ในที่สุด Citroen ก็ได้เผยโฉมเอสยูวีสำหรับตลาดโลกคันแรกของ DS แบรนด์หรูในเครือ
ในนาม DS7 CROSSBACK แต่ในเมื่อมาทั้งทีแล้วก็ต้องมีจุดเด่นทางการตลาดเสียหน่อย
มิเช่นนั้นเอสยูวีคันงามนี้จะหมดความหมายเมื่อเจอคู่แข่งมาปราบ เราลองมาเจาะลึกกัน
ว่า DS7 CROSSBACK จะมีจุดขายอะไรบางบ้าง
DS 7 CROSSBACK ถือเป็นการรวมความยอดเยี่ยม, ความมีมาตรฐานสูงในการออกแบบ
ภายใต้สัดส่วนตัวถังที่ดูสมดุล ด้านหน้าเด่นด้วยกระจังหน้า DS WINGS มีกระจังหน้า
เปล่งประกายคล้ายอัญมณี ใช้เทคนิคการออกแบบที่มีสมดุลแบบปีกนกประยุกต์บนเส้น
สายตัวถังที่มีมัดกล้ามสวยงามและบั้นท้ายที่มีทรงไฟท้ายเพรียวบาง
จุดขายสำคัญคือเทคโนโลยีประกอบกันหลายอย่าง อาทิ DS ACTIVE LED VISION ไฟหน้า
LED 6 โมดูลที่สามารถหมุนได้ 180 องศา สามารถหมุนตัวเองเพื่อต้อนรับหากมีการปลดล็อก
ประตูและยังให้แสงอ่อนเข้มตามสภาวะได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการยิงลำแสงยาวไกลหากวิ่งทาง
ไกลและส่องสว่างขณะเลี้ยว
ชุดเทคโนโลยี DS LOUNGE เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ประกอบไปด้วย
DS ACTIVE SCAN SUSPENSION เทคโนโลยีช่วงล่างที่ได้แรงบันดาลใจจากช่วงล่าง
Hydropneumatics ที่ใช้กล้องตรวจจับสภาพพื้นถนนข้างหน้าเพื่อสั่งควบคุมระบบอิเล็กทรอนิคส์
ที่เกี่ยวกับช่วงล่างให้ปรับตัวตามสภาวะ
Focal Electra ระบบเสียง Hi-Fi ที่มีการจัดวางลำโพงในตำแหน่งที่แน่ใจแล้วว่าสร้างความ
อภิรมย์แก่ทุกท่านที่อยู่ภายในรถ
เมื่อโลกของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ DS7 CROSSBACK จึงจัดเต็ม
ด้วยเทคโนโลยี DS CONNECTED PILOT ที่ประกอบไปด้วย Cruise Control แบบ
Stop & Go แปรผันความเร็วการขับขี่ขึ้นอยู่กับรถยนต์คันข้างหน้าที่สามารถควบคุมพวงมาลัย
ให้วิ่งตรงเลนได้ ระบบนี้รองรับความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบ DS PARK PILOT จอดง่าย ควบคุมง่ายด้วยการควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัส
DS NIGHT VISION ปล่อยลำแสงอินฟราเรดจากกระจังหน้าเพื่อตรวจสอบว่ามีวัตถุ, มนุษย์
และสัตว์ในรัศมี 100 เมตร โดยหน้าจอดิจิตอลจะแสดงรัศมีอันตรายเพื่อให้ระวังก่อนที่จะเกิดการชน
DS DRIVER ATTENTION MONITORING ระบบที่จะช่วยตรวจสอบอากัปกิริยาของผู้ขับขี่
ตั้งแต่สายตา, การขยับศีรษะและใบหน้า, จังหวะการควบคุมพวงมาลัย หากผู้ขับขี่อยู่ในข่าย
ที่กำลังจะหมดประสิทธิภาพขณะขับขี่ระบบก็จะเตือนส่งเสียงและขึ้นสัญลักษณ์เตือนเพื่อให้
ผู้ขับขี่รู้ตัว
DS7 CROSSBACK ติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้กำลังรวม 300 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ โดยเครื่องยนต์เบนซินจะให้กำลัง 200 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าคู่จะให้กำลัง 100
แรงม้า กักเก็บพลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน 13 กิโลวัตต์ชั่วโมงติดตั้งใต้เบาะนั่งแถวที่สอง
สามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกลถึง 59 กิโลเมตร
รถคันจริงอวดโฉมในงาน Geneva Motorshow 2017 นี้
ที่มา : Motor1