ถ้าหากพูดถึงค่ายรถยนต์สปอร์ตที่กลุ่มแฟนคลับมีความเหนียวแน่นมากที่สุด ค่ายรถสปอร์ตจากประเทศเยอรมนีอย่าง Porsche ก็น่าจะเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่นึกถึง ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี นับตั้งแต่รถ Porsche 356 อันนับได้ว่าเป็นรถที่ติดตรา Porsche รุ่นแรก ถูกวางจำหน่าย Porsche ได้สั่งสมชื่อชั้นของการเป็นรถที่เอาใจนักขับขั้นสูงสุด นอกจากนี้ Porsche ยังประสบความสำเร็จในการแข่งขัน Motorsport ในหลากหลายรายการมาก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์รถที่มีชื่อเสียงด้านการแข่งขันมากที่สุดลำดับต้น ๆ ของโลก
ดังนั้น เมื่อมีการจัดงานรวมตัวรถยนต์ Porsche ไม่ว่าจะที่แห่งใดบนโลก ผู้ที่คลั่งไคล้รถยนต์แบรนด์นี้ ก็มักจะมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น นำรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของแบรนด์ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีรายละเอียดและเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างกันไปในทุกรุ่น มาจัดแสดงให้กับคนทั่วไปได้ชื่นชมในความโดดเด่น ดั่งเช่นงาน Das Treffen 7 ที่เรานำมานำเสนอในวันนี้ ซึ่งเป็นงานรวม Porsche ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจัดโดย Das Treffen Magazine
งาน Das Treffen 7 มีธีมงานคือ Dreams in Colours ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นปัจเจกในบรรดาเจ้าของรถยนต์ Porsche รุ่นต่าง ๆ ที่มักจะมีสีสันแตกต่างตระการตาให้เลือกตามความต้องการและความชื่นชอบ ถ้าหากเราดูภาพรถยนต์ในงาน เราก็จะเห็นว่ามีสีสันต่าง ๆ มากมายเหมือนลูกกวาด สำหรับผู้คนที่คุ้นชินกับตลาดรถยนต์ระดับทั่วไปที่มีสีเพียงแค่ ขาว ดำ หรือเงิน ภาพของรถ Porsche ที่มีสีอย่าง เหลือง Racing Yellow เขียว Lizard Green หรือแดงเข้ม Carmine Red และฟ้า Miami Blue ก็ชวนให้รู้สึกว่า หลากหลายดียิ่งนัก!
นอกเหนือจากการจัดแสดงรถรุ่นต่าง ๆ ที่เจ้าของนำมาจอดรวมตัวกันแล้วนั้น เจ้าของรถยังสามารถที่จะลงแข่งขัน Gymkhana ด้วยรถยนต์ของตัวเอง เพื่อชิงรางวัลจาก Michelin นี่เป็นเหมือนการให้รถยนต์ประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ได้ออกมาแสดงความสามารถที่แท้จริงกัน
งาน Das Treffen 7 นั้น ถูกจัดที่ Impact Speed Park สนามแข่งรถ Go Kart ใกล้บริเวณทะเลสาบเมืองทอง ในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา โดยสำหรับผู้ที่ขับรถ Porsche ไปรวมงานนั้นจะเข้างานได้ฟรี
สำหรับบทความนี้ ทางเราจะมานำเสนอภาพรถยนต์ในงานรุ่นต่าง ๆ ให้ท่านได้รับชมกันสำหรับผู้ที่อาจจะพลาดไม่ได้ไปงาน โดยเราจะเรียงลำดับตามรถยนต์ที่ถูกเปิดตัวก่อนไปหลัง พร้อมกับบอกเกร็ดรายละเอียดความน่าสนใจเกี่ยวกับรถรุ่นนั้นสั้น ๆ นับตั้งแต่รถรุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Porsche 356 มาจนถึงรถรุ่นล่าสุดอย่าง Porsche 911 992 รถยนต์ที่เปลี่ยนแนวทางของแบรนด์อย่าง Porsche Cayenne และรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันอย่าง Porsche Taycan สามารถรับชมได้ที่นี่
Porsche 356
หลายท่านน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า Porsche ถูกก่อตั้งโดย Ferdinand Porsche ผู้ซึ่งเป็นชาวออสเตรีย ในเมือง Stuttgart ประเทศเยอรมนีเมื่อปี 1931 โดยบริษัทในช่วงแรก ได้รับหน้าที่ในการออกแบบรถยนต์ราคาประหยัดจากพรรคนาซีเยอรมนีในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ภายหลังกลายมาเป็น Volkswagen Beetle ซึ่งเป็นหนึ่งในดีไซน์รถยนต์ที่โดดเด่นมากที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่ Ferdinand ยังคงถูกควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยอาชญากรสงคราม Ferdinand “Ferry” Porsche และ Louise Porsche ลูกชายและลูกสาวของ Ferdinand ซึ่งได้รับการปล่อยตัวมาก่อน ก็เป็นผู้ดำเนินการบริษัทให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติหลังสงครามนี้ไป ด้วยการรับงานออกแบบรถยนต์ให้กับค่ายอื่น ๆ
