ณ วันที่ Nissan กำลังเปิดตัว All NEW Altima (วันที่ 28 มีนาคม 2018) ตลาดรถ Sedan กำลังจะกลายเป็นตลาด “ ขาลง ” เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดรถยนต์ D-Segment Sedan ที่กำลังโดนรถยนต์ SUV-Crossover แย่งลูกค้าไปเรื่อย ๆ จนไม่มีท่าทีว่า มันจะหยุดได้เมื่อไร
การพัฒนารถยนต์ D-Segment ในยุคปัจจุบันจะต้องวิเคราะห์และตระหนักกับข้อมูลรอบด้าน และ นำข้อมูลที่ถูกกลั่นกรองเหล่านั้นมาพัฒนารถ D-Segment สำหรับคนรุ่นใหม่จริง ๆ เพราะถ้าหากบริษัทรถไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงก็จะบีบบังคับให้บริษัทรถนั้นแพ้ไปเองตามสัจจธรรมโลก
กลยุทธ์การแก้เกมส์ในตลาด D-Segment ของผู้ผลิตทุกวันนี้คือ การเอาใจใส่ด้านการออกแบบ และ การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยตัวอย่างแรกที่เห็นกันชัด ๆ ก็คือ All NEW Toyota Camry Generation ที่กล้าปฏิวัติการออกแบบภายนอกที่มีความโฉบเฉี่ยว ดูสดใหม่ และมีภายในที่ดูแปลกตาแต่แฝงไปด้วยความหรูหราที่แท้จริง นอกจากนี้ก็ยังจัดเต็มด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ส่งผลดีต่อการขับขี่ หรือ ล่าสุดก็เป็น All NEW Honda Accord ที่เปลี่ยนบุคลิกใหม่จากรถ Sedan ดูค่อนข้างสุขุมให้กลายเป็น Sedan สไตล์ Coupe อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าเริ่มก้าวเทียบชั้นกับรถพรีเมี่ยมตัวจริงได้
จากเหตุผลมาทั้งหมด ก็ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของ All NEW Nissan Teana/Altima เช่นเดียวกัน แต่หลายคนคงจะฝากความคาดหวังเอาไว้มาก เพราะนอกจาก Nissan จะต้องต่อสู้กับคู่แข่ง, ต่อสู้กับสถานการณ์รถยนต์ที่เปลี่ยนไปแล้ว Nissan ก็ยังต้องมาสู้กับตนเอง ในประเด็นเรื่องการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีความชัดเจนและน่าตื่นเต้นขึ้น, ความพยายามในการดึงลูกค้าให้เชื่อมั่นในคุณภาพ จนไว้วางใจกลับมาซื้อรถยนต์แบรนด์นี้อีกครั้ง และรวมถึงความพยายามในการสร้างลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Nissan
All NEW Nissan Altima : D-Segment Sedan ที่มาพร้อมกับความคาดหวังความเปลี่ยนแปลงจากทั้งคนในบริษัท, ลูกค้าฝั่งอเมริกัน และ ลูกค้าฝั่งเอเชีย ด้วยทิศทางการออกแบบใหม่ล่าสุดที่นำแนวคิด ‘ Energetic Flow ’ ที่ปรากฏอยู่ใน Maxima, Murano, Lannia, Kicks, Micra และ Leaf มาพัฒนาและต่อยอดเส้นสาย และ รายละเอียดจนกลายเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับดีไซน์รถ Sedan ในรุ่น Core Model (Teana/Altima, Sylphy/Sentra และ Almera/Versa)
Alfonso Albaisa รองประธานอาวุโสฝ่ายการออกแบบ Nissan Motor ยอมรับกับสื่อว่า ในช่วงเริ่มต้นของการออกแบบ All NEW Nissan Altima นั้น พวกเขายังไม่ได้รับแรงกดดันจนต้องกล้าเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ เพราะ ตอนนั้น Altima ยังเป็นรถที่ขายดีที่สุดของ Nissan สหรัฐอเมริกา แต่ทันทีที่เผยโฉม Nissan Rogue (X-Trail) กลับกลายเป็น SUV คันนี้สามารถดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้แบรนด์นี้มาก่อน จึงทำให้พวกเขาต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อให้ Altima โฉมใหม่ออกจากกรอบเดิม ๆ ของรถ Sedan ทรงกล่องทั่ว ๆ ไป ด้วยการสร้างดีไซน์ที่เร้าใจแต่ก็ยังคงความสง่างามเอาไว้ได้
