยน Turbocharger ทั้ง 2 ลูก ใหม่ และชุดระบบส่งกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบใหม่อีกด้วย

เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันนี้ เมื่อ ถูกวางลงใน Levante ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะถูกปรับเซ็ตให้มีแรงม้าต่างกัน แต่แรงบิดสูงสุดเท่ากัน

– รุ่น GTS กำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 550 แรงม้า (HP) ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร (74.38 กก.-ม.) ที่ 2,250 – 5,000 รอบ/นาที

– แต่ถ้าเป็นรุ่น Trofeo ซึ่งจะมาพร้อมฝาครอบเครื่องยนต์ ลายพิเศษ ประดับด้วย Carbon Fibre กำลังสูงสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 590 แรงม้า (HP) ที่ 6,250 รอบ/นาที เท่ากัน ขณะที่ แรงบิดสูงสุด ยังคงเท่ากับรุ่น GTS นั่นคือ 730 นิวตันเมตร (74.38 กก.-ม.) ที่ 2,250 – 5,000 รอบ/นาที

เมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะกับ รถแข่ง Maserati MC12 รุ่นปี 2004 ซึ่งวางเครื่องยนต์ V12 สูบ DOHC 48 วาล์ว 6.0 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศใดๆทั้งสิ้น 621 แรงม้า (HP) จะพบว่า แรงม้าต่อ ความจุกระบอกสูบ 1,000 ซีซี หรือ 1 ลิตร ของ Levante Trofeo แรงกว่า MC12 ตามตัวเลขในรูปข้างบนนี้ อย่างชัดเจน และนั่นทำให้ Maserati ประกาศว่า Levante Trofeo คือ Maserati ที่แรงสุด เท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกจำหน่ายในรอบ 105 ปี!!!

ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ซึ่ง ถูกปรับปรุงโปรแกรมของกล่องสมองกลเกียร์เสียใหม่ ให้ทำงานได้ฉับไวขึ้น สามารถเลือกปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ 6 แบบ ดังนี้

  • Auto Normal Mode : Default mode เน้นเปลี่ยนเกียร์ทั้งที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ เพื่อความประหยัดน้ำมัน และเน้นเปลี่ยนเกียร์นุ่มๆ เพื่อให้ขับสบายในเมือง ถ้าลากรอบเครื่องยนต์จนถึง Red Line หรือแค่เกินกว่าความเร็วรถที่กำหนดไว้ในโปรแกรม สมองกลจะสั่งเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
  • Auto Sport Mode : เกียร์จะเปลี่ยนเร็วขึ้น ในระดับต่ำกว่า 100 MilliSeconds และ จะเปลี่ยนเกียร์ให้เอง ที่รอบสูงขึ้นเล็กน้อย คันเร่งจะตอบสนองเฉียบคมขึ้น ESP จะลดการทำงานลง ระบบ Overboost จะทำงาน เพื่อดึงแรงบิดที่สูงสุดลงสู่ล้อเต็มที่ขึ้น ระบบ IVC (Integrated Vehicle Control) จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่อีกระดับหนึ่ง
  • Manual Normal Mode : เหมือน Auto Normal Mode แต่ผู้ขับขี่ สามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ที่แป้น Paddle Shift หรือ คันเกียร์ โดยโปรแกรมจะสั่งตัดเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เมื่อลากรอบเครื่องยนต์ถึง Red Line
  • Manual Sport Mode ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้เองตามใจชอบ เกียร์จะเปลี่ยนได้ฉับไวและเฉียบคมมากสุด คันเร่ง จะเปลี่ยนไปใช้ โปรแกรมที่ เซ็ต Mapping มาให้ดุดันยิ่งขึ้น แถมลากรอบเครื่องยนต์ได้ จนเข้าสู่เขต Red Line บนมาตรวัดรอบ โดยกล่องสมองกล จะไม่สั่งตัดเปลี่ยนเกียร์ให้ จนกว่าผู้ขับขี่จะเปลี่ยนเกียร์เอง นอกจากนี้ ESP จะลดการทำงานลง ขณะที่วาล์วไอเสีย จะเปิดกว้างขึ้น เพิ่มเสียงเครื่องยนต์ให้มากขึ้น

Levante Trofeo และ GTS จะถูกติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Q4 มาให้ทั้งคู่ อัตราการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ ส่งไปที่ล้อคู่หน้า : ล้อคู่หลัง ในสัดส่วนแปรผันได้ ตั้งแต่ 50% : 50% จนถึง ขับเคลื่อนล้อหลัง 100% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 150 MilliSeconds เท่านั้น!! รวมทั้งยังมีระบบ กระจายแรงบิดสู่ล้อในขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring และเพลาท้ายแบบกลไก Limited-Slip Differential ที่ล้อคู่หลัง มาให้ โดยมีโปรแกรมการขับขี่ให้เลือกดังนี้

  • Automatic Off-Road Mode : ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางทุรกันดารต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพะวงกับการเปลี่ยนเกียร์ใดๆ
  • Manual Off-Road Mode : อยากใช้ทักษะการขับ Off-Road ที่มีอยู่ดูใช่ไหม โหมดนี้เลย เล่นเกียร์เอง ควบคุมรถเองเลย

นอกจากนั้น ยังมีโปรแกรมรูปแบบการขับขี่ให้เลือกเพิ่มเติม ดังนี้ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ที่ปรับได้ทั้ง Normal, I.C.E., Sport, Off-Road และ

