ปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ตลาดรถซบเซาในระดับหนึ่ง สังเกตได้จากยอดขายรถที่น้อง
Moo Cnoe ได้รวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบกัน และสภาพตลาดที่เป็นไปนั้น
ยังส่งผลกระจายไปสู่กลุ่มตลาดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับด้านรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการจูน
การตกแต่งโมดิฟายรถยนต์ ตกแต่งเพื่อความสวยงาม ผมได้นั่งฟังรุ่นพี่ที่ทำธุรกิจนี้
2-3 ท่านอธิบายถึงสภาพความเป็นไปของปี 2014 ผ่านสายตาคนหาเช้ากินค่ำกับ
รถยนต์ด้วยกันแล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะเอาเข้าจริง ภาพทุกอย่างก็สะท้อน
มาที่เว็บของเราด้วยเช่นกัน และหวังว่ามันคงจะดีขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
ผมจั่วหัวไว้ให้ท่านรู้สึกถึงบรรยากาศมึนๆอับๆเทาๆแค่นั้นหรอกครับ..เพราะไม่ว่าอะไรจะ
เกิดขึ้นกับโลก เราก็ยังตะลุยลองรถแล้วเอามาปรุงให้ท่านชมกันผ่านตัวอักษร ภาพ
และเสียงไม่ว่าจะเป็น Review by J!MMY หรือ TheClip ที่ผมกับบอม RhinoMango ดูแลอยู่
ปี 2013 เรานำรถมาหลับนอนด้วยกันทั้งสิ้น 37 คัน ส่วนปีนี้ เจ้าของเว็บขยันทำโอที จึงได้
เพิ่มเป็น 45 คัน หรือพูดง่ายๆก็คือต้องขึ้นควบรถเหล่านั้นเฉลี่ย 8 วันต่อคัน แทบไม่ได้หยุด
กันเลยทีเดียว ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่มันก็สนุกดี ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
ว่าธรรมชาติการขับไปด่าไปชมไปเล่าไปของพวกเรามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่ทราบ
เหมือนกันว่าจะหยุดลงวันไหน แต่ตราบใดที่มันสนุก ก็จะยังคงทำอยู่ต่อไป
เช่นเดียวกับบทความ BestDrive ในแต่ละปี ซึ่งเมื่อเทียบกับ Review แล้วจะเหมือน
น้ำจิ้มที่มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่หลายท่านก็รอลุ้นกันทุกปีว่าใครจะเข้าป้ายอันดับหนึ่ง และยิ่ง
ช่วงหลังๆก็เพ่งเล็งกันไปถึง Top 10 Top 20 อะไรทำนองนั้นเลยทีเดียว หลายท่านที่สนิทกัน
และติดตามกันมาตลอดแสดงความสงสัยว่า เวลา BMW ได้คะแนนดีๆตลอดตั้งแต่เปิดเว็บมา
หรือการที่รถที่ชนะอันดับ 1 มักจะเป็นรถ Volume น้อยที่คนส่วนมากแตะไม่ค่อยถึงนั้น
จะกลายเป็นที่ครหาหรือไม่? ผมขอบอกพวกท่านแล้วกันครับว่า ไม่ต้องห่วง พวกเราโดนหมด
ทุกดอกอยู่แล้วครับ เช่นพอรถอินดี้สักยี่ห้อ ทำอะไรสักอย่างบางด้านไม่ดี พอพวกผมวิจารณ์ไป
ก็โดนหาว่าอคติ ไม่ให้โอกาส “ยี่ห้อทางเลือก” ได้เกิด หรือพอยี่ห้อแปลกสักยี่ห้อมีสมรรถณะดี
ก็มาตั้งข้อสงสัยว่ายี่ห้อพวกนั้นขายได้เพราะพวกผมเชียร์หรือเปล่า โดยไม่ได้สังเกตหรอกว่า
ที่ผ่านมาเรา “โคตร” จะไม่สนรถที่ตัวแบรนด์เลยครับ แต่เรดาร์ของคนส่วนมาก เวลาเห็นสิ่ง
ที่ขัดตา ก็มักจะรู้สึกก่อน และเกิดปฏิกิริยาก่อน เหมือนลูบไม้ทั้งแผ่นว่าเรียบ ก็ไม่ได้มีคำชม
แต่พอเจอเสี้ยน 2 มิลลิเมตรจากไม้ทั้งกระดาน ก็ด่าช่างไม้ลั่นบ้าน
ผมคงไม่ว่างเอาแหนบเขี่ยเสี้ยนออกให้กับทุกคนได้ แต่อาจจะมีการยื่นยาแดงให้บ้างตามสมควร
ส่วนหนึ่งคือสิ่งที่เราทำโดยยึดหลักพูดทุกอย่างไปตามตรงๆ แชร์ทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่ต้องมา
นั่งแก้ตัวให้บริษัทรถยนต์ พวกเราพูดกับคุณและเขียนบทความขึ้นมาโดยมองว่าคุณผู้อ่าน
เป็น “เพื่อน” ของเรา ผมจะพยายามพูดและเขียนให้ตรงไปตรงมาแต่ไม่ได้มีจุดประสงค์
เพื่อด่าใครเอามันส์ หากประโยคไหนท่านอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เราสามารถคุยกันได้
หน้าที่หลักของผมจะอยู่กับการตีแผ่รถแต่ละคันอย่างซื่อสัตย์กับความคิดของตัวเอง
ส่วนการรักษาสัมพันธ์กับคนอื่น จะเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป ผมยินดีรับฟังความคิดเห็น
ที่แตกต่าง บนข้อแม้ว่าท่านต้องทราบเกณฑ์การให้คะแนนของเราที่ให้ความสำคัญกับ
ทุกด้าน อาจจะไม่ใช่สนใจเฉพาะแรง สนใจเฉพาะความสบาย นั่นทำให้เราทุกคนมี
BestDrive ในใจที่ต่างกันไป และผมไม่สนใจเลยที่จะต้องนำประเด็นนี้มาโจมตีใคร
ถือว่าก่อนอ่านบทความนี้ ให้ย่อหน้าข้างบนเปรียบเสมือนข้อตกลงระหว่างเราและท่าน
ก็แล้วกันนะครับว่าจะไม่ถือโทษโกรธกันเป็นการส่วนตัว
อ้อ..เท่าที่สังเกตดู ปีนี้ไม่มี BMW เข้าร่วมสักคัน..ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะ BMW ไม่มีรถว่าง
ให้เราทดสอบแน่ๆ เพราะสื่ออื่นก็มีรุ่นอื่นทดสอบกัน ไปๆมาๆ มันเป็นความตั้งใจของ J!MMY
นั่นแหละครับที่อยากจะลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปี 2014 ไม่มี BMW สักคัน (แต่ปี 2015
ผมว่า BMW จะมีไม้เด็ดรออยู่แล้ว และ J!MMY ก็จะเอามาทดสอบต่อไป) ไม่เกี่ยวกับว่า
เราเกลียดหรือชอบ BMW เป็นพิเศษนะครับ แต่บางครั้งเราก็ต้องแอบใช้เวที BestDrive
ในลักษณะนี้เพื่อดูพัฒนาการของผู้เล่นแต่ละค่ายอย่างเท่าเทียม เรามาดูกันว่าปีนี้
ค่ายญี่ปุ่นจะสามารถเอื้อมมือไปแตะอันดับ 1 สำเร็จหรือไม่ หลังจากที่แชมป์ทุกปีที่ผ่านมา
ล้วนเป็นรถเยอรมัน หรืออยู่ในเครือบริษัทรถเยอรมัน และล้วนมีราคาค่อนข้างสูงเสียส่วนใหญ่
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
เงื่อนไขประกอบของ BestDrive ปีนี้ โดยหลักๆแล้วยังเหมือนเดิม โดยมีคำอธิบายดังนี้ครับ
1. เราจะนับเฉพาะรถที่ได้มาหลับนอนกับ J!MMY ได้ผ่านการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อัตราเร่งครบ และจะไม่นับรถที่ได้ขับเพียงผิวเผินหรือขับภายในทริปสั้นๆ แต่มีข้อข้องใจที่
ผมต้องเรียกประชุมกับทีมงาน 2 เรื่องคือ Altis 1.8ESport ซึ่งไม่ได้ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
เพราะในวันที่จะทำอัตราสิ้นเปลืองนั้น ปั๊มเจ้าประจำที่เติมน้ำมันได้ปิดลงชั่วคราวเพื่อซ่อมแซม
ถังใต้ดิน โดยผลสรุปสำหรับ ESport นั้น J!MMY ขอให้ผมเขียนลำดับไปตามปกติ แต่ในส่วน
ของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น เราใช้ตัวเลขของ 1.8V ล้อ 16 นิ้วนำมาคำนวณความน่าจะเป็น
ซึ่งเราพบว่าหากล้อ 17 นิ้วส่งผลถึงอัตราเร่งที่ต่าง อัตราการสิ้นเปลืองก็น่าจะแย่กว่าตัว 1.8V
ราว 0.5-1.0 ก.ม./ลิตร และใช้เกณฑ์นี้ในการตัดสินคะแนน
กรณีที่ 2 นั้นคือ Suzuki Hustler ซึ่งได้ทำตามกติกาโดยทดสอบอัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลือง
ครบทุกอย่าง แต่ขาดเพียงเรื่องราคา เพราะ Suzuki ไทยไม่ได้นำเข้ามาขาย ดังนั้นหลังจาก
คำนวณและสำรวจราคาอ้างอิงจากการนำเข้าและข้อมูลเบื้องต้นจาก Suzuki ทำให้เราได้ข้อมูลว่า
หากใครจะนำรถรุ่นนี้เข้ามาใช้สักคัน จะต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านบาท ซึ่งแม้จะ
เกิดจากการคำนวณ มิใช่ราคาขายปลีกจริง แต่ก็ยังดีกว่าการใส่ตัวเลข 6 หรือ 7 แสนซึ่งขาด
ความเป็นไปได้ทางเทคนิคโดยสิ้นเชิง
ผมจึงต้องเรียนอธิบายไว้ในย่อหน้าต้นๆนี้เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบ และขอให้ใช้วิจารณญาณ
ของท่านประกอบกับการอ่านบทความของเราไว้ ณ ที่นี้ ..เราคิดว่าบอกกันตรงๆแบบนี้มันโล่งใจ
กว่า ดีกว่าให้คุณมาถามกันเอาทีหลังครับ ขาดตกบกพร่องอย่างไรก็ต้องขออภัยไว้ด้วย
2.การให้คะแนน มีการกระจายน้ำหนักไปสู่หัวข้อต่างๆเช่นความมั่นใจในการขับขี่ รูปลักษณ์ วัสดุหรือ
อุปกรณ์ที่ให้ โดยให้น้ำหนักแต่ละข้อเท่ากัน ไม่ได้เน้นหนักไปที่ด้านใดด้านหนึ่งมากเป็นพิเศษ
ขอให้ท่านอ่านคำอธิบายต่างๆที่ผมได้เขียนไว้ให้เข้าใจร่วมกันซึ่งสำหรับรถทุกคัน ผมจะบอกไว้
ว่าได้ดีเพราะอะไร เสียคะแนนเพราะเรื่องไหน
3. ความสูงชั้น ความเลอค่า..ภาพพจน์ทางสังคมของแบรนด์ เราไม่เอามาคิดครับ และไม่อยาก
ให้รถคันใดคันนึงชนะแค่เพราะโลโก้สวย หรือขับแล้วดูรวย รถคันนั้นจะต้องมีข้อดีที่พวกเรา
สามารถรู้สึกสัมผัสได้ และเมื่อเทียบกับพวกพ้องระดับคลาสและราคาเดียวกัน มันต้องทำได้ดี
จึงจะมีสิทธิ์ได้แต้มสูง
4. เราไม่นำเรื่องศูนย์บริการหลังการขาย ความทนทาน ราคาขายต่อ ความยากง่ายในการหา
อะไหล่มานับคะแนนเพราะเรื่องพวกนี้ แต่ละคนอาจพบความสุขหรือความฉิบหายมาต่างกัน
หากท่านจะใช้ข้อมูลของเราในการนำไปประกอบการซื้อรถ “ให้พิจารณาความเสี่ยงหลัง
การขาย” ด้วยข้อมูลที่ท่านหาได้จากแหล่งอื่นประกอบไปด้วย
5. เราพิจารณารถแต่ละคันตามสภาพของรถที่เราได้ทดลองขับ ซึ่งจะไม่ได้มีการคำนึงถึงการนำไป
ดัดแปลงหรือเสริมสมรรถณะต่อ พูดง่ายๆคือ “We rate the car as it is” ตัวอย่างเช่น ยี่ห้อ A
โมง่าย จูนกล่องได้หลายแบบกว่ายี่ห้อ B ถ้าว่ากันตามกฎของผม เรื่องนี้จะไม่ได้ช่วยให้ A ได้
คะแนนเหนือยี่ห้อ B
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
อันดับที่ 41- MG 6 1.8Turbo Fastback
BRIT Dynamic..BRIT แบบเดียวกับ BRITish Leyland นั่นเอง เราไม่ได้สนว่ารถคันนี้จะ
มีพ่อแม่เป็นสัญชาติอะไร และในความเป็นจริงผมนี่แหละ เป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอจะได้ขับรถคันจริง
มาโดยตลอด มันช่างเหมือนกับการสมัครงานในที่สักแห่ง โปรฯดึงเด็กใหม่ฟังแล้วดึงดูดใจมาก
แต่ยิ่งอ่านเงื่อนไขละเอียดเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีของ MG6 เราพบว่า
อัตราเร่งของมันไม่ได้ดีไปกว่ารถ C-Segment รุ่นอื่นที่ไร้เทอร์โบ เพราะตัวรถนั้นหนักมากพอๆ
กับรถยุโรปขับหลังสมัยก่อน เกียร์ของมันเป็นคลัตช์คู่ แต่เวรกรรมจริงๆที่การตอบสนองของมันนั้น
ไม่เรียบ ไม่ลื่น ไม่ฉลาด ไม่เร็ว จะว่า Logic ของเกียร์โง่กว่าใครๆนั้นก็คงไม่ได้เวอร์ ผมมองเกียร์
กับคันเร่งทำงานร่วมกันแล้วนึกถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ขายก๋วยเตี๋ยว ลวกเส้นไป เช็ดโต๊ะไป
ทะเลาะกันไป พวงมาลัยหนัก แต่ไม่ได้คมและแม่นอย่างที่คิด ภายในของรถนั้นมีดีไซน์บางส่วน
ที่ดูโอเค แต่ก็มีหลายส่วนที่เริ่มรู้สึกโบราณ MG ใช้ประสิทธิภาพจอกลางไม่คุ้มเท่าที่ควร มันน่าจะ
มีฟังก์ชั่นได้มากกว่านี้ และสะดวกต่อการใช้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึงช่วงล่าง เราต้องขอยอมรับว่า MG6 เป็น C-Segment ที่ช่วงล่างนิ่ง
แน่นเสมือนรถใหญ่ ทำเอาผมนึกถึง E-Class สมัย W124 ที่ใส่โช้ค Sportline รูปทรงของตัวรถ
ไม่ใช่ว่าแย่ โครงหลักนั้นสวยใช้ได้แค่ต้องปรับเพิ่มความทันสมัยเข้าไปบ้างเท่านั้น อุปกรณ์
ความปลอดภัยมีครบ ถุงลมข้างมีมาให้ ระบบรักษาการทรงตัวมี ระบบแทร็คชั่นคอนโทรลมี
อุปกรณ์ความสะดวกมีเบาะไฟฟ้าคนขับ(มาสด้าไม่มี) มีมูนรูฟ แต่สิ่งต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดน่ะ
มันมาติดที่ข้อเสียสุดท้ายของ MG6 คือราคา..เราหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเราต้องจ่าย 1,128,000
บาทเพื่อรถที่ยังมีเรื่องอีกมากต้องปรับปรุงอย่างนี้ และมีตัวเลือกอีกมากที่ดีกว่าและถูกกว่า
อันดับที่ 40-Proton Suprima S CVT Turbo
ให้คิดเสียว่ามันคือ Preve ที่เสียส่วนก้นไป และราคาอัพขึ้นอีก 70,000 บาท แน่นอนว่าความ
คุ้มค่าโดยรวมย่อมสู้ Preve ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไปเจอดีลเลอร์ไหนให้ส่วนลดแบบ “ใจๆ”
Suprima S คันนี้มีอัตราเร่งช่วงออกตัวและพุ่งทะยานในเมืองที่เร็วถึงใจมากถ้าคุณตั้งใจ
กดคันเร่ง..แค่ 50% ก็เหลือพอ แต่ถ้าขับเกิน 120 ไปแล้ว ก็ต้องบอกว่ารถ 136 แรงม้าเกียร์
CVT ควรวิ่งดีแค่ไหน มันก็ได้แค่นั้นจริงๆ อัตราเร่งโดยรวมช้ากว่า Preve เครื่องเดียวกันอยู่
เล็กน้อย แต่กลับประหยัดน้ำมันขึ้นจาก Preve ที่กินดุกลายเป็นมาอยู่ในระดับใกล้เฉลี่ยของกลุ่ม
ภายในของรถยังโบราณตกยุคซึ่งก็เป็นมรดกจากการแชร์ชิ้นส่วนกับ Preve นั่นเอง พวงมาลัย
วงเล็กอยู่ห่างๆตัว ครั้นพอปรับที่นั่งให้จับพวงมาลัยถนัดก็วางขาได้ไม่ถนัด เบาะนั่งค่อนข้างแข็ง
และตำแหน่งการขับขี่ค่อนข้างสูงแม้จะปรับเบาะลงช่วยแล้วก็ตาม
ช่วงล่างดีพอสมควร ให้ความรู้สึกมั่นใจ แต่อย่ามั่นจนเล่นซนเกินพิกัดเพราะยังคุมท้ายปราบ
อาการโย้ได้ไม่ดีนัก รถคันนี้ดูแล้วน่าจะเหมาะกับคนที่มีเงินพอจะซื้อรถ C-Segment 1.6 ลิตร
แต่ต้องการอัตราเร่งที่เทียบเท่าพวก 2.0 ลิตรและชอบอุปกรณ์ความปลอดภัยครบๆ ABS, TRC
ถุงลม 6 ใบ..แต่ถ้าหากคุณไม่สนเรื่องอัตราเร่งแล้วล่ะก็ ส่วนที่เหลือมันแทบไม่ได้ดีไปกว่า
Honda Jazz SV Plus เลย แม้แต่เรื่องช่วงล่างที่เหมือนจะดี แต่เอาเข้าจริงก็มีดอกน่ากลัวเช่นกัน
อันดับที่ 39-Suzuki Celerio 1.0 CVT GLX
เซอร์ไพรส์ ได้อีก ได้อีก ได้อีกกกก…(ล้อเลียนสปอตวิทยุ) กับรถเล็ก 1,000 ซี.ซี. ที่ต้องยอมรับว่ามัน
ไม่ได้กระป๋องกระโหลกกะลาอย่างที่คิดไว้ ลืมภาพของรถเล็กยาวสามเมตรกว่าที่เราเคยพบ
ในยุค 80s ไปได้เลย Celerio นั้นมีพื้นที่โปร่งโล่งสบายกว่าที่คิด ผมนายแพนสามารถนั่ง
บนเบาะหลังของมันได้แบบมีที่เหลือ เพียงแต่พนักพิงหลังมันไม่ยื่นมารองรับส่วนหัวเท่านั้น
ที่ทำให้ไม่สบาย หากมองในแง่ของลูกค้าสักคนที่ต้องการรถขนาดเล็ก ขับคล่อง ประหยัด
เชื้อเพลิง 19.57 ก.ม./ลิตรทั้งที่เป็นเกียร์ CVT มันคือรถที่ตอบโจทย์คุณได้ดีมาก..จนกระทั่ง
คุณเริ่มนำเอาสเป็คของมันมากางเทียบกับ Swift 1.2GL จากนั้นก็สำรวจเงินดาวน์กับ
ยอดผ่อนต่อเดือน แล้วคุณก็จะเริ่มสงสัยว่า เอ..จะขยับไปเล่น Swift ดีหรือเปล่า (วะ)
เพราะ Celerio มีราคา ณ วันทดสอบอยู่ที่ 488,000 บาท..
