หลังจากที่ Mercedes ได้เปิดตัว EQE ไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน ปี 2021 นำร่องด้วยรหัส EQE 350 ซึ่งยังคงรอการวางจำหน่ายจริงภายในปีนี้ ล่าสุด วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2022 Mercedes-AMG ได้เปิดตัวเวอร์ชั่นแรงกว่าของอย่าง EQE 43 4MATIC และ EQE 53 4MATIC+ เพื่อต่อกรกับคู่แข่งสมรรถนะสูงทั้งหลาย โดยวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% เวอร์ชั่นแรงระดับ สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Mercedes Architecture of the Luxury & Premium Class (EVA2) ก่อนที่จะมีรหัส 63 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแรงที่สุดที่ถูกรังสรรค์ขึ้นบนแพลตฟอร์มที่ Mercedes-AMG พัฒนาขึ้นมาเอง

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว : 4,964 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 1,906 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,492 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ (Kerb Weight) : 2,525 กิโลกรัม
  • พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง : 430 ลิตร

ดีไซน์ภายนอกเมื่อดูโดยรวมแล้วไม่ได้มีความแตกต่างจาก EQE ที่ตกแต่ง AMG line มากนัก ที่จะเห็นได้ชัดก็คือ กระจังหน้าที่เพิ่มเส้นแนวตั้ง ตามฉบับ Mercedes-AMG ในยุคปัจจุบัน พร้อมสัญลักษณ์ AMG ที่ด้านหน้า รวมไปถึงไฟหน้า DIGITAL LIGHT ทริมตกแต่งรอบคันต่างๆ มาในรูปแบบสีดำเงา แทรกด้วยขอบโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหราพอเป็นพิธี ชุดแต่งรอบคันที่ยังคงดูไม่ดุกร้าวมากจนเกินไปนัก แต่ที่โดดเด่นก็เห็นจะเป็นสปอยเลอร์ทรงตูดเป็ดที่ฝากระโปรงท้าย ทำให้ดูแตกต่างจาก EQE รุ่นปกติ พร้อมแผงดิฟฟิวเซอร์ที่เพิ่มรายละเอียดที่จะยกระดับการขับขี่และในเชิงอากาศพลศาสตร์ให้ดียิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับเบาะนั่ง AMG ทรงสปอร์ตที่มีลวดลายเฉพาะรุ่นหุ้มด้วยหนัง ARTICO ตัดเย็บด้วยมือด้วยด้าย MICROCUT และยังมีหนัง Nappa ให้เลือกอีกด้วย และยังมีลายฉลุ AMG ทั่วทั้งภายใน แผงหน้าปัดด้านหน้าออกแบบมาให้สอดรับกับหน้าจอแบบ Hyperscreen ที่ลาดยาวจากเสา A ข้างซ้ายไปจรดที่เสา A ข้างขวา รวมเป็น 3 จอต่อเนื่องภายใต้รูปแบบ MBUX แต่น่าเสียดายที่เป็นอ็อพชั่นเสริมเช่นเดียวกับ EQE รุ่นปกติ

แผงหน้าปัดด้านหน้าตกแต่งด้วยหนังแบบเดียวกับเบาะนั่ง พร้อมทั้งเดินด้ายตะเข็บจริงสีแดง พวงมาลัย AMG Performance ทรง D-shape หุ้มด้วยหนัง Nappa เจาะรู พร้อมก้าน Paddle Shift แบบ Aluminium เพื่อปรับระดับแรงหน่วงเพื่อนำพลังงานชาร์จกลับแบตเตอรี่ รวมถึงแป้นเหยียบแบบสปอร์ต ระบบนำทางที่ติดตั้งยังมาพร้อมกับความสามารถ Electric Intelligence เพื่อคำนวณหาเส้นทางที่สั้นที่สุดและสะดวกต่อการขับขี่ ด้วยการรวมตำแหน่งสถานีชาร์จและบรรจุอยู่ในเส้นทาง โดยที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งตามสภาพจราจรและรูปแบบการขับขี่ของคนขับ ระบบนี้จะใช้ฐานข้อมูลจาก Cloud System ผนวกกับ Onboard Data เพื่อวิเคราะห์เส้นทางให้ได้ละเอียดแม่นยำที่สุด

ขุมพลังของ EQE 43 และ EQE 53 เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ติดตั้งอยู่บนเพลาด้านหน้า-หลัง พร้อมระบบ Electric Drivetrain (eATS) เพื่อกระจายแรงไปยังล้อทั้ง 4 แบบแปรผันได้อย่างอิสระ

AMG EQE 43 4MATIC

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แบบ Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) กำลังสูงสุด 483 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 858 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ ความจุ 90.6 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC ผ่าน On-board Charger สูงสุด 11 kW และ 22 kW (อ็อพชั่นเสริม) และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 170 kW

ตัวเลขเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.2 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม.
  • ระยะทางการวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง 462 – 553 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

AMG EQE 53 4MATIC+

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แบบ Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) กำลังสูงสุด 635 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ ความจุ 90.6 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC ผ่าน On-board Charger สูงสุด 11 kW และ 22 kW (อ็อพชั่นเสริม) และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 170 kW

ตัวเลขเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.5 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม.
  • ระยะทางการวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง 444 – 518 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

เฉพาะ Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ เท่านั้น ที่จะมีอ็อพชั่นให้เลือกติดตั้งเสริม ดังต่อไปนี้ 

  • แพ็กเกจ AMG Dynamic Plus ช่วยเพิ่มพละกำลังสูงสุดเป็ร 696 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดถึง 1,000 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ลดลงเหลือ 3.3 วินาที ความเร็วสูงสุดเพิ่มเป็น 240 กม./ชม. พร้อมโหมดออกตัว RACE Start หรือ Launch Control
  • ระบบสังเคราะห์เสียงเครื่องยนต์ AMG Sound Experience ที่มีทั้งโหมด Authentic และ Performance โดยแต่ละโหมดยังแบ่งย่อยลงไปอีกได้ถึง 3 ระดับ ทั้ง Balanced, Sport และ Powerful

นอกจากนี้ ความพิเศษของ EQE 53 ยังมีมอเตอร์ที่ได้รับการอัพเกรดทั้งด้านขดลวด สายไฟต่างๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ รวมไปถึงอินเวอร์เตอร์ เพื่อรองรับกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น แบตเตอรี่ถูกออกแบบมาให้สามารถระบายความร้อนด้วยของเหลว จากโรงสร้างวัสดุอลูมิเนียมที่ห่อหุ้มอยู่รอบด้าน เพื่อให้มอบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น ECO Charging เพื่อลดภาระขณะประจุไฟให้กับแบตเตอรี่และยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น โดย Mercedes เคลมว่าแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ปี หรือการชาร์จ 250,000 ครั้ง

โหมดการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT มีทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่

  • Slippery (50% Output)
  • Comfort (80 – 85% Output)
  • Sport (100% Output)
  • Sport+ (100% Output)
  • Individual

โหมดการดึงพลังงานกลับไปยังแบตเตอรี่ 3 รูปแบบ ได้แก่

  • D
  • D –
  • D Auto (One Pedal)

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมมอเตอร์ผ่อนแรงผสมระบบไฮดรอลิค เสริมด้วยระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อคู่หลัง ซึ่งทำมุมเลี้ยวได้สูงสุดถึง 3.6 องศา หากใช้ความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม. ล้อคู่หลังจะเลี้ยวในทิศตรงกันข้ามกับล้อคู่หน้า เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและให้วงเลี้ยวที่แคบ แต่ถ้าใช้ความเร็วเกินกว่านั้น จะเป็นการเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเพิ่มระยะฐานล้อเสมือน ให้รถมีการทรงตัวดีขึ้น

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบ 4-link พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง และยังมีระบบช่วงล่างแบบ Adaptive AMG RIDE CONTROL+ ที่สามารถปรับความแข็ง-อ่อน รวมไปถึงความสูงของตัวรถเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการขับขี่ ล้ออัลลอยมีให้เลือกทั้งขนาด 20 และ 21 นิ้ว ซึ่งอย่างหลังสามารถเลือกติดตั้งจานเบรกแบบเซรามิคได้ รวมไปถึงยางสมรรถนะสูงที่ออกมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะอย่าง Michelin Pilot Sport EV

ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน ขนาด 415 มิลลิเมตร พร้อมคาลิเปอร์ 6 pot ด้านหลังเป็นดิสก์เบรก แบบครีบระบายความร้อน ขนาด 378 มิลลิเมตร จับคู่คาลิเปอร์ 1 pot สามารถเลือกอ็อพชั่นเสริม เป็นจานเบรกคู่หน้าแบบเซรามิค ขนาด 440 มิลลิเมตร เสริมการทำงานด้วยระบบ i-Booster ที่เป็นการผสมผสานระหว่างระบบเบรกแบบไฮดรอลิคและไฟฟ้า เพื่อให้เกิดแรงดันที่เหมาะสมภายใต้ฟีลลิ่งการขับขี่ที่ถูกปรับแต่งโดย AMG

สิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% คือความปลอดภัยขณะเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากระบบไฟฟ้าแรงสูงอาจก่อประกายไฟได้ แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ติดตั้งใน รถ 2 รุ่นนี้ ได้รับการติดตั้งระบบ Crash Monitoring และได้ถูกทดสอบเพื่อให้สามารถรองรับแรงปะทะได้จากทุกทิศทาง รวมไปถึงการทำงานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยเมื่อเกิดการทำงานที่ผิดพลาด ระบบตัดไฟจะทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงต่ออันตราย

ปัจจุบัน Mercedes-Benz มี Mercedes-Me Charge หรือ บริการที่คอยตรวจสอบสถานะของสถานีชาร์จสาธารณะ ซึ่งคลอบคลุมมากกว่า 500,000 แห่ง จากทั้งหมด 31 ประเทศ ทั้งกระแสสลับ AC และกระแสตรง DC และกำลังเร่งขยายเพิ่มในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา: Mercedes-Benz