  • I.C.E. (Increased Control & Efficiency) : ใช้สำหรับการขับขี่บนพื้นลื่นๆ เช่นทางหิมะ น้ำแข็ง เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล เงียบขึ้น และประหยัดน้ำมันขึ้น
  • Corsa Mode : (มีเฉพาะรุ่น Trofeo เท่านั้น) จะเริ่มทำงานเมื่อคุณกดปุ่ม Sport 2 ครั้ง ติดกัน โดยจะปรับการทำงานของคันเร่งกับเครื่องยนต์ให้ไวสุด, เกียร์เปลี่ยนไวสุด, ลดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว Stability Control กับ Traction Control , เปิดวาล์วท่อไอเสียขึ้นสุด , ลดความสูงช่วงล่าง Air Suspension จากที่เคยมีระยะห่าง จากพื้นถนนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 210 มิลลิเมตร ลงมาเป็นระดับต่ำสุด คือ Aero 2 Mode ที่ 175 มิลลิเมตร ระบบ Skyhook , พวงมาลัยจะแข็งขึ้น นอกจากนี้ ระบบช่วยออกตัวให้ฉับไว Launch Control จะเริ่มทำงานด้วย เพื่อให้ผู้ขับขี่ เรียกประสิทธิภาพตัวรถจนถึงขีดสุดได้ตั้งแต่ออกตัว

ตัวเลขจากโรงงาน ระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของรุ่น Trofeo ทำได้ใน 3.9 วินาที !! ขณะที่รุ่น GTS จะอยู่ที่ 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุด รุ่น Trofeo สูงถึง 304 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่รุ่น GTS จะลดลงมานิดเดียว เหลือ 292 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของทั้ง 2 รุ่น เท่ากันหมด การทดสอบตามมาตรฐาน NEDC แบบ ในเมือง (Urban Cycle Mode) ทำได้ 18.8 ลิตร/100 กิโลเมตร (5.3 กิโลเมตร/ลิตร) การทดสอบแบบเฉลี่ย นอกเมือง/ในเมือง (Combined Cycle mode) ทำได้ 13.5 ลิตร/100 กิโลเมตร (7.40 กิโลเมตร/ลิตร) ส่วนการทดสอบแบบแล่นทางไกล (Extra Urban Cycle Mode) จะอยู่ที่ 10.5 ลิตร/100 กิโลเมตร (9.52 กิโลเมตร/ลิตร) ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร!

กระนั้น Levante ทั้ง Trofeo และ GTS ก็ผ่านมาตรฐานมลพิษของสหภาพยุโรป ในระดับสูงสุดตอนนี้คือ EU6C โดยการปล่อยมลพิษของทั้ง 2 รุ่นนั้น วัดตามมาตรฐาน NEDC ทำตัวเลขออกมาได้เท่ากัน หากวัดแบบในเมืองอย่างเดียว (Urban Cycle) จะสูงถึง 435 กรัม/กิโลเมตร ขณะที่การวัดแบบเฉลี่ย Combined Cycle จะลดลงมาเป็น 313 กรัม/กิโลเมตร แบบ Extra Urban Cycle หรือเน้นวิ่งนอกเมือง จะลดลงเหลือ 243 กรัม/กิโลเมตร

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ไม่มีปั้มไฮโดรลิค ถูกปรับปรุงใหม่ ให้มีแรงหน่วงมือที่เพิ่มตามความเร็ว มากขึ้น เพิ่มความต่อเนื่องในการควบคุม จนถึงขีดสุดที่ตัวรถจะเกิดอาการท้ายปัด (Understeer) อีกทั้งยังเพิ่มความเฉียบคมในการบังคับควบคุมมากขึ้น ขณะขับขี่ในแบบ Sport และทำงานร่วมกับสารพัดระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยต่างๆ ได้ (เลื่อนลงไปอ่านข้างล่าง)

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ Double-wishbone ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-link พร้อมช็อกอัพเป็นแบบถุงลม Active Air-Suspension ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า สามารถปรับความแข็ง – นุ่ม ได้ตามโปรแกรมการขับขี่ ทั้ง Comfort จนถึง Sport Mode รวมทั้ง สามารถปรับระดับความสูงต่ำ ได้มากถึง 6 ระดับ ลดความสูงของพื้นใต้ท้องรถกับพื้นถนน (Ground Clearance) ลงมาจาก 220 มิลลิเมตร ในโหมดปกติ เหลือ 175 มิลลิเมตร ในโหมด CORSA (Aero 1 และ Aero 2)

นอกจากนี้ยังมีระบบ Sport Skyhook Systemทำงานโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับลักษณะของตัวรถ และลักษณะการขับขี่ หากระบบพบว่า ตัวรถสั่นสะเทือนขึ้นลงเยอะ จะสั่งให้ปรับช่วงล่างให้นุ่มลง เพื่อสร้างความสบายในการขับขี่ แต่ถ้าต้องการความมั่นใจขณะเล่นโค้งตามไหล่เขา คุณสามารถกดปุ่มสั่งให้ระบบทำงานปรับความแข็งของช็อกอัพเพิ่มขึ้นได้เองอีกด้วย

ระบบห้ามล้อ เป็นผลงานของ ผู้ชำนาญการด้านระบบเบรกระดับโลก อย่าง Brembo ประกอบด้วย ดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อน ทั้ง 4 ล้อ โดยจานเบรกคู่หน้า มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 380 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หลัง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 334 มิลลิเมตร ทำระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่ง ได้สั้นเอาเรื่อง คือเพียง 34.5 เมตร ต้องไม่ลืมว่า 2 พี่น้องคู่นี้ เขาหนักตั้ง 2.1 ตันเชียวนะ!