พูดกันแบบเอาตามจริง คนส่วนใหญ่ที่ชอบรถเล็ก ก็อยากจะให้รถของตัวเองมี
ทรงที่น่ารักเซ็กซี่บ้างเหมือนกัน นั่นคือจุดที่ Celerio แพ้ Swift อย่างแน่นอน และแม้จะในรถ
ระดับนี้จะไม่ค่อยมีใครแคร์เรื่องความมันส์ในการขับ โอเค..อัตราเร่งในชีวิตจริงก็ต้องเค้น
คันเร่งเหมือนเวลาขับ Ecocar 1.2 ลิตรนั่นแหละครับ และ Celerio 1.0 CVT ก็สามารถเร่งออกตัว
และแซงสิบล้อได้ด้วยความเร็วที่ไล่เลี่ยกับ Nissan March CVT แต่จุดที่ไม่ค่อยมั่นใจคือพวงมาลัยซึ่ง
เวลาขับแบบคนปกติ มันก็เบาและทำตามคำสั่งได้ดี แต่เวลาต้องหักหลบเร็วๆในบางจังหวะ
เราพบความรู้สึกเหมือนกับ “หมุนเยอะ แต่หน้าไม่เลี้ยวตามไป” ซึ่งใน Swift เราจะไม่พบอาการ
แบบนี้ จะว่าหมุนพวงมาลัยแล้วล้อไม่เลี้ยวนี่ก็ไม่น่าจะใช่..ถ้าใช่ผมขอกระโดดลงจากรถก่อน
อันดับที่ 38-Chevrolet Colorado C-Cab 2.5 4×4 6MT
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ โคโลราโด้ 2.5ขับสี่ คุณุตตะรา ณ วันที่เขียนบทความนี้เขาได้
จากเราไปแล้วสำหรับกระบะขับสี่ 4 ประตูที่ราคาถูกราวกับขับ 2 คือแค่ 808,000 บาทเท่านั้น
มันได้รับการอัพเดทขุมพลังจนมี 163 แรงม้า และแรงบิด 380 Nm พร้อมเกียร์ธรรมดา 6
จังหวะ แม้ตัวเลขอัตราเร่งจะไม่ได้โดดเด่น อัตราการสิ้นเปลืองก็ไม่เด่นสำหรับรถดีเซล
พิกัด 2.5 ลิตร แต่แรงบิดช่วงรอบกลางเด่นมากจนหลายคนไม่รู้สึกว่า 80-120 ก.ม./ช.ม.
มันแซงได้เร็วพอๆกับ Mazda BT50 3.2 ขับสี่แล้ว
ออพชั่นภายในรถเทียบกับคู่แข่งที่มาใหม่ช่วงปลายปีจะถือว่าน้อยกว่าเขาอยู่นิดหน่อย
การตกแต่งภายในด้วยโทนสีเทานั้น กรรมการบางท่านบอกว่าทำให้ดูแล้วเหมือนวัสดุราคาถูก
ส่วนตัวผมนั้นคิดว่าพอรับได้ ไม่ถือว่าแย่ ตำแหน่งการขับขี่ของ Colorado ก็มีชุดเด่นตรงที่
เวลามองไปข้างหน้าแล้วจะรู้สึกโปร่งสบายราวกับตัวรถไม่ได้ใหญ่เท่าที่มันเป็นจริงๆ ช่วงล่าง
อยู่ในระดับมาตรฐานกลางๆของกระบะยุคใหม่ มันนุ่มสบายกว่า Ranger แต่ก็ไม่สบายเท่า
Triton หรือ BT50 ในขณะที่ความมั่นใจเวลาหักหลบหมีวิ่งตัดหน้าก็ทำได้ดีกว่า D-Max แต่
ก็ยังห่างไกลจากความหนึบปึกแน่นของ Ranger มากนัก Colorado 2.5 Z71 4×4 ไม่ใช่รถ
ที่มีด้านใดแย่มาก แต่มันก็ไม่มีด้านใดที่เด่นกว่าเพื่อนเลยเช่นเดียวกัน มันอาจเหมาะสำหรับ
คนที่เปิดใจรับแบรนด์ทางเลือกได้ และต้องการคุณสมบัติทุกอย่างในแบบกระบะๆและยึด
ทุกอย่างอยู่ทางสายกลาง…แต่ไม่รู้ว่าจะยังมีรถเหลือให้ซื้อหรือเปล่านะครับ
อันดับที่ 37-Suzuki Celerio 1.0 GA M/T
เล็กพริกขี้หนูที่ทำเอาทีมกรรมการงงในตอนแรกว่าทำไมรถที่สละแล้วซึ่งอุปกรณ์มาตรฐาน
แทบจะทั้งปวงอย่าง Celerio GAเกียร์ธรรมดาคันนี้จึงได้คะแนนดีกว่ารุ่น GLX เกียร์ CVT
คิดดูก็แล้วกัน ไม่มีฝาครอบล้อ กระจกมือหมุน ไม่มีเครื่องเสียง ไม่มีเซ็นทรัลล็อค
และ GA ก็เป็นรุ่นเดียวของ Celerio ที่ไม่มีใบปัดหลังมาให้ จุดนี้เราก็จะใช้มาตรฐานเดียว
กับตอนวิจารณ์ Honda Brio เมื่อครั้งมันออกใหม่ว่า “ใส่มาเถอะ อย่างน้อยทัศนวิสัยข้างหลัง
มันก็เป็นเรื่องสำคัญนะครับ ดูบทเรียนจากที่ Honda เขาเจ็บมาก่อนเราแล้วทำไมไม่เรียนรู้?”
ถ้าเช่นนั้น แล้วอะไรที่ทำให้มันชนะคะแนนเหนือรุ่น GLX? ก็คงมีเรื่องอัตราเร่งซึ่งให้ความ
คล่องตัวจากการสับเกียร์เอง ไม่ต้องทนกับอาการเย่อ เย่อ เย่อเวลาใช้งานหนักๆแบบคัน
ที่เป็นเกียร์ CVT แต่จุดที่ได้ใจกรรมการคือราคาค่าตัว 359,000 บาท ซึ่งเรามองว่ามันทารุณ
น้อยกว่าราคาของตัวท้อปแม้ว่าออพชั่นจะโล้นและไม่มีปัดหลังก็ตาม (แต่ในใจเราก็คิดว่า
มันยังควรจะถูก ได้อีก ได้อีก ได้อีกกก) นอกเหนือจากนี้ไป ช่วงล่างกับการขับขี่มาในสไตล์
เดียวกันคือมีความเฟิร์ม แน่นที่ความเร็วต่ำซึ่งเป็นลักษณะที่คล้าย Swift (ผมว่าแอบนุ่มกว่า
Swift นิดๆด้วยเหอะ) และในการขับเดินทาง ถ้าคุณขับ Soluna AL50 ได้แล้วรู้สึกโอเค
คุณก็จะขับ Celerio ได้ครับ
อันดับที่ 36-Nissan Navara KingCab 2.5 E 6MT
กระบะเบสิกสำหรับชีวิต Chick สไตล์ชาย น่าจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะสำหรับ
Navara King Cab 2.5E ที่สุดแล้ว เสียแค่สัดส่วนด้านท้ายที่ดูลาดเตี้ย ขัดกับด้าน
หน้าที่ดูบึกบึน เราคิดว่าทรงของมันดูเข้าท่ากว่า Triton อย่างแน่นอน และยังมีการ
ออกแบบภายในที่ดูมีมิติ น่าสนใจ ทำให้รถที่มีออพชั่นเท่าคู่แข่งดูแล้วเหมือนมีออพชั่น
เยอะกว่าได้ ราคาเทียบกับคู่แข่งแล้วจัดว่าค่อนไปทางด้านถูก แพงกว่า Ecocar
รุ่นท้อปไม่มาก
สาเหตุที่แม้จะมีข้อดีแต่ยังไม่พอดันอันดับให้ได้สูงกว่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเบาะ
J!MMY ดูจะมีปัญหากับพนักพิงศรีษะมากชนิดที่เขียนบอกผมเลยว่า “พนักพิงศรีษะ
มันดันกบาลมากจนรำคาญและแทบจะลืมคุณงามความดีของตัวรถไปหมด” แต่โชคดี
ว่าเบาะผ้าที่นั่งแล้วเกาะตัวดีไม่ลื่นไถล ช่วยกู้คะแนนสำหรับรุ่น 2.5E ไว้ได้บ้าง ผมเอง
ก็ได้ลองนั่งและพบว่ามันพอรับได้ แต่ไม่ถึงกับสบายนัก ถ้าท่านคิดซื้อ Navara แล้วขี้เกียจ
ลองขับ ผมขอให้ท่านลองนั่งเบาะดูก่อนว่าท่านรับได้ไหม ถ้าได้ ก็จบปัญหา แต่ก็ยัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อที่แค็บหลังมันแคบกว่าคู่แข่ง และช่วงล่างนั้นถึงจะให้ความมั่นใจได้
ดีกว่ากระบะยุคก่อนโลกรู้จัก iPhone มากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับ Mazda, Ford และ Mitsu
เราคิดว่ามันยังมีความเป็นกระบะอยู่ในตัวมาก นั่งแล้วค่อนข้างสะเทือน และท้ายรถ
ก็ออกอาการดีดพอสมควร (แต่ดีดน้อยกว่ารุ่น 4 ประตูอย่างน่างง) อัตราเร่ง 80-120
เร็วน่าดู อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันก็ถือว่าดีกว่า Ranger แต่ก็ได้ตัวเลขพอๆกับ Vigo
2.5 ตัวเตี้ยที่เราทดสอบไว้นานมากแล้วเท่านั้น ..หากคุณยังอยากได้กระบะที่มีลักษณะ
เป็นรถกระบะ และไม่คิดมากกับการที่ไม่มี ABS กับถุงลมนิรภัย มันก็เป็นรถที่คุ้ม
แต่เราคงยัดคะแนนหรือแกล้งชื่นชมมันไม่ได้เพราะมันไม่ได้มีอะไรเด่นขนาดนั้น
อันดับที่ 35-Mercedes-Benz CLA250 AMG
มันคือเบนซ์ที่สุดแสนจะไม่เป็นเบนซ์มากที่สุดเท่าที่ชีวิตวัย 30 กลางๆของผมเคยเจอมา
สำหรับคนที่ใช้ 19 ปีของชีวิตหลับนอนกับรถอย่าง W124 นั้น CLA250AMG เปรียบเสมือน
ด้านตรงข้ามจากคนละมิติ เรื่องความสวยของตัวถังนั้นมันทำคะแนนสูงลิ่ว ไม่ต้องแปลกใจ
เลยว่าทำไมถึงขายดีจนรอคิวข้ามปี เพราะมันไม่ใช่โอกาสที่หาได้บ่อยนักที่ Mercedes
จะสร้างรถที่สวย ได้สัดส่วน เครื่องแรงทะลุ 200 แรงม้า จัดสเป็คและของเล่นมาให้เยอะ
และยังขายในราคาแค่ 2,690,000 บาท เรียกง่ายๆว่าสวย เครื่องแรง ราคาคุ้มค่า
แล้วทำไมมันถึงอยู่ที่อันดับ 35? อย่างแรกเลยคือเบาะนั่งครับ ส่วนรองก้นผมไม่มีปัญหากับมัน
แต่พนักพิงศรีษะนั้นโน้มมาข้างหน้ามา มากจนขนาดอ้วนหัวหลิมอย่างผมนั่งแล้วก็ไม่สบาย
การนั่งโดยสาร CLA ในเบาะหลังนั้นก็นรกแล้ว การนั่งบนเบาะหน้าก็แค่เป็นนรกที่มีที่
เหยียดขายาวขึ้นแค่นั้น ถ้าท่านไม่มีปัญหากับจุดนี้ ก็โอเคครับ แต่กรรมการทุกคนจาก
ผอมกระหร่องยันผมเกลียดพนักพิงหัวของมันแบบสุดๆ ช่วงล่างนั้นนุ่มกว่า A250 อยู่..
แต่ก็เพียงแค่นิดเดียว และเมื่อลองเล่นบทโหดเวลาเข้าโค้ง ช่วงล่างที่แข็งจะทำให้มันดูมั่นมาก
แต่พอเล่นกับมันจะเลยลิมิต ท้ายจะกวาดออกในลักษณะรุนแรง..และนั่นคือเราไม่ได้ปิด
แทร็คชั่นคอนโทรลนะ อาจจะสนุกสำหรับบางคน แต่สำหรับพวกเราโดยเฉพาะ J!MMY
มองว่าไม่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่นเลือดร้อนที่ใจไปไกลเกินฝีมือเท่าไหร่นัก ในภาพรวม ผมมองว่า
A250 ท้ายสั้นๆนั่นขับมันส์และสนุกกว่าแถมราคาถูกกว่าอีก..แต่เรื่องความสวย ต้องยกให้
CLA เอาไปครอง
อันดับที่ 34-Chevrolet Trailblazer 2.5LT
มันอาจเป็นรถที่เหมาะสมหากคุณต้องการรถสไตล์ PPV สักคันที่วิ่งทางไกลแล้วประหยัด
เชื้อเพลิงดีกว่า Pajero Sport แต่ให้อัตราเร่งในระดับที่เร็ว โดยเฉพาะช่วงแซงนั้น ดูตัวเลข
แล้วมันเร็วมากจนต้องใช้พวก PPV เครื่อง 2.8 หรือ 3.0 ลิตรมาปราบ ..จนคุณมาเห็นว่า
อ้าว..นี่มันเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะนี่..แล้วมีคนกี่คนกันที่อยากใช้ PPV ที่เป็นเกียร์ธรรมดา?
หรือถ้าคุณติดตามข้อมูลเว็บเราตลอดก็จะสังเกตได้ว่า ประหยัดกว่า Pajero Sport นะ
แต่เทียบกับ Fortuner 3.0D ขับสองตัวเก่าที่ยังเป็นออโต้ 4 สปีด มันก็ไม่ได้ดีกว่าเค้านี่!
Trailblazer 2.5LT ดูภายนอกค่อนข้างคล้ายกับตัวท้อป เรียกได้ว่าหาล้อวงโตๆมาใส่
ถ้าไม่สังเกตแร็คหลังคาก็จะไม่ทราบความต่างแล้ว ภายในเป็นเบาะผ้าสีสันออกธรรมดา
แต่ก็ได้ระบบบันเทิง MyLink หน้าตาคุ้นๆจาก Chevrolet Sonic 1.6 มาให้ การขับใช้งาน
ทั่วไปนั้น ช่วงล่างถือว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมคลาส จะออกไปในทางแข็ง และคุมการ
ทรงตัวของรถได้ดี เสียงลมตีเข้ารถจะดังพอสมควรที่ความเร็วเกิน 80 เป็นต้นไป
อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานมีถุงลมนิรภัยและ ABS ส่วนระบบช่วยรักษาการทรงตัว
จะมีแต่ในรุ่น 2.8 ตัวท้อปเท่านั้น ทำให้คะแนนความปลอดภัยไม่โดดเด่นนัก ราคาค่าตัว
1,059,000 บาทนั้นก็แอบทำให้คิดเหมือนกันว่าควรเพิ่มเงินอีกเยอะๆแล้วไปเล่นตัวท้อป
หรือหันไปคบกับค่ายอื่นดี? มันไม่มีอะไรที่แย่ (ถ้าคุณขับเกียร์ธรรมดาได้) แต่ก็ไม่มีอะไร
ที่โดดเด่นเหมือนกัน
อันดับที่ 33-Subaru Legacy 2.5GT 5A/T
คุณต้องเป็นคนที่เสพย์ติดแบรนด์ Subaru อย่างเข้าขั้น..หรือไม่ก็เป็นคนที่ชื่นชอบใน
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาจริงๆถึงจะรู้สึกอยากได้รถคันนี้ เพราะถ้าหากให้
ผมพูดตรงๆ มันก็คือ Camry ที่มีตัวถังเหนียวเฟิร์มขึ้น ตะกายสี่ล้อ มีพลังที่สูงมาก
แต่ไม่ค่อยมีของอะไรให้เล่น..ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นพรีเมียมคาร์ แต่รู้สึกว่ามันคือมิติ
พิศวงสักแห่งที่อยู่ระหว่างรถสปอร์ตกับซาลูนรักครอบครัว
รักครอบครัว..เพราะอุปกรณ์ความปลอดภัยมีครบ และช่วงล่างนั้นเรียกว่ารักแม่ยาย
ใช้ได้ มันนุ่มนวลจนสามารถเอาไปทำ Uber แล้วผู้โดยสารไม่บ่น แต่ผมคิดว่าสำหรับ
รถที่ 0-100 เร็วกว่า 328i F30 80-120 เร็วกว่า Golf GTi แล้ว ช่วงล่างของมันน่าจะแข็ง
กว่านี้สัก 15-20% ก็จะสามารถขับได้อย่างมั่นใจขึ้น Legacy 2.5GT ทำคะแนนได้ดี
ในแง่อัตราเร่ง ความเกาะถนน แต่เราตั้งคำถามถึงแง่อื่นก็พบว่าส่วนที่ฉุดให้คะแนนลง
คือดีไซน์ซึ่งพูดตามตรง..ไม่มีใครในทีมกรรมการชอบเลยสักคนไม่ว่าจะภายนอกหรือ
ภายใน หากถอดระบบขับสี่กับเทอร์โบออกแล้วลดราคาขาย 2 ล้านก็ยังไม่มีใครซื้อ
และเรายังมีความรู้สึกว่าในราคา 3.45 ล้านนั้น มันสูงพอที่จะทำให้เราเลือกได้ว่า
ควรจะทำใจกับการยอมแรงน้อย เกาะถนนน้อยลงแล้วซื้อ D-Segment ธรรมดาที่
หน้าตาเข้าท่ากว่า อุปกรณ์ท่วมคันกว่า นั่งสบายไม่แพ้กัน แบบนั้นจะดีกว่า
อันดับที่ 32-Nissan Juke 1.6V
ในเรื่องดีไซน์ภายนอก Juke เป็นรถที่สร้างกระแสแบ่งแยกระหว่างกรรมการมากที่สุด
โดยมีคะแนนตั้งแต่ “ห่วย” ไปจนถึง “ชอบมาก” และไม่ได้ขึ้นกับวัยของกรรมการด้วย
เพราะคนที่ให้ Like นั้นก็มีตั้งแต่เด็ก วัยเด็กเหลือน้อย ไปจนถึงวัยแอ๊บเด็ก ส่วนภายในนั้น
ส่วนมากจะรู้สึก เฉยๆ ไปจนถึง “ชอบโคตรๆ” ด้วยสีสันที่แสบทรวง มีหน้าปัดและลูกเล่น
ซึ่งเรามองว่าน่ารักกิ๊บเก๋ แต่ไม่ตื่นเต้น เช่นจอ Tablet ตรงกลางที่เจ้าตอยด์บ่นว่าใช้งานยาก
หรือจอแอร์/Mode เป็นสีสันที่ดูไร้ Point ..อันที่จริง รถทั้งคันนั้นผมมองว่าค่อนข้างจะ
จำกัดกลุ่มลูกค้าไปที่คนชอบของแปลกอยู่แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าแปลกแล้วต้องคับแคบ?