จากการตั้งเป้าของการออกแบบใหม่ ทำให้ศูนย์การออกแบบ Nissan ที่ประจำการอยู่ในจีน, ยุโรป, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ต้องระดมความคิดจากกรอบเวลาอันจำกัด เพื่อสรรสร้าง New Global Face สำหรับรถยนต์ Nissan Sedan จนได้ผลสรุปออกมาเป็น Vmotion 2.0 Concept ที่ถ่ายทอดลงสู่ All NEW Nissan Altima อย่างที่เห็นกัน
โดยปกติแล้ว ระยะเวลาการเผยโฉมรถต้นแบบและรถขึ้นสายการผลิตจริง จะมีช่วงห่างที่สามารถวัดปฎิกริยาจากประชาชนจนสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาเป็นรถคันจริง แต่สำหรับ All NEW Altima มันถูกสร้างขึ้นภายใต้กรอบที่ถูกกดันให้ ทำให้รถต้นแบบจะอยู่ในฐานะการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแล้วหาข้อสรุปนำไปสู่การผลิตจริง
Alfonso Albaisa เปลี่ยนมุมมองของการออกแบบ All NEW Nissan Altima เสียใหม่ โดยกระบวนการออกแบบจะคำนึงถึงลูกค้าในระดับสากล แทนที่จะจำกัดอยู่เพื่อเอาใจลูกค้าชาวอเมริกันเพียงเท่านั้น ดังนัน นักออกแบบ Nissan จะทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ คู่กับตัวแปรปัจจัยที่มีอิทธิพลในแต่ละตลาด ผลลัพธ์คือตัวรถสามารถดึงดูดใจผู้คนได้ทั้งโลก ด้วยความสง่างาม, ปราดเปรียวและดูสปอร์ต
ความท้าทายอีกประการคือ เปิดอิสระให้ทีมออกแบบต้องกล้าหาญและรวดเร็ว เพราะตลาดรถ Sedan ขนาดกลางกำลังจะเปลี่ยน ในขณะที่ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ยังจงรักภักดีกับรถประเภทนี้อยู่ ทำให้สามารถค้นพบคำตอบได้แล้วว่า พวกเขาควรจะต้องออกแบบโดยยึดหลัก ความเป็นมืออาชีพและดูสง่างาม
Albaisa ชี้ให้เห็นว่า จากการศึกษาในกลุ่มคนขนาดใหญ่พบว่า ผู้คนก็ยังเลือกซื้อรถ Sedan มากกว่า Crossover อยู่ดี เพราะรถ Sedan มันมีประสิทธิภาพกว่าในด้านเนื้อที่ภายใน และ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และยังเป็นยานพาหนะที่ดีไม่ว่าจะขับขี่คนเดียวหรือใช้รถร่วมกัน ดังนั้น ทุกคนจึงต้องการให้รถคันเดียวเป็นได้ทุกสิ่ง จากบ้านไปสู่ ออฟฟิศ จากนั้นก็ไปสู่แฟชั่น และ ก็ไปสู่บ้านพักอาศัย
ถึงแม้ว่าตัวรถยังคงใช้ D-Platform แต่ดูเหมือนว่า Albaisa ก็เลือกที่จะออกแบบตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ถึงขั้นต้องออกแบบโครงสร้างบริเวณห้องเครื่องด้านหน้าใหม่ให้ดูเตี้ยแบนลง เนื่องจากทีมวิศวกรได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร และเครื่อง VC-Turbo 2.0 ลิตร เท่านั้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องเผื่อเนื้อที่ไว้สำหรับเครื่องขนาดใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ดั้งเดิมนั่นเอง
ผลลัพธ์อีกประการ จากการที่ไม่จำเป็นจะต้องใส่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ก็คือพวกเขาสามารถหดระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าให้สั้นลง และมีการขยับฐานล้อคู่หลังไปอีกเล็กน้อย เพื่อให้ตัวรถดูปราดเปรียว, มีเส้นสายแห่งความสปอร์ต และเมื่อสัดส่วนตัวรถยาวขึ้น, กว้างขึ้น และ เตี้ยลงก็สามารถนำยางพร้อมล้อขนาด 19 นิ้วมาสวมจนเข้ากับบุคลิกของรถได้อย่างพอดี