รถ Porsche 356 ถูกออกแบบมาให้เป็นรถสปอร์ตที่คำนึงถึงการขับขี่เป็นหลัก แต่ด้วยเยอรมนีในสภาวะหลังสงครามมีการขาดแคลนชิ้นส่วนที่ใช้พัฒนารถยนต์ Ferry Porsche จึงต้องนำเอาชิ้นส่วนของ VW Beetle มาร่วมด้วย อาทิเช่น ตัวเสื้อสูบของเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนช่วงล่างหลายชิ้น และนี่ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่รถของ Porsche มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถ VW ในภายหลัง Porsche ก็ได้ทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนเหล่านี้ ให้เป็นของที่ออกแบบโดย Porsche เองมากขึ้น จนท้ายที่สุด Porsche 356 ก็แทบจะไม่มีชิ้นส่วนของรถเต่าเหลืออยู่เลย
Porsche 356 ในช่วงแรก ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.1 ลิตร แบบ 4 สูบ Boxer เหมือนกับ Beetle แต่มีการปรับชิ้นส่วนอื่น ๆ แทบจะทั้งหมด ก่อนที่จะมีการขยับขยายไปเป็น 1.3 1.5 1.6 และ 2.0 ลิตรในภายหลัง โดยที่ชิ้นส่วนภายในถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมด กลายมาเป็นเครื่องยนต์ของ Porsche เอง
Porsche 356 ถูกผลิตขึ้นตั้งแต่ปี 1948 จนถึง 1965 รวมแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 76,313 คัน
นอกเหนือจากรถรุ่นพื้นฐานแล้ว ยังมีรุ่นพิเศษที่พัฒนาให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น อาทิเช่น Porsche 356 Carrera ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่ Porsche ใช้ชื่อนี้ในรถยนต์ของบริษัท โดยมีเครื่องยนต์ชนิด Double Overhead Camshaft ซึ่งก็นับว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคมากในปี 1955 ที่รถรุ่นนี้ถูกเปิดตัวมา
Porsche 911/912
ภายหลังจากความสำเร็จของ Porsche 356 ทางบริษัทก็มีแนวคิดที่จะออกแบบรถซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความหรูหรา สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น รถรุ่นนี้ถูกเผยโฉมครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show ในปี 1963 ก่อนที่จะถูกผลิตและวางจำหน่ายจริงในปีถัดมา
ในขั้นตอนการพัฒนานั้น Porsche รุ่นใหม่นี้ ถูกกำหนดรหัสเอาไว้ว่า 901 เนื่องจากรถแข่งหลากหลายรุ่นใช้รหัสในการพัฒนาหลัก 800 ไปหมดแล้ว และเมื่อครั้งเปิดตัว รถรุ่นนี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้ว่าจะชื่อ Porsche 901 ตามรหัสการพัฒนานั่นเอง แต่ทาง Peugeot ผู้ซึ่งใช้ชื่อรุ่นที่เป็นตัวเลข 3 ตัว โดยเลข 0 อยู่ตรงกลางมาตั้งแต่เริ่ม ไม่ยินยอมให้ Porsche ใช้ชื่อรถ 901 นี้ แม้ว่า Peugeot เองจะไม่มีรถที่ใช้ชื่อ 901 ก็ตาม
ทาง Porsche จึงได้เปลี่ยนเลขกลางจาก 0 ให้เป็น 1 จนออกมาเป็น Porsche 911 นั่นเอง และในปัจจุบันเราคิดว่าคงจะมีน้อยคนที่ไม่รู้จักว่าชื่อ Porsche 911 นี้คือรถอะไร
เมื่อครั้งเปิดตัว Porsche 911 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 6 สูบ Boxer และในภายหลังได้มีการขยับขยายออกไป ตั้งแต่ 2.2 2.4 2.7 3.0 3.2 จนไปสิ้นสุดที่ขนาด 3.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ ในรุ่น 930 Turbo ซึ่งเปิดตัวในปี 1974 รถรุ่นนี้กลายมาเป็นรถที่ทำให้เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสร้างประสิทธิภาพแห่งอนาคต
Porsche 911 รุ่นดั้งเดิมเหล่านี้ ถูกผลิตตั้งแต่ปี 1964 มาจนถึง 1989 ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนโฉมมาเป็นรุ่น 964 และแม้ว่าจะมีความพยายามที่จะแทนที่รถสปอร์ตเครื่องยนต์ Boxer วางหลัง ระบายความร้อนด้วยอากาศนี้ แทนที่ด้วย Porsche 928 ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบ V8 ระบายความร้อนด้วยน้ำ วางด้านหน้า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแฟนคลับของ Porsche ที่หลงใหลในเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นนี้ เรียกร้องให้บริษัทผลิตต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ มันคงจะเป็นการยากแล้วที่เราจะจินตนาการ Porsche ในฐานะบริษัทรถซึ่งไม่มีรถเครื่องยนต์วางหลังอยู่
อีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเราเก็บภาพมาได้ ถ้าหากดูผิวเผิน เราอาจจะคิดว่ามันก็คือ Porsche 911 แต่เมื่อสังเกตป้ายทะเบียนดูแล้วก็ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้ว มันคือ Porsche 912
ในช่วงปี 1965 หลังจากที่ Porsche 911 ได้ถูกเปิดตัวไปแล้ว รถ Porsche 356 ก็ยังคงถูกจำหน่ายต่อไปอยู่ ถึงกระนั้น ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า 911 จะกลายมาเป็นสินค้าหลักของแบรนด์ไปโดยปริยาย และ 356 ก็คงถูกจำหน่ายต่อไปอีกไม่นาน แต่ว่า ราคาจำหน่ายของ 911 ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนั้น แพงกว่า Porsche 356 อยู่มากพอสมควร บริษัทจึงมีแนวคิดที่จะสร้างรถอีกรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกับ 356 เดิม
Porsche 912 จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 4 สูบ Boxer ที่พัฒนาต่อมาจากเครื่องยนต์ของ Porsche 356SC รุ่นสุดท้าย
Porsche 924/944/968
นับตั้งแต่เริ่มต้น Porsche เป็นบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Volkswagen มาโดยตลอดอยู่แล้ว และใช้ชิ้นส่วนร่วมกันในหลายจุด ในช่วงปลายยุค 1960 ทั้งสองบริษัทจึงมีความคิดที่จะพัฒนารถรุ่มใหม่ร่วมกัน ผลลัพธ์ออกมาเป็น Porsche 914 ที่เปิดตัวในปี 1969 และนับได้ว่าเป็นรถที่แทนที่ทั้ง Porsche 912 ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้า และ VW Karmann Ghia โดย Porsche 914 ผลิตต่อเนื่องมาจนถึงปี 1976
ในช่วงต้นยุค 1970 นี้เอง ทาง Porsche และ VW ก็กำลังเริ่มต้นพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่รถ 914 ที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยมันจะเป็นรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของ VW และเป็นรถรุ่นเริ่มต้นของ Porsche แต่ด้วยวิกฤติน้ำมันขาดแคลนจากสงคราม Yom Kippur ในปี 1973 ทำให็ VW ถอนตัวจากความร่วมมือครั้งนี้ไป เพื่อที่จะหันไปพัฒนารถ 2 ประตู บนพื้นฐานรถขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นใหม่ VW Golf แทน โดยผลลัพธ์ออกมาเป็น VW Scirocco
ปัญหาคือ Porsche ซึ่งเป็นบริษัทเล็กกว่า และมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนโฉมรถรุ่น 914 ที่ในขณะนั้นก็มีอายุรวมกว่า 7 ปี จึงตัดสินใจซื้อดีไซน์นี้จากทาง VW เพื่อที่จะพัฒนาเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหม่ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังต้องพัฒนารถรุ่นพิเศษ Porsche 912E ขึ้นมาเพื่อจำหน่ายเพียงแค่ปีเดียว หลังจากที่ 914 ถูกปิดไลน์การผลิตไป แต่รถรุ่นใหม่ยังไม่ถูกเปิดตัว โดยเป็นการนำเอาตัวถังของ Porsche 911 มาติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบของ VW เพื่อขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ในที่สุด Porsche 924 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา เปิดตัวในปลายปี 1975 และจำหน่ายจริงในปี 1976 โดยรถรุ่นนี้ใช้พื้นฐานใหม่ ในรูปแบบที่ Porsche ไม่เคยทำมาก่อน เครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ระบายความร้อนด้วยน้ำ โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง ของ Volkswagen-Audi
ความโดดเด่นของรถรุ่นนี้ อยู่ที่การติดตั้งระบบเกียร์เอาไว้ที่ด้านหลังรถ (Transaxle) เพื่อช่วยให้การกระจายน้ำหนักอยู่ที่ 48/52 อันเป็นการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับรถประสิทธิภาพสูง และ Porsche 924 ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งของแบรนด์