นี่มันเป็นการออกแบบตามหลัก Man minimum, machine minimum, style maximum
ขนาดบอดี้ของ Juke อย่างน้อยก็น่าจะพอๆกับ Jazz แต่ทำไมความรู้สึกในการโดยสาร
ไม่น่าสบอารมณ์ เบาะหน้าก็ไม่ใช่ว่ามีพื้นที่เยอะนัก..อ๋อ ลืมไป เขาทำมาให้เด็กมหาลัย
หรือคนหัวใจวัยรุ่นผอมๆใช้กัน ไม่ใช่คนวัยนั่งถอนหงอกเกาพุงอยู่บนคานอย่างผมนี่
อัตราเร่งของมันให้ความรู้สึกเหมือนจะอืดอาดเพราะเกียร์ CVT Nissan ยังไม่แสนรู้
และถวายชีวิตอย่างของ Toyota แต่ถ้าวัดจากตัวเลข มันถือว่าอยู่เหนือเกณฑ์
เฉลี่ยของกลุ่ม (เร็วกว่า EcoSport แต่ช้ากว่า Honda HR-V ซึ่งเราทดสอบในปี
2015 – ถือว่าเป็นไปตามขนาดเครื่อง) และอยู่ในระดับที่ใช้วิ่งได้รอบประเทศ
ไม่ต้องลุ้นเวลาแซง พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดี และเซอร์ไพรส์มากกับช่วงล่างที่
ออกแบบมาให้ทรงตัวได้ดี ขับได้มั่นใจกว่าที่คาด เหมาะสมแล้วกับลูกค้าเป้าหมาย
ของมัน
อันดับที่ 31-Chevrolet Trailblazer 2.8 6AT LTZ
แปลกใจมากเหมือนกันว่าทำไมตัวเลขยอดขายไม่ได้น่าประทับใจ ทั้งๆที่ตัวรถนั้น
มีสมรรถนะที่ดี อัตราเร่งจากเครื่อง New Duramax 200 แรงม้า แรงบิดพระเจ้าช่วย
ระดับ 500Nm กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะนั้นทำให้มันกลายเป็นรถที่ขับสนุก
ตรงข้ามกับขนาดและหน้าตาของรถ อัตราเร่งทั้งออกตัวและจังหวะแซงเยี่ยมจน
คนเท้าหนักอย่างผมต้องชมว่า “แน่มาก” และช่วงล่างแม้จะแข็งกว่า Pajero Sport
แต่ก็แลกมาด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นกว่า และดีกว่า Colorado จนผมสงสัยว่า
นี่มันรถพี่รถน้องกันจริงๆหรือไม่ อัตราสิ้นเปลืองไม่ได้เด่นนัก เพราะจัดว่ากินจุ
ไล่เลี่ยกับ Pajero Sport นั่นล่ะครับ
ทุกอย่างที่เป็นตัวเลข.. Trailblazer 2.8 ทำได้ดีมาก หรือไม่ก็เสมอตัว แต่ในด้าน
คุณภาพวัสดุในห้องโดยสารนั้น บางจุดยังไม่น่าประทับใจ พวกเขาจึงได้ปรับปรุง
มันอีกครั้งในปี 2015 และในจุดนั้น บวกกับราคาที่อีกนิดก็ 1.5 ล้านบาทแล้ว
ทำให้เรารู้สึกว่า “เอ๊ะถ้ามีเงินเยอะขนาดนี้ ตัวเลือกก็มีถมถืดเลย ไม่ว่าจะเป็น
PPV หรือ SUV” นี่ก็น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์ Chevrolet
ไปปันใจให้กับยี่ห้ออื่นหมด ดังที่จะเห็นได้จากยอดขายนั่นแหละครับ
อันดับที่ 30-Toyota Corolla Altis 1.6G
Altis น่าจะมาถึงมือเราเร็วกว่านี้สักปีหรือสองปี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้ มาตรฐาน
ของรถ 1.6 ลิตรอาจจะเปลี่ยนไปและ Nissan Sylphy 1.6 อาจไม่ได้คะแนนจาก
เรามากขนาดที่เห็นใน BestDrive ปีก่อนๆ หลายสิ่งที่เราไม่คาดว่า Toyota จะทำ
ใน Altis เราก็พบว่ามันถูกทำมาให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตอบสนอง
การใช้งานได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นช่วงล่าง ซึ่งแต่ก่อน Toyota เคยทำ
จนนุ่มยวบยาบ ขับแล้วโหวง จนพัฒนาต่อกลายเป็นแข็งและขาดความสบาย
พวงมาลัยไม่ค่อยจะลงตัวสักรุ่นเท่าที่ผ่านมา แต่โฉมนี้ กลับกลายเป็นว่า
ช่วงล่างนุ่ม และนั่งสบาย สามารถเก็บอาการกระแทกฝาท่อและถนนขรุขระ
ได้ดีกว่า Sylphy ด้วยซ้ำ ครั้นพอใช้ความเร็วสูงเพื่อเดินทาง มันกลับไม่ได้แย่
ไปกว่ารุ่นเก่าที่ช่วงล่างแข็งสะเทือนกว่าเลย ตัวเบาะนั้นก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
พนักพิงศรีษะมีความนุ่มนวลพอ ลองคิดดูว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนหนึ่งของรถ C-Segment
1.6 ลิตรคือรถ Fleet เช่นเซลส์บริษัทที่ต้องวิ่งงานทั่วประเทศ หรือแท็กซี่ มันก็นับว่า
ดีที่วันนี้ Toyota ทำรถที่คนขับขับได้สบายขึ้น คนนั่งก็สบายก้นขึ้น เกียร์ CVT
ยังใจถึงและแสนรู้เหมือนเดิม ผมเกลียด CVT แต่ไม่รู้สึกรำคาญเลยถ้าต้องขับคันนี้
ถ้ามันดีขนาดนั้นแล้วทำไมถึงอยู่อันดับ 30? ลองดูราคาของตัวรถ แล้วลองเทียบ
กับ Sylphy 1.6 ภายนอกคุณจะรู้สึกว่ารถทั้งสองคันพยายามให้สิ่งต่างๆมาอย่าง
เท่าเทียมกัน แต่พอเข้ามานั่งภายในรถ คุณจะรู้สึกได้ว่า Sylphy พยายามจะทำ
ภายในให้เหมือนรุ่นท้อปมากที่สุด ใช้วัสดุแบบเดียวกัน และมีแอร์ออโต้มาให้ ส่วน Altis
1.6G นั้นยังใช้แอร์มือหมุน และหน้าปัดที่ต่างจากตัวท้อป นอกจากนี้อีกจุดที่ฉุด
คะแนนลงคือการออกแบบแผงแดชบอร์ดซึ่ง แม้จะมีกรรมการบางท่านมองว่าโอเค
แต่นับภาพรวมออกมา มันยังไม่ดีเท่าที่ควร เป็นบั้งและสร้างความรู้สึกอึดอัด ตรงกัน
ข้ามกับภายในที่ดูหรูหราสะอาดตาเป็นระเบียบของ Sylphy และอัตราสิ้นเปลืองของมัน
แม้จะเกิน 16 ก.ม./ลิตร แต่ก็ยังตามหลัง Nissan อยู่
อันดับที่ 29-Chevrolet Colorado X-Cab 2.8 LTZ 4×4 6MT
Goodbye..Coly Goodbye.. อีกรุ่นนึงของ Colorado ที่ยกเลิกการทำตลาดไปแล้ว
กระบะหล่อมีแค็บออพชั่นครบ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะกับเครื่อง New Duramax ที่
สงสัยว่า Chevy จะกลัวพวกเราพาลงข้างทางจึงตัดสินใจจูนให้มีแรงบิดน้อยกว่า
รถรุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่ยังไงก็ยังมี 200 แรงม้าอยู่ดี และมันกลายเป็นกระบะ
โรงงานที่บ้าพลังน่ากลัว แม้ Chevrolet จะล็อคความเร็วของมันไว้ แต่ระยะทางแค่
1.5 ก.ม. ก็พอให้มันทำความเร็วได้ 180 อย่างสบาย ซึ่งตลอดหลายปีที่ทดสอบรถมา
เราได้เล่นกับกระบะหลายรุ่น Colorado 2.8 คันนี้ยังหาใครมาโค่นได้ยาก
แต่เราซื้อรถกระบะมาเพื่อเรื่องแรงกันอย่างเดียวหรือเปล่า? ในด้านอื่นๆ Colorado
ก็มีดี เช่นตำแหน่งการขับและทัศนวิสัยยามมองไปข้างหน้าที่ให้ความรู้สึกเหมือน
หน้ารถเล็กกว่าความจริง แต่มาตายตรงที่พวงมาลัยก็ยังทดแบบรถกระบะยุคก่อน
ให้ฟีลเหมือนกระบะยุคก่อน ถ้าคุณชอบและชินกับความรู้สึกแบบนี้ Colorado น่าจะ
ตอบโจทย์ได้ดีกว่า Triton แต่ในภาพรวม เรายังรู้สึกว่ารถคันนี้ไม่ค่อยมีอะไรที่โดดเด่น
นอกเหนือจากความเร็วและอุปกรณ์กันตายอย่าง ABS, แทร็คชั่นคอนโทรล ระบบ
แยกจับเบรกหน้าช่วยหักหน้ารถเข้าโค้ง ซึ่งเมื่อไปลองในชีวิตจริง มันก็ยังไม่มั่นใจ
เท่ากับรถที่เซ็ตช่วงล่างมาให้จบในทีเดียวอย่าง Ranger
อันดับที่ 28-Suzuki Hustler
เปี๊ยกเล็กหน้าตลกแต่แต่งตัวเก๋สุดๆ มาพร้อมลูกเล่นสารพัดที่ทำให้ผมงงว่า K-Car มัน
พัฒนาไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ เรามักชินตากับภาพพจน์รถเล็กที่ต้องคับแคบ อุปกรณ์
นี่มีแอร์มาให้ก็บุญแล้ว เสียงเครื่องดังเพราะต้องกระแทกคันเร่งเรียกแรงตลอดเวลา
ปี 2014 Hustler คันนี้พิสูจน์แล้วว่าถ้า Suzuki จะทำ K-Car ให้หรู มันก็สามารถเป็นไปได้
หน้าปัด คอนโซล แผงควบคุมต่างๆนั้นทำมาได้ดีจนรู้สึกว่าหรูเก๋กว่ารุ่นพี่อย่าง Swift
และทำให้ Celerio กลายเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากยุค 90s ไปเลย แถมยังยัดเอาอุปกรณ์
ความปลอดภัยมาแบบครบครัน ABS, ESP และมีแม้กระทั่งระบบช่วยเบรกเวลาขับในเมือง
แล้วเผลอเหม่อจนเกือบทิ่มรถคันหน้า ภายในนั้นแคบถ้าวัดตามแนวขวาง..ผมนั่งถูไหล่กับ
J!MMY ตลอดเวลาที่เทสต์ ถ้ามีไฟฟ้าสถิตย์คงเปรียะกรี๊ดกันไปแล้ว แต่พื้นที่เหนือศรีษะ
โปร่งราวกับ Nissan Cube และพื้นที่วางขาสบายเหลือล้นจนผมสามารถนั่งเบาะหลังได้
แล้วไม่บ่น
อัตราเร่ง 0-100 ประมาณ 1 อายุรัฐบาล อัตราเร่งแซง เมื่อถึง 120 คุณจะพบว่าฤดูกาลนั้น
เปลี่ยนไปแล้ว ความเร็วสูงสุดอาจไม่พอให้หนีรถบรรทุกเมายาบ้า แต่เราต้องเทียบมันกับ
รถ K-Car คันอื่น (และแอบเหลือบเทียบกับ Ecocar หน่อยๆ) ก็พบว่ามันก็เร็วอย่างที่ 52 แรงม้า
ควรจะทำได้นั่นล่ะ ซึ่งแน่นอนว่า เหมาะกับการเอาไว้วิ่งในเมือง หรือวิ่งทางไกลที่ไม่เกิน
120 เท่านั้น ผมสามารถบี้คันเร่งมิดที่หน้าบ้าน ห้อผ่านแม่ผมไปโดยที่แม่ไม่รู้ว่านั่นคือบี้
คันเร่งเต็มแล้ว ราคาของมันนั้นถ้าคุณคิดจะเอาเข้ามาใช้เอง ก็ต้องเตรียมไว้ 1.5 ล้าน ซึ่ง
ถึงแม้เป็นเรื่องปกติสำหรับ K-Car นำเข้าอิสระ แต่จะมีกี่คนที่ทิ้ง Swift RX กับเงินคงเหลือ
900,000 บาทมาหา Hustler เพราะอยากได้ความต่างที่ต้องแลกมาด้วยสมรรถนะ?
อันดับที่ 27-Nissan Navara KingCab Calibre V AT
พูดถึงความคุ้มค่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการรถกระบะมีแค็บยกสูงขับสอง
Navara รุ่นนี้จัดว่าน่าสนเข้าขั้น เพราะในงบ 807,000 บาท คุณได้เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
ที่ทำงานได้ดีจนลืมเกียร์ธรรมดา คุณได้อุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างถุงลมนิรภัยคู่
และเบรก ABS ซึ่งรุ่น 2.5E ตัวธรรมดาไม่มี คุณได้ Cruise Control แอร์ดิจิตอลและระบบ
นำทาง ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้เมื่อนั่งลงไปบนเบาะอันมีพนักพิงดันหัวสุดยอดของมันแล้วนั้น
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าจะเหมือนพวก Navara ตัวท้อปๆเลยทีเดียว ขาดแค่เบาะหนัง
ปรับไฟฟ้าก็เท่านั้น
เครื่องยนต์ 163 แรงม้าอาจไม่ได้เด่นเรื่องความสนุกเวลาแซงอย่างที่ตัว 190 แรงม้าเป็น
แต่ในชีวิตจริง หากคุณกดคันเร่งแค่ 70-80% ก็แทบจะสัมผัสความต่างไม่ได้เลยในรอบ
ต้นและรอบกลาง ช่วงล่างมีอาการดีดดิ้นเวลาผ่านรอยต่อบนทางด่วนอยู่บ้าง แต่กลับ
สะเทือนน้อยกว่ารุ่น 4 ประตูอย่างน่างง ทำให้คุณสามารถขับมันได้ด้วยความมั่นใจมากกว่า
อีกทั้งอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็ทำได้ดีกว่า Ford Ranger 2.2 Hi-rider เกียร์ธรรมดา
ด้วยซ้ำ (แต่ Calibre V ก็แพงกว่าเกือบแสนเช่นกัน) ผมรู้สึกว่ามันเป็นรถธรรมดา ไม่ได้
ทำอะไรผิดนอกจากเบาะและช่วงล่างที่สองอย่างนี้ยังสู้ Ford กับ Mazda ไม่ได้ หากคุณ
โอเคกับพนักพิงศรีษะของมัน Calibre V ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เลย
อันดับที่ 27-Nissan Navara Doublecab Calibre VL 6M/T (คะแนนเท่ากันกับตัวบน)
Navara มาอีกแล้ว..คันนี้เป็นตัวขับสองเกียร์ธรรมดาที่อัดออพชั่นมาเต็มสุดๆ มีเบาะหนัง
ปรับไฟฟ้ามาให้ มันแพงกว่ารุ่นรองจากนั้นแค่ไม่กี่หมื่นบาท แต่ได้ของเล่นครบครันและ
ได้เครื่อง 190 แรงม้าตัวแรง ทำไมจะไม่คุ้ม? คันเกียร์ธรรมดาของ Navara ก็เข้าได้ดีกว่า
สมัยก่อน แม้จะยังไม่ดีแบบ Ranger/BT50 แต่ก็ดีกว่า Chevrolet ระยะการเหยียบของ
คลัตช์ก็ทำให้ขับง่าย ไม่ยาวหรือสั้นเกินไป จะมีอะไรดีกว่ากระบะบ้าพลังเกียร์ 6 สปีด
ที่ให้ออพชั่นมาจนนี่ถ้าดีไซน์คอนโซลสวยกว่านี้อีกหน่อยนี่จะนึกว่าไปยกของ Teanaมาแล้ว
นั่นคือคำถาม และผมจะตอบต่อว่าบางทีกระบะที่ขับสบายอาจจะน่าสนกว่า ทุกอย่าง
ของ Navara คันนี้บนโบรชัวร์ดูดีมาก แต่เมื่อได้สัมผัสตัวจริงกลับพบพนักศรีษะแบบนั้น
พบเบาะหลังที่วางแนวไว้ค่อนข้างต่ำ ทำให้เวลานั่งแล้วปวดเข่า มันไม่ใช่เบาะที่สบายต่อให้
เทียบกับ Ranger, Vigo, หรือ Triton ตัวเก่า แม้ว่าจะดีขึ้นกว่า Navara รุ่นเก่าแล้วก็ตาม
ช่วงล่างหลังของมันนั้น หน้านุ่ม แต่หลังแข็ง ยิ่งนำไปวิ่งบนทางด่วนแล้วจะรอยต่อจะดีดตัว
จนเกินหน้ารถกระบะสี่ประตูคันอื่นๆ ผมมองว่าคนซื้อกระบะสี่ประตูน่าจะเน้นการบรรทุก
น้อยลง และเน้นความสบายในห้องโดยสารมากขึ้น Chevrolet คิดแบบนี้กับ Colorado
แต่ Nissan ทำออกมากลับกัน ดังนั้นถ้าคุณคิดจะเล่นกับกระบะรุ่นนี้ ขอให้ลองเบาะ และ
ลองดูช่วงล่างก่อนว่าโอเคสำหรับชีวิตคุณหรือไม่ ไม่ต้องเสียเวลานั่งกดนั่งเล่นออพชั่นหรอก
เพราะนั่นไม่ใช่จุดอ่อนของมัน
อันดับที่ 26-Subaru BRZ Premium 6AT
รถรุ่นนี้ต่างจาก 86 เกียร์อัตโนมัติอย่างไร? เท่าที่ลองขับก็พบว่าช่วงล่างของมันมีความ
นุ่มนวลในช่วงแรกของการยุบตัวของโช้คอัพมากกว่ากันเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีผลต่อ
ความมั่นใจในการขับ และอันที่จริงต่อให้ไม่มีสปอยเลอร์หลังอันโตแบบ 86 ตัวท้อป
BRZ กลับสามารถรักษาการทรงตัวบนทางตรงได้ดีจนแทบไม่ต่างกัน ความต่างจบ
ลงตรงนี้ เพราะเครื่องยนต์ FB20 200 แรงม้าของ BRZ แม้จะสร้างอัตราเร่งได้ดีกว่า 86
(อย่างงงๆ) แต่อาการของเครื่องยนต์ยังคงเหมือนเดิมคือแรงบิดน้อย และยิ่งน้อยลง
เมื่อรอบต่ำกว่า 4,500 ลงมา ถ้าคุณมองว่ารถสปอร์ตตัวเบาๆ 200 แรงม้าแล้วจะแรง
แบบ Honda DOHC VTEC 200 แรงม้าจากยุค 90s กรุณาเตรียมผิดหวัง เพราะออกตัว
มันก็ไปแบบเรื่อยๆก่อนจะแรงขึ้น..แรงขึ้น..และ..เกียร์ต่อไป ไม่มีการดึงที่รอบสูงอย่างที่
เราคาดหวังจากเครื่อง NA ที่มีม้า 100 ตัวต่อลิตร
แต่ก็โชคดีที่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะของ BRZ นั้นก็เหมือน 86 คือทำงานได้เร็ว แสนรู้
ดุ ใจถึง กดโหมดสปอร์ตก็ได้สปอร์ตจริงๆ คาเกียร์ช่วยเหมือนเวลาขับรถเกียร์ธรรมดา
เบิ้ลรอบเครื่องรับการเปลี่ยนเกียร์ได้ดี คุณสามารถเอาไปหลอกคนที่รู้เรื่องรถ (นิดหน่อย)
ได้เลยว่านี่เป็นเกียร์คลัตช์คู่ ผลของการที่ตัวไม่หนักมากนัก ล้อและยางไม่ได้ใหญ่เวอร์
กับเกียร์ที่ฉลาดอย่างน้อยก็พอให้มันวิ่งขนานไปกับรถ 520d F10 ของสนามบินได้บ้าง
และดีกว่า MX-5 คันสุดท้ายที่เราขับแบบไม่ต้องสืบ…แต่สำหรับผม ถ้าจะให้จ่ายเงิน
ขนาดนี้ กับแรงประมาณนี้ อย่างน้อยก็ขอคอนโซลกับภายในที่ดูดีกว่านี้ และวิทยุ
ที่ไม่เหมือนของ Vigo น่าจะดี..แต่เดี๋ยว..ตอนนี้ราคาลดอยู่นี่?