เส้นสายตัวรถคือเอกลักษณ์เด่นของ All NEW Nissan Altima ด้วยเทคนิคการขึ้นรูปพื้นผิวเพื่อก่อให้เกิดแสงและเงาตกกระทบอย่างสวยงาม
ภายในห้องโดยสารก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ด้วยแนวคิดการออกแบบสปอร์ตผสมผสานกับความหรูหรา มีการประดับด้วยวัสดุโครม, วัสดุสีด้าน และยังมีการประดับด้วยลายไม้ที่ชวนให้นึกถึงอารมณ์เดียวกับ Nissan Teana J31 – J32 อยู่ด้วย (น่าจะเป็นผลลัพธ์จากการนำข้อมูลจากศูนย์การออกแบบในฝั่งเอเชียมาร่วมประมวลผลด้วย)
Albaisa กล่าวว่า เขาต้องการให้ทุกคนที่อยู่ภายในรถรู้สึกเป็นอิสระมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะให้อารมณ์นั่งกันเป็นคอก ๆ ใน SUV-Crossover พร้อมทั้งให้ความรู้สึกกลมกลืนไปด้วยกัน ทั้งรูปแบบ, ฟังก์ชัน และ การใช้งานที่ง่ายดาย
มาตรวัดผู้ขับขี่ติดตั้งหน้าจอ Advanced Drive Assist Display แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว และ หน้าจอสัมผัสกลางแผงคอนโซลขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto , เบาะนั่ง Zero Gravity ที่ได้แรงบันดาลใจจาก NASA เพิ่มโฟม 2 สองชั้น รองรับสรีระได้ดียิ่งขึ้นเมื่อขับขี่ในเมือง
หัวใจหลักการออกแบบภายในจะสวนทางกับรถ Sedan ที่มีในปัจจุบันคือ ดูเรียบร้อย และ สะอาดตา ไม่ใส่อะไรมากจนเกินจำเป็น โดยจะอาศัยการเล่นสีสัน และวัสดุที่คัดสรรจากทีมออกแบบอย่างหนักหน่วง ด้วยการเล่นสีของเบจหลากระดับ, สีเทาอ่อน และ สีธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความปลอดโปร่งกว้างสบาย โดยมีสีดำเป็นตัวตัด เลือกใช้วัสดุโครมสีด้าน และ มีพื้นผิวแบบผ้าซาติน วัสดุลายไม้ที่ช่วยให้อารมณ์หรูหรา และ อบอุ่น
All NEW Nissan Altima ติดตั้ง Nissan Intelligent Mobility : ProPILOT Assist ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติสำหรับการขับขี่บนทางไฮเวย์เลนเดี่ยว ระบบจะควบคุมพวงมาลัย, คันเร่ง และ เบรกโดยอัตโนมัติ ที่ทำงานร่วมกันกับ Intelligent Cruise Control เพื่อช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ
ระบบความปลอดภัย Nissan Safety Shield
- ระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Automatic Braking
- ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- ระบบเบรกอัตโนมัติ ป้องกันการชนคน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
- ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
- ระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)
- กล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา Around View Monitor (AVM)
- ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
ไฮไลต์สำคัญคือการแนะนำเครื่องยนต์เบนซินกำลังอัดแปรผันรายแรกของโลก ที่ใช้เวลาการพัฒนากว่า 20 ปี VC-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ที่ยกมาจาก All NEW Infiniti QX50 เพื่อทดแทนเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร โดยให้พละกำลังเท่าเทียมกันแต่ประหยัดน้ำมันแบบเครื่องยนต์ 4 สูบ
2.0 VC-Turbo