ส่วนเบรกมือ เป็นสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Hold ที่สามารถล็อกเบรกมือให้เอง เมื่อคุณเหยียบเบรกจมสุด ขณะจอดติดไฟแดง สามารถถอนเท้าออกมาจากแป้นเบรกได้เลย และเมื่อไฟเขียว แค่เหยียบคันเร่ง รถก็จะปลดเบรกมือให้คุณได้ขับต่อไป

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยใน Levante ทุกรุ่น ก็มีไม่น้อยหน้าเพื่อนฝูงในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP ที่ใช้ชื่อว่า MSP (Maserati Stability Program) ทำงานร่วมกับระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Brakes System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BAS (Brake Assistance System) ระบบป้องกันการหมุนฟรีของล้อ ASR (Anti-Slip Regulation) และระบบ IVC (Integrated Vehicle Control) ซึ่งจะทำงานร่วมกับทุกระบบข้างต้น

หลักการทำงานของระบบ MSP และ IVC ก็คือ หากเซ็นเซอร์ ตรวจพบความผิดปกติ จะเข้าไปช่วยสั่ง ลดแรงบิดของเครื่องยนต์ และเพิ่มแรงเบรกไปยังล้อที่จำเพาะเจาะจง ได้ในเสี้ยววินาที เพื่อช่วยดึงรถกลับมาอยู่ในสภาพปกติตามเดิม ความแตกต่างกันของ 2 ระบบนี้ อยู่ตรงที่ MSP จะเน้นการทำงานเมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งเกิดการหมุนฟรี หรือ ลื่นไถล แต่ IVC จะทำงานเมื่อพบว่ารถกำลังจะเสียการทรงตัว โดยไม่ต้องรอให้ล้อลื่นไถล นั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีถุงลมนิรภัย คู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัย รวม 6 ใบ เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด รวม 5 ตำแหน่ง เฉพาะคู่หน้า เป็นแบบ Pre-Tensioner & Load Limiter ดึงกลับอัตโนมัติ และลดแรงปะทะจากการชน พนักศีรษะแบบ Active Headrest จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX รวมทั้งบรรดาระบบ ตัวช่วยไฮเทครวมสมัย ติดตั้งมาให้มากมาย ดังนี้

  • ระบบรักษาแรงเบรกขณะจอดเพื่อเตรียมขับขึ้นทางลาดชัน Hill Holder
  • ระบบช่วยลงเนินโดยไม่ต้องแตะเบรก HDC (Hill Descent Control) ทำงานโดยเปิดระบบ แล้วบังคับพวงมาลัยไปตามทางลงเนินลาดชันข้างหน้า โดยไม่ต้องแตะเบรก ควบคุมความเร็วตอนไหลลงได้จากสวิตช์ของระบบ Cruise Control แต่ถ้าจะยกเลิกระบบ ให้เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้น หรือเหยียบเบรก อย่างใดอย่างหนึ่ง
  • ระบบ Forward Collision Warning Plus ทำงานร่วมกับระบบ BAS ช่วยป้องกันไม่ให้รถพุ่งชน ยานพาหนะคันข้างหน้า ระบบจะแจ้งเตือนก่อน ให้คนขับชะลอความเร็ว แต่ถ้าคนขับยังเพิกเฉย ระบบจะสั่งเบรกเองทันที
  • ระบบ Rear Cross Path Sunction สั่งเบรกเองทันที เมื่อคุณกำลังถอยรถ แล้วมีคนหรือยานพาหนะแล่นตัดผ่านท้ายรถคุณ
  • ระบบ กล้อง 360 องศา พร้อม Parking Sensor ที่กันชนหน้า – หลัง และกล้องมองภาพขณะเข้าเกียร์ถอยหลัง
  • ระบบ Active Blind Spot Assist เมื่อมียานพาหนะแล่นมาขนาบด้านข้าง ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนบนกระจกมองข้าง พร้อมเสียง เพื่อป้องกันการเปลี่ยนเลนไปชนยานพาหนะเหล่านั้น (เหมือนกับระบบ Blind Spot ของ Volvo)
  • ระบบ HAS (Highway Assist System) ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วคงที่ แปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control โดยใช้กล้อง Digital Camera ด้านหลังของกระจกมองหลัง และเซ็นเซอร์ที่กระจังหน้า ส่องไปยังยานพาหนะคันข้างหน้า เพื่อกะระยะให้เหมาะสม ตามความเร็วและระยะห่างที่ผู้ขับขี่ Set ไว้จากหน้าจอมาตรวัด ถ้ารถคันข้างหน้า ชะลอ ระบบจะสั่งชะลอตาม ถ้ารถคันข้างหน้าเร่งออกไป หรือเบี่ยงไปเลนอื่น ระบบจะเร่งความเร็วรถให้ตาม พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go สั่งหยุดหรือเคลื่อนรถ ตามยานพาหนะคันข้างหน้าได้เอง (จัดว่าเป็นระบบ Semi Autonomous Drive Level 2)
  • ระบบ LKA (Lane Keeping Assist) ใช้กล้อง Digital Camera ด้านหลังของกระจกมองหลัง ส่องดูเลนถนนข้างหน้า ถ้าเริ่มเบี่ยงไปทางไหน สัญญาณเตือนแถบสีเหลือง จะปรากฎขึ้นบนจอมาตรวัด และถ้าผู้ขับยังไม่ดึงพวงมาลัยให้รถคืนกลับเลนมาเอง ระบบจะสั่งดึงพวงมาลัยประคองรถให้กลับเข้าเลนโดยอัตโนมัติทันที
  • ระบบ Traffic Sign Recognition ทำงานร่วมกับ กล้อง Digital Camera ด้านหลังของกระจกมองหลัง ผสานกับข้อมูลของระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System เพื่อช่วยแจ้งเตือนป้ายจราจรต่างๆ ในละแกย่านที่รถกำลังแล่นผ่าน รวมทั้งป้ายจำกัดความเร็วแบบถาวร หรือป้ายจำกัดความเร็วชั่วคราว ในภาวะที่สภาพอากาศแปรปรวน ระบบจะแสดงป้ายเหล่านี้ บนหน้าจอแสดงข้อมูล ของชุดมาตรวัด