ในภายหลัง Porsche ได้มีการปรับปรุงรถ 924 ในหลากหลายจุด เพื่อเพิ่มความหรูหรา และเพิ่มประสิทธิภาพของตัวรถให้มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีมากพอที่จะทำให้ Porsche ให้รหัสรุ่นใหม่กับรถคันนี้ จนออกมาเป็น Porsche 944 ในปี 1982 โดยที่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุด อยู่ที่การหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง ที่พัฒนาขึ้นโดย Porsche เอง แทนที่เครื่องของ VW-Audi เดิมนั้น
ในภายหลังมีการขยับขยายเครื่องยนต์ไปเป็น 2.7 และ 3.0 ลิตร รวมไปถึงการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์เพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน Porsche 924 ก็ถูกผลิตควบคู่ต่อเนื่องกันมาในฐานะรถรุ่นเริ่มต้น และหลังจากที่ VW-Audi เลิกผลิตเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรเดิมนั้นไป Porsche 924 ก็ถูกติดตั้งด้วยเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรใหม่นั้นเอง
Porsche 924 ถูกเลิกจำหน่ายในปี 1988 และ Porsche 944 เวอร์ชั่นปรับปรุงโฉมสุดท้ายก็ถูกเปิดตัวในปี 1989 แต่ดีไซน์ของรถรุ่นนี้ก็เก่าเกินไปแล้ว พวกเขาจึงมีแผนที่จะปรับปรุงโฉม 944 อีกครั้งหนึ่ง ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น
Porsche 968 จึงถูกเปิดตัวในปี 1991 จากเดิมที่มันจะเป็น Porsche 944 รุ่นปรับปรุงโฉม “S3” แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่มีมากนั้น จึงทำให้ Porsche มอบรหัสรุ่นใหม่ไปเลย และนับได้ว่าเป็นการพัฒนาขั้นสูงสุดของพื้นฐาน Porsche เครื่อง 4 สูบแถวเรียง วางหน้า เกียร์วางหลัง ที่เริ่มต้นจาก Porsche 924 นั่นเอง Porsche 968 ถูกทำตลาดจนถึงปี 1995 และถูกแทนที่ด้วยรถสปอร์ตรุ่นเริ่มต้นใหม่ นั่นคือ Porsche Boxster
Porsche 964
แม้ว่า Porsche 928 จะถูกเปิดตัวมาแล้ว และถูกตั้งความหวังว่าจะกลายมาเป็นตัวแทนของ Porsche 911 แต่ยอดขายที่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้พัฒนาการของรถรุ่นเดิมนั้นต้องดำเนินต่อเนื่องไป ในช่วงกลางยุค 1980 Porsche เองก็คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ สำหรับอนาคต โดยตัวอย่างแรกที่เราได้เห็น ก็อยู่ในรูปแบบของ Porsche 959 รถรุ่นสูงสุดของค่ายที่กลายมาเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลกในปี 1986 ด้วยความเร็วสูงสุด 317 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Porsche 959 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All Wheel Drive ที่เหมือนเกิดมาเพื่อแก้ไขคุณลักษณะของรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์เอาไว้หลังเพลาขับเคลื่อนด้านหลัง
ในปี 1989 Porsche ก็ได้เปิดตัวรถที่ถือว่า “มาแทน” Porsche 911 รุ่นดั้งเดิมกันเสียที แม้ว่าในความเป็นจริงดูดีไซน์แล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไหร่ นั่นคือ Porsche 911 รหัส 964 ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงมากพอที่จะได้รหัสใหม่ รถรุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่หมด โดยเป็นรหัส M64 ขนาด 3.6 ลิตร ที่ยังคงรูปแบบ 6 สูบ Boxer ระบายความร้อนด้วยอากาศเอาไว้
นอกจากนี้ Porsche 964 มีการใส่เทคโนโลยีเอาไว้เต็มคัน โดยรถรหัส 964 ในช่วงแรกนั้น มีเฉพาะรุ่น Carrera 4 ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ต้องรอจนปี 1990 ถึงมีการปล่อยรถ Carrera 2 ขับเคลื่อนล้อหลังออกมา และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกนำมาติดตั้งครั้งแรกในรุ่น 964 ก็คือระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic ที่แม้ว่าในหมู่คนเล่น Porsche รุ่นเก่าในปัจจุบันจะไม่นิยมชมชอบก็ตาม แต่มันก็คือจุดเริ่มต้นของระบบส่งกำลังอัตโนมัติประสิทธิภาพสูงที่ Porsche 911 รุ่นธรรมดาใช้กันในปัจจุบัน