อันดับที่ 25-Toyota Altis 1.8V Navi
ยังยืนยันเหมือนรุ่น 1.6G ว่านี่คือ Altis ที่ได้รับการปรับปรุงจากรุ่นก่อนๆจนกลายเป็น
รถที่ขับแล้วมีความสุขขึ้นกว่าเดิม เข้าออกก็ง่าย ตัวเบาะก็นั่งสบาย ตำแหน่งการวาง
แขน ขา และพวงมาลัยเป็นไปตามหลังสรีระศาสตร์มากกว่า Altis ทุกรุ่นที่เคยมีมา และใน
กรณีของ Altis 1.8V Navi ตัวท้อปราคา 1,069,000 บาทนั้น แม้ภายนอกจากคล้าย 1.6G
มากแต่ภายในนั้นมีชุดมาตรวัดที่เป็นของเฉพาะ 2 ตัวท้อปเท่านั้นซึ่งมองดูแล้วแม้ตัวเลข
ที่เอียงทำองศาตามขอบจอนั้นทำให้ J!MMY ไม่ชอบ แต่ผมกลับมองว่าโอเค และที่จริงมัน
ดีไซน์มาได้สวยงาม คล้ายกับเอา Chevrolet รุ่นสูงๆมาบวกกับหน้าปัดของ VW Group
มีแอร์ดิจิตอลมาให้ มีเบาะคนขับปรับไฟฟ้าที่สามารถปรับดันหลังได้ Cruise Control
และกล้องมองหลังมาให้ ส่วนการตอบสนองของรถนั้น ช่วงล่างจะให้อารมณ์คล้ายกับ
1.6G แต่เครื่องยนต์ 1.8 นั้นสร้างอัตราเร่งได้น่าตื่นตาตื่นใจ ถูกล่ะหน้าปัดมันความเร็ว
โม้เกินจริงไป 7% แต่ต่อให้คำนวณกลับเข้าไป Altis ก็ยังไวกว่า Sylphy 1.8 หรือรถ
C-Segment ใดๆก็ตามที่เป็นเครื่อง 1.8 ทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ มันสามารถอาจหาญ
ไปไล่เล่นกับพวกรถ 2.0 ลิตรบางรุ่นอย่าง Lancer EX 2.0 ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ที่อันดับมันอยู่ที่ 25 นั้น ก็มีเหตุผลหลายอย่าง เรื่องดีไซน์ของหน้าปัดคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
เหลือเรื่องการเซ็ตแป้นเบรกซึ่ง Altis 2014 ทุกรุ่นมีนิสัยเหมือนกันคือต้องกดลึกกว่ารถรุ่นอื่น
เบรกจึงจะเริ่มจับ ทำให้บางจังหวะของการขับไม่สามารถคุมเบรกได้ดังใจ ต้องตั้งใจเหยียบ
ดีไม่ดีเลยป้าย ลึกไปก็หน้าทิ่มอีก สำหรับคนที่ขับรถคันเดียวประจำคงไม่มีปัญหา ปรับความ
ชินเอา แต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวเพราะใน BestDrive เราต้องเทียบกับรถอื่นๆในเซกเมนต์เดียวกัน
นอกจากนี้ ราคาของมันนั้นก็ค่อนข้างสูง สูงจนทำให้ไปว่ายน้ำเล่นสระเดียวกับรถ 2.0
ของคู่แข่งได้ แต่ยังขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยเช่นถุงลมนิรภัยด้านข้าง ซึ่งคุณสามารถ
หาได้จากรถ 2.0 ลิตรของคู่แข่งที่ราคาต่างกันไม่มาก และรถของคู่แข่งยังมีระบบเสริมเช่น
ระบบช่วยเตือนจุดบอด ระบบถอยจอด หรือระบบช่วยเบรกเวลาเผลอ มาตรฐานของวงการ
เปลี่ยนไปมากแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแต่ Altis ยังให้อุปกรณ์มาเท่ากับรถตัวท้อปจาก 5 ปีก่อนอยู่
อันดับที่ 24-Chevrolet Colorado C-Cab 2.8 6AT LTZ1
หนึ่งในกระบะที่เรารู้สึกดีที่ได้ขับ มันเป็นรถที่ทำออกมาเอาใจคนรักกระบะแรง..ซึ่งอาจจะ
มีจำนวนไม่มากพอ จนในที่สุดก็ต้องยกเลิกการขายรุ่นนี้ไปอย่างน่าเสียดาย หากเทียบกับ
คู่แข่งแล้ว มันแรงจริง เร็วจริง แต่คุณสมบัติด้านอื่นนั้นไม่มีจุดเด่น มันพยายามอยู่ตรงกลาง
ระหว่างคนที่ชอบกระบะที่ขับแล้วคล้ายรถเก๋งโดยการออกแบบให้ทัศนวิสัยด้านหน้าดู
เหมือนรถเล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีพวงมาลัยที่หนัก ยาว ยาน ความรู้สึกในการขับ
เวลาเดินทางไกลนั้น Isuzu D-Max มีพวงมาลัยที่เซ็ตมาดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ Colorado ชดเชย
ด้วยช่วงล่างที่มั่นคงกว่า สั่นไหวน้อยกว่าเวลาข้ามสะพาน มันมีช่วงล่างหลังที่ดีดดิ้น
น้อยกว่า Navara แต่ยังไม่สามารถสร้างความหนึบเกาะแบบ Ranger หรือเน้นสบายอย่าง
Triton ได้
พวกเราชาว Headlightmag ขอชมเชยอย่างน้อยหนึ่งเรื่องว่าเครื่องยนต์ Duramax
ตัวใหม่ 2.8 ลิตรนั้นมีนิสัยเรียบร้อยน่าคบกว่าเดิมมาก เสียงเครื่องที่เคยดังแถมยังสั่น
จนน่ารำคาญนั้นลดลงจนอยู่ในระดับที่รู้สึกได้ชัดเจน และดีกว่าคู่แข่งบางรุ่นด้วยซ้ำไป
ออพชั่นที่ให้มานั้นแม้จะไม่น้อย แต่เมื่อในโลกนี้มี Ranger 3.2 Wildtrak และ Navara 4WD VL
Colorado LTZ1 เลยกลายเป็นรถที่มีภายในดูธรรมดาเมื่อเทียบกับสองรุ่นนั้น เมื่อ
ลองพิจารณาทุกสิ่ง รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองที่ไล่เลี่ยกับพวกรถกระบะม้า 190 Up
คันอื่น ก็ไม่ได้สร้างจุดเด่นที่เห็นชัดมากนัก Colorado LTZ1 จึงยังอยู่ในอันดับที่ 24
อันดับที่ 23-Nissan Navara Doublecab 2.5VL 4WD 7AT
ถ้าใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ Nissan แล้วเห็น Navara VL4WD ยืนแป้นในอันดับดีกว่า Colorado
ก็ขอบอกสักนิดว่ามันชนะมาด้วยคะแนนแค่ 0.54 คะแนนจาก 100 เท่านั้น และมันเป็นผลมา
จากการที่เรารู้สึกว่าการโดยสารบน Colorado ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็สบายกว่า Navara
แต่ไม้ตายที่ Nissan ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ที่ช่วงล่างในการวิ่งบนทางตรงซึ่งช่วงล่างสามารถ
รักษาแนวการวิ่งได้ดี ไม่ต้องแก้พวงมาลัยช่วยไปๆมาๆมากนัก นอกจากนี้ระบบ VDC
ของ Navara นั้นทำงานได้อย่างชัดเจนและเห็นผลชนิดที่ผมลองแล้วอยากให้รถกระบะ
ทุกคันในไทยมีระบบนี้ เมื่อหักเลี้ยวแรงๆที่ความเร็ว 90-100 ก.ม./ช.ม. นั้นระบบรักษาการ
ทรงตัวจะใช้เบรกหน้าทีละข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้การเบรกจับทีละข้าง
ช่วยแก้แนวรถให้กลับมาวิ่งตรงได้ดี ถามว่าคู่แข่งคันอื่นเขาเป็นไม่ เราลองแบบเดียวกัน
กับ Colorado และพบว่าระบบไม่ได้เข้ามาช่วยอะไรมากในการขับแบบนั้น ส่วน Ford
กับ Mazda ช่วงล่างที่หนึบกว่าทำให้รถไม่ค่อยออกอาการแต่แรกอยู่แล้ว ส่วน Mitsubishi
ยังคุมอาการได้ไม่ดีเท่า สิ่งนี้ รวมกับออพชั่นที่ให้มา ความแรงที่ได้ อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่หนี
ห่างกระบะ 190 ม้า Upคันอื่น ในราคา 996,000 บาท อาจทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณ
โอเคกับเบาะและช่วงล่างด้านท้ายที่เหมือนกับ Navara Calibre VL คันก่อนหน้าเด๊ะ
อันดับที่ 22-Mercedes-AMG A45AMG
ในวัยเรียนของผม นึกย้อนไปก็พอจำได้ว่ามีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งชื่อไอ้เค ถนอมศักดิ์ มันตัวเล็ก
กว่าใครในห้องเรียน เป็นคนตลกในเวลาปกติ แต่ในยามมีเรื่อง ไอ้เคจะมีนิสัยดุดัน ก้าวร้าว
ไม่กลัวใคร วันไหนไม่พูดคำหยาบจะนอนไม่หลับ เจอคนตัวใหญ่ๆหาเรื่องกลับโดดฟันศอกร่วง
เอาง่ายๆ นั่นคือภาพพจน์ของ AMG A45 ในสายตาของผม จริงอยู่ว่าเบาะของมันก็นั่งไม่สบาย
เพราะมันก็คือเบาะตัวเดียวกับ CLA45 แต่เมื่ออยู่หลังพวงมาลัย A45 ผมจะมีเวลาแคร์กับ
ความสบายน้อยลง และใช้เวลากับการตอกคันเร่ง แล้วรอให้เครื่อง 4 สูบโรงงานที่แรงม้า
ต่อลิตรสูงที่สุดในโลกดึงหัวกบาลของผมให้ลงไปติดพนักพิงศรีษะเอง มันกลายเป็นยาเสพย์ติด
อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากตอกคันเร่งครั้งแล้วครั้งเล่า AMG จูนเครื่องมาได้ดี นอกจากเสียงท่อ
จะน่ากลัว เสียงเครื่องก็เร้าใจกว่าที่เคยได้ยินในคลิปมาก 360 แรงม้าของมันมีอาการรอรอบ
น้อยกว่าเครื่อง 2.5 ลิตรเทอร์โบของ Subaru เสียอีก การทำงานของเกียร์นั้นดุ โหด และเอาเรื่อง
กว่า A250 อย่างรู้สึกได้..แต่ต้องกดโหมด S นะครับ ถ้าโหมด E เกียร์ก็จะช้าๆ แอบเบลอ
เหมือนนิสัยเบนซ์ปกติ
โหมด Race Start นั้นแม้จะใช้ติดๆกันหลายครั้งไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ใช้ รถจะคำนวณการจับคลัตช์
และองศาคันเร่งที่ดีที่สุดสำหรับการออกตัวจนสามารถทำ 0-100 ได้ใน 5.23 วินาที กลายเป็น
เจ้าของสถิติใหม่ของ Headlightmag ไปโดยปริยาย แต่ 80-120 ของมันนั้นยังตามหลัง
MTM S3 อยู่ ในรถคันนี้แม้ภายในจะคับแคบ แต่พลังและความโหดของมันจะทำให้คุณ
ไม่อยากชวนใครมานั่งถ่วงน้ำหนักด้วยอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือระบบ 4MATIC ของมันนั้น
ในเวลาเข้าโค้งยังมีอาการที่ไม่น่าไว้ใจ มันจะหลอกให้คุณตายใจแล้วกดคันเร่งเพิ่มหรือ
ทำอะไรแผลงๆ แล้วจากนั้นก็เสียแรงยึดเกาะด้านท้ายไปเลย และปัญหาข้อที่ใหญ่ที่สุดคือ
ราคาของตัวรถ 5,790,000 บาท..ถ้าคุณต้องการรถยุโรปขับสี่ 360 แรงม้า มันอาจจะดูโอเค
แต่พอมาคิดว่าเรามี Active Hybrid 3 ที่ตัวโตกว่า อุ้ยอ้ายกว่าบ้าง ไม่ได้ขับสี่ แต่ม้า 340
และราคาถูกกว่ากันล้านกว่าบาท..มันก็น่าคิด ใช่หรือไม่?
อันดับที่ 21-Mitsubishi Triton Doublecab 2.4MIVEC GLSltd 5AT
ดูเหมือนว่าปัญหาปากท้องของเกษตรกรไทยกับปัญหาอาการรอรอบของเครื่องดีเซลมิตซู
นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่แก้ยากพอกัน เราคงไม่เถียงเรื่องการเป็น Clean Diesel แต่ในขณะที่
คู่แข่งพยายามกลบจุดอ่อนอย่าง Navara ก็ใช้เกียร์ 7 จังหวะเข้ามาช่วยลบรอยสักปานแดง
ปานดำไปได้บ้าง Triton ยังคงใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะอยู่ เราไม่เถียงเช่นกันว่าถ้ากดเต็ม
มันก็ไปได้ดีเท่าคู่แข่งที่เครื่องโตม้าเยอะกว่า แต่ในชีวิตจริงการต้องรอให้เข็มวัดรอบตวัด
ไปถึงครึ่งทางสู่ขีดแดงแล้วค่อยสำแดงเดชนั้น มันก็น่าหงุดหงิดรำคาญใจอยู่โดยเฉพาะ
ถ้าเพิ่งลงมาจาก Vigo 3.0 ลิตรหรือ D-Max VGS 3.0 ลิตรแล้วมาขับคันนี้ นอกจากนั้น
คนที่เอาออพชั่นมากมายมาใส่รถแล้วจัดเรียงจนดูแล้วกลับไม่สวยงามน่าตื่นตาเท่า
Ranger หรือ Navara นั้นก็คงเป็นพรสวรรค์หรือพรนรกอีกอย่างของ Mitsubishi เช่นกัน
นี่ยังไม่นับเรื่องที่ราคาเกินล้านแต่แผงบังแดดด้านคนขับไม่มีแม้แต่กระจกอีก..แล้วยัง
มีหน้าตาของรถที่แม้เจ้าของเว็บจะโอเค แต่ทีมกรรมการที่เหลือบ๊ายบายกันจนคะแนนรวม
ออกมาแย่กว่ากระบะทุกตัวที่เราขับมาในปีนี้ ไม่ต้องอื่นไกล..ไอ้กระจังหน้านั่นแหละตัวดี
แต่สิ่งที่ทำให้ Triton ถีบตัวขึ้นมาทำแต้มดีเป็นอันดับต้นๆของบรรดากระบะ 4 ประตูได้นั้น
อยู่ที่การพิสูจน์ให้เราเห็นว่ารถกระบะก็มีสิทธิ์ที่จะขับนุ่ม ขับสบาย คล่องตัว และมีสิทธิ์
ที่จะมีภายในที่นั่งสบายอย่างเหลือเชื่อได้ ซึ่งถ้าหากคุณจัดความเจ๋งของรถด้วยการขับขี่
และการโดยสาร Triton ทำคะแนนชนะทุกกระบะที่เราเคยมีมาทั้งหมด ผมจำวินาทีแรก
ที่ J!MMY พานั่งรูดลูกระนาดแถวบ้านเล่นทำให้ผมถึงกับอุทานออกมาว่า Cheddo!
นี่หรือช่วงล่างกระบะ? มันเป็นความรู้สึกที่อึ้งยิ่งกว่าตอนพบว่า Pajero Sport นุ่มสบาย
กว่า Fortuner เสียอีก แล้วยังมีเบาะนั่งที่นั่งหน้าก็สบาย นั่งหลังก็สบาย มีพื้นที่วางขา
กำลังดี ตัวเบาะนุ่มโอเค ตำแหน่งอยู่สูงกำลังดี เป็นกระบะคันหนึ่งที่ผมยอมนั่งหลังไป
เชียงใหม่หรืออุดรธานีแล้วไม่บ่นแน่ๆ พวงมาลัยอาจจะดูมิร๊าจมิราจ แต่พอลองหมุนดู
ก็พบว่าอัตราทดและน้ำหนักมันเหมือนรถเก๋งมาก คนชอบรถกระบะหนักๆสไตล์เดิม
อาจจะเกลียด แต่ถ้าคนที่เคยชินกับรถเก๋งจะสามารถขับมันได้อย่างคล่องตัว สบายใจ
เมื่อเทียบกับหัวข้ออื่นที่ไม่มีด้านใดเป็นรองหรือแย่กว่าชาวบ้านเขา ทำให้มันได้คะแนน
ไปในระดับนี้..แต่ขอร้อง..มันดีกว่านี้ได้อีก.เราคงต้องรอการไมเนอร์เชนจ์กระมังครับ
อันดับที่ 20-Ford Fiesta 1.0 EcoBoost
หากคุณต้องการรถเล็กโดยมีความสนใจมุ่งเป้าไปที่อรรถรสจากการขับขี่และต้องการ
แบรนด์อินดี้ที่ไม่เหมือนใคร ขอต้อนรับคุณสู่ประตูของ Fiesta Ecoboost ซึ่งจะตอบสนอง
ความต้องการของคุณได้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ B-Segment ประกอบในประเทศจะให้ได้
เมื่อได้ยินคำว่า 1.0 ลิตร บางคนอาจกังขาว่าแล้วมันจะวิ่งไหวเร้อ? คำตอบคือนอกจาก
จะไหวแล้วยังทุ่ม Vios (ออโต้), เหยียบ Fiesta 1.6 พี่มันเอง, ฟันศอกใส่ Sonic 1.6, ผลัก Jazz,
ดีดนิ้วใส่ City แล้วทิ้งห่างอย่างเหนือชั้น สุ้มเสียงจากเครื่อง 3 สูบเทอร์โบนั้นจูนออกมา
ได้หวานมีเสน่ห์เฉพาะตัว เกียร์ซึ่งเคยเบลอๆมั่วๆใน Fiesta รุ่นก่อนๆถูกปรับทัศนคติ
เอ้ย. ปรับนิสัยจนดีขึ้นมาก ยังเหลือแค่บางจังหวะที่กดคันเร่งลงไปแล้วจะกินเวลา
เปลี่ยนเกียร์กับถ่ายแรงดึงจากเครื่องนั่นล่ะที่เรามองว่าเสียเวลามากไปจน Jazz หรือ City
CVT ไล่ทันเอาได้..สังเกตดูสิ ถ้ากดเต็มตั้งแต่ 0 ไปจนท้อปสปีดจะไม่ต้องมีจังหวะเสียเวลา
ตรงนี้ และถ้าเป็นอย่างนั้น Fiesta จะดีดไปเร็วกว่ามาก
แต่ถ้าคุณต้องการรถเล็กที่ให้ความสบายในการขับ มีเบาะที่ “Make Sense” มีความเอนกประสงค์
ในการใช้งานและออพชั่นไม่ขาด ขอเชิญเดินออกจากประตู Ford ไปประตู Honda จะดีกว่า
พ่อเจ้าประคุณคนไหนไม่รู้ออกแบบเบาะให้ไม่มีการรองรับแผ่นหลังจากช่วงกลางไปจนถึง
ท้ายทอยเลย พอนั่ง Fiesta เสร็จแล้วทำให้รู้สึกอยากทำตัวเป็น Bad boy สำนึกผิดกลับไป
ง้อขอคืนดีกับ CLA และ Navara เป็นที่สุด ภายในก็ค่อนข้างเล็กและแคบ ดังนั้น
การที่ผมบอกว่ารถรุ่นนี้ “For teenagers only” นั้น ผมว่าผมคิดดีแล้วครับ คนแก่ที่ชอบบ่น
ปวดหลังอย่างผมคงไปกับเธอไม่ได้ แต่สมาชิกทีมวัยรุ่นอย่างน้องเปาบอกว่าไม่ปวดและ
ยังนั่งได้โอเคด้วย สงสัยมันคงเป็นเรื่องน้ำหนักไม่ก็ความแก่เฉพาะตัวนี่ล่ะ
อันดับที่ 19-Mitsubishi Triton Plus 2.4 GLSnavi MT (คะแนนเท่ากันกับ BRZ)
มันคือการนำรุ่น 2.4GLSltd 5AT มาเปลี่ยนเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เอาระบบรักษา
การทรงตัว เอา Cruise Control, Hill Assist, เบาะไฟฟ้าด้านคนขับออกนั่นเอง แต่ความ
รู้สึกที่เรามีก็คล้ายกับ Navara Calibre เทียบกับตัว VL 4WD ก็คือเมื่อเข้าไปนั่งแล้ว มันไม่ได้
รู้สึกต่างจากรุ่นท้อปราคา 1,008,000 บาทเท่าไหร่เลย แถมสิ่งที่แลกเปลี่ยนกับการยอม
เมื่อยเท้าซ้ายนั้นก็ดูจะคุ้มค่าอยู่ เช่นจังหวะทดเกียร์ที่ต่อเนื่องกว่า อาการรอรอบที่เหมือนจะ
น้อยลงนิดดดดดนึง การชิฟท์เกียร์ที่ให้ความรู้สึกดีกว่ารุ่นเก่ามาก แค่ยังสู้ Ford/Mazda
ไม่ได้ และโบนัสก็คืออัตราการสิ้นเปลือง 13.41 ก.ม./ลิตรซึ่งเป็นกระบะยกสูงขับสองที่
ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดที่เราทดสอบภายในปี 2014 (Navara Calibre V สี่ประตูที่ทำได้
14.24 นั้นเราเอามาทดสอบปี 2015)
ราคา 881,000 บาทนั้น แพงกว่า Ranger 2.2 Hi-rider ซึ่งถือว่าเป็นพิกัดแรงน้อยกว่า
แต่ก็ถูกกว่า Navara Calibre VL MT 190 แรงม้าอยู่ราว 40,000 บาท Nissan มีความหรู
และออพชั่นที่เหนือกว่าในขณะที่ Mitsubishi ตีด้วยความสบายในห้องโดยสารและ
ช่วงล่าง การเลือกรถทั้งสองตัวนี้สามารถพิจารณาได้จากการคิดให้ออกว่าคุณชอบอะไร
ทนอะไรได้ และทนอะไรไม่ได้ในรถกระบะคันหนึ่ง ซึ่งเมื่อเข้าใจความต้องการของตัวเองแล้ว
มันจะไม่ยากในการเลือกเลยเพราะต่างคนก็มีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน
อันดับที่ 19-Subaru BRZ Premium 6M/T (คะแนนเท่า Triton Plus)
มันเหมือนกับ BRZ เกียร์อัตโนมัติทุกประการยกเว้นเกียร์ แน่นอนว่าคุณได้ของสมนาคุณ
เป็นวิทยุที่เหมือนๆกับของ Vigo (แม้ว่าเสียงจากลำโพงออกมาแล้วจะไม่ได้เลวร้ายขนาด
ธานินทร์เรียกพ่อแบบ Camry Hybrid ก็เถอะ) จุดที่รถเกียร์อัตโนมัติมีจุดอ่อนคือการออกตัว
ซึ่งคุณต้องใจเย็น จิบ Starbucks อ่าน Star Soccer รอให้รอบกวาดผ่านบริเวณไร้แรงบิด
ไปก่อน ส่วนตัวเกียร์ธรรมดาคุณสามารถปิดแทร็คชั่นคอนโทรลกับ VSC แล้วจัดการ
ทำล้อฟรีออกตัวอย่างคลาสสิคได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้เกียร์อัตโนมัติของ BRZ จะดีเลิศ
แต่ทุกคนในทีมพร้อมใจกันเลือกเกียร์ธรรมดาถ้ามีโอกาส คันเกียร์มีน้ำหนักกำลังดี
พวงมาลัยไฟฟ้าที่แม่น ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่าที่คิด ทุกอย่างจะเป็นไปตามคำสั่ง
ของคุณในการเข้าโค้ง จะ Grip หรือ Drift ก็ได้โดยที่ทุกอย่างจะไม่แสดงออกอย่างกระโชก
โฮกฮาก ยกเว้นว่าคุณตั้งใจจะทรมานมัน
ถ้าจะปรับอะไรสักอย่าง ก็คงเป็นเรื่องของแป้นคลัตช์ ซึ่งนอกจากระยะเหยียบบนสุดถึง
ยันพื้นจะยาวเกินไปนิดสำหรับรถสปอร์ตแล้ว จุดที่เป็นช่วงตัดต่อกำลังยังสูงจากพื้นมาก
ทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ต้องอาศัยความชินในจังหวะถอนคลัตช์และเหยียบคันเร่ง
เข้าใจว่าเซ็ตมาแบบนี้ทำให้เปอร์เซ็นต์ที่คนเผลอเข้าเกียร์โดยเหยียบคลัตช์ไม่สุดลดลง
แต่มันก็ลดความสนุกลงไปด้วยเช่นกัน นอกนั้นก็คงมีเรื่องข้อเสียต่างๆดังที่กล่าวไป
ใน BRZ เกียร์อัตโนมัติครับ
อันดับที่ 18-Volvo V40 Cross Country
มันคือ Volvo V40 ที่ถูกเพิ่มความสูงใต้ท้องให้ปีนป่ายลุยได้มากกว่าเดิมนิดหน่อย
อาจจะไม่เหมาะกับขาออฟโรด แต่อย่างน้อยก็ดีสำหรับการวิ่งบนถนนคุณภาพเยี่ยม
ชนิดไม่ห่วงลูกหลานอย่างในประเทศไทย มันเป็นรถที่มีส่วนผสมหลายอย่างลงตัว
เริ่มจากการออกแบบภายในที่เลือกใช้วัสดุดูดี มีความทันสมัย และยังมีความมั่นใจ
ในการขับขี่ที่แม้จะด้อยลงกว่า V40 ตัวธรรมดา แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่พึ่งพาและไว้ใจได้
เครื่อง 5 สูบเทอร์โบก็ยังมีสุ้มเสียงที่หวานแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะที่นับวันจะหาได้ยาก
ขึ้นทุกที มีลูกเล่นทางด้านความปลอดภัยที่สามารถเอาชื่อ Volvo เป็นประกันได้
แต่เมื่อพูดถึงความเอนกประสงค์ เราพบว่าขนาดพื้นที่ภายในของตัวรถยังเป็นข้อจำกัด
มันค่อนข้างแคบแม้จะดีกว่า A-Class แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะต่างกับ GLA ขนาดไหนกัน
อัตราเร่ง ตัว V40T5 ก็ไม่ได้ถือว่าเด่น พอมาเป็นตัว Cross Country ปุ๊บ 0-100
ก็ปาเข้าไป 9.16 วินาที จากออกตัวถึงเส้น 402 เมตรนั้นแทบจะวิ่งมองหน้าไปกับ
BMW 320d Touring ที่มีแรงม้าน้อยกว่าและตัวโตกว่าด้วยซ้ำ หากมองที่ราคา
จะพบว่ามันเป็นรถที่ดูคุ้มค่าพอสมควร แต่ถามว่าในภาพรวม ดีจนทำให้กรรมการ
ให้คะแนนสูงๆได้หรือไม่นั้น เห็นชัดว่ายังดีไม่มากพอ
อันดับที่ 18-Toyota Altis 1.8ESport (คะแนนเท่ากันกับ V40 Cross Country)
เราขอบอกไว้ก่อนว่า ESport นั้นไม่ได้ถูกทำอัตราสิ้นเปลืองเก็บข้อมูลไว้อันเนื่องมาจาก
ไม่สามารถนำรถไปเติมน้ำมันที่ปั๊มประจำก่อนเขาปิดชั่วคราวทำความสะอาดถังได้ทัน
ดังนั้นเราจึงพิจารณาจากสเป็คของยางและใช้สมมติฐานสำหรับหัวข้ออัตราสิ้นเปลือง
ซึ่งไม่น่าจะดีเท่าตัว 1.8V Navi แต่ก็ตามหลังกันประมาณ 0.5-1 ก.ม./ลิตร ซึ่งอย่างไรก็ตาม
จะมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของรถ C-Segment เราจึงเอาคะแนนประหยัดน้ำมันของตัว 1.8V
ล้อ 16 นิ้วมาลดแต้มลง เพราะเราเชื่ออย่างมากว่าถ้าอัตราเร่งมันช้าลง ก็น่าจะกินน้ำมันขึ้นบ้าง
อย่างไรก็ตาม ESport ก็ยังผสานข้อดีที่เราพบใน Altis 1.6G เปลี่ยนภายในเป็นสีดำที่
วัยรุ่นชอบ ลายคาร์บอนเป็นสีเทาดำอย่างที่ควรจะเป็น (ไม่ใช่แดงน้ำตาล!) ใส่เบาะนั่ง
ตอนหน้าที่สบายขึ้นอีกนิด มีแอร์ออโต้ (ไม่มีฮีทเตอร์) ให้ มีแพดเดิ้ลชิฟท์ให้กันเหงานิ้ว ใช้เครื่อง
1.8 ตัวเก่งแบบรุ่น V Navi และมีแอโร่พาร์ทรอบคันพร้อมกับเปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นขนาด 17 นิ้ว
ยาง Michelin Pilot Sport 3 ที่ไม่ได้เยี่ยม แต่ก็ดีกว่ายางโรงงานติดรถทั่วไประดับหนึ่ง อีกส่วน
ที่สำคัญอยู่ที่การทำช่วงล่างให้หนึบขึ้นราว 10% ทำให้การขับขี่ของมันดีขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ
อยู่ในระดับที่สามารถซ่าขึ้นได้บ้าง แม้จะยังห่างชั้นกับ Ford Focus และ Mazda 3 อยู่ก็ตาม
ด้วยราคา 899,000 บาทกับสิ่งที่ได้ในภาพรวม ทำให้ตอยด์ คิดว่ามีความลังเลว่า ESport
มันเป็นรอง Mazda 3 มากที่เขาเคยคิดไว้หรือเล่า ส่วนผมนั้นคิดว่ามันเป็น Corolla 4 ประตู
ที่น่าซื้อที่สุดในรอบ 23 ปีที่ผ่านมานับจากวันที่พวกเขาเลิกขาย AE92 GTi และ J!MMY
ก็ยังเกลียดแดชบอร์ดของมันอยู่เหมือนเดิม ถ้าคุณยอมทนได้กับการไม่มีระบบ VSC และ
ลูกเล่นที่ขาดไปบ้าง (เช่นหน้าปัดที่เป็นแบบธรรมดา) มันคือ Corolla ที่น่าสนใจมาก
แต่ถ้าคุณต้องการรถแอร์ออโต้ที่มีฮีทเตอร์…นี่คงไม่ใช่รถที่คุณต้องการครับ
อันดับที่ 17-Range Rover Evoque 2.2SD4 Dynamic
เป็นรถทดสอบคันแรกเปิดศักราช 2014 ของ Headlightmag.com ซึ่งยังเป็นตัวเกียร์
อัตโนมัติรุ่นแรกอยู่ แต่ผมขอให้ J!MMY นำมาทดสอบเพราะอยากขับอยากลองเป็นการส่วนตัว
มันเป็นรถในฝันของพวกเราหลายคนในทีม The Coup เพราะดีไซน์ของ Gerry McGovern
ที่เฉียบลงตัว เมื่อก้าวขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารก็พบว่ามันมีเอกลักษณ์อังกฤษเต็มขั้นและ
เลือกที่จะไม่เดินแนวทางที่ “เหมือนกันไปเสียหมด” อย่างคู่แข่งเยอรมันที่ออกจะทึมทึบและ
ขาดจินตนาการ คะแนนดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในของ Evoque นั้น ออกมาคือ 9/10 เป็น
อย่างต่ำ และเฉพาะภายนอกทำได้ 9.5 ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดทางด้านดีไซน์ของปีนี้
แต่ถ้าเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทเครื่อง เริ่มขับ และละความสนใจจากดีไซน์ เราก็เริ่มรู้สึกว่า
Evoque ก็คือ Freelander ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น และแค่นั้น เครื่อง 2.2SD4 นั้นให้อัตราเร่ง
ที่ดี แต่ก็มีคู่แข่งที่ทำได้ดีกว่าโดยไม่ต้องสวาปามน้ำมัน 13.92 ก.ม./ลิตรอย่างที่มันทำด้วย
ช่วงล่างที่เข้าใจว่าน่าจะมีระบบโช้คแม่เหล็ก พอลองขับแล้วก็ไม่แน่ใจว่ามีแน่หรือเปล่า
เพราะแม้จะนุ่มสบายพอสมควร แต่เวลาเริ่มเล่นบทหนัก กลับรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงอย่าง
ที่คาดไว้แต่แรก การเก็บเสียงเครื่องและเสียงลมทำได้ดี จะมีก็แต่เสียงยางที่ดังเข้ามา
ในห้องโดยสารอยู่ตลอดเวลาวิ่งทางไกล ใช่..มันเป็นรถในฝันของเราและพวกเราบางคน
ยังอยากจะขอเจอกับมันอีกสักครั้งหรือสองครั้ง แต่เรารู้สึกว่าราคา 4.59 ล้านนั้น เป็นค่า
ใช้จ่ายที่แพงมากสำหรับการเอาดีไซน์นั้นมาจอดในโรงรถของตัวเอง และถ้าใครที่คิดว่า
X3 20d หน้าตาน่าเบื่อเกินไป ก็ยังมี Lexus NX300h ที่ราคาถูกกว่า Evoque อยู่ 600,000
แต่หน้าตาอาจจะไม่ใช่แบบที่ทุกคนชอบเท่านั้นเอง
อันดับที่ 16-Nissan Pulsar 1.6DIG-T
เอาสติกเกอร์นั่นออกเสียแล้วคุณจะได้หมาป่าในคราบนกกระจอกเทศที่ซ่อนพลังร้ายกาจ
ไว้ใต้ฝากระโปรงของมัน แม้ว่าปัจจุบันยอดขายจะไม่เดินเอาเสียเลยเพราะคนมองว่ารถ
1.6 ลิตรบ้าอะไรราคาเกินล้าน แต่อย่าลืมว่ามันคือ 1.6 บวกเทอร์โบที่พกม้ามา 190 ตัวและ
มีแรงบิด 240Nm ซึ่งเมื่อประกบกับเกียร์ CVT แล้ว สามารถเร่งจาก 0-100 ได้ใน 8.1 วินาที
ซึ่งเร็วกว่า Accord Hybrid หรือ Accord V6 3.0 G7 ด้วยซ้ำไป และที่มันไม่เร็วไปกว่านี้เพราะ
เกียร์มันยังไม่พัฒนาให้ดุใจถึงเท่าพวก Teana ยิ่งพอลอยลำ 80 แล้วกระแทกคันเร่ง คุณจะถึง
120 ได้ใน 5.62 วินาที เป็นตัวเลขที่เร็วกว่ารถสปอร์ต 200 ม้าอย่าง BRZ เกียร์ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
และไล่หลังตัวแสบจาก VW Group ทั้งหลายไปติดๆแถมมีแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก Mini Cooper
Clubman และ Coupe เทอร์โบได้อีกด้วย ถ้ามองในมุมนี้จะเห็นว่ารถที่เร็วขนาดนี้ ในราคา
ระดับนี้ คุณไม่มีตัวเลือกอื่นใด
อุปกรณ์ความปลอดภัยมีครบ เรายินดีมากที่จะยอมสละมูนรูฟอันเป็นที่รักของนกกระจอกเทศ
ตัวนั้น เพื่อแลกกับระบบรักษาการทรงตัวและถุงลมนิรภัยด้านข้างที่เพิ่มเข้ามา เรียกได้ว่า
เทียบกับ Altis 1.8V Navi ที่ราคาใกล้ๆกันแล้วงงเลยว่าแล้วใครจะอยากได้ Altis? คำตอบ?
ก็คนส่วนใหญ่ของประเทศไงล่ะครับ ดีไซน์ของ Pulsar เทียบกับพรรคพวกแล้วถือว่าได้
คะแนนค่อนข้างน้อย แต่ว่าภายในยังจัดว่าเรียบร้อยและดูดีสะอาดตาระดับหนึ่ง ช่วงล่างกับ
พวงมาลัยแม้จะได้รับการปรุงแต่งเพิ่มจากรุ่น 1.8V แต่พอลองขับจริง เราพบว่ามันต่างกันน้อยมาก
กลายเป็นรถที่เดินแนวทางคล้าย Subaru Legacy คือมัดหนักมากแต่ไม่ใช่รถที่เล่นโค้ง
แล้ว “ได้ใจ” อย่างที่คิด แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่ามั่นใจกว่า Altis ESport นิดๆและแม้อัตราการกินน้ำมัน
แบบเดินทางไกลจะดูดี แต่ถ้าขยันกดคันเร่งเมื่อไหร่ มันจะโหดซดแหลกจนน่ากลัวได้เหมือนกัน
อันดับที่ 15-Nissan Teana 2.0XL Navi
รถดีที่ขายไม่ค่อยออกอีกคันหนึ่ง.. Teana 2.0XL นั้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งพิกัด 2.0 D-Segment
ด้วยกันแล้วนับว่าผสานจุดเด่นของ Camry กับ Accord เอาไว้ด้วยกัน กล่าวคือประเคนอุปกรณ์
มาให้เต็มพิกัดแต่แรกโดยไม่ต้องรอให้ผู้คนด่าก่อนแล้วค่อยเสริมมาให้ตอนไมเนอร์เชนจ์
(ดีเหมือน Accord) ในขณะที่อัตราเร่งนั้นคุณเลือกได้ว่าถ้าใส่เกียร์ D แล้วกดคันเร่งมันก็จะ
วิ่งดีเท่า Accord แต่ถ้าใส่เกียร์โหมดสปอร์ต มันก็จะเร็วเท่า Camry (ใช่ครับ Camry 2.0
ออโต้ 4 สปีดแบบ Plain Plian นี่ล่ะเร่งแซงเร็วสุด) นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือการ
เซ็ตน้ำหนักการตอบสนองของพวงมาลัยที่น่าจะลงตัวที่สุดแล้วในบรรดา D-Segment
ยิ่งช่วงล่างยิ่งไม่ต้องสืบ เฉพาะคนที่เคยขับมันแบบ Back-to-Back กับรถยุโรปขับหลัง
จะรู้เลยว่า Teana นั้นการคอนโทรลการยุบตัว/แกว่งตัวของช่วงล่างนั้นดีกว่า E300
BlueTEC Hybrid AMG (รุ่นปี 2014 ที่ยังไม่มีช่วงล่างปรับได้) เสียอีก ไม่เชื่อไปลองดูเอง
ดังนั้นในการขับในเมืองมันก็คล่องตัวไม่แพ้คู่แข่ง การขับทางไกลมันก็สามารถมอบความ
มั่นใจสบายใจได้มากกว่า Camry และพวงมาลัยก็ไม่ประสาทบอแรดแบบ Accord
แต่จุดหนึ่งที่อดสงสัยไม่ได้คือ ทำไมเครื่อง 2.0 ลิตรของ Nissan จึงสู้ชาวบ้านไม่เคยได้เลย
ในเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มันกินจุกว่า Accord และ Camry..แล้วไอ้ Accord
กับ Camry ที่เราพูดถึงนี่มันคือรุ่น 2.4TECH กับ 2.5G ด้วยนะเอ้า! เทียบกับพวกเดียวกัน
ไม่ต้องสืบ 2.0 เจอ 2.0 Teana เข้าปั๊มก่อนใคร นอกจากนี้เรายังรู้สึกว่าแม้ภายนอกจากดู
สมาร์ทระดับหนึ่งแต่การออกแบบภายในนั้นสูญเสียเสน่ห์แบบอบอุ่นไฮโซโอโมเตนาชิ
อย่างรุ่น J32 ไป วัสดุบางส่วนให้สัมผัส/หน้าตาที่พอเห็นแล้วเรารู้สึกว่า Accord G9
ดูสุขุมล้ำน่าปล้ำเสียยิ่งกว่า อีกอย่างหนึ่งคือเสียงเครื่องที่ดูเหมือนจะรุกรานเข้ามา
ห้องโดยสารมากเวลากดคันเร่งเกิน 60% และถ้ากด 100% ก็จงเตรียมตัวพบกับ
Symphony จากเสียงเครื่อง 4 สูบที่โวยวายบ้าบอคอแตกอย่างไม่เป็นท่าที่สุด..
MG ยังเพราะซะกว่า
อันดับที่ 14-Honda Mobilio RS
มันเป็นรถที่ทำให้เรานึกถึงการเปิดตัวของปลากระป๋องอะยัมในยุค 90s เปล่าครับ ผมไม่ได้บอก
ว่า Mobilio เป็นรถกระป๋อง แต่พยายามสื่อว่าพอเห็นราคารุ่น RS เปิดมา 739,000 บาทนั้น
ปฏิกิริยาแรกคือ “แพงว่ะ” เหมือนกับครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นราคาของปลากระป๋องเจ้านั้น
แต่เมื่อได้เห็นชิ้นปลาตัวจริง..โอ้โฮเว้ย เซอร์ไพรส์..Moby (ขอตั้งชื่อเล่นให้ Mobilio RS นะ)
คันขาวนี่ไม่ใช่แค่ Brio เป่าพองลมเพิ่มที่นั่งแล้วยัดเครื่อง 1.5 แต่มันคือรถที่มีประสิทธิภาพ
ดีในหลายด้านและตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุดกว่าทั้ง Ertiga และ Spin และลืม Avanza ไปเลย
ช่วงล่างเซ็ตมาดีแล้ว ต้องขอชมเชยทีม R&D สักทีมนั่นแหละที่นั่งดู J!MMY ด่า Brio/ชม Amaze
และคาดเดาการเซ็ตช่วงล่างออกมาได้ถูกต้องเป๊ะ! มันอยู่ตรงกลางระหว่างความนุ่มสบายของ
City และความแข็งของ Jazz มันสามารถขับรูดหลุมในซอยแล้วสะเทือนก้นน้อยกว่า CRV Gen 2
เสียด้วยซ้ำ ยิ่งเวลารีบมากๆ (เช่นเจ้าของเว็บปวดขี้กระทันหัน) บทบู๊ของ Moby ช่างน่าดูดดื่ม
และอภิรมย์ชนิดที่ Honda Freed แวนเล็กไฮคลาสร่วมค่ายไม่มีทางให้คุณได้เด็ดขาด!