********** การทดลองขับ **********

เส้นทางที่ Maserati จัดเอาไว้ให้เรานั้น เริ่มต้นออกเดินทางกันที่ จตุรัส Piazza Roma ใจกลางเมือง Modena เลี้ยวขวา ขับผ่านโรงแรมที่พักของเรา แล้วมุ่งหน้าออกสู่ทางด่วน ก่อนจะเบี่ยงขวา ออกมายังถนนสายรอง มุ่งหน้าไปยังเหมือง Quarry Inerti Pederzona เพื่อทดลองขับ Levante V6 บนสภาพถนนสมบุกสมบัน ในเหมือง

จากนั้น ขับออกมาจากเหมือง ตรงไปตามทางเดิมเพียงนิดเดียว ก็จะถึงสนามบิน สำหรับเครื่องบินขนาดเล็ก Aereoporte Di Modena เพื่อทดลองจับอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของรุ่น Trofeo จากนั้น เราจะขับลัดเลาะไปตามสภาพเส้นทางแบบ แนวเขา ผ่านหมู่บ้านต่างๆ มาแวะพักที่ร้านอาหาร Ristorante La Roccia ก่อนจะขับผ่านเส้นทางตามแนวเขา ของหมู่บ้าน Samone อันสวยงามเลื่องชื่อ เพื่อมารับประทานมื้อเที่ยงตอนบ่าย 2 โมง ที่ร้านอาหาร Opera 2 Di Ca’ Montanari อันเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่อคืนกุญแจรถแล้ว สารภาพเลยว่า ยังรู้สึกไม่หนำใจ โอกาสที่เราจะลองรุ่น Trofeo ค่อนข้างน้อย แถมสภาพอากาศยังไม่ค่อยเป็นใจ มีฝนตกปรอยๆ ไม่เหมาะจะทำความเร็วใดๆทั้งสิ้น ทาง ผู้จัดงาน ก็เลย เพิ่มเวลาให้ลองขับกันเอง ตามลำพัง อีกครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะถึงเวลา ขึ้น รถตู้ Shuttle เดินทางไปยังสนามบินเมือง Bologna เพื่อขึ้นเครื่องบิน ของ Turkisha Airline ไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน Istanbul แล้วกลับมายังกรุงเทพมหานคร ในชวงบ่าย 3 โมง ของวันที่ 19 กรกฎาคม

เวลาที่เรามีค่อนข้างจำกัดประมาณหนึ่ง แต่ก็พอจะได้ลองจนรับรู้ถึงอรรถรสจากการขับขี่ SUV รุ่นแรงสุด และแพงสุดในตระกูล Maserati จนจับบุคลิกหลักๆของตัวรถได้ดังนี้

เริ่มกันที่ อัตราเร่งก่อน สำหรับรุ่น GTS ซึ่งมีพละกำลังน้อยกว่า คือ 550 แรงม้า (HP) นั้น เราทำการจับเวลากัน โดยมีผม (105 กิโลกรัม) และพี่หนุ่ม (น้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม พอดี) อุณหภูมิ ในตอนขับเวลา อยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส เท่าๆกับสภาพอากาศในเมืองไทย ที่เราใช้จับเวลาตอนกลางคืนตามปกติกันเลยทีเดียว

ตัวเลขอัตราเร่งของรุ่น GTS มีดังนี้
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Normal Mode : 5.30 วินาที
Sport Mode : 5.04 วินาที
80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Normal Mode : 3.71 วินาที
Sport Mode : 3.41 วินาที

ส่วนรุ่น Trofeo นั้น
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Normal Mode : 4.49 วินาที
Sport (CORSA Mode) : เลื่อนลงไปอ่านข้างล่าง
80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Normal Mode : 3.15 วินาที
Sport Mode : 3.02 วินาที

เห็นตัวเลขแล้ว น่าจะทำให้บรรดามหาเศรษฐีตีนผี ที่มีครอบครัวแล้ว ตาลุกวาวได้ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว! อัตราเร่งที่ Levante Trofeo และ GTS ทำได้นั้น มันพร้อมจะพาคุณทะยานไปข้างหน้า ชนิดที่ว่า มีเพียงแต่ Super Car ร่วมสัญชาติ อิตาเลียน ด้วยกันเท่านั้น ที่จะไล่ตามคุณได้ทัน แรงดึงที่พารถพุ่งพรวดออกไปนั้น แม้จะไม่กระโชกโฮกฮาก แต่มันก็ให้อารมณ์เหมือน มาเฟียอิตาเลียน ที่เดินเข้ามาหาคุณ ด้วยอารมณ์ครุกรุ่น แล้วก็ระเบิดอารมณ์ใส่คุณ แบบ “กลางๆ” ด้วยน้ำเสียงดุจฟองเบียร์

แต่ถ้าคุณคิดว่า ตัวเลข 4.49 วินาที ในโหมด Normal ของรุ่น Trofeo ยังไม่สาแก่ใจ คนที่ชอบซาดิสม์กับคันเร่ง อย่างคุณแล้วละก็ ลองดูการจับเวลาใน CORSA Mode ที่สนาม Aereoporto Di Modena กันหน่อยไหม?

ทาง Maserati ลงทุนเช่าสนามบินดังกล่าวไว้ให้สื่อมวลชนจากทั่วโลก ได้ลองจับเวลา หาอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของรุ่น Trofeo ด้วยโปรแกรม CORSA Mode กัน…CORSA นี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Opel Corsa ใดๆทั้งสิ้น แต่มันคือรากศัพท์คำเดียวกับ Course ที่แปลว่า สนาม นั่นต่างหาก!