เราจึงสรุปได้ว่า Porsche 964 เป็นรถซึ่งเป็นส่วนต่อผ่านระหว่าง Porsche 911 ต้นฉบับ กับ Porsche รุ่นใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากยุคที่ Porsche ยังคงไม่ได้ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเหมือนเช่นในปัจจุบันนัก ในช่วงต้นยุค 1990 ซึ่งก็คือยุคสมัยของ 964 นี้เอง Porsche ก็ยังคงตกที่นั่งลำบากในเรื่องของทุนทรัพย์อยู่
Porsche 993
ในปี 1994 Porsche ได้เปิดตัว 911 รุ่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่น 964 ให้มีความก้าวหน้าขึ้นไปอีก ผลลัพธ์ที่ออกมา คือ Porsche 993
ความโดดเด่นที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อยู่ที่ดีไซน์ภายนอกซึ่งมีความปราดเปรียวยิ่งกว่ารุ่น 911 เดิม และ 964 อย่างเห็นได้ชัด และสำหรับแฟนคลับของ Porsche ก็อาจจะพอเห็น DNA ที่ภายหลังกลายมาเป็น 911 ในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่รุ่น 996 เป็นต้นมาเช่นกัน แต่นอกเหนือจากนั้น Porsche 993 ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่อยู่เบื้องลึกไปกว่านั้น
อาทิเช่น ช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi-link ที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ในยุคที่รถหลายรุ่นก็หันมาใช้ช่วงล่างแบบนี้แทน นั่นทำให้ Porsche 993 มีการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการขับขี่รถยนต์เครื่องวางหลังมากยิ่งขึ้นไปอีก เป็นตัวช่วยเสริมจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และเกียร์ Tiptronic ของรุ่น 964
สุดท้ายแล้ว ในความเห็นของเรา สาเหตุที่ Porsche 993 ได้รับการยกย่องให้เป็น 911 ที่น่าสนใจและน่าหามาเล่นมากที่สุด ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี หรือเพราะดีไซน์ แต่เป็นเพราะมันคือ Porsche 911 ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศรุ่นสุดท้าย ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบระบายความร้อนด้วยน้ำในรุ่น 996 ซึ่งนี่เองเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนจากการที่ Porsche 911 เป็นรถสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ กลายเป็นรถสำหรับนักสะสมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวและรายละเอียดของตัวรถมากกว่า
Porsche Boxster/Cayman
Porsche Boxster และ Porsche Cayman ในปัจจุบันเป็นรถสปอร์ตระดับเริ่มต้นของแบรนด์ ที่ถ้าหากว่ากันตามจริง ก็คือตัวแทนของ Porsche 968 หลังจากปี 1996 นั่นเอง แต่ที่ต่างจากรถรุ่นเริ่มต้นเครื่องยนต์วางหน้าเช่น Porsche 968 คือรถรุ่นเหล่านี้ประสบความสำเร็จมากพอที่จะทำให้ Porsche สามารถกลับมามีกำไรได้ หลังจากที่ประสบภาวะขาดทุนมานานหลายปีในช่วงต้นยุค 1990
Porsche Boxster โฉมแรก ใช้รหัสการพัฒนาว่า 986 และถูกเริ่มต้นพัฒนาในช่วงปี 1991 โดยรูปแบบของรถนั้น ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ Boxer แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (ครั้งแรกสำหรับ Porsche) เอาไว้ที่กึ่งกลางระหว่างเพลาหน้ากับเพลาหลัง เครื่องยนต์นี้ในภายหลังได้ถูกนำไปใช้กับรถรุ่น 911 รหัส 996 ในปี 1997
ความน่าสนใจของ Porsche Boxster คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ เป็นเพราะ Toyota แต่ไม่ใช่ว่า Toyota มาช่วยออกแบบโดยตรงแต่อย่างใด เพียงแต่ว่ากลุ่มทุนที่บุคลากรประกอบด้วยอดีตวิศวกรจาก Toyota ได้เข้ามาให้คำปรึกษาในช่วงที่ Porsche กำลังตกที่นั่งลำบาก เพื่อนำระบบ Toyota Production System เข้ามาปรับใช้กับบริษัท โดยหลักสำคัญก็คือ Lean Production ที่ช่วยให้การผลิตนั้นทำได้ง่ายขึ้น ลดเวลาลง ลดต้นทุนการผลิตของรถ และเพิ่มคุณภาพของตัวรถให้ดีขึ้น
นั่นเองทำให้ Porsche เริ่มมีแนวคิดการแชร์ชิ้นส่วนระหว่างรุ่นที่มากขึ้น ในอดีต รถอย่าง Porsche 968 และ 993 ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันน้อยมากเพราะพื้นฐานรถที่แตกต่างกัน แต่ว่า Porsche Boxster 986 กับ Porsche 911 996 นั้น ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันมากกว่า ถึงขนาดที่ว่าชิ้นส่วนด้านหน้าใช้ร่วมกันทั้งหมด