เครื่องยนต์ VC-Turbo 2.0 ลิตรเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,997 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 1,970 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 14 : 1) พร้อมเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.1 มิลลิเมตร เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 84.0 x 88.9 เมื่อกำลังอัด 14 : 1) อัตราส่วนกำลังอัดแบบแปรผัน 8 : 1 – 14 : 1
กำลังสูงสุดอยู่ที่ 248 แรงม้าที่ 5,600 แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที เมื่อเติมน้ำมันเกรดพรีเมี่ยม ใน Press Release ไม่ได้ระบุว่าจะจับคู่เกียร์อะไร แต่จงมั่นใจได้เลยว่าคงหนีไม่พ้น Xtronic CVT เหมือนกับ Infiniti QX50 โฉมใหม่ ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า ซึ่ง Nissan เคลมว่าเครื่องยนต์ VC-Turbo มีบุคลิกการขับขี่เหมือนมีสองเครื่องยนต์ในคันเดียวกัน คือทั้งให้พละกำลังแรงเกินคาด แต่ขณะเดียวกันก็ประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ VQ V6 3.5 ลิตร สองหลักเปอร์เซ็นต์
2.5 Direct Injection e-VTC
อีกทางเลือกหนึ่งคือเครื่องยนต์เบนซินใหม่ PR25DD DOHC 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร Direct Injection พร้อม e-VTC ฝั่งไอดี และ EGR กำลังสูงสุด 188 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 244 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ Xtronic CVT ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive แบบกระจายแรงขับเคลื่อนอัตโนมัติ พร้อมระบบ limited slip differential และ Hill Start Assist เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากซื้อ SUV
นอกจากนี้ All NEW Nissan Altima ยังปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่ ถึงขั้นลงทุนติดตั้งช็อคอัพ monotube ในด้านหลังเป็นครั้งแรก, ปรับปรุงช่วงล่างให้ปรับปรุงการตอบสนองโดยไม่มีความกระด้าง, ปรับมุมเรขาคณิตเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของพวงมาลัย, พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Dual Pinion ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะการควบคุม และ ลดเสียงรบกวน ในย่านความเร็วต่ำจะขับขี่ง่าย แต่ในย่านความเร็วสูงจะตอบสนอง และ ควบคุมได้ดั่งใจ
และยังติดตั้งระบบช่วยเหลือการควบคุมการทรงตัวเหมือนกับ Nissan Maxima ได้แก่
- ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Active Trace Control
- ระบบลดอาการโยนตัวของตัวถัง เมื่อขับขี่ในสภาพถนนที่เป็นคลื่น Active Ride Control
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Vehicle Dynamics Control
ผลลัพธ์จากการปรับปรุงช่วงล่าง ส่งผลให้มีการขับขี่ที่สะดวกสบาย, ควบคุมได้ และ เพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้น จากการปรับปรุงเครื่องยนต์, ลดเสียงรบกวน/สั่นสะเทือน, ช่วงล่างที่แน่นและเบาะนั่งที่รองรับสรีระ ก็ทำให้ All NEW Nissan Altima กลายเป็นรถที่เหนือกว่าไปอีกขั้น
All NEW Nissan Altima จะเตรียมเปิดรับจองในเร็ว ๆ นี้ ส่วนในบ้านเราอาจจะต้องลุ้นกันหืดขึ้นคอ เพราะว่ายอดขายเดือนล่าสุดก็ร่วงลงไปที่ 20 กว่าคันแล้ว ทำให้โอกาสในการมาของ All NEW Teana อาจจะน้อยตามลงไปด้วย
ที่มา : Nissan