การจับเวลา จะมี ผม และ Instructor สูงเกิน 185 เซ็นติเมตร อีก 1 คน คอยแนะนำอยู่ข้างๆ เมื่อขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย เรียบร้อย เราก็ออกรถ ไปยังจุดตั้งต้น ปลายสุดของ Runway ฝั่งขวา

วิธีการใช้ระบบ Launch Control ใน CORSA Mode นั้น ให่กดปุ่ม Sport แช่ 2 ครั้ง จากนั้น เหยียบเบรกด้วยเท้าซ้าย ให้จมมิด ลึกสุดเท่าที่ทำได้ (ฝรั่ง Instructor สั่งให้ใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรก เฉพาะกรณีนี้) จากนั้น ตบแป้น Paddle Shift ฝั่งซ้าย เร็วๆ 2 ครั้งติดกัน จอ MID จะขึ้นแถบแสดงขึ้นมา เมื่อใดที่มาตรวัดเคลื่อนมาทางสีเขียว ให้เอาเท้าขวา เหยียบคันเร่งจมมิด และเมื่อรอบเครื่องยนต์ เกือบถึง หรือถึง 3,000 รอบ/นาที สมองกลของเครื่องยนต์จะล็อกรอบเครื่องยนต์ไว้ตรงจุดนั้นค้างไว้ จับพวงมาลัยให้มั่น แล้วปล่อยเท้าซ้ายออกจากแป้นเบรกทันที…

ความหฤหรรษ์พลันบังเกิด!!!!!

แรงดึงที่สัมผัสได้ตั้งแต่จังหวะแรกที่กระแทกคันเร่งลงไปเต็มมิดตีน พร้อมกับปล่อยเท้าซ้ายจากแป้นเบรกนั้น สะใจเอาเรื่อง! ถ้าคิดว่านี่คือ SUV หนัก 2.1 ตัน แรงดึงหลังติดเบาะขนาดนี้ ถือว่า เป็นไปตามความคาดหมาย และสาแก่ใจหลายๆคนแล้วละ แรงดึงนั้น มากพอจะทำให้คุณสัมผัสได้ถึง ประสบการณ์ “วาร์ป” (พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากในช่วงเสี้ยววินาที จนเกินกว่าร่างกายหรือสมองจะรับมือทัน) อาการวาร์ปนั้น จะเกิดขึ้นเล็กๆ ในช่วงสั้นๆ ขณะที่คุณเหยียบคันเร่งจมมิดตีน ระบบส่งกำลังอยู่ที่เกียร์ 2 จนถึงช่วงรอยต่อเข้าสู่เกียร์ 3 แต่หลังจากนั้น รถจะพาคุณทะยานขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง รวดเรียว แต่ฉับไว แต่นิ่ง และหนักแน่นเสียจนความกลัวที่เกิดขึ้นจากช่วงาร์ปก่อนหน้านี้ ค่อยๆหายไป จนกลายเป็นความคุ้นชินต่อแรงดึงที่เกิดขึ้นแทน

บน Runway นี้ ผมทำความเร็วได้ถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ตัวรถยังคงพุ่งไปข้างหน้า นิ่งๆ อย่างมั่นใจ ไม่มีวอกแวกเลย ไม่มีอะไรให้น่ากลัวทั้งสิ้น ก่อนที่จะต้องถอนเท้าออกจากคันเร่ง แล้วเหยียบเบรกอยากรวดเร็ว เพราะสุดทางวิ่ง แตู่เหมือนว่า Instructor ชาวอิตาเลียน เขาทำเอาไว้ได้ถึง 196 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระหว่างการบันทึกภาพถ่ายสำหรับแจกสื่อมวลชน…รูปที่คุณได้เห็น ข้างบนนี้นั่นเอง

ตัวเลขที่ออกมาจากนาฬิกาของผมคือ… 4.13 วินาที

SUV ร่างใหญ่พร้อมขุมพลังจาก Ferrari ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเลขจะออกมาได้ดี เท่ากับตัวเลขที่ปรากฎอยู่ใน Catalog เป๊ะ!!! ลองคิดดูว่า รถหนักตั้ง 2.1 ตัน ขนาดนี้ ทำตัวเลขได้ไวมากขนาดนี้ คุณยังต้องการอะไรอีกครับ? ถ้าอยากได้แรงกว่านี้ ก็คงต้องมองหา คู่แข่งที่แรงกว่านี้ อย่าง Lamborghini Urus ซึ่งเป็นผู้เล่นใน Class ที่เหนือขึ้นไปจากนี้อีกสเต็ปนึง แล้วละ!

หมดข้อกังขา เรื่องพละกำลัง และความสะใจแล้วนะครับ?

การเก็บเสียงรบกวนสู่ห้องโดยสารนั้น ทำได้ดีงามมากๆ เพราะต่อให้คุณใช้ความเร็วขึ้นไปถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงกระแลมที่ไหลผ่านด้านข้างตัวรถ ก็ยังเข้ามาไม่มากอย่างที่คิด จริงๆแล้ว มันจะเริ่มดังขึ้นที่ความเร็วแถวๆ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ขณะขับขี่ในเมือง จึงไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงจากภายนอกรถ

พวงมาลัย ในช่วงความเร็วต่ำ มีน้ำหนัก เบา อย่างเหมาะสมกับรถยนต์ประเภท SUV ซึ่งต้องเซ็ตมาเผื่อการขับขี่บนทางลูกรัง และพื้นผิวขรุขระ อีกทั้งยังต้องเซ็ตมาเผื่อผู้ขับขี่หลากหลายประเภทและรสนิยม รวมทั้งคุณสุภาพสตรีทั้งหลายอีกด้วย ผมมองว่าเป็นอัตราทด และน้ำหนักความหนืด ที่ลงตัวดีแล้ว การตอบสนองในช่วงความเร็วต่ำ และโหมด Normal จะคล้ายกับ พวงมาลัยของ Volvo XC40 ใหม่ ตอนปรับให้หนักสุด (ซึ่งก็ยังเบากว่าชาวบ้านเขาหน่อยนึงอยู่ดี)

แต่เมื่อเพิ่มความเร็วขึ้น พวงมาลัยก็จะหนืดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน้ำหนักจะมากขึ้นจนแตกต่างจากช่วงความเร็วต่ำอย่างชัดเจนจริงๆ ก็ต่อเมื่อคุณเปิดโหมด Sport หรือ CORSA ขึ้นไป ช่วยให้การบังคับเลี้ยว เป็นไปอย่างแม่นยำ แต่เฉียบคมยิ่งขึ้น คุณจะเห็นความแตกต่างนี้ได้ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงที่ต้องขับเข้าโค้ง ลัดเลาะไปตามแนวป่าเขา ผมมองว่า Maserati แก้ปัญหาจากแร็คชุดเดิมในรุ่น V6 ได้ดีมาก กลายเป็นว่า พวงมาลัยชุดใหม่ ให้การตอบสนองที่ดีงามมากๆ ไม่ว่าจะขับขี่ในเมือง ขับเข้าโค้งต่อเนื่อง หรือจะซิ่งบนทางด่วนก็ตาม ไม่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขอะไรจากนี้แล้วนะ!