หลังจากผ่านไป 4 เจเนอเรชั่น รวมไปถึงการเข้ามาของ Porsche Cayman ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นหลังคาแข็ง ในปัจจุบัน Porsche 718 ก็คงเป็น Porsche ที่พบเห็นได้ง่าย เนื่องจากได้รับความนิยมสูงมากอยู่
Porsche Cayenne
ถ้าหากท่านไม่ได้ติดตามวงการรถยนต์มาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 2000 ท่านก็อาจจะจำไม่ได้ว่า Porsche Cayenne ในช่วงแรกนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขนาดไหน ในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบรถ Porsche มองว่ามันไม่ใช่รถ Porsche ที่แท้จริง เพราะมันเป็นรถ SUV แถมยังใช้แพลตฟอร์มร่วมกับรถ Volkswagen ด้วย แต่ว่า อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์ก็ต้องยอมรับว่า Porsche Cayenne เป็นรถ SUV ที่มีประสิทธิภาพ และการขับขี่ที่ดีเยี่ยม
นอกจากนั้น มันยังเป็นรถที่มาได้ถูกที่ ถูกเวลา ตรงกับกระแสของรถ SUV ที่กำลังพุ่งทะยานอยู่ ถ้าหาก Porsche Boxster ในส่วนก่อนหน้า เป็นรถที่ทำยอดขายให้ Porsche กลับมามีกำไร เจ้า Cayenne นี้เองก็เป็นรถที่ทำให้ Porsche กลายมาเป็นแบรนด์ที่ไม่ต้องอาศัยรายได้จากการให้คำปรึกษาด้านงานวิศวกรรมกับบริษัทอื่นอีกต่อไป
ในปัจจุบัน Porsche Cayenne ก็เข้ามาสู่เจเนอเรชั่นที่ 3 และเป็น Porsche ที่มียอดขายสะสมมากที่สุด เป็นรถ Porsche รุ่นแรกที่ถูกส่งนำมาประกอบนอกภูมิภาคยุโรป อีกทั้งยังมีขุมพลังแบบ Hybrid ให้เลือกในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้สร้างรายได้ให้ Porsche สามารถพัฒนารถสปอร์ตแบบดั้งเดิมรุ่นต่าง ๆ ที่มีความพิเศษ ในแบบที่แฟนคลับ Porsche ชื่นชอบ
อีกทั้งเรายังปฏิเสธถึงประสิทธิภาพของรถรุ่นนี้ไม่ได้จริง ๆ ตั้งแต่รุ่นเจเนอเรชั่นแรก อย่างที่เห็นจากรถในภาพ ซึ่งเป็นรถที่ติดตั้งแขน Russian Arm สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ รถ Porsche Cayenne Turbo ถูกเลือกนำมาใช้เนื่องด้วยความแรง และความสามารถในการควบคุมที่เหนือกว่ารถ SUV รุ่นอื่น ๆ นั่นเอง
Porsche 996/997
ในปี 1997 Porsche ก็ได้เปิดตัว 911 โฉมใหม่ รหัส 996 ซึ่งเป็นรถ 911 รุ่นแรกที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และใช้เครื่องยนต์ รวมไปถึงชิ้นส่วนอื่น ๆ ร่วมกับ Porsche Boxster ที่พัฒนาขึ้นมาพร้อมกัน
ความเปลี่ยนแปลงนี้ มีผลตอบรับที่ไม่ค่อยจะดีนักจากกลุ่มลูกค้าของ Porsche เดิม และนั่นทำให้ในปัจจุบัน มูลค่าของ Porsche 996 นั้นอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด และนั่นทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ได้แคร์ว่า Porsche จะต้องเป็นเครื่องระบายความร้อนด้วยอากาศ หรือไฟหน้าต้องกลม อย่างไรก็ดี Porsche 996 ที่มาเข้าร่วมงาน ก็มีจำนวนน้อยมาก
ในขณะเดียวกัน และเป็นเรื่องน่าแปลก ที่ Porsche 911 โฉม 997 ซึ่งเป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2004 และทำตลาดจนถึงปี 2011 กลับมีจำนวนรถที่มาเข้าร่วมงานมากกว่ารถรุ่น 996 มากเลยทีเดียว มันแสดงให้เห็นถึงมุมมองของแฟนคลับ Porsche ต่อ 911 สองเจเนอเรชั่นที่แตกต่างกัน แต่ที่เราบอกว่าน่าแปลก เพราะว่า Porsche 911 โฉม 997 นั้น มีความแตกต่างกับ 996 ไม่ได้พลิกโลกเท่ากับตอนที่เปลี่ยนจากรุ่น 993 เป็น 996 แต่คำวิพากษ์วิจารณ์และความนิยมนั้นต่างกันลิบลับ
โดยหลักแล้ว ความแตกต่างเด่น ๆ ที่สำคัญ ก็อยู่ที่ไฟหน้าซึ่งกลับมาใช้เป็นแบบทรงกลม อีกทั้งยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ปรับช่วงล่างและตัวถังใหม่ให้กว้างขึ้น และปรับภายในให้ดูดีขึ้น ชิ้นส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็ใหม่เกือบทั้งหมด แม้ว่าดีไซน์จะยังคงเอกลักษณ์ของ 911 อยู่เช่นเดิม จนผู้คนเริ่มล้อเลียนว่า Porsche ทำรถออกมารุ่นเดียวแล้วลากขายยาวนาน