มันชนะ Ertiga ได้ในหัวข้อที่เกี่ยวกับการโดยสาร ความสบายของคนในห้องโดยสาร ความหนักแน่น
เวลาขับอาจจะไม่ได้เด่นกว่า Spin อัตราเร่งแซงนั้น..คุณขับ Jazz ได้ ก็ต้องรับคันนี้ได้ ถ้ามี
จุดไหนที่ยังทำให้มันไม่ได้อันดับดีกว่านี้ ก็คงเหลือแค่ความสนุกของช่วงล่างที่ยังไม่เท่า Ertiga
นอกนั้นก็คงจะมีแต่เรื่ององค์ประกอบบางอย่างของตัวรถที่ยังแชร์กับ Brio ผมเดาว่าถ้า
เปลี่ยนทรงไฟหน้าให้ต่างกันไป และเลือกใช้แดชบอร์ดที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เอาของ Brio มา
แซมนั่นแซมนี่เปลี่ยนสีมาตรวัดแบบนี้ คนอาจจะนึกไม่ถึงเลยว่ารถ MPV เล็กคันนี้มันคือ
Brio ป่องลม! ดังนั้นทำแดชบอร์ดมาใหม่เถอะ แล้วเอาแดชบอร์ดของ Moby ไปใส่ให้กับ Brio
น้องเล็กเขาก็จะดูหรูน่าใช้ขึ้นเป็นกอง..อีกอย่างหนึ่ง เบาะคนขับน่ะ ช่วยทำให้ปรับสูงต่ำได้หน่อย
เถอะครับ อุปกรณ์เบสิกสุดๆแบบนี้ไม่น่าจะขาดเลย เข็มขัดปรับสูงต่ำไม่ได้แล้วเบาะยังปรับไม่ได้อีก
อันดับที่ 13-Volvo V40 T5
เกือบจะทันทีที่ผม Tweet รูปของ V40T5 ออกไป ก็มีสาวน้อยหน้าตาน่ารักนางหนึ่งเอารูปนั้น
ไป Retweet ต่อพร้อมกับเสริมว่า “That’s such a sexy ass!” ในขณะเดียวกัน ทีม The Coup
ของเราคนนึงก็บอกว่า “ปากมันดูเซ็กซี่นะพี่ เหมือนแองเจลิน่า ลี่โจว์” ส่วนผมรู้สึกเฉยๆกับ
ภายนอก แต่ยอมรับว่าภายในทำมาได้สวยเก๋มีสไตล์ มันเป็นที่ที่มองไปแล้วรู้สึกได้เลยว่าที่
Volvo มีดีไซน์เนอร์ภายในทำงานร่วมกับมัณฑนากรสักคนมันจึงออกมาดูแล้วเข้าท่า ทำให้
ภายในของ A-Class ดูรกสะเปะสะปะและภายในของ Golf ดูแล้วเหมือนคนออกแบบไม่อยาก
คิดเส้นสายนาน เบาะนั่งสบายดีในด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นมีพื้นที่มากกว่า CT200hและA250
ภายในมีเส้นสายที่ดูเรียบร้อยแต่มีลูกเล่นกับหน้าปัดที่ปรับได้สามอารมณ์กับจอTFT ออพชั่น
ความปลอดภัยเยอะจนบางอย่างอยากให้เอาออกด้วยซ้ำ (ล้อเล่นนะครับ)
จ่ายแค่ 1.82 ล้าน คุณก็จะได้รถคันนี้พร้อมกับเครื่อง 5 สูบเทอร์โบเสียงหวานน่ารัก
และไม่ต้องห่วง มันเป็นเครื่องคนละตัวกันกับเครื่อง 1.6 เทอร์โบ E85 ที่กำลังสร้างปัญหาอยู่
ในขณะนี้ มันเป็นเครื่อง Volvo แท้ที่มีรากเหง้ามาจากสมัยตัว 850 เกียร์ก็เป็นอัตโนมัติ 6 จังหวะ
ไม่ใช่คลัตช์คู่ตัวที่มีปัญหาเช่นกัน แต่เมื่อคุณได้เห็นตัวเลขแรงม้าแล้วคิดว่ามันจะต้อง
ว่องไวเหมือน Golf GTi หรือ A250 ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ ให้ตายเถอะ 80-120 ยังตามหลัง
Pulsar DIG-T เสียด้วยซ้ำไป อัตราการสิ้นเปลือง 15.33 ก.ม./ลิตรก็ถือว่าดีกว่าเกณฑ์
เฉลี่ยของกลุ่ม Hot Hatch นิดหน่อย (V40 น่าจะเป็น Warm Hatch มากกว่า Hot) ช่วงล่าง
ไม่ได้โหมดปรับแข็ง-อ่อน และทางโรงงานเซ็ตมาในลักษณะที่เน้นความรู้สึกหนักแน่น
และผู้ใหญ่นั่งแล้วโอเคมากกว่าจะเน้นความสปอร์ต แต่เมื่อถึงลิมิตมันจะแสดงออกด้วย
อาการหน้าดื้อมากกว่าการสะบัดท้าย เป็นรถที่ขับเร็วๆแล้วปลอดภัย แค่ไม่ได้ดังใจเหมือน
รถค่าย VW เท่านั้น ในภาพรวมผมคิดว่ามันขับเพลินและดูคุ้มราคากว่า Lexus CT200h แน่ๆ
แต่ประทับใจแบบ Golf GTi ปี 09 หรือเปล่า..ขอบอกว่ายัง
อันดับที่ 12-Mazda CX-5 2.2D
ฮ่า..คิดล่ะสิว่า CX-5 2.2D จะทำแต้มได้ดีกว่านี้ เพราะคะแนนหลายด้านของมันนั้น ไม่มี
ข้อไหนที่แย่เอามากๆ ส่วนมากจะอยู่ในระดับกลางๆถึงดีมากทั้งนั้น CX-5 2.2D เป็นรถ
SUV ที่ประสบความสำเร็จในการพยายามเอาอรรถประโยชน์ใช้สอยระดับเดียวกับ Honda
CR-V มารวมเข้ากับช่วงล่างและการขับขี่ที่เหมือน Mazda 3 ได้อย่างน่าทึ่ง มันมีอุปกรณ์
ติดรถมาให้ในระดับที่น่าพอใจแล้วเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมคลาส มีตำแหน่งของเบาะหน้าที่
ตั้งมาได้อย่างเหมาะสม เบาะหลังก็มีพื้นที่เหลือพอในระดับหนึ่ง พื้นที่เก็บของด้านท้ายก็ไม่ได้แคบ
เครื่องยนต์ดีเซล SkyActive-D กับเกียร์ SkyActive ทำงานประสานกันอย่างรู้ใจเหมือน
จอมยุทธ์จีนโบราณที่ไปไหนมาไหนกันเป็นคู่แล้วมีท่าไม้ตายที่ประสานพลังกัน ระบบขับเคลื่อน
สี่ล้อ ซึ่งมีแต่ในรถรุ่นดีเซลเท่านั้น J!MMY สังเกตได้ว่ามันแอบช่วยปรับอาการด้านท้ายของรถ
ให้หันเข้าไลน์ได้ดีกว่า CX-5 ขับหน้าเบนซินนิดๆ
แต่บางจุดที่มันไม่ควรพลาด ก็ไม่น่าพลาด และ CX-5 2.2D ที่มีอิทฤทธิ์ดั่งม้านิลมังกร
กลับมาตายเพราะไม่สามารถให้ในสิ่งที่คาดหวังได้ดีพอ และสิ่งนั้นก็คืออัตราการสิ้นเปลือง
14.76 ก.ม./ลิตรที่ไม่ได้ประหยัดกว่ารุ่น 2.5 เบนซินขนาดนั้น. มันอาจจะประหยัดกว่า
Captiva Diesel แต่ถ้าลองดูรถระดับพรีเมียมอย่าง BMW มันก็ทำตัวเลขได้ 14.5 ก.ม./ลิตร
แต่ BMW ที่ผมพูดถึงนี่คือ X5 xDrive30d น่ะครับ ถ้าเป็น X3 ทะลุ 16 ก.ม./ลิตร เครื่อง
Mazda ไม่ได้ถือว่าประหยัดนัก และอัตราเร่งที่เราคาดว่าจะแรงสุดๆ ก็แพ้รุ่น 2.5 ไป
ท้ายสุดแล้ว การจ่าย 330,000 บาทเพิ่มเติมจากรุ่น 2.5 นั้นสิ่งที่เหนือกว่าอย่างเป็นรูปธรรม
ก็มีแค่กำลังลากสไตล์ดีเซล และระบบขับสี่ซึ่งมีบทบาทบ้างแต่ไม่เยอะอย่างที่คิด แล้วทำไม
เราจะต้องจ่ายเงินขนาดนี้ เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่ได้มาเท่านี้ มันอาจจะเหมาะสำหรับ
คนที่เสพย์ติดแรงบิดแรงดึง แต่ถ้าพิจารณารวมในทุกด้านแล้ว อันดับ 12 นี่ล่ะเหมาะกับมันแล้ว
อันดับที่11-Volvo XC60 D4 iArt
Volvo พยายามที่จะพัฒนารถของตัวเองให้ใกล้เคียง X3 มากขึ้น และน่าเสียดายที่ว่า
พยายามมาตลอดนับตั้งแต่ช่วงที่เว็บ Headlightmag เปิดใหม่ๆ พอถึงวันที่รถ XC60 ของพวกเขา
สร้างตัวเลขสมรรถนะและอัตราสิ้นเปลืองได้ชนะ X3 มันก็เป็นเวลาที่บอดี้นี้ก็เริ่มดู
ไม่ทันสมัยและไม่น่าดึงดูดใจให้เสียเงินมากเท่าคู่แข่งแล้ว ภายในเปลี่ยนมาใช้โทนสีเข้ม
ดูดุดันขึ้น หน้าปัดเปลี่ยนมาใช้แบบ Active Digital Display เหมือนของ V40T5 อุปกรณ์
ด้านความปลอดภัยนั้น Volvo ยังคงอัดแน่น สารพัดอุปกรณ์ ไฮเทค มาให้ลูกค้าได้
ใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คราวนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการ Upgrade ระบบ
City Safety โดยเพิ่ม ระบบตรวจจับผู้ขับขี่จักรยานพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบ
เต็มแรงเบรก (Cyclist Detection with Full Auto Brake) แล้วยังเปลี่ยนระบบตรวจจับ
รถในจุดบอดมาใช้เซ็นเซอร์แบบเรดาร์แทน ดูเหมือนว่าถึง XC60 ในวันนี้จะเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
แต่มันเป็นไม้ใกล้ฝั่งที่ตัดสินใจเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เข้าฟิตเนส ออกกำลังกายวันเสาร์เข้าโบสถ์
วันอาทิตย์ ถึงแม้จะช้า แต่ก็มาเสียที
สิ่งที่ยังทำให้ D4 iArt ราคา 3.145 ล้านไม่ได้ดีไปถึงอันดับที่ 10? จะว่าไปแล้วก็ไม่มีข้อไหน
ที่แย่ ช่วงล่างของมันจะมีอาการสะเทือนกรวดที่ความเร็วต่ำบ้าง สะท้านบ้าง และที่ความ
เร็วสูงๆมันก็ยังไม่มั่นใจเท่า X3 xDrive20d ที่กดโหมดสปอร์ตอยู่ดี และถ้าคุณต้องการ
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็จะต้องเล่นรุ่นอื่นเพราะ XC60 คันนี้เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า
แต่ถ้าคุณคิดว่าขับสองก็ดีพอแล้ว และขี้เกียจรอคิวจองอันยาวเหยียดของ Lexus NX
XC60 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ…แต่ถ้าซื้อมาแล้ววิ่งๆไปต้องเติมน้ำมันเครื่องเพิ่ม
แทนน้ำมันที่หายไปตลอดแบบ XC60 เวอร์ชั่นที่แล้วๆมาหรือเปล่า..เราไม่ได้เอามาคิด
เป็นคะแนน BestDrive แต่ถ้าคุณจะซื้อ คุณนั่นล่ะควรคิดต่อเรื่องนี้ด้วย
ต่อไป..เข้าสู่ช่วง TOP TEN!
อันดับที่ 10-Honda Jazz 1.5SV Plus
มันยังคงเป็นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู B-Segment ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้กว้างที่สุดและมี
คะแนนรวมอยู่ในระดับที่ดี มีอัตราเร่งที่เป็นรองแค่ Vios เกียร์ธรรมดากับ Fiesta Ecoboost
มีอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ในระดับกลางๆของกลุ่มและไม่ได้เลขสวยแบบ Ford 1.0 เทอร์โบ
แต่ถ้าผ่านสองข้อนี้ไป ที่เหลือ Jazz ทำคะแนนได้ดีมาก ทีมงานรู้สึกพอใจกับวิธีการออกแบบ
ภายในซึ่งจัดพื้นที่ให้รถคันเล็กสามารถนั่งได้สบาย..แค่ว่าเฮดรูมหลังเหมือนจะน้อยไปนิด
เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า แต่สิ่งที่พัฒนาไปไกลมากคือวิธีการออกแบบแดชบอร์ดและภายใน
ที่ออกมาแล้วแม้จะมีความง่ายในการใช้น้อยลง แต่มีความแพรวพราวหรูหรามากขึ้น
อุปกรณ์ให้มาอย่างครบครันมากขึ้น วัสดุในส่วนที่ตาเห็นมือสัมผัสได้ส่วนมากดีขึ้น อีกทั้ง
ยังมีอุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัยพร้อม มีถุงลมด้านข้างมาให้ ส่วน VSC นั้นมีมาให้ตั้งแต่
รุ่นล่างสุดเลยทีเดียว
เบาะนั่งดันหลังดุนหัวในลักษณะที่กำลังดี เบาะนั่งรองรับส่วนก้นได้ดีเช่นกัน อย่างน้อย
มันเป็นที่ที่สบายกว่าเก้าอี้สำนักงานของ Fiesta แน่ๆ เกียร์ CVT นั้นแม้จะไม่ดุดันแบบ
Toyota แต่ก็มีนิสัยคนละเรื่องกับ CVT ใน Jazz ตัวแรก ไม่มีอาการเย่อที่น่ารำคาญ กดแล้ว
มาตามน้ำหนักเท้า เสียงลมที่กระจกหน้าดังบ้าง และเล็ดรอดมาด้านข้างรถบ้าน แต่ผมมอง
หน้ากับ J!MMY แล้วคิดตรงกันว่าอย่างน้อยการเก็บเสียงในภาพรวมหน้า/หลังก็ยังดีกว่า
Mazda 3 ซึ่งเป็นรถที่คลาสโตและแพงกว่า อย่างที่ผมบอกว่า Jazz เป็นรถที่เหมือนจะโต
ไปกับวัยของผู้ซื้อ และเวอร์ชั่นล่าสุดก็ทำตัวเหมือนสาววัย 30 ที่อาจจะน่ารักน้อยลง แบ๊วน้อยลง
จริงจังมากขึ้น แต่ก็เข้าใจชีวิตของคุณมากขึ้น บางจุดของรถอาจมีความรู้สึกลดต้นทุน
ซ่อนอยู่บ้างถ้าไม่สังเกต และช่วงล่างนั้นอาจจะแข็งไปสำหรับผู้ใหญ่วัยชรา ไม่ได้นุ่มเหมือน
City และยังไม่ได้ฟีลที่ทั้งเกาะถนนและหนักแน่นและสบายอย่าง Chevrolet Sonic นี่คือ
จุดหนึ่งที่ทำให้เรามองว่ามันเป็น The Best all-rounder แต่ยังไม่ได้ดีสุดๆไปในทุกด้าน
อันดับที่ 9-Lexus NX300h F-Sport
ปกติ Lexus มักทำรถที่จืดชืดน่าเบื่อในรูปลักษณ์ และเมื่อพวกเขาทำให้มันเฉี่ยวเปรี้ยวสวย
มันก็มักเป็นรถที่เราซื้อกันไม่ได้ อย่าง IS-F และ LF-A แล้วพอมันเฉี่ยว และราคาไม่แรงเกิน
มันก็มักจะออกมามีหน้าตาประเภทที่เรามองแล้วเกาหัวว่าตกลงมันเวิร์คหรือเปล่า อย่าง
IS250/IS300h จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่เคยทำดีไซน์ที่น่าใช้โดยเฉพาะหลังยุคกระจังหน้า
Predator จนกระทั่งเจ้า NX300h นี่ล่ะที่กรรมการส่วนใหญ่ให้คะแนนภายนอกดี ดูสวยงาม
ลงตัว มีความกำยำ แต่บางคนก็คิดว่าเส้นสายของ Evoque นั้นดูสมาร์ทและลงตัวกว่า
ในขณะที่ NX นั้นออกแบบมาจนดูเหมือนรถไปประสบอุบัติเหตุชนหน้าชนท้ายชนข้างมา
ส่วนภายในนั้นไม่มีใครเถียงว่าทำมาได้ล้ำยุค ไฮเทค และถ้าเทียบกับ ES300h ซาลูน
การจัดการปุ่มบนแผงคอนโซลทำออกมาได้มีรสนิยมกว่าเสียด้วยซ้ำไปแม้ว่าในบางมุม
มันออกจะละลานตาจนอยากเรียกเพื่อนผมชื่อถังที่เป็นนักบินไทยสไมล์มาช่วยขับให้ก็ตาม
นี่เป็นรถอีกคันหนึ่งที่ทำกางเกงของผมเป้าขาดตอนก้าวขึ้น (โอเคผมพลาดเอง) เบาะหน้า
นุ่มสบายและเป็นที่ที่น่านั่งที่สุดบนรถคันนี้เพราะเบาะหลังของมันนั้นไม่ใช่..จริงๆเบาะมันก็ดี
แต่ทำไมพนักพิงศรีษะไม่ทำให้นุ่มแบบเบาะหน้าบ้างก็ไม่รู้ ช่วงล่างยังไม่นุ่มเป็นครีมเอแคลร์
ในโหมดสปอร์ตจะมีความสะเทือนที่ถ้าเอาคนแก่นั่งเบาะหลังแล้วจะบ่นนิดๆ ส่วนโหมด
Sport Plus นั้นช่วงล่างจะหนึบหนืดขึ้น แต่แทบไม่กระด้างขึ้น มันคล่องตัวพอๆกับ CX-5
แค่รู้สึกว่าหน้ากับท้ายมีน้ำหนักถ่วงอยู่มากกว่า ขุมพลังไฮบริด ไม่ประหยัดน้ำมันเท่าดีเซล
ยุโรป และไอ้เจ้าเสียงเครื่องยนต์เทียมที่ให้มา..วันหลังไม่ต้องก็ได้ มันไร้สาระมาก ราคาของ
ตัวรถถูกกว่า Evoque ก็จริง แต่ก็แพงกว่า X3 โดยที่ส่วนหลักๆที่คุณได้คือหน้าตาที่
เอเลี่ยนจะเกลียดและแฟนคลับ Predator จะชอบ แค่นั้น! ผมคิดด้วยซ้ำว่าถ้าต้องซื้อใช้จริง
รุ่นขับหน้า 3.29 ล้านน่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า F-Sport AWD ราคา 3.99 ล้านครับ
อันดับ 8-Honda City 1.5SV Plus
Unbelievably believable. มันคือรถธรรมดาคันหนึ่งซึ่งบริษัทไหนจะทำบ้างก็ได้ แต่ส่วนที่
ไม่น่าเชื่อคือในที่สุด Honda ก็ทำรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ช่วงล่างหลังไม่เด้งดีดจนน่ารำคาญ
ได้แล้วหลังจากที่เจอมาตลอดตั้งแต่สมัย Civic Dimension มันไม่ได้ให้ความมั่นใจแบบ
Sonic แต่ก็มั่นคงและคุมอาการตัวรถได้ดีกว่า Vios ที่น่าแปลกคือรถเล็กอย่าง City กลับ
เซ็ตพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำมาได้มีน้ำหนักกำลังดี และที่ความเร็วสูงก็เกร็งน้อยกว่ารถใหญ่
อย่าง Accord เสียด้วยซ้ำ City รุ่นกัปตันมาวินนี้พกอุปกรณ์มาเพียบ ดูทันสมัยแพรวพราว
แต่ไม่สามารถปรับแอร์โดยไม่ชำเลืองตามองเพราะมันเป็นจอทัชเรียบๆที่ใช้หลักการคลำๆเอา
แบบพวกสวิตช์หมุนไม่ได้ อัตราเร่งไม่ต้องห่วง ถ้าจะชนะมันได้ต้องเอา Vios เกียร์ธรรมดา
หรือ Fiesta เทอร์โบเท่านั้น ความประหยัดน้ำมันก็อยู่ในระดับเกณฑ์เฉลี่ยค่อนไปทางดี คือแพ้
Ford แต่ดีกว่า Jazz เล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบทุกด้านแล้ว มันเลยกลายเป็น
รถที่ลักษณะคล้าย Jazz กล่าวคือมีบางด้านดี หลายด้านดี บางด้านธรรมดา แต่รวมออกมาแล้ว
ตอบโจทย์การใช้งานได้กว้างที่สุด
แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสีย เข็มขัดหน้าปรับระดับสูงต่ำไม่ได้ (แต่ Jazz ปรับได้นะ) คือ..จะถอด
ออกทำไมครับ ไม่เข้าใจ? การเก็บงานบางส่วนเช่นหัวน็อตที่โผล่ประตูหลัง กับงานยางขอบ
ประตูเห็นแล้วอึ้งว่า ได้แค่นี้เองเหรอ? ช่วงล่างหลังถึงจะเด้งน้อยลงแต่เฮดรูมหลังก็เตี้ยลงกว่า
City เป็ดแดงรุ่นที่ J!MMY ใช้ แต่เดิมนั้นคนตัวสูงจะนั่งได้บ้าง แต่รุ่นใหม่นี้นั่งหลังตรงไม่ได้เพราะ
จะต้องเอียงคอกันสุดๆ สรุปว่ามันมีหลายอย่างที่ถูกพัฒนาจนถูกใจลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น
แต่การสละบางสิ่งที่เคยดีออกไปก็ต้องทำใจว่าเนื้อหมูและเนื้อไก่อย่างไรเสียก็ยังไม่ได้ดีครบ
จนพอจะเรียกคะแนนจากเรามากไปกว่านี้ได้
อันดับที่ 8-Mazda CX-5 2.0S (คะแนนเท่ากันกับ City..ทำไมปีนี้ขี่กันหลายคู่จังฟระ?)