ด้านระบบรองรับ แม้ในตอนแรก ด้วยโครงสร้างตัวถังที่แน่นหนา และ ล้ออัลลอย 22 นิ้ว จะทำให้ผมถึงกับถอดใจเลยว่า ช่วงล่างน่าจะแข็งสะเทือนเลื่อนลั่นแหงๆ แต่พอเอาเข้าจริง กลับกลายเป็นว่า การเปลี่ยนมาใช้ช่วงล่าง แบบถุงลม Air-Suspension ซึ่งตามปกติ ย่อมให้การดูดซับแรงสะเทือนที่ดีงามอยู่แล้ว คราวนี้ ยิ่งทำหน้าที่ของมันได้ดีกว่าที่คิด มีระยะยุบตัวของช็อกอัพเยอะประมาณหนึ่ง ขับสบายบนทางลูกรัง และควบคุมง่ายกว่าที่คิด ขณะเข้าโค้ง ตัวรถโยนออกด้านข้างน้อยมากๆ ไม่มีอาการแกว่งไกวใดๆ ให้ปรากฎ แถมยังให้ความมั่นคงค่อนข้างสูง

ช่วงล่างในโหมด Normal ต้องบอกเลยว่า นี่คือช่วงล่างในแบบที่คุณแม่บ้านคาดหวัง การซับแรงสะเทือน ดีงาม รถแน่นทั้งคัน แต่เฟิร์ม และนุ่ม รูดไปบนพื้นผิวขรุขระแบบเนียนๆ แทบจะไม่สัมผัสถึงแรงสะเทือนใดๆจากพื้นถนนมากนัก แต่พอเป็น Sport Mode หรือ CORSA Mode ซึ่งมีการปรับระดับช่วงล่างให้ต่ำลง ยิ่งช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นโค้ง มากเข้าไปอีก ต่อให้มีแรงสะเทือนตึงตังเกิดขึ้นจากขนาดลองล้ออัลลอย และความบางของแก้มยาง แต่มันก็เล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสารแค่นิดหน่อย เท่านั้น! มั่นใจได้เลยว่า ต่อให้คุณเปิดโหมด Sport บุพการีของคุณ ก็จะไม่บ่นว่าช่วงล่างมันแข็งไป เหมือนพวกรถยนต์ระดับ Hi Performance คันอื่นๆ แน่ๆ เผลอๆยังอาจจะงีบหลับได้ด้วยซ้ำ!

อยากบอกว่า นี่คือช่วงล่างของ SUV ในอุดมคติของผม มันถูกเซ็ตมาให้มีบุคลิกเน้น On-Road เป็นหลัก และเซ็ตมาให้อยู่ตรงกลางระหว่าง Mercedes-Benz และ BMW แบบพอดีๆ กระเดียดไปทางเบนซ์ยุคใหม่ หน่อยๆ อยากได้ความนุ่ม ก็สบาย อยากได้ความหนึบเกาะถนนเวลาเข้าโค้ง ก็หายห่วง แถมเวลาใช้ความเร็วสูง ก็นิ่งสนิทดีงาม

ด้านการทำงานของระบบตัวช่วยต่างๆ นั้น เรามีโอกาสได้ทดลองระบบดังกล่าวโดยบังเอิญ ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปบนทางด่วนแบบเลนคู่ (ฝั่งละ 2 เลน) มุ่งหน้าออกจากตัวเมือง Modena ด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทันใดนั้น รถคันข้างหน้าเรา ต่างพากันชะลอกระทันหัน เพียงเสี้ยววินาที ที่ปากผมร้องบอกพี่หนุ่มว่า “พี่ ข้างหน้าเบรกแล้ว” ระบบ Forward Collision Warning ก็รีบเข้ามา แจ้งเตือนเป็นเสียง “ตี๊ดๆๆ” พร้อมสัญญาณสีแดง กระพริบเตือนบนหน้าจอ MID ที่แผงมาตรวัด เตือนให้ตกใจนิดๆ แต่ระบบห้ามล้อจะยังไม่ช่วยเบรกให้ จนกว่าระบบจะเห็นว่า จวนตัวแล้ว จึงสั่งเบรก พอดีว่าจังหวะนั้น พี่หนุ่ม ก็เหยียบเบรกได้ไวก่อน และทันเวลาพอดี ทำให้ Levante GTS คันที่เราขับ ไม่ไปชนกับรถคันข้างหน้า ถือว่า ระบบตัวช่วย ของ Levante V8 รุ่นนี้ สอบผ่าน

แป้นเบรก ดีเป็นอันดับต้นๆของรถที่เคยลองขับมา มีระยะเหยียบปานกลาง ไม่ลึก ไม่ตื้นเกินไป มีแรงต้านที่เท้า ในลักษณะคล้ายๆกับแป้นเบรกของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ แต่ให้ความ Linear ต่อเนื่อง ได้ดีมาก ต้องการให้รถชะลอแค่ไหน ก็แตะเบรกลงไปแค่นั้น อีกทั้งยังหน่วงรถลงมาจากย่านความเร็วสูงระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ค่อนข้างดีอยู่ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว

หลายคนคงอยากรู้ว่า ในเมื่อ ระบบขับเคลื่อน และช่วงล่าง ให้การตอบสนองได้ดีบนทางเรียบแล้ว หากเป็นเส้นทางขรุขระ หรือทางลูกรัง ละ? Levante จะรับมือได้ดีแค่ไหน Maserati จึงจัดแจงเช่าพื้นที่ของเหมืองทราย Quarry Inerti Pederzona ในเมือง Modena (จุดพักแรก ระหว่างทางไปสนามบิน Aereoporte Di Modena ในแผนที่ข้างบน) เอาไว้ให้สื่อมวลชน ได้มีโอกาสลองขับ Levante รุ่น V6 บนเส้นทางสมบุกสมบัน ที่จัดเว้นทางไว้ให้ ซึ่งถ้าใครที่เคยขับรถยนต์ Off-road มาก่อน จะพบว่า ไม่ยากเลย แค่เลี้ยวๆ ปีนเนินเขา ลงเนินเขา

ผมพบว่า Levante ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่บนทางก้อนกรวดได้ดีกว่าที่คิด พวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ที่ถูกอัพเกรดให้เป็นชุดใหม่ จากเดิมที่ผมเคยคิดว่ามีน้ำหนักในช่วงความเร็วต่ำ ติดเบานิดๆ กลับกลายเป็นว่า ง่ายต่อการบังคับขับขี่บนเส้นทางแบบนี้มาก ขณะเดียวกัน ระบบกันสะเทือน มีระยะยุบตัวของช็อกอัพเยอะประมาณหนึ่ง ทำให้การดูดซับแรงสะเทือน จากช่วงล่าง เป็นไปด้วยฃดีกว่าที่คิด ขับสบายบนทางลูกรัง สัมผัสได้ถึงความแน่นหนาของโครงสร้างตัวถัง และควบคุมง่ายกว่าที่คิด ทัศนวิสัย ก็ดี

เล็งทางลงเนินไม่ยาก แค่เปิดระบบ Hill Descent Control คุณก็แค่ควบคุมพวงมาลัยบังคับรถไปตามเส้นทาง ที่เหลือ ปล่อยให้ระบบช่วยควบคุมแรงบิดที่ล้อทั้ง 4 ด้วยเกียร์ 1 แถมยังช่วยเบรกให้เบาๆ ในกรณีที่รถลงเนินเร็วเกินความเร็วที่คุณตั้งเอาไว้ ผ่าน สวิตช์ ของระบบ Cruise Control เหมือนกับ Hi-end Off-Roader รุ่นใหม่ๆ ในยุคสมัยปัจจุบันนี้

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
แรงสุด และ แพงสุดของ Maserati เตรียมเจอกันในไทย เร็วๆนี้…!

สารภาพในตอนแรกเลยว่า เมื่อครั้งที่เดินทางมาเยือนสำนักงานใหญ่ของ Maserati รวมทั้งเยี่ยมชมโรงงาน และลองขับรถยนต์ของพวกเขา รวม 4 รุ่น ถึงเมือง Modena ช่วงปี 2017 ต่อให้ผมเริ่มเข้าใจตัวตนของรถยนต์ แบรนด์ตรีศูล มากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ผมยังมีคำถามในใจว่า แล้วรถยนต์ที่แรงสุดเท่าที่ Maserati จะผลิตขายออกมา เราจะมีโอกาสได้สัมผัสกันอีกที เมื่อไหร่?

ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่า เวลาผ่านไปแค่ 2 ปี ผมจะได้มีโอกาสกลับมายังเมือง Modena อีกครั้ง เพื่อมาพบกับคำตอบที่ถูกขุดขึ้นมาจากตะกอนความทรงจำที่หล่นหายไปของผม สมดังตั้งใจเสียที

คุณอาจสงสัยว่า แบรนด์รถยนต์เก่าแก่จาก Italy แห่งนี้ มันมีจุดเด่นตรงไหน ที่จะสามารถนำพาตัวเอง ให้ดูโดดเด่นอย่างแตกต่าง ในใจของเศรษฐีชาวไทย ซึ่งเอาแต่หลงใหลบูชา รถยนต์ตราดาว และตราใบพัด จากสหพันธรัฐเยอรมนี?

การได้มีโอกาสมาทดลองขับ รถยนต์ SUV ที่ถือว่าเป็น Top of the Lineup ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ความแรงจากพละกำลังที่เครื่องยนต์ V8 ของค่ายตรีศูล ทำให้ผมค้นพบคำตอบในใจขึ้นเยอะมาก

สำหรับผมแล้ว นิยามความเป็น Maserati คือรถยนต์ระดับ Upper Luxury Premium ที่เน้นทั้งสมรรถนะในการขับขี่ ซึ่งแรงสะใจ แต่ไม่ดิบเถื่อน จนยากเกินจะคบหา มาใน Package ที่หรูและงามสง่า ตามประสา Italian Hi-so ซึ่งเหมาะกับคนที่ อาจจะมี Ferrari สักรุ่น สักคัน จอดอยู่แล้วในโรงรถที่คฤหาสน์ หรือแค่หลงใหลชื่นชอบใน Ferrari แต่ เริ่มอยากหารถยนต์ที่ขับสบายขึ้น สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน ร่วมกับครอบครัว และมีเงินมากพอที่จะทดลองมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจาก รถยนต์ Premium ทั่วไปในตลาด

ต่อให้เปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง ที่ฟัดเหวี่ยงกันอย่างสูสี อย่าง Porsche Cayenne ใหม่ นั้น Instructor ของ Maserati เอง ยืนยันกับผมว่า เขาได้ทดลองขับ Porsche Cayenne ใหม่ มาแล้ว ดังนั้น ถ้าต้องเปรียบเทียบกันในทุกมิติ ทุกหัวข้อการทดสอบ เขาเชื่อว่า Levante Trofeo และ GTS เหนือชั้นกว่า Cayenne ใหม่ ชนิดทาบไม่ติด