Porsche 996 และ 997 เป็นโฉมแรกของ 911 ที่จำนวนรุ่นย่อยถูกเพิ่มเข้ามาหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Carrera S GT3 RS หรือ GT2 ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาวะทางการเงินของ Porsche ที่ดีขึ้น จนมีงบสามารถพัฒนารุ่นย่อยที่แตกต่างนำมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้นั่นเอง
Porsche Carrera GT/918 Spyder
ในงาน Das Treffen เราไม่ได้พบเห็นรถ Supercar ระดับสูงสุดของ Porsche รุ่นแรกอย่าง 959 แต่ก็มีรถ 2 รุ่นที่เป็นตัวสานต่อมาให้เห็นกัน คันแรกนั้นคือ Porsche Carrera GT
Porsche Carrera GT นั้น เป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องโดยทีมแข่งขัน Le Mans ในรุ่น GT1 ตั้งแต่ช่วงปี 1996 ถึง 2000 ซึ่งขณะนั้น Porsche มีแผนที่จะพัฒนาเครื่องยนต์ชนิด 10 สูบ V แต่ก็มีอันต้องล้มเลิกไปเพราะ Porsche ต้องทุ่มทั้งกำลังคนและงบประมาณไปกับการพัฒนารถ SUV ที่กลายมาเป็น Porsche Cayenne
โชคยังดี ที่หลังจากเปิดตัว Porsche Cayenne ไปแล้ว รถรุ่นนี้สามารถสร้างยอดขายได้เหนือความคาดหมาย จนทำให้ Porsche มีงบประมาณสามารถที่จะมาพัฒนารถรุ่นพิเศษได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Porsche เผยโฉมรถต้นแบบ Carrera GT ในงาน Paris Motor Show ปี 2000 แล้วเสียงตอบรับนั้นดีเกินความคาดหมายเช่นกัน
Porsche Carrera GT จึงได้ถูกนำมาสร้างเป็นรถจำหน่ายจริง โดยที่ดีไซน์แทบจะไม่ต่างจากรถต้นแบบเลย รถรุ่นนี้ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2004 และมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V10 สูบ 5.7 ลิตร ที่เป็นเครื่องยนต์จากรถ Le Mans ที่พับแผนไปนั่นเอง อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีของรถ Supercar อื่น ๆ อาทิเช่น โครงสร้างตัวถัง Carbon Fiber ทั้งคัน ช่วงล่างแบบ Pushrod Actuated เหมือนกับรถแข่ง และจานเบรกแบบ Silicon-Carbide ซึ่งเราอาจจะรู้จักกันดีกว่าในชื่อ Carbon Ceramic
อีกคันหนึ่ง เป็นรถที่เกิดขึ้นหลังจากที่ Carrera GT ได้กลายมาเป็นรถที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดของ Supercar ทาง Porsche ก็สร้างรถ Supercar ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง Le Mans อีกครั้งหนึ่ง รถรุ่นนี้เปิดตัวในปี 2013 โดยใช้ชื่อว่า Porsche 918 Spyder
นี่เป็น Porsche รุ่นแรกที่ใช้ขุมพลังแบบ Hybrid โดยผสานเอาเครื่องยนต์ชนิด V8 สูบ 4.5 ลิตร ที่นำเครื่องของรถแข่ง Le Mans LMP2 มาปรับปรุง บวกรวมเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้ได้พละกำลังถึง 887 แรงม้า (PS) และเป็นรถสำหรับถนนรุ่นแรกที่สามารถทำลายสถิติในสนาม Nürburgring ในเวลาต่ำกว่า 7 นาทีได้ โดยมีการผลิตขึ้นมาเพียงแค่ 918 คันเท่านั้น
Porsche 991/992
Porsche 911 โฉม 991 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกรุ่นอีกครั้งหนึ่งของรถตระกูล 911 ด้วยแพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด โดยความเปลี่ยนแปลงหลักนั้น มีการใช้วัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบาในโครงสร้างของรถที่มากขึ้น มีการปรับตำแหน่งการวางเครื่องยนต์กับล้อหลังเพื่อให้การกระจายน้ำหนักหน้าหลังนั้นใกล้กับตรงกลางของรถมากกว่าเดิม อันเป็นการแก้ปัญหาของรถเครื่องยนต์วางหลังที่มักจะหนักท้าย และมีการปรับมาใช้พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า
ในช่วงแรก มีข้อสงสัยว่า พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าจะทำให้ฟีลลิ่งของพวงมาลัยไม่เหมือนกับ 911 เดิมหรือไม่ แต่ข้อสงสัยนี้ก็ดูเหมือนจะเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะแพลตฟอร์มใหม่นั้นทำให้ Handling ของ 911 โฉม 991 นั้น เหนือกว่ารุ่น 997 เดิมมาก!
