เมื่อโลกหมุนเวียนเปลี่ยนมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV ก็ทำให้นักลงทุนจีนหลายรายพยายามลงทุนพัฒนาธุรกิจการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV โดยหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาน่าจะเติบใหญ่อย่างที่ Tesla กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เพียงแต่ทุกคนยังไม่รู้ผลลัพธ์เลยว่า สิ่งที่พวกเขาลงทุนไปนั้นจะสามารถต่อยอดเป็นบริษัทแห่งอนาคตได้จริงหรือไม่?
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีนักลงทุนท่านหนึ่งก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า จะมีเพียงบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า EV หน้าใหม่จากประเทศจีนที่อยู่รอดได้เพียง 1% ส่วนบริษัทที่เหลืออีก 99% ล้มเหลวหมด
Ian Zhu ผู้จัดการพันธมิตรแห่ง NIO Capital บริษัทกองทุนยักษ์ใหญ่ (และยังเป็นผู้สนับสนุนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ NIO อีกด้วย) เปิดเผยว่า ประเด็นที่ต้องจับตากันให้ดีหลังจากที่บริษัท Start Up ทั้งหลายพากันลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่างหนักก็คือ การตั้งเป้ายอดขายที่เคยคุยโวโอ้อวด ซึ่งมันสวนทางกับยอดขายในโลกแห่งความเป็นจริงที่ยังล้มเหลวกันอยู่ และบริษัทน้อย ๆ เหล่านั้นก็ยังขาดประสบการณ์ด้านธุรกิจรถยนต์ หากเริ่มลงผลิตและขายรถส่งถึงมือลูกค้ากันจริง ๆ
Zhu ขยี้ประเด็นที่น่าสนใจอีกว่า บริษัท Start Up น้อย ๆ ที่เพิ่งลืมตาดูโลกเหล่านั้นมักประเมินขั้นตอนการพัฒนารถยนต์ที่มีความสลับซับซ้อนตั้งแต่การร่างภาพสเกตช์ไปจนถึงการปฏิบัติงานในภาคใหญ่ต่ำไป และนั่นทำให้พวกเขายากที่จะเข้าใจถึงโครงสร้างการลงทุนที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนก็สนับสนุนให้บริษัทรถยนต์วิจัย, พัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ด้วยงบสนับสนุน 15,000 ล้านดอลลาร์หรือเกือบ 500,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัดฉีดเงินอีก 47,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยสนับสนุนรับประกันรถยนต์ไฟฟ้า EV ให้กลายเป็นรถยนต์มาตรฐานเพื่อมาแทนที่รถยนต์แบบน้ำมันเชื้อเพลิง
ปัจจุบัน มีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า EV ก่อตั้งมากถึง 487 บริษัท ที่สำคัญบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า EV หน้าใหม่เหล่านี้เป็นที่หอมหวนในตลาดหุ้น และมีมูลค่ามากกว่า บริษัทรถยนต์ที่มีประสบการณ์การผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมมาช้านานเสียด้วย ถึงแม้ว่าบริษัทหน้าใหม่เหล่านี้จะไม่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์เลยก็ตาม
และด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้บริษัทรถยนต์ดั้งเดิมต้องหันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV เพื่อจะได้รักษามูลค่าหุ้นเอาไว้
Zhu ยังกล่าวอีกด้วยว่า ถ้าหากบริษัท Start Up ได้ควบรวมการทำงานร่วมกับบริษัทรถยนต์ดั้งเดิม มันก็จะเกิดนวัตกรรมที่แท้จริง เพราะรถยนต์เทคโนโลยีจะสามารถถูกผลิตได้เป็นจำนวนมาก
แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า EV แบบ Start Up ก็จะเข้าสู่วัฏจักร รุ่งไปร่วง เพราะราคาหุ้นของพวกเขาจะลดลง และตลาดก็รับรู้ บริษัทหน้าใหม่ไม่สามารถพัฒนารถยนต์ให้มีคุณภาพเทียบชั้นได้กับแบรนด์รถยนต์ดั้งเดิมที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและการผลิตได้เลย
ที่มา : Motoring