ผมไม่อาจจะตอบได้ว่าจริงหรือไม่ เพราะ Cayenne รุ่นที่ผมเคยลองขับช่วงสั้นๆ ก็เห็นจะมีแต่ Cayenne Hybrid ซึ่งแม้จะให้การขับขี่ที่ดีงามเมื่อต้องเทียบกับ Levante V6 แต่ สำหรับรุ่นแพงกว่านั้น ผมก็ยังไม่เคยสัมผัส จึงยังไม่อาจให้ความเห็นในทิศทางเดียวกับ Instructor ชาวอิตาเลียนคนดังกล่าวได้เต็มที่นัก

กระนั้น Levante Trofeo ก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้ผมเห็นแล้วว่า นี่คือ 1 ในรถยนต์ SUV ที่ดีที่สุดคันหนึ่ง เท่าที่ผมเคยลองขับมา เพราะทุกการควบคุม มันสมดุลย์ในทุกด้าน

แม้จะประเด็นเรื่องการเข้า – ออกจากบานประตู ที่อาจทำให้ขากางเกงของคุณเปื้อนฝุ่นได้ ตำแหน่งจอมอนิเตอร์ตรงกลางที่เตี้ยไปนิดเดียว เบาะนั่ง ที่อาจจะไม่สบายสำหรับบางคน หรือ เส้นรอบวงพวงมาลัยที่ใหญ่ไปนิด แต่นั่นก็เป็นเรื่องหยุมหยิม ไปหน่อย เมื่อเที่ยบกับคุณงามความดีทั้งหมดของรถคันนี้

ตอนนี้ ก็คงจะเหลือแต่ราคาแล้วละว่า จะเกิน 10 ล้าน ไปสักเท่าไหร่ เพราะต้องทำใจว่า ความจุกระบอกสูบ ที่เกินกว่า 3,000 ซีซี แถมยังมี พละกำลังที่สูงมากขนาด 550 -590 แรงม้า แบบนี้ จำเป็นต้องแลกมาด้วย ค่าการปล่อยมลพิษที่สูงมาก ซึ่งจะมีผลต่อการเก็บภาษีสรรพสามิต อย่างยากเกินหลีกเลี่ยง

แต่ถ้าวันใด ที่รถคันนี้ เดินทางมาถึงเมืองไทย ผมจะไม่ลังเลเลย ที่จะแนะนำให้ใครก็ตาม ซึ่งกำลังมองหา Performance SUV แรงๆแต่ขับสบายสักคัน ผู้ซึ่งคิดสรตะแล้วว่า Lamborghini Urus ดูแพงไปหน่อยสำหรับเขา และอยากได้สมรรถนะในระดับที่ไม่รู้จะหาที่ติตรงไหน ในระดับที่คาดว่าไล่เลี่ยกัน จาก SUV สักคัน ในกลุ่ม Upper Premium แบบนี้ ได้ลองมาขับ Levante Trofeo และ หรือ GTS ก่อน เพราะเชื่อขนมกินได้เลยว่า ด้วยอัตราเร่งที่ แรงแบบ “เปิดวาร์ป” ได้นิดๆ กับการบังคับควบคุมที่ดีงาม และช่วงล่างที่ต่อให้เป็น CORSA Mode แม่ยายก็หลับปุ๋ยได้ง่ายดายนั้น มันดีงามพอให้คุณตัดสินใจได้ไม่ยากเลย

ส่วนคำถามที่ว่า ด้วยค่าตัวกับสมรรถนะของทั้ง 2 รุ่น จำเป็นไหมที่จะปีนจากรุ่น GTS ขึ้นไปเล่นรุ่น Trofeo

ผมมองว่า ถ้าเงิน ไม่ใช่ปัญหา การ Upgrade ขึ้นไปให้ถึงสารพัดความเป็นจุดสูงสุด ของตระกูลอย่างรุ่น Trofeo ไปเลย นั่นน่าจะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้คุณได้ดี และช่วยให้คุณ “ฟิน” จนจบ แบบครบถ้วนไม่ต้องมานั่งคิดอะไรอีกแล้ว แตุ่ถ้าคุณยังอยากจะกันเงินเอาไว้บางส่วน เพื่อเป็นค่าเทอมของลูกในโรงเรียนนานาขาติอันแสนแพง เทอมละหลายแสนบาท เหล่านั้น รุ่น GTS ก็ถือว่า ให้ประสบการณ์ที่เพียงพอและเหลือเฟือสำหรับคุณแล้ว

ตอนนี้ เหลือเพียงแค่ต้องถาม พี่จุ๋ย (ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ) และทีมงานของคุณปิยะเทพ ศิวากาศ จาก MGC-Asia แล้วละว่า จะสั่งเข้ามาขาย แค่รุ่นเดียว รุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรือยอมใจป้ำ สั่งเข้ามาขายทีเดียว 2 รุ่นไปเลย แล้วจะตั้งราคาไว้ รวมภาษีสารพัดต่างๆนาๆ แล้ว จะคิดราคาคันละเท่าไหร่

อีกไม่นาน เดี๋ยวคุณก็คงจะได้รู้!!

—————————-///——————————-


Special Thanks to :

– Maserati S.p.A
Viale Ciro Menotto,322 ,41121 Modena , Italy

– Modena Motor Work Co.,Ltd.
Master Group Corporation (Asia) Co., Ltd. (MGC-Asia)
คุณ อรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์

เอื้อเฟื้อการเดินทางในทริปนี้

—————————-///——————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของ J!MMY
ยกเว้นภาพถ่ายรถขณะเคลื่อนไหว เป็นผลงานของ ช่างภาพจาก Maserati SpA.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
15 สิงหาคม 2019
Copyright (c) 2019 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August 15th,2019
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!