ค่ายรถยนต์เมืองน้ำหอมที่เน้นดีไซน์หรูหรามีความพรีเมี่ยมอย่าง DS automobiles ได้เผยโฉมรถต้นแบบสมรรถนะสูง DS E-TENSE PERFORMANCE ภาคต่อของ รถต้นแบบ DS E-TENSE ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2016 จากแผนกพัฒนาตัวแรงของค่าย DS PERFORMANCE โดยเป็นการรวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ รวมไปถึงงานออกแบบที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ของค่ายในอนาคต
Thomas Chevaucher ผู้อำนวยการ DS PERFORMANCE กล่าวว่า “เราได้นำความสำเร็จจากรายการ Formula E มาถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ จนทำให้รถต้นแบบ DS E-TENSE PERFORMANCE เปรียบเสมือนห้องแลปที่เคลื่อนที่ได้ของ DS เพราะได้บรรจุเทคโนโลยีของรถไฟฟ้าแห่งอนาคต โดยเราจะใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยและวิเคราะห์ระบบต่างๆ ภายใน เพื่อนำไปสู่ความเป็นไปได้ของการผลิตขึ้นจริงในอนาคต”
โครงสร้างตัวถังแบบคาร์บอนไฟเบอร์ โมโนค็อก ถูกครอบด้วยเปลือกตัวถังที่มีรูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยว เริ่มตั้งแต่กระจังหน้าที่ผสานตราสัญลักษณ์ DS ไว้ตรงกลาง โดยเพิ่มลูกเล่นด้วยไฟส่องสว่างยามค่ำคืน ไฟหน้าทรงล้ำยุคที่มาพร้อมกับหลอด LED จำนวนมากถึง 800 ดวง และด้วยเทคโนโลยีเฉพาะ ที่สามารถออกแบบให้ไฟเป็นเส้นบางเฉียบ เพิ่มความโดดเด่นด้านหน้ายิ่งขึ้น และที่แปลกใหม่สำหรับรถยนต์ทั่วไป DS ได้ติดตั้งกล้องแทนที่ไฟหน้าทั้ง 2 ข้าง เพื่อนำไปใช้งานร่วมกับระบบความปลอดภัยของตัวรถ ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้วที่มีดีไซน์แปลกตา แต่แฝงไว้ด้วยความสามารถในเชิงอากาศพลศาสตร์ตามสไตล์รถ EV โดยงานดีไซน์ทั้งหมดจะเป็นตัวอย่างให้กับ DS Automobiles รุ่นต่อๆ ไปในอนาคต
ขุมพลังพลัง DS E-TENSE Performance Concept เป็นเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ที่ต่อยอดจากรถแข่ง Formula E ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนจำนวน 2 ตัว ให้กำลังรวมสูงสุด 822 แรงม้า (PS) (ล้อคู่หน้า 342.5 แรงม้า + ล้อคู่หลัง 479.5 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 8,000 นิวตันเมตร แน่นอนว่าเทคโนโลยีจากนามแข่งแบบนี้ ย่อมมีการนำพลังงานที่สูญเสียจากการเบรกกลับมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ไฮไลท์ของรถต้นแบบคันนี้อยู่ที่แบตเตอรี่ที่มีขนาดกะทัดรัด ห้อหุ้มด้วยวัสดุ Carbon-aluminium Composite แถมยังติดตั้งในตำแหน่งที่เอื้อต่อความสมดุลของการกระจายน้ำหนัก หน้า-หลัง ตามสไตล์รถสมรรถนะสูง ซึ่งได้รับความร่วมมือในการพัฒนาจากบริษัท TotalEnergies และ Saft
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมเซลล์แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวที่พัฒนามาโดยเฉพาะ Quartz EV Fluid ด้วยผลพวงจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้แบตเตอรี่ไม่เกิดการสูญเสียพลังงาน สามารถนำไปสร้างพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 822 แรงม้า (PS) ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่มา: Stellantis