นับว่าเป็นการเปิดตัวครั้งสำคัญของรถ Compact SUV ที่จะมาเป็นอาวุธใหม่ของค่ายงูกินเด็ก ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียง 2 โมเดลที่ยังทำตลาดอยู่ ได้แก่ Giulia และ Stelvio โดยการเปิดตัวครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเจาะกลุ่มตลาดใหม่แล้ว ยังมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งด้านการขับขี่ ระบบความปลอดภัย และเป็นครั้งแรกที่มีทางเลือกขุมพลังทั้งแบบ Mild-Hybrid และ Plug-in hybrid

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว : 4,530 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 1,840 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,600 มิลลิเมตร

งานออกแบบภายนอกส่วนใหญ่อ้างอิงจาก Tonale Concept ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2019 ด้านหน้ามาพร้อมกระจังรูปทรงเอกลักษณ์แบบลอยตัวหรือที่เรียกว่า Scudetto และมีเส้นสายด้านข้างที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ต 8C Competizione ในส่วนกระจกประตูหลังมีการปรับรายละเอียดให้แตกต่างจากรถต้นแบบ แต่ยังคงไว้ซึ่งเส้นสายอันโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบ full-LED adaptive matrix ข้างละ 3 ดวงได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น SZ Zagato และรถสปอร์ตต้นแบบเมื่อปี 1991 Proteo concept โดยงานออกแบบไฟหน้ายังส่งผ่านไปถึงไฟท้ายแบบ 3+3 ที่ลากยาวจรดกันตรงกลางโลโก้ Alfa Romeo

ภายในได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนร่วมค่าย ทั้งแนวทางการออกแบบให้เน้นผู้ขับขี่เป็นสำคัญ คอนโซลกลางได้รับการออกแบบใหม่ ให้ความเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Alfa Romeo ที่มาพร้อมการสลักลวดลายด้วยเทคโนโลยี laser นอกจากนี้ที่แผงหน้าปัดด้านบนยังติดตั้งไฟ backlight ที่เปลี่ยนสีได้ ช่องแอร์ฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นแบบทรงกลมคล้ายใบพัด เบาะหนังมีวัสดุให้เลือกทั้ง Alcantara และ หนังไม่แท้ หรือ vegan leather แน่นอนว่ารูปทรงเบาะต้องโอบกระชับเพื่อรองรับสรีระ นอกจากนี้ยังมาพร้อมปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ หรือ D.N.A. driving mode selector ติดตั้งใกล้คันเกียร์ ที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมดการขับขี่ Dynamic mode Natural mode และ Advance Efficiency (AE) สำหรับพวงมาลัยมีขนาดกระชับมือ มาพร้อมแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ วัสดุอลูมิเนียมขนาดใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ที่ส่งต่อจากรุ่นพี่

มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นจอขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานที่สัมพันธ์กับระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีจอเครื่องเสียงขนาด 10.25 นิ้ว แบบสัมผัสที่มาพร้อมกับ Apple CarPlay และ Android Auto เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงและผู้ช่วยส่วนตัว Amazon Alexa ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android โดยสามารถทำการอัพเดทผ่านเครือข่ายมือถือแบบ 4G แบบ over-the-air (OTA)

ไฮไลท์สำคัญคือการผนวกเทคโนโลยี non-fungible token (NFT) ที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน เป็นการสร้างอัตลักษณ์ให้กับรถแต่ละคัน ซึ่งมาในรูปแบบการบันทึกข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ เพื่อเป็นประโยชน์ในการขายต่อ เช่น ลักษณะการขับขี่ ซึ่งเสมือนเป็นการให้เครดิตและเพิ่มมูลค่าให้กับรถ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เจ้าของรถสามารถเชื่อมต่อและสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น ระดับไฟในแบตเตอรี่ ระบุตำแหน่งล่าสุดของรถ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับ home automation ช่วยให้สามารถสั่งการอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านได้ ระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon จำนวน 14 ลำโพง

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

ขุมพลังของ Alfa Romeo Tonale ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo Mild Hybrid 2 ระดับความแรง และเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร Turbo Plug-in Hybrid

เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo Mild Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger กำลังสูงสุด 132 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V ให้กำลังสูงสุด 20 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 55 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า

เครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้จะมาพร้อมกับระบบฉีดเชื้อเพลิงแรงดันสูงถึง 350 บาร์ และมีอัตราส่วนกำลังอัดสูงถึง 12.5 ต่อ 1 ทำงานภายใต้วัฏจักร Miller ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ และด้วยท่อไอดีแบบ high-tumble จะช่วยให้อากาศที่ไหลเวียนเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น

เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo Mild Hybrid (VG Turbo)

รุ่นที่มีพละกำลังสูงกว่ายังคงใช้ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร บล็อกเดียวกัน แต่ได้รับการอัพเกรดด้วยการพ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger แบบแปรผัน Variable-Geometry Turbo (VGT) และยังคงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า

เบนซิน 1.3 ลิตร Turbo Plug-in Hybrid

สำหรับรุ่นท็อป Q4 ที่เน้นสมรรถนะจากขุมพลัง Plug-in hybrid จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ MultiAir 16 วาล์ว ขนาด 1.3 ลิตร 1,332 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 70.0 x 86.5 ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุดรวม 279 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาด 15.5kWh ที่สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 80 กม. พร้อมทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.2 วินาที

ระบบบังคับเลี้ยว

เป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า อัตราทดเฟืองพวงมาลัย อยู่ที่ 13.6 : 1 มีการปรับเซ็ตให้ฟีลลิ่งในการควบคุมตัวรถที่แม่นยำและเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับตัวรถได้อย่างดีเยี่ยม

ระบบกันสะเทือน

ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ โดยติดตั้งโช้คอัพไฟฟ้าที่สามารถปรับระดับความหนืดได้ หรือ Dual Stage Valve electronic suspension ซึ่งแบ่งเป็น 2 โหมดระหว่าง Comfort และ Sport ซึ่งจะทำงานร่วมกับโหมดการขับขี่ D.N.A

นอกจากนี้รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าทั้ง 2 ความแรงจะได้รับการติดตั้ง Electronic Self-locking Differential เพื่อช่วยกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 2 ข้างได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลาย teledial ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น 33 Stradale โดยออกแบบให้มีน้ำหนักเบา การระบายความร้อนที่ดีแก่ระบบเบรก ทั้งนี้ยังมีลายอื่นๆ ให้เลือกตั้งแต่ขนาด 17 นิ้ว ไปจนถึง 19 นิ้ว

ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อเป็นแบบ Integrated Brake System (IBS) ที่ผสานระบบเบรกปกติทั่วไปกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มาพร้อมดิสก์เบรกหน้าที่ใช้คาลิปเปอร์จาก Brembo จำนวน 4 ลูกสูบ ที่ด้านหน้า และ ดิส์กเบรกที่ด้านหลัง พวงมาลัยอัตราทด 13.6 ต่อ 1 เพื่อให้ฟีลลิ่งในการควบคุมตัวรถที่แม่นยำและเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับตัวรถได้อย่างดีเยี่ยม

ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ ประกอบด้วย

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Intelligent Adaptive Cruise Control (IACC)
  • ระบบเตือนเมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวาง Forward Collision Warning (FCW)
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ พร้อมตรวจจับคนข้ามถนน Autonomous Emergency Braking with Vulnerable Road Users
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Centering (LC)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Path Detection
  • ระบบแจ้งเครื่องหมายจราจร พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ Traffic Sign Recognition and Intelligent Speed Control systems
  • ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยที่เบาะหลัง Rear Seat Reminder Alert
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Blind Spot Detection
  • กล้องมองภาพรอบคัน 360° View Camera
  • ระบบช่วยจอดรถ Semi-Automatic Parking system

สำหรับตลาด UK ไลน์อัพของ Alfa Romeo Tonale ถูกแบ่งออกเพียง 2 เกรด ได้แก่ Super และ Ti โดยรุ่นเริ่มต้นสามารถสั่งติดตั้ง Sprint pack และรุ่นท๊อป Veloce pack ซึ่งเป็นการเสริมสมรรถนะและความสปอร์ต โดยจะขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงาน Giambattista Vico ที่ย่าน Pomigliano d’Arco เมือง Naples ประเทศ อิตาลี

ที่มา: Stellantis