ยอดรถ SUV ที่พิสูจน์ว่าคุณสามารถเป็นครอบครัวลูกอ่อนไปพร้อมกับการหาความสุขจาก
การเข้าโค้งได้ เท่านั้นยังไม่พอ CX-5 2.0S ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเครื่อง 2.0 ลิตรใน SUV
บอดี้ขนาดนี้ก็ยังสามารถปรับแต่งให้ขับสนุก เร้าใจได้ชนิดที่ทำให้เราลืมรถพิกัดเดียวกัน
ไปหมดทุกคัน อัตราสิ้นเปลืองก็ทำได้ดีกว่าคู่แข่งพิกัด 2.0 รายอื่นๆ (แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็น
เพราะรถเหล่านั้นขับเคลื่อนสี่ล้อ) แต่ก็ยังแพ้ Subaru Forester แบบงงๆ (บอกแล้ว
สมัยนี้จะประหยัดต้องคบดาวลูกไก่ไร้โบ) อุปกรณ์ความปลอดภัยมาครบ แค่ไม่ได้มี
ลูกเล่นเป็นเรดาร์เตือนนู่นนี่เหมือนพวกรถไฮโซเท่านั้น มันเป็นทางเลือกที่ดูคุ้มกว่า
CX-5 2.2 ดีเซลเสียด้วยซ้ำเมื่อมองจากราคา 1.3 ล้านบาทเทียบกับสิ่งที่ได้มา กับสิ่งที่ “ได้ใช้”
จริงๆในการขับและทดสอบของพวกเราคันหนึ่งหลายๆวัน
ห้องโดยสารและอุปกรณ์ของเล่นอื่นๆนั้นธรรมดาๆพื้นที่โดยสารและบรรทุกสัมภาระยังไม่จุใจ
เท่าCRV และเรื่องการการเก็บเสียงลมยังต้องปรับปรุงโดยเฉพาะช่วงเกิน120จะดังเข้ามาตาม
ขอบประตูมากจนบอกตรงๆว่าแม้ปกติ Honda จะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการเก็บเสียง แต่ CR-V
ก็ยังกันเสียงลมได้ดีกว่า CX-5 อยู่นิดๆในความเห็นของผม ช่วงล่างที่ความเร็วไม่เกิน60ถ้า
ถนนขรุขระจะมีความสะเทือนน่ารำคาญนิดๆ Subaru XVบาลานซ์ความนุ่ม หนึบและเกาะได้
เจ๋งกว่า แต่นิสัยของเกียร์มาสด้าจะแสนรู้กว่าแม้เวลาเปลี่ยนเกียร์จะมีอาการกระตุกอยู่บ้าง
ส่วนข้อเสียอื่นๆเดี๋ยวจะอธิบายให้จบหมดเมื่อถึงตัว 2.5S
อันดับที่ 7-Mazda 3 2.0SP Hatchback
ปีนี้สหายจาก Hiroshima ดูท่าจะมาแรง แต่ก็ต้องยอมเขาจริงๆเพราะเครื่องและเกียร์ที่
เคยเป็นจุดอ่อนของ Mazda กลายเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ Mazda 3 ตัวใหม่ ถูกล่ะมันอาจจะ
ไม่ได้แรงไปกว่า Altis 1.8 เว้นเสียแต่ว่าคุณจะลากทางยาว แต่การทำงานของเกียร์กับเครื่อง
ประสานกันได้ดี เมื่อบวกสิ่งนี้เข้ากับการออกแบบตำแหน่งพวงมาลัย คันเร่ง เบรก คันเกียร์
และความสูงของเบาะแล้ว ทำให้ผมต้องออกปากเลยว่าในบรรดา C-Segment ทั้งหมด
Mazda สามารถจัดวางตำแหน่งสิ่งต่างๆได้ลงตัวที่สุด มันให้รสชาติการขับขี่ที่หลอก
ความรู้สึกได้ว่าตัวรถไปไวกว่าความเป็นจริง เข็มไมล์ค่อนข้างเที่ยงตรงกว่าปกติ
พวงมาลัยเหมือนๆกับ CX-5 แต่จะมีความไวมากกว่าตามบุคลิกของรถ และน้ำหนักช่วง
ถือตรงจะเบากว่าบ้าง ไม่เพียงเท่านั้นรุ่น 2.0SP ยังมีลูกเล่นภายในกับระบบนำทาง
มีจอ HUD ในระดับสายตา มีระบบ RVM ที่ใช้เรดาร์ตรวจสอบรถที่พุ่งมาจากข้างหลัง
และเตือนที่กระจกมองข้าง ตลอดจนระบบช่วยเบรกเวลาเผลอ ไม่ต้องนับถุงลม 6 ใบ
ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของ C-Segment ตัวท้อปอยู่แล้ว
แต่ถ้าถามว่าเราประทับใจกับมันขนาดนี้ แล้วทำไมยังได้อันดับ 7? ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ
เรื่องความสนุกในการขับนั้น Ford Focus GDi ยังทำได้ดีกว่าและช่วงล่างซับแรงกระแทก
ได้ดีกว่า อัตราเร่ง Ford ก็ทำได้ดีกว่า อุปกรณ์อะไรที่ Mazda มี Ford ก็มี (ยกเว้นจอ HUD)
แถมยังเกทับด้วย Cruise Control, Moonroof และระบบช่วยจอดอีกต่างหาก ราคารถก็
พอๆกันแถม Ford ถูกกว่านิดๆ ถ้าเป็นแบบนี้ จะให้เราพูดว่า Mazda ดีที่สุด ก็คงจะไม่ใช่
มันแค่ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่ามาก ขับสนุกขึ้นมาก แต่ยังมีจุดอ่อนที่สู้คู่แข่งไม่ได้อยู่ดี เราจะมาว่า
กันต่อในหัวข้อของตัว Saloon แล้วกันครับ
อันดับ 6-Nissan Teana 2.5XV Navi
D-Segment นั้นถ้าคุณต้องการประเภทเครื่องแรงเร่งเร็วออพชั่นครบ ก็คงต้องเล่นบรรดา
รถไฮบริดของคู่แข่ง…หรือว่ามีทางเลือกอื่น? คำตอบคือมี ถ้าคุณยอมเปลืองค่าน้ำมันขึ้นมาก
เพราะ 13.60 ก.ม./ลิตรนั้นอยู่ห่างจากตัวเลข 18-20 ของ Honda กับ Toyota มากเหลือเกิน
รถ D-Segment สมัยนี้เขาไม่มีใครกินจุขนาดนี้กันแล้ว แต่ลองดูราคาค่าตัวของมันที่ตั้งป้าย
ไว้ 1,570,000 บาทก่อน..บางทีเงินส่วนต่างตรงนั้นยังสามารถเอาไปเติมน้ำมันได้นานโข
ที่สำคัญคือจุดใดก็ตามซึ่ง Teana 2.0XL ทำไว้ดี รุ่น 2.5XV ก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นรายการ
อุปกรณ์ที่มีมาให้เยอะ ไม่ต้องด่าเตือนสติให้สำนึกผิดแล้วค่อยแย้มๆเติมๆมา อุปกรณ์ด้าน
ความปลอดภัยครบครัน ช่วงล่างแน่นปึ้กหนึบชนิดยุโรป (ที่ไม่ใช่ BMW) เหวอเอาได้เหมือนกัน
แถมท้ายด้วยเครื่องยนต์ QR25DE ที่ถึงแม้จะเป็นบล็อคเก่าล่าข้ามศตวรรษ แต่ก็ถูกปรับมา
ให้มีแรงบิดดีเป็นช่วงกว้าง พอกดคันเร่งแล้วเสียงเครื่องดังอยู่เหมือนกัน แต่เป็นโทนเสียง
ที่เข้มกว่า ไม่โวยวายไร้สาระแบบตัว 2.0 มันยังไม่หวานนิ้งแบบ J32 V6 ตัวเก่า แต่พอเจอ
เกียร์ที่ปรับการทำงานมาดีกว่าเดิม แถมมีโหมดสปอร์ตบ้าพลังที่ทำให้เร่งแซงได้เร็วเกือบเท่า
นกกระจอกเทศพิฆาตอย่าง Pulsar DIG-T เลยทีเดียว เราไม่เคยสนุกกับการเล่นบทบู๊
ใน Teana มาก่อนจนกระทั่งเมื่อได้เจอคันนี้
ถ้าไม่นับเรื่องอัตราการสิ้นเปลือง และภายในที่เก็บเสียงไม่แน่นเหมือนรุ่นก่อน และวัสดุบางจุด
ที่ไม่ประทับใจ เรื่องอื่นๆ Teana 2.5XV นั้นถ้าไม่ใช่ว่าได้คะแนนดี ก็จะดีมากไปเลย ดังนั้น
ไอ้ที่ขายไม่ออกน่ะ ผมว่าไม่ใช่รถห่วยแน่นอน แต่อาจต้องมองในแง่การสื่อสารถึงคุณภาพ
ของตัวรถ แล้วก็ปรับปรุงบางอย่างเช่นตำแหน่งการวางจอ กับสีสันต่างๆบนหน้าปัดซึ่งจุดนี้
Accord ยังดูง่ายและเป็นมิตรกับคนขับมากกว่า นอกจากนี้ในขณะที่ Accord รองรับ E85
ในรุ่น 2.0 และ 2.4 Nissan ยังคงให้ Teana ทานเอธานอลสูงสุดได้แค่ E20 เหมือนเดิม..
อันดับ 5-Mercedes-Benz E300 BlueTECHybrid AMG
ต่อให้ช่วงล่างมันจะไม่ดีเท่า Teana (นี่พูดจริงไม่ได้พิมพ์ผิด) แต่ E300BlueTEC ก็ยังมีจุดอื่น
ที่เรารู้สึกชอบในตัวมัน ไม่ใช่เพราะว่ามันมีดาวสามแฉกโปะอยู่ข้างหน้า แต่เป็นเพราะการพยายาม
บาลานซ์ทุกอย่างให้ออกมาลงตัวเหมาะสำหรับความเป็นรถพรีเมียมผู้ใหญ่มากที่สุดเท่าที่
จะทำได้ E-Class คือเบนซ์ที่เป็นเบนซ์ มันมีคุณภาพวัสดุภายในที่เห็นแล้วรู้สึกดี มีดีไซน์ที่
ไม่น่าเบื่อ แต่ไม่ฉูดฉาดเกินไป มีการเล่นแสงภายในมาอย่างสวยดูดีในเวลาค่ำคืน มีเบาะหน้า
ที่ถูกปรับปรุงให้นั่งสบายขึ้น ส่วนเบาะหลังนั้นแม้ส่วนรองนั่งจะสั้นกว่า 5-Series แต่ในภาพรวม
กลับให้ความรู้สึกว่ามีพื้นที่เยอะและมีความโปร่งสบายกว่า ในเรื่องประสิทธิภาพของระบบ
ไฮบริดนั้น มันก็ช่วยให้ E300 กินน้ำมัน 18.65 ก.ม./ลิตร ซึ่งชนะ BMW และ Volvo กลายเป็น
พรีเมียมซาลูนยุโรปที่ประหยัดน้ำมันที่สุดไป ระบบความปลอดภัยมีพร้อม และสิ่งที่สำคัญ
ก็คือเบรก..ไม่ว่าจะกี่รุ่น Mercedes-Benz ก็มักจะทำระบบเบรกมาได้ดีและสามารถเรียกใช้
งานหนักได้โดยไม่เฟดง่ายๆ ยิ่งเป็นเบรกของ E300 คันนี้ ยิ่งมั่นใจได้มากกว่าเดิม ชนิดที่สามารถ
ทำ 200-100, 200-100 สองสามครั้งแล้วระบบเบรกยังไม่ออกอาการ พวงมาลัยวงเล็กกับ
ยางที่ขนาดกว้างกว่ารุ่นเดิมก็ช่วยทำให้มันมีน้ำหนักพวงมาลัยดีกว่ารุ่นเดิม เวลาขับแล้ว
ไม่รู้สึกหลวมโพรกเกินไป
แต่ข้อเสียหรือ? ถ้าผิดหวังที่สุดก็ยังคงเป็นนิสัยของคันเร่งที่ยังเป็น “แบบ เบนซ์ เบนซ์” ดังเดิม
บางคนบอกว่าอุ้ย J!MMY ลืมกดโหมด S หรือเปล่า กดแล้วครับ แต่มันก็ยังจะมีจังหวะรอ
ก่อนชิฟท์เกียร์แล้วพุ่งอยู่ดี และเรื่องอัตราเร่งนั้น เราคาดหวังไว้กับระบบไฮบริดค่อนข้างมาก
แต่มอเตอร์ของเบนซ์นี่ให้มาเหมือนจะมีบทบาทเป็นนางสนมถือพัดโบกในละครจักรๆวงศ์ๆ
บ้านเรานั่นแหละ..มีประโยชน์..แต่ไม่เด่น และถ้าหายไปจากฉากเราก็คงไม่สนใจและไม่รู้ตัว
เลยด้วยซ้ำ E-Class ไม่ใช่รถที่ขับแล้วสนุกแบบ BMW และไม่ใช่รถที่เงียบ นิ่ม ผ่อนคลาย
แบบสุดๆอย่าง Lexus ES300h แต่เป็นบางสิ่งที่อยู่ระหว่างกลาง และบวกสไตล์เข้าไป
เพื่อป้องกันความจืดชืดของชีวิตบ้างเท่านั้น ช่วงล่าง..ขนาดตั้งชื่อรุ่นว่ารุ่น AMG แล้วเวลา
วิ่งลงเนินจัมพ์คอสะพานทำไมตัวรถยังแกว่งในแนวระนาบได้อยู่ ไม่ได้เป็นแค่กับรถทดสอบ
ของเรานะครับ จุดนี้น่าจะยังปรับปรุงได้อีกแต่คงยากเพราะน้ำหนักชุดอุปกรณ์ไฮบริด
ที่ถ่วงอยู่นั่นเอง
อันดับที่ 4-Mazda 3 2.0S Saloon
มันเป็นรถบ้านที่ขับสนุก พวงมาลัยคมกว่าญี่ปุ่นเจ้าอื่น เครื่องและเกียร์SkyActiveสร้างอัตราเร่ง
ที่ดีกว่ารุ่นเก่าแบบคนละเรื่องจนสงสัยว่าถ้าใช้ล้อ215/45/17น่าจะเร่งได้ดีใกล้เคียงFocus 2.0
มากกว่านี้ เวลาเล่นManual shiftยิ่งสนุก ต้าบคันเร่งเป็นพุ่ง ภายในมีตำแหน่งการวางเบาะ
พวงมาลัย คันเร่งและการใช้งานสวิตช์ต่างๆที่คิดมาดี ไม่ละลานตาจนเวอร์ แอร์ไม่ใช่Dual Zone
Digitalแต่ใช้ง่าย จอHUD อยู่ในตำแหน่งที่กำลังดีแต่ในทางปฏิบัติจอความเร็วของCivicเห็นตัวเลข
ชัดเจนกว่าโดยไม่ต้องพึ่งพา HUD แสนกลใดๆ ข้อดีส่วนอื่นนั้นก็คล้ายกับที่ชมใน Mazda 3
2.0SP Hatchback แต่ตัวรถ 2.0S ราคา 974,000 บาทนี้จะไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่าง
ม่านถุงลมนิรภัยข้าง (น่าจะมีได้แล้วนะ) RVM และ City-Brake มาให้
ข้อเสียของรถคันนี้อยู่ที่พนักพิงศรีษะดันหัวมากไปนิดเดียว แต่ผมพบว่าตัวเบาะส่วน
อื่นดี สบาย กระนั้นความสบายเฉพาะตัวเบาะยังสู้ Altis ESport ไม่ได้ นอกจากนี้ สิ่งหนึ่ง
ที่รับไม่ได้แบบสุดๆเลยก็คือเสียงรบกวนที่ดังเข้ามามากจนเกินงาม นี่รถ C-Segment นะ
ไม่ใช่ Ecocar มันดีกว่า Lancer EX ก็จริง แต่นี่ปี 2014-2015 แล้ว รถเล็กอย่าง City
กับ Jazz ยังพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้จนดีขึ้น รถเจ้าตลาดอย่าง Altis ก็ทำได้ดีขึ้น แล้ว Mazda
SkyActive ทำไม่ต้อง “ถีบ” เอาพวกวัสดุซับเสียงออกไปด้วย? และเรายังไม่ได้พูดถึงเรื่อง
พื้นที่ในห้องโดยสาร ซึ่งไม่เคยเป็นจุดเด่นของ Mazda 3 อยู่แล้ว ในรุ่นปัจจุบัน มันดูเหมือน
ว่าเฮดรูมจะดีขึ้น แต่มันก็เป็นเพราะเบาะหลังต่ำลง นั่งไปสักพักก็ไม่สบายเข่าอยู่ดี
ปล. ในรถทั้งสองคันที่เรานำมาขับนั้น ไม่เจอไฟ Check Engine Error P0171 มาหลอกหลอน
แบบที่หลายท่านรวมทั้งคุณอุ้มรุ่นน้องผมเธอไปเจอมา…เราไม่ได้เอาเรื่องนี้มาคิดคะแนน
BestDrive แต่เราจะเตือนไว้ว่า Mazda 3 ก็ไม่ใช่รถที่ปราศจากปัญหา กรุณาลอง Google
เพิ่มเติมดูได้
อันดับที่ 3-Lexus ES300h
นี่คือรถที่พลิกโผมากที่สุดคันหนึ่งหากเทียบความรู้สึกมีในใจก่อน และหลังจากได้สัมผัสของจริง
มันคือรถที่ Lexus บอกว่า “เราไม่สนใจจะทำให้มันขับสนุก เราสนแค่เรื่องจะทำยังไงให้มัน
เป็นรถที่นั่งแล้วรู้สึก Relax ที่สุด” พวกเราไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่า Lexus จะถือเอาคำพูดนี้
เป็นจริงเป็นจังมาก เพราะ ES300h นั้นเป็นรถราคาต่ำกว่า 5 ล้านที่เก็บเสียงรบกวนภายนอก
ได้เงียบมาก ช่วงล่างก็นุ่มและสบายมาก สบายยิ่งกว่า E-Class เสียอีก ตัวเบาะนั่งดันหัว
แต่หมอนพิงหัวนั้นนุ่มสบายจนสามารถกดหัวไปกับพนักอิงแล้วได้ตำแหน่งที่พอดี เบาะก็นุ่มสบาย
หนังแท้บางส่วนนุ่ม หนังเทียมหุ้นหลังเบาะยังให้สัมผัสที่ดีด้วยซ้ำไป เรื่องคุณภาพวัสดุไม่ได้เป็น
รองรถหรูแบรนด์เยอรมันเลย ลูกเล่นภายในก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะจอกลางขนาดใหญ่ เซ็ตค่าได้
มากมาย เครื่องเสียงไม่ใช่ยี่ห้อดัง แต่ให้เสียงที่กำลังดี การใช้งานทุกอย่าง แม้ต้องเรียนรู้ปุ่ม
ต่างๆบ้าง แต่สามารถเอื้อมถึงและใช้งานได้ง่าย มันเป็นรถที่คณะฑูตผู้เจรจาสันติภาพควร
มีเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ให้คนที่จะมีเจรจาด้วยนั่งรถคันนี้จากที่พักมายังที่ประชุม
ผมคิดว่าสันติภาพในโลกนี้อาจเกิดได้ง่ายและบ่อยกว่าแต่ก่อน จะบอกอีกด้วยว่านับตั้งแต่
เปิดเว็บไซต์วันที่ 26 ก.พ. 2009 แล้วทดสอบรถมา 245 คัน นี่คือรถคันแรกที่ผม “อยาก และชอบ”
ที่จะเป็นผู้โดยสารมากกว่าคนขับ ไม่ว่าจะให้นั่งหน้า หรือหลัง
แล้วถ้าให้ผมขับมันล่ะ? ไอ้รถที่ Toyota บอกว่าไม่สนเรื่องความสนุกในการขับจะมีอะไรเหลือ?