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในครั้งปรับโฉมเป็นรุ่นที่แฟนคลับเรียกว่า 991.2 เพราะมีการปรับมาใช้เครื่องยนต์แบบใหม่ทั้งหมดในทุกรุ่น (ยกเว้นรถตระกูล GT3) แม้จะเป็นชนิด 6 สูบ Boxer เหมือนเดิม แต่เป็นขนาด 3.0 ลิตร และหันมาพ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น เพื่อตอบสนองข้อกำหนดทางด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และการปล่อยมลพิษของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก
มาถึงในขั้นปัจจุบันนี้ Porsche 911 ได้เข้ามาถึงโฉมรหัส 992 ซึ่งเป็นการพัฒนาจากรุ่น 991.2 ยิ่งขึ้นไปอีก ยังคงใช้เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตรเหมือนเดิม แต่ปรับแพลตฟอร์มให้มีความเป็นรถ Modular มากขึ้น เพื่อให้การผลิตสามารถสร้างรุ่นย่อยต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกมามากขึ้น รวมไปถึงใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถ Porsche 718 Boxster/Cayman โฉมปัจจุบันได้มากขึ้นเช่นกัน ในโลกปัจจุบันที่ต้นทุนการพัฒนารถยนต์ขึ้นมาสักรุ่น ใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล นี่คือสิ่งที่ทำให้รถสปอร์ตเฉพาะกลุ่มเช่นนี้ยังอยู่รอดได้
แนวคิดการทำรถบน Modular Platform นี้เอง ถ้าหากไม่มีการนำระบบที่ได้แรงบันดาลใจจาก Toyota Production System เมื่อครั้งเปิดตัว Boxster ในตอนแรก ก็ไม่มีทางได้เห็นกันเป็นที่แน่นอน
นอกจากนี้ สำหรับรถรุ่น 992 ในตระกูล GT3 นั้น ยังมีการปรับมาใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบพิเศษเฉพาะ Double Wishbone แทนที่แบบ MacPherson Strut ที่ถูกใช้ใน 911 ทุกรุ่นที่ผ่านมา เมื่อรวมกับเครื่องยนต์แบบ 4.0 ลิตรหายใจธรรมดา และระบบเกียร์ธรรมดาเป็นทางเลือก ทำให้หลายคนมองว่ารถ Porsche 911 GT3 อาจจะเป็นรถสำหรับนักขับอย่างแท้จริงรุ่นสุดท้ายของโลกก็เป็นได้
เพราะแม้แต่ Porsche เอง ก็กำลังจะต้องก้าวผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์ EV เช่นกัน
Porsche Taycan
Porsche Taycan ถูกเผยโฉมให้เห็นครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อปี 2015 ในรูปแบบของ Porsche Mission E ซึ่งงานดีไซน์ของมันนั้น กลายมาเป็น Taycan ในภายหลัง ในแบบที่แทบจะไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย
หลังจากเปิดตัวไปในปี 2019 และขายจริงในปี 2020 รถ Porsche Taycan ก็ได้กลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ได้รับความนิยมมาก ทั้งในตลาดโลก และโดยเฉพาะในประเทศไทย มันเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่สามารถเรียกได้ว่า ทำมาเพื่อให้คนที่รักการขับขี่อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีดีไซน์ที่ปราดเปรียว โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และราคาจำหน่ายของมันก็มีความคุ้มค่ามากกว่า Porsche รุ่นอื่น ๆ ที่เคยมีมา
ในงาน Das Treffen เอง ก็มี Porsche Taycan มากหน้าหลายตา หลากหลายรุ่นย่อย เข้ามาจอดให้เชยชมกันอยู่ แสดงให้เห็นถึงอนาคตของแบรนด์รถสปอร์ตเก่าแก่นี้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรนั่นเอง
การเห็นรถยนต์ Porsche บนท้องถนนนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เห็นกันได้ทุกวัน รถอย่าง Porsche Cayenne รวมไปถึง Taycan และ Boxster/Cayman แม้ว่าจะได้รับความนิยมสูงขึ้น พวกมันก็ยังคงเป็นรถราคาแพงที่น้อยคนที่จะได้สัมผัส นั่นทำให้งานอย่าง Das Treffen 7 นี้ เป็นงานที่น่าสนใจ และเหล่าคนรักรถก็ควรที่จะไปเห็นกับตา แต่สำหรับผู้ที่พลาด ไม่ได้ไป อ่านบทความนี้แล้วเกิดอยากไป ก็ต้องรอการจัดงานครั้งใหม่ในช่วงต้นปีหน้า 2024
นอกเหนือจากบทความแล้ว เรายังมีวีดีโอพาชมงานนี้ ซึ่งจะตามมาในอีกไม่นานนัก รอติดตามชมได้เลยครับ