โดยปกติแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซลมักจะสร้างจุดขายรถยนต์ไฟฟ้า EV ในเชิงเทคนิคล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีการเติมประจุไฟฟ้า, เทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่สามารถวิ่งได้ไกลเท่าไร แต่ส่วนใหญ่มักลืมไปว่า แล้วมันจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนอย่างไร?
ล่าสุด BYTON บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Start-Up น้องใหม่ได้แนะนำ EV SUV Concept ที่งาน CES 2018 ถือเป็นรถยนต์ Prototype ที่ใกล้เคียงกับคันผลิตจริงมากที่สุดถึง 85% พร้อมเปิดตัวทำตลาดในจีนภายในปี 2019 และในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปภายในปี 2020
แล้ว BYTON คือใคร? BYTON คือแบรนด์รถยนต์น้องใหม่จากบริษัท Future Mobility Corp. อันเกิดจากร่วมทุนระหว่าง Tencent Holdings ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอินเตอร์เน็ตเมืองจีนที่ตัดสายสะดือแอพพลิเคชั่นฟังเพลงออนไลน์ Joox รวมถึงเกมส์ ROV, แอพฯแชต WeChat จนดังกระหึ่มในไทยมาแล้ว และ Foxconn Technology Group. เจ้าพ่ออุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์รายใหญ่จากไต้หวัน
สิ่งที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ สำหรับ BYTON ก็คือการดึงบุคลากร ‘คนสำคัญ’ จาก BMW มาร่วมงานด้วยนั่นคือ Daniel Kirchert ผู้บริหารฝ่ายขาย BMW ในประเทศจีน และ Carston Breitfeld ผู้จัดการโปรเจคท์การพัฒนา BMW i8 มารับหน้าที่เป็นผู้บริหาร
การออกแบบ BYTON SUV คันนี้จะมีสัดส่วนที่ดูเพรียวบางกว่า SUV เครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซลทั่วไปอยู่มาก แต่เพิ่มความล้ำสมัยในรายละเอียดรอบคัน แต่ก็น่าสังเกตว่าในบางรายละเอียดก็แอบดูคล้ายกับ BMW i-Series ที่จำหน่ายในปัจจุบันไม่น้อยเลยทีเดียว
ดีไซน์ภายนอกอาจจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งแผงหน้าจอ Experience Display ขนาด 40 นิ้ว และทั้งยังติดตั้งหน้าจอสัมผัสบนพวงมาลัย รองรับการเชื่อมต่อทุกขณะ รองรับการออกคำสั่งด้วยการวาดมือ และคำสั่งเสียง ตัวรถยังสามารถตรวจวัดความดันร่างกาย, อัตราการเต้นของหัวใจ, น้ำหนักและวัดค่าปริมาณออกซิเจนในเลือดของผู้ขับขี่ได้
จุดเด่นของรถคันนี้คือประสบการณ์การใช้งานอันชาญฉลาดอย่างไร้ขีดจำกัด เปรียบเสมือนกับเป็น Smart Phone เวอร์ชันติดล้อ ด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่อ Cloud Platform ที่จำเป็นต้องมี Byton ID สำหรับการเข้าถึงแอพพลิเคชั่นประจำรถ
ในขั้นต้น BYTON EV SUV จะเปิดพร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Level 3 แต่มีฮาร์ดแวร์ที่พร้อมจะอัพเกรดซอฟท์แวร์เป็น Level 4 ได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Byton Life : Open Platform ที่เปิดโอกาสให้บรรดานักพัฒนาได้สร้างแอพพลิเคชั่นผ่านชุด Kit หรือ SDK ได้อย่างอิสระ
ถึงแม้ว่าตัวรถจะเป็นแบรนด์สัญชาติจีน แต่ BYTON ก็จำเป็นต้องพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ, เซนเซอร์และซอฟท์แวร์ จากสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและ Platform ตัวรถก็ต้องพัฒนาในศูนย์พัฒนาที่ประเทศเยอรมนี พร้อมกับการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ข้ามทวีป อาทิ Bosch เพื่อร่วมกันผลิตขุมพลัง, Faurecia เพื่อช่วยกันผลิตชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะเบาะโดยสารสุดล้ำ, BOE จากประเทศจีนเพื่อผลิตหน้าจอขนาดยักษ์
BYTON EV SUV จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ให้เลือก 2 เวอร์ชัน ได้แก่ แบตเตอรี่ 71 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 400 กิโลเมตร ส่งกำลังยังล้อคู่หลัง และ แบตเตอรี่ 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 523 กิโลเมตร ส่งกำลังแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ คาดน่าจะมีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 45,000 ดอลลาร์ หรือ 1,446,000 บาท
ขณะนี้โรงงานผลิตจะมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เริ่มทดลองประกอบในช่วงต้นปี 2019 และพร้อมจะเดินสายผลิตจริงจัง ภายในปลายปี 2019
ถึงแม้จะเป็นแค่ Start-Up ตัวเล็ก ๆ แต่เมื่อดู Backup เป็นถึงยักษ์ใหญ่ในวงการอินเตอร์เน็ตและอิเล็กทรอนิคส์ที่ทุกคนคุ้นเคยดี ก็อาจเป็นไปได้ว่า มันน่าเป็นรถที่เกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต ไม่ฝันสลายเหมือนบริษัทอื่น ๆ
ที่มา : Fortune