คำตอบคือมี พวงมาลัยมันอาจไม่ได้เป๊ะแบบ BMW แต่ก็มีน้ำหนักถ่วงกลางดีพอสมควร ช่วงล่าง
ไม่ยวบเท่า Volvo S80 แต่ก็ยังมีอาการยุบตัวเวลาทิ้งโค้งหรือสลาลอมมากกว่า E300 แถมเวลา
จัมพ์ลงเนินเดียวกัน Lexus กลับไม่มีอาการแกว่งตัวแนวข้างอย่างที่พบใน Mercedes แม้ว่า
ท้ายสุดพอเอาไปลองยัดโค้งแรงๆ เยอรมันจะชนะญี่ปุ่น 1 ประตูต่อ 0 อยู่ดี อัตราเร่งไม่เลว
แต่ไอ้ที่ไม่ประทับใจคืออัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แม้ว่ามอเตอร์ไฟฟ้าที่พลังสูงใช้งานได้
จริงจังกว่าของเบนซ์ แต่อัตราสิ้นเปลือง 17.5 ก.ม./ลิตรนั้น นอกจากจะสู้ “ไฮบริดมือใหม่”อย่าง
E300 ไม่ได้แล้ว ยังแพ้ BMW 520d รถดีเซลขวัญใจแท็กซี่โรงแรมเสียอีกด้วยซ้ำ นอกจากนี้ปุ่ม
บางปุ่มบนคอนโซล รู้สึกเหมือนถูกออกแบบมาลวกๆ ไม่เข้ากับรูปลักษณ์ของคอนโซลเท่าไหร่
และมือจับเปิดประตูภายในก็ดูธรรมดา ออกจะเหมือนรถบ้านราคาไม่ถึงล้านเสียด้วยซ้ำ เรา
พยายามแล้วที่จะหาเรื่องตำหนิมัน แต่ลงท้ายก็สามารถหาได้เท่าที่เขียนไปตามนี้จริงๆครับ
อันดับที่ 2-Honda Accord Hybrid TECH
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า Accord Hybrid จะมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ แน่นอนว่าเรารู้ว่ามันน่าจะติด
Top Ten แต่ไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ มันคือรถ D-Segment ประกอบในประเทศไทยที่
ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด 20.52 ก.ม./ลิตร แต่ในขณะเดียวกันให้มีพละกำลังแรงจนทำให้
เรารู้สึกทึ่งที่ได้รู้ว่า ใน Accord Hybrid นั้น เครื่องยนต์มีหน้าที่เป็นตัวรอง แต่กำลังขับหลักนั้น
มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า มันต้องเป็นมอเตอร์ที่ดูแลร่างกายมาดีราวกับอาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์
สมัยเขายังหนุ่มแน่ๆ และถ้าไม่นับเรื่องตัวเลขเหล่านี้ มันยังมีความน่าใช้ในอีกหลายด้าน
เช่นกล้องแสดงภาพมุมอับด้านซ้ายที่ใช้งานง่ายและได้ผลดีจริง มีเสียงเตือนคนภายนอกรถ
ขณะขับขี่ในโหมดไฟฟ้า มีระบบเตือนการชนด้านหน้าด้วยเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรกซึ่ง
ทำงานประสานกันกับระบบ Adaptive Cruise Control ได้ด้วย อุปกรณ์เหล่านี้ไม่มีในรถ
คู่แข่ง และระบบจอฉายรอบคันของ Teana นั้นก็ใช้งานได้แค่ที่ความเร็วต่ำๆเท่านั้น
ในพื้นฐานของความสบาย เบาะหน้านั้น เราให้คะแนนความสบายดีกว่า Teana เพราะ
พนักพิงศรีษะที่นุ่มและดันหัวน้อยกว่า ส่วนพื้นที่ด้านหลังนั้น ก็ชนะ Teana เช่นกัน และ
ถือว่ามีพื้นที่กับความสบายสูสีกับ Camry การเก็บเสียงก็ทำได้ดีพอๆกับ Teana และดีกว่า
Camry อย่างชัดเจน การออกแบบแผงหน้าปัดและตำแหน่งการติดตั้งสวิตช์กับจอต่างๆ
Honda คิดมาได้ลงตัว จอภาพใหญ่อยู่ใกล้ระดับสายตามากกว่า Teana และส่งผลให้
ไม่ต้องละสายตาจากถนนลงมามองมากเท่า ดังนั้นในวินาทีนี้ การที่Honda สามารถ
พัฒนารถ D-Segment ไฮบริดมาจนดีขนาดนี้ เราก็ยินดีมอบตำแหน่งที่ 2 ให้ไปนอนกอด
แล้วอย่าลืมชมแผนกวิศวกรกับ R&D ด้วยที่ช่วยเจียรไนเพชรที่ขุดมาจนมีความสวยงาม
น่าชื่นชมได้ถึงขนาดนี้ แต่ถ้าถามว่าแล้วข้อเสียล่ะ ไม่มีเลยหรือ? อันที่จริงมี และเป็นจุดอ่อน
ที่แพ้ Teana ด้วยซึ่งก็คือช่วงล่างและพวงมาลัย อย่างที่ทราบว่า Accord จะมีลักษณะช่วงล่าง
และการตอบสนองเหมือน Civic ที่ตัวโตและหนักขึ้นมากกว่าที่จะไปคล้ายรถยุโรป ในรุ่น
Hybrid นี้เราพบว่าหน้ารถค่อนข้างเบาโหวงทำให้เวลาขับที่ความเร็วสูงแล้วไม่มั่นใจ
เท่าที่ควร พวงมาลัยก็ยังเบาไปและไวไปสำหรับรถใหญ่ขนาดนี้ น่าจะปรับเพิ่มน้ำหนัก
หน่วงมือที่ช่วงความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม.ขึ้นไปอีกสักหน่อย เสียงเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์นั้น
ดังเหมือนจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมที่กินสเตียรอยด์เข้าไป มันหวีด แหลม ดัง และควรจะ
ถูกทำให้เงียบกว่านี้ ก็คงจะมีเพียงเรื่องเหล่านี้ บวกกับราคา 1,899,000 บาทที่ทำให้เรา
รู้สึกลังเลที่จะมอบคะแนนให้มันมากกว่านี้ หาก Accord รู้จักเซ็ตช่วงล่างให้ขับมั่นใจกว่านี้
ดีไม่ดี BestDrive ปีนี้อาจกลายเป็นของมันไปแล้ว
และนั่น..
ก็หมายความว่า..ผู้ชนะ BestDrive 2014 ของเราในปีนี้ ได้แก่..
ได้แก่…
ได้แก่…
โอ้ว..คุณปัญญาคะ ดิชั้นรู้สึกตื่นเต้นแทนผู้เข้าประกวดเหลือเกินค่ะ..(โว้ย!!พอ!!-J!MMY)
อันดับ 1-Mazda CX-5 2.5S
ก่อนที่จะเชิญผู้ชนะประกวดจากปีที่แล้วมาทำพิธีมอบมงกุฏและคฑา..ไม่ใช่ล่ะ..คนละงาน!
Mazda CX-5 2.5S ได้รับ Comment ต่างๆเหล่านี้จากกรรมการ
“มึงเอาตำแหน่งไปเลยเหอะ ยกให้ด้วยความเต็มใจ!”
“นี่มัน SUV พ่อบ้านหรือรถสปอร์ตซาลูนวะ ขับมันส์เหลือร้าย ประหยัดด้วย”
“PERFECTO!”
มันคือรถที่มอบสิ่งที่เหนือความคาดหมายตั้งแต่วินาทีแรกที่กระทืบคันเร่ง เครื่อง 2.5 ลิตร
SkyActive ให้แรงดึงออกตัวที่สะใจมาก มากจนเราเกิดคำถามว่าแล้วทำไมยังต้องจ่าย
เยอะๆเพื่อซื้อ CX-5 2.2D หรือยิ่งไปกว่านั้น..Subaru Forester Turbo! ไม่เชื่อลองดู
อัตราเร่ง 0-100 สิครับ ไวกว่าดาวลูกไก่ติดหอยเสียอีก ยิ่งในช่วงเร่งแซงนั้น 80-120
ใน 6.84 วินาทีนั้นอย่าว่าแต่เทียบกับ SUV พิกัดเดียวกันเลย มันสามารถไล่ๆรถอย่าง
Mercedes-Benz C250 Coupe AMG ได้เลยด้วยซ้ำ และความเร็วที่ว่านี้ก็เกิดจาก
เครื่องที่มีพลังไม่ว่าช่วงไหนเมื่อไหร่ เกียร์ที่ชาญฉลาด มีจังหวะกระตุกบ้างแต่ก็น้อยมาก
กดเท่าไหร่ไปเท่านั้น ทำตามสั่งพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ในเกียร์โหมด Manual
ก็จะทำตัวเป็น Manual จริง คือลากรอบเลยขีดแดงก็กล่องตัด ไม่ชิฟท์เกียร์ขึ้นให้เอง
โดยพลการ
ความเร็วของ CX-5 2.5S มาพร้อมกับช่วงล่างและพวงมาลัยที่ปรับเซ็ตมาอย่างลงตัว
เรารู้สึกกล้าที่จะนำมันอัดเข้าโค้งตาม Mazda 3 Hatchback ตัวใหม่ที่พยายามจะโชว์ป๋า
อยู่ข้างหน้าด้วยสปีดที่เท่ากัน (แต่ไม่ได้จี้ท้าย) แล้วแชสซีส์กับช่วงล่างของ CX-5 ก็จะ
แค่ออกอาการหน้าดื้อนิดๆก่อนพาตัวรถยิงออกจากโค้งกดคันเร่งได้ไวไม่ต้องรอปลาย
โค้งเปิด..โอ้ว คุณปัญญาคะ ดิชั้นไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าดิชั้นกำลังพูดถึงรถ SUV ครอบครัว
หรือรถสปอร์ตซาลูนกันแน่ มันเป็นสิ่งที่ต้องลอง ถึงจะรู้ และความมั่นใจนี้ก็มีความกระด้าง
เป็นข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย แต่คุณยังสามารถเอาผู้ใหญ่นั่งเบาะหลังไปได้โดยที่
มันจะไม่ส่งอาการสะเทือนมากจนเกินไป อุปกรณ์ความปลอดภัย เทียบกับคู่แข่งในปี
2014 ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าใคร ระบบ VSC ใช้การได้จริง แต่ด้วยตัวรถที่เซ็ตมาดีจึงไม่ค่อย
เข้ามายุ่ง..ยกเว้นว่าคนขับมันบ้า อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต่อการขับขี่ที่สบายก็ให้มา
ค่อนข้างครบถ้ามองคู่แข่งราคาใกล้เคียงกัน ราคาที่เปิดมา 1.44 ล้านกับสิ่งที่ได้
เรารู้สึกเหมือนซื้อ SUV สไตล์ประมาณ Honda CR-V แต่ได้สปอร์ตซาลูนช่วงล่างมั่นๆ
แฝงมาในร่างเดียวกัน สำหรับคนที่ทั้งชีวิตเคยขับแต่รถซิ่ง แล้วสุดท้ายต้องมาขับรถ
คันเดียวทำทุกอย่าง ส่งภรรยาทำงาน ส่งลูกไปเรียน และยังต้องการรถขับสนุกในงบ
ที่ไม่ต้องจ่ายหลายล้าน CX-5 2.5S คือคำตอบหนึ่งเดียวแบบไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าจะให้เราพูดถึงมันในทุกด้าน CX-5 2.5S ก็ไม่ใช่รถที่ดีไปเสียหมด และประเด็นนี้
อาจมีความสำคัญกับอีกหลายคนที่ไม่ได้ใส่ใจความสนุกในการขับ ถ้าตัดเรื่องสมรรถนะ
เรื่องความมั่นใจในการขับ ระบบเบรก ความปลอดภัย..อัตราสิ้นเปลือง..ช่วงล่าง..
(เอ..มันก็ตัดหลายเรื่องอยู่นะ) ก็จะเหลือเรื่อง
1. การเก็บเสียง บอกแล้วว่า SkyActive นี่ถีบเอาวัสดุซับเสียงออกไปหรือไง ทำไมถึง
ไม่ลองคิดบ้างว่าคนที่ขับ SUV และชอบทรงของ Mazda นั้นก็มีคนที่อยากได้ห้องโดยสาร
ที่เงียบกว่านี้บ้างเหมือนกัน
2. ภายใน ถ้าไม่นับเรื่องการมีอุปกรณ์ครบครัน มองในแง่ของดีไซน์และวัสดุจริงๆแล้ว
มันไม่ได้ยอดเยี่ยมกินขาด CR-V ขนาดนั้น ถ้าเราถอดคำว่ารถตลาดกับรถอินดี้ออกจาก
หัวแล้วสังเกตดูดีๆ Honda ตัว 2.4 ก็ไม่ได้เลวร้าย การประกอบบางส่วนของ CX-5 ยัง
ตลกโดยเฉพาะพลาสติกครอบตรงคันเกียร์ที่ขยับไปมาได้เกินงาม..ถ้าอยู่ในรถราคา
5-7 แสนนี่พอคุยกันได้ แต่ในรถ 1.44 ล้าน มันก็อีกเรื่อง
3. การเข้าออกรถประตูหลัง แม้จะมีขนาดใหญ่แต่ก็ยังเข้าออกไม่สบายเท่ารถเล็กกว่า
อย่าง Subaru XV และแน่นอนว่าไม่สบายเท่า CR-V แม้ว่าปกติเรามักจะไม่ค่อยยุ่ง
กับเบาะหลัง แต่ในฐานะที่เป็น SUV ก็ควรคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้เช่นเดียวกัน
4. เบาะนั่งหลัง แม้จะมีวิธีการพับที่ดี แต่ตัวเบาะนั้นยังเป็นจุดอ่อนอยู่ มันมีเนื้อที่วางขา
น้อยกว่า CR-V และมีพนักพิงหลังที่แข็งทำให้เวลานั่งแล้วเหมือนไม้กระดาน จะมีคน
นั่งหลังหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่อง แต่จะบอกไว้ให้รู้ว่ามันคือจุดที่ทอนคะแนนของ CX-5
ลงมา
เราพูดกันตรงนี้ แบบเพื่อนคุยกับเพื่อน เราขอบคุณที่ Mazda สร้าง SUV ที่ไม่น่าเป็นไปได้
ในงบเท่านี้ออกมา มันขับมั่นใจกว่า SUV พรีเมียมบางคันด้วยซ้ำ แต่ยังต้องมีการคำนึง
ถึงการใช้งานปกติบ้าง คนที่เลือกใช้ SUV นั้นเขาไม่ได้ออกรบกับใครทุกวัน ดังนั้นใน
การใช้งานที่ตรงจุดประสงค์ ก็ควรจะปรับปรุงให้ตอบสนองได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็ทำ
ให้รถเก็บเสียงดีกว่านี้ และปรับเบาะหลังให้เอนได้อีกหน่อย ลดความแข็งของตัวพนัก
พิงหลังลง แล้ว CX-5 จะเป็นรถที่น่าใช้กว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น 2.0, 2.2D หรือ 2.5
เอาล่ะครับ ในเมื่อผล BestDrive ของเรานั้นจบไปแล้ว ผมขอใช้ส่วนท้ายของบทความ
ในการเอาผลโหวตของสมาชิกบอร์ด ณ วันที่ 26 ก.พ. 2015 ในช่วงกลางวันมาดู
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า เรากับสมาชิกเว็บ 336 คนคิดเหมือนหรือต่างกับเราอย่างไร
ขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงจุดนี้ และสวัสดีครับ
Headlightmag’s Webboard Survey for BestDrive 2014
Mazda CX-5 2.5S ได้ 59 (17.6%)
Honda Accord Hybrid TECH ได้ 38 (11.3%)
Lexus ES300h ได้ 20 (6%)
Subaru BRZ Premium M/T ได้ 20 (6%)
Ford Fiesta 1.0 Ecoboost Hatchback ได้ 18 (5.4%)
Mazda CX-5 2.2 XDL ได้ 18 (5.4%)
Nissan Teana 2.5XV Navi ได้ 16 (4.8%)
Volvo V40 T5 ได้ 16 (4.8%)
Mercedes-Benz A45 AMG ได้ 14 (4.2%)
Volvo XC60 D4 i-art ได้ 14 (4.2%)
Lexus NX300h F-Sport ได้ 12 (3.6%)
Nissan Pulsar 1.6 DIG-T ได้ 12 (3.6%)
Mazda3 2.0S Saloon ได้ 11 (3.3%)
Toyota Corolla Altis 1.8 ESport ได้ 10 (3%)
Mercedes-Benz E300 Bluetec Hybrid AMG ได้ 7 (2.1%)
Mazda3 2.0SP Hatchback ได้ 6 (1.8%)
Subaru Legacy 2.5GT A/T ได้ 6 (1.8%)
Land Rover Range Rover EVOQUE ได้ 5 (1.5%)
Mercedes-Benz CLA250 AMG ได้ 4 (1.2%)
Mitsubishi Triton Doublecab 2.4GLSltd A/T 4×4 ได้ 3 (0.9%)
Mitsubishi Triton Doublecab Plus 2.4 GLSnavi M/T ได้ 3 (0.9%)
Subaru BRZ Premium A/T ได้ 3 (0.9%)
Volvo V40 Cross Country ได้ 3 (0.9%)
Honda City 1.5SV+ ได้ 2 (0.6%)
Mazda CX-5 2.0S ได้ 2 (0.6%)
Nissan Teana 2.0XL Navi ได้ 2 (0.6%)
Nissan NP300 Navara Doublecab 2.5VL 4WD A/T 190ps ได้ 2 (0.6%)
Toyota Corolla Altis 1.6G ได้ 2 (0.6%)
Chevrolet Trailblazer 2.8 6AT LTZ1 4×4 ได้ 1 (0.3%)
Honda Jazz 1.5SV+ ได้ 1 (0.3%)
Honda Mobilio 1.5 RS ได้ 1 (0.3%)
Nissan Juke 1.6V ได้ 1 (0.3%)
Nissan NP300 Navara KingCab Calibre V A/T 163ps ได้ 1 (0.3%)
Suzuki Celerio 1.0 GA M/T ได้ 1 (0.3%)
Suzuki Hustler ได้ 1 (0.3%)
Toyota Corolla Altis 1.8V Navi ได้ 1 (0.3%)
Chevrolet Colorado C-Cab 2.8 6AT LTZ1 ได้ 0 (0%)
Chevrolet Colorado X-Cab 2.8 4×4 6MT ได้ 0 (0%)
Chevrolet Colorado C-Cab 2.5 4×4 6MT ได้ 0 (0%)
Chevrolet Trailblazer 2.5 LT 4×2 ได้ 0 (0%)
MG6 1.8Turbo Fastback ได้ 0 (0%)
Nissan NP300 Navara Doublecab Calibre VL M/T 190ps ได้ 0 (0%)
Nissan NP300 Navara KingCab M/T 163ps ได้ 0 (0%)
Proton Suprima S 1.6Turbo CVT ได้ 0 (0%)
Suzuki Celerio 1.0 GLX CVT ได้ 0